ข่าวการเงิน
บทความโดย "ณัฐศรันย์ ธนกฤตภิรมย์"
นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
วันที่ 3 กรกฎาคม 2566 “หนี้” (Obligation)
เป็นความสัมพันธ์ทางกฎหมายระหว่างบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไป
ฝ่ายหนึ่งเรียกว่า “เจ้าหนี้” มีสิทธิบังคับให้อีกฝ่ายซึ่งเรียก “ลูกหนี้”
ทำหรือไม่ทำการใด ๆ เพื่อประโยชน์ของฝ่ายเจ้าหนี้ได้
“หนี้สิน” (Debt) คือ เงินที่ผู้หนึ่งเรียกว่า “ลูกหนี้”
ติดค้างอยู่จะต้องใช้ให้แก่อีกผู้หนึ่งเรียกว่า “เจ้าหนี้” เรียกสั้น ๆ
ว่า หนี้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
1. หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หมายถึง
การซื้อสินทรัพย์เพื่อนำมาใช้ส่วนตัวในการอำนวยความสะดวกสำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน
โดยการขอสินเชื่อจากธนาคาร หรือใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต
ซึ่งหนี้สินกลุ่มนี้จะมีกระแสเงินสดจ่ายเพียงอย่างเดียวในแต่ละเดือน
มีสมการ ดังนี้
กระแสเงินสดคงเหลือสุทธิ
รายได้ประจำ-ค่าใช้จ่ายประจำ-กระแสเงินสดจ่ายจากหนี้สิน
2. หนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้ หมายถึง การซื้อสินทรัพย์เพื่อลงทุน
โดยการขอสินเชื่อจากธนาคาร หรือใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต
ซึ่งหนี้สินกลุ่มนี้จะมีกระแสเงินสดจ่าย และรับในแต่ละเดือน มีสมการ ดังนี้
กระแสเงินสดคงเหลือสุทธิ
รายได้ประจำ-ค่าใช้จ่ายประจำ-กระแสเงินสดจ่ายจากหนี้สิน + กระแสเงินสดรับจากสินทรัพย์
คำถาม คือ หนี้สองประเภทนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร
ตัวอย่าง
ลูกหนี้มีความสามารถในการกู้ยืมเป็นจำนวน 6,000,000 บาท
โดยมีการจัดสรรเงินเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน (50%)
และเพื่อใช้ส่วนตัว (50%) รายการละ 3,000,000 บาท ซึ่งมีระยะเวลาผ่อน 360
เดือน ผ่อนเดือนละ 20,000 บาท (กรณี ปล่อยเช่า ได้ค่าเช่าเดือนละ 10,000
บาท) และมีข้อมูลเพิ่มเติม คือ ผู้กู้มีรายได้หลัก 50,000 ต่อเดือน
ค่าใช้จ่ายประจำ 25,000 บาท (ข้อมูลทางการเงินไม่เปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลา
360 เดือน) มูลค่าโดยระบุไปตามหนี้สิน 2 กลุ่ม ดังนี้
1. หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
กระแสเงินสดคงเหลือสุทธิ = รายได้ประจำ-ค่าใช้จ่ายประจำ-กระแสเงินสดจ่ายจากหนี้สิน
กระแสเงินสดคงเหลือสุทธิ
= 50,000-25,000-20,000
= 5,000 ต่อเดือน
2. หนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้
กระแสเงินสดคงเหลือสุทธิ = รายได้ประจำ-ค่าใช้จ่ายประจำ-กระแสเงินสดจ่าย + กระแสเงินสดรับ
= 50,000-25,000-20,000 + 10,000
= 15,000 ต่อเดือน
จะเห็นว่ากระแสเงินสดรับต่อเดือนที่แตกต่างกันนั้น
ส่งผลต่อการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว โดยเมื่อนำมูลค่าทรัพย์สิน ณ
วันสิ้นงวด มารวมด้วย โดยหาจากสมการ ดังนี้
มูลค่าทรัพย์สิน ณ วัน สิ้นงวด = (กระแสเงินรับต่อเดือน * ระยะเวลา) + มูลค่าทรัพย์สิน ณ วันสิ้นงวด
กรณีที่ 1 หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
= (5,000 * 360) + 6,000,000
= 1,800,000 + 6,000,000
= 7,800,000 บาท
กรณีที่ 2 หนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้
= (15,000 * 360) + 6,000,000
= 5,400,000 + 6,000,000
= 11,400,000 บาท
ส่วนต่าง ของ กรณีที่ 2-กรณีที่ 1
= 11,400,000-7,800,000
= 3,600,000 บาท
จากข้อมูลดังกล่าว หากเลือกบริหารจัดการหนี้ได้อย่างเหมาะสม
หนี้สินนั้นจะทำให้คุณมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอีก 3,600,000 บาท ณ
วันสิ้นงวดบัญชีของการผ่อนชำระ
สรุปได้ว่า “หนี้สิน”
ไม่ได้เป็นการสร้างภาระเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีข้อดีแฝงอยู่ข้างใน
เพียงแค่ต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าจะสร้างหนี้เพื่ออะไร
และจะบริหารจัดการกระแสเงินสดต่อเดือนอย่างไร เพียงเท่านี้ “หนี้”
ก็จะสามารถสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวได้อย่างแน่นอน
แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์
30/04/2024
14/03/2024
30/04/2024
30/04/2024
30/04/2024