ภาษี
รายงานฉบับล่าสุดที่จัดทำโดยสถาบันคลังสมองของสหภาพยุโรป
(อียู) เสนอแหล่งรายได้ใหม่สำหรับรัฐบาลประเทศต่าง ๆ นั่นก็คือ
การเก็บภาษีบรรดามหาเศรษฐีระดับพันล้านที่มีอยู่ทั่วโลก
จะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
รายงานของ สถาบัน EU Tax Observatory ที่มีชื่อหัวข้อว่า 2024 Global Tax Evasion Report
ชี้ว่า รัฐบาลทั่วโลกควรร่วมมือกันป้องกันการหลบเลี่ยงภาษี
และจัดทำอัตราภาษีขั้นต่ำสากลสำหรับมหาเศรษฐีพันล้าน(ดอลลาร์)ขึ้นไป
ซึ่งคาดว่าด้วยวิธีการนี้จะช่วยสร้างเงินรายได้เข้ารัฐเพิ่มขึ้นถึง 250,000
ล้านดอลลาร์ทั่วโลกในแต่ละปี
อัตราภาษีใหม่นี้คำนวณจากสัดส่วนราว 2% ของมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดเกือบ 13
ล้านล้านดอลลาร์ของมหาเศรษฐีพันล้านทั่วโลกจำนวนประมาณ 2,700 คน
ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมากแก่รัฐบาลต่าง ๆ
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานอ้างอิงรายงานชิ้นนี้ว่า
ที่ผ่านมามหาเศรษฐีพันล้านมักเสียภาษีในอัตราต่ำกว่าประชาชนทั่วไป
เนื่องจากคนรวยเหล่านั้นมีช่องทางเข้าถึงทรัพยากรต่าง ๆ
ที่จะช่วยให้พวกเขาสามารถนำเงินไปเก็บไว้กับบริษัทตัวแทน
หรือในบัญชีในต่างประเทศ เพื่อเลี่ยงการจ่ายภาษีในประเทศของตัวเอง
ทั้งนี้ สถาบัน EU Tax Observatory ระบุว่า
ปัจจุบันอัตราภาษีที่บรรดามหาเศรษฐีต้องจ่ายนั้นอยู่ที่ระดับประมาณ 0.5%
ในสหรัฐอเมริกา และเกือบ 0% ในฝรั่งเศส
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้รัฐบาลหลายประเทศพยายามหาวิธีเก็บภาษีคนร่ำรวยเพิ่มขึ้น
เช่นกรณีของสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เสนอเก็บภาษีขั้นต่ำ 25%
สำหรับคนอเมริกันที่ร่ำรวยที่สุด 0.01% แรก
แต่คาดว่าข้อเสนอดังกล่าวจะไม่ผ่านความเห็นชอบของจากสภาคองเกรส
สำนักข่าววีโอเอ สื่อใหญ่ของสหรัฐรายงานว่า สองปีที่ผ่านมา (2021) นายรอน
ไวเดน ประธานกรรมาธิการด้านการเงินวุฒิสภาสหรัฐ สังกัดพรรคเดโมแครต
ได้นำเสนอแผนนโยบายจัดเก็บภาษีจากผู้มีฐานะร่ำรวยระดับอภิมหาเศรษฐีในสหรัฐ
เพื่อหวังนำรายได้มาช่วยสนับสนุนร่างกฎหมายพัฒนาสังคมและแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงของประธานาธิบดี
โจ ไบเดน โดยแผนดังกล่าวซึ่งมีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า
“ภาษีสำหรับอภิมหาเศรษฐี”
เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ด้านนิติบัญญัติแบบคู่ขนาน ที่รวมถึง
ข้อเสนอการจัดเก็บภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำที่อัตรา 15%
สำหรับบริษัทสัญชาติอเมริกันที่ทำกำไรได้เป็นอันดับต้นๆ
ข้อเสนอกฎหมายภาษีทั้งสองนี้
มีจุดประสงค์เพื่อมาช่วยอุดช่องว่างการหลบเลี่ยงภาษีของภาคธุรกิจและผู้มีฐานะร่ำรวยทั้งหลาย
ทั้งยังจะช่วยให้รัฐบาลสหรัฐ
สามารถจัดเก็บรายได้เป็นมูลค่านับแสนล้านดอลลาร์
ซึ่งสามารถนำมาใช้สนับสนุนกฎหมาย “Build Back Better” ของ ปธน.ไบเดน
ที่เคยมีการประเมินว่าจะต้องใช้เงินราว 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ ถึง 2
ล้านล้านดอลลาร์
แม้ว่า ทำเนียบขาวจะแสดงจุดยืนสนับสนุนการตั้งอัตราขั้นต่ำภาษีนิติบุคคล
ที่จะนำมาใช้งานประกบแผนจัดเก็บภาษีนิติบุคคลทั่วโลก ที่รัฐบาลจาก 136
ประเทศเพิ่งตกลงรับมาดำเนินการเมื่อเร็วๆ นี้
ซึ่งตั้งเป้าไปที่บรรดาธุรกิจข้ามชาติต่างๆ ที่ไม่ได้จ่ายภาษี
หรือจ่ายภาษีเพียงน้อยนิดด้วยการอาศัยช่องโหว่ของระบบภาษีสากล
แต่กระนั้นก็ตาม “ภาษีสำหรับอภิมหาเศรษฐี”
ยังคงได้รับการคัดค้านจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคเดโมแครต
ที่ต้องการเห็นการปรับขึ้นภาษีแบบตรงไปตรงมา
สำหรับทั้งภาคธุรกิจและผู้มีฐานะร่ำรวย
เพื่อนำรายได้มาสนับสนุนวาระนโยบายของปธน.ไบเดน มากกว่า
ทั้งนี้ ในระดับทั่วโลก เมื่อปี 2021 ผู้แทนจาก 140 ประเทศบรรลุข้อตกลงกำหนดภาษีขั้นต่ำ 15% สำหรับบริษัทต่าง ๆ
เพื่อจำกัดความสามารถของบรรดาบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ที่ใช้วิธีโยกย้ายผลประกอบการไปยังประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำกว่าเพื่อให้เสียภาษีน้อยลง
นายเกเบรียล ซัคแมน นักเศรษฐศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ผู้อำนวยการของสถาบัน EU Tax
Observatory กล่าวให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า
"สิ่งที่คนจำนวนมากมองว่าเป็นไปไม่ได้ อาจสามารถกลายเป็นความจริงขึ้นมาได้"
โดยขั้นต่อไป คือการนำแนวคิดนี้ไปใช้กับมหาเศรษฐีในประเทศต่าง ๆ
ไม่ใช่แค่กับบริษัทข้ามชาติเท่านั้น
แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับฐานเศรษฐกิจ
https://www.thansettakij.com/world/579408
30/04/2024
30/04/2024
30/04/2024
30/05/2024
30/04/2024