คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ท่องเที่ยว

15 ประเทศปลอดภัยที่สุดในโลก น่าไปเที่ยว และใช้ชีวิตอยู่ยาว

25/09/2024

กำลังมองหาที่พักผ่อนสุดสัปดาห์ หรือวางแผนจะย้ายบ้านไปอยู่ที่ใหม่? สิ่งสำคัญที่สุดที่ทุกคนต้องคำนึงถึงคือความปลอดภัยใช่ไหมล่ะ? ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางท่องเที่ยวรอบโลก หรือแค่ไปเที่ยวประเทศใกล้เคียง การได้เดินทางอย่างสบายใจไร้กังวล ก็ต้องอาศัยการวางแผนที่ดีและการเลือกสถานที่ที่ปลอดภัย หากคุณกำลังมองหาจุดหมายปลายทางใหม่ในปีนี้ ลองมาดู 15 ประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัยกันเลย15 ประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลก15 ประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลกตาม Global Peace Index 2024 จากสถาบันเศรษฐศาสตร์และสันติภาพ1. ไอซ์แลนด์ ยังคงเป็นหนึ่งในประเทศที่สงบสุขที่สุดในโลก แม้ว่าคะแนนความปลอดภัยจะลดลงเล็กน้อยในปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังคงเป็นสถานที่ที่น่าอยู่และทำงานอย่างยิ่ง ด้วยอัตราการเกิดอาชญากรรมที่ต่ำและความมั่นคงทางสังคมที่สูง ไอซ์แลนด์จึงเป็นสวรรค์สำหรับผู้ที่มองหาความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิต2. ไอร์แลนด์ สถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตที่ใครๆ ก็หลงรัก ได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีความสงบสุขเป็นอันดับสองของโลกในปีนี้! ด้วยอัตราการเกิดความขัดแย้งภายในที่ต่ำมาก และความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ไอร์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลกเลยทีเดียว3. ออสเตรียเป็นอีกหนึ่งประเทศในยุโรปที่ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัยสูง ด้วยอัตราการเกิดความขัดแย้งทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศที่ต่ำมาก พร้อมทั้งมีความมั่นคงทางสังคมและความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน ทำให้ออสเตรียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีคุณภาพชีวิตดีที่สุดในโลก4. นิวซีแลนด์: เป็นประเทศที่มีความสงบสุขที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และอยู่ในอันดับที่ 4 ของโลก โดยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคยังคงเป็นภูมิภาคที่มีความสงบสุขเป็นอันดับสองของโลกต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2017 แม้ว่านิวซีแลนด์จะอยู่ในอันดับที่ 4 แต่คะแนนความสงบสุขก็ลดลงเล็กน้อยในปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีการนำเข้าและส่งออกอาวุธเพิ่มขึ้น รวมถึงการเพิ่มขึ้นของงบประมาณทางทหาร อย่างไรก็ตาม ประเทศยังคงอยู่ในระดับสูงในด้านความปลอดภัยและความมั่นคงของสังคม5. สิงคโปร์: แม้จะอยู่อันดับที่ 5 ในดัชนีความสงบสุขโลก แต่สิงคโปร์กลับครองอันดับหนึ่งของโลกในด้านความปลอดภัยและความมั่นคง สูงกว่าไอซ์แลนด์เสียอีก นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังเป็นประเทศที่ปลอดภัยเป็นอันดับสองในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รองจากนิวซีแลนด์ ความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายของประเทศมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้สิงคโปร์มีชื่อเสียงในด้านความปลอดภัย6. สวิตเซอร์แลนด์ ในยุโรปสวิตเซอร์แลนด์ติดอันดับประเทศที่มีความปลอดภัยเป็นอันดับที่ 4 และอันดับที่ 6 ของโลก เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ในรายชื่อนี้ สวิตเซอร์แลนด์มีอัตราการเกิดอาชญากรรมต่ำมาก อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้สวิตเซอร์แลนด์โดดเด่นคือระบบยุติธรรมที่เน้นการฟื้นฟูมากกว่าการลงโทษผู้กระทำผิด7. โปรตุเกส ในปี 2024 โปรตุเกสติดอันดับประเทศที่มีความสงบสุขและปลอดภัยเป็นอันดับที่ 7 ของโลก และอันดับที่ 5 ของยุโรป โปรตุเกสมีอัตราการเกิดอาชญากรรมต่ำ ระบบการเมืองที่ค่อนข้างเสถียร และความสามัคคีในสังคมสูง ประเทศยังจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีการใช้กำลังทหารน้อยที่สุดในโลก รองจากไอซ์แลนด์8. เดนมาร์ก ครองอันดับที่ 8 ของโลก เดนมาร์กเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพชีวิตสูง สถาบันต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และระบบการเมืองที่มั่นคง ชื่อเสียงด้านความปลอดภัยและความมั่นคงของประเทศเกิดจากสถาบันต่างๆ ที่บริหารจัดการได้ดี อัตราการเกิดอาชญากรรมต่ำ และการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ เดนมาร์กยังติดอันดับหนึ่งในสามประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก และยังเป็นประเทศที่มีความสงบสุขเป็นอันดับที่ 6 ในยุโรป พร้อมด้วยระดับความปลอดภัยและความมั่นคงของสังคมที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก9. สโลวีเนีย ตามมาติดๆ จากเดนมาร์ก คือ สโลวีเนีย ประเทศในยุโรปอีกแห่งที่มีอัตราการเกิดอาชญากรรมต่ำมากและมีเสถียรภาพทางการเมืองสูง ทำให้เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบธรรมชาติและสถาปัตยกรรมยุคกลาง10. มาเลเซีย เป็นหนึ่งในประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลก เนื่องจากมีระดับความขัดแย้งต่ำมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาเลเซียเป็นประเทศที่ปลอดภัยเป็นอันดับ 3 ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รองจากนิวซีแลนด์และสิงคโปร์11. แคนาดา นอกจากจะติดอันดับหนึ่งใน 15 ประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลกแล้ว แคนาดายังครองอันดับหนึ่งในทวีปอเมริกาเหนืออีกด้วย แม้ว่าภูมิภาคนี้จะมีสภาพการณ์ความสงบสุขลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก แต่ก็ยังคงเป็นภูมิภาคที่มีความสงบสุขเป็นอันดับสามรองจากยุโรปและเอเชียแปซิฟิก อย่างไรก็ตาม ความสงบสุขโดยรวมของแคนาดาลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2020 โดยมีการลดลงในทุกด้าน ได้แก่ ความปลอดภัยและความมั่นคง การทหาร และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง12. สาธารณรัฐเช็ก อีกหนึ่งประเทศในยุโรปที่ติดอันดับหนึ่งใน 15 ประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลก คือ สาธารณรัฐเช็ก ประเทศนี้ติดอันดับที่ 12 ของโลก และอันดับที่ 8 ของยุโรป ในดัชนีสันติภาพโลก ทำให้สาธารณรัฐเช็กเป็นหนึ่งในประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลก ด้วยอัตราการเกิดอาชญากรรมต่ำ และมีความขัดแย้งภายในประเทศและระหว่างประเทศน้อยมาก13. ฟินแลนด์ นอกจากจะเป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกแล้ว ฟินแลนด์ยังเป็นหนึ่งในประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในยุโรป โดยติดอันดับที่ 9 ของภูมิภาคและอันดับที่ 13 ของโลก ประเทศนี้มีชื่อเสียงในเรื่องอัตราการเกิดอาชญากรรมต่ำและสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ทำให้เป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฟินแลนด์ติดอันดับที่ 5 ของโลกในด้านความปลอดภัยและความมั่นคงของสังคม14. ฮังการี ฮังการีเป็นอีกหนึ่งประเทศในยุโรปกลางที่ติดอันดับหนึ่งใน 15 ประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลก โดยอยู่ในอันดับที่ 14 ของโลก และอันดับที่ 10 ของยุโรป ตามดัชนีสันติภาพโลก ฮังการีมีคะแนนด้านการทหารต่ำที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และมีคะแนนด้านความปลอดภัยและความมั่นคงของสังคมสูงที่สุด ทำให้ฮังการีเป็นหนึ่งในประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลกสำหรับการอยู่อาศัยและการท่องเที่ยว15. โครเอเชีย ประเทศที่ติดอันดับความปลอดภัยเป็นอันดับ 15 ของโลก และอันดับ 11 ของยุโรป คือโครเอเชีย สาเหตุที่โครเอเชียมีความปลอดภัยสูงนั้นเนื่องจากแทบไม่มีความขัดแย้งภายในประเทศหรือระหว่างประเทศเลย นอกจากนี้โครเอเชียยังมีคะแนนสูงมากในดัชนีความปลอดภัยและความมั่นคงของสังคม อัตราการเกิดอาชญากรรมที่ต่ำและสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ทำให้โครเอเชียเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกแหล่งที่มาข่าวต้รฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1449271/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย สานต่อโครงการ “สุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี - AIA Healthiest Schools” ปีที่ 3 เชิญชวนทุกโรงเรียนในประเทศไทยร่วมโครงการ เพื่อส่งเสริมสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นของเยาวชนไทย

25/09/2024

กรุงเทพฯ, 25 กันยายน 2567 – เอไอเอ ประเทศไทย สานต่อโครงการ “สุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี - AIA Healthiest Schools” ซึ่งจัดขึ้นติดต่อเป็นปีที่ 3 โดยได้รับความร่วมมืออย่างต่อเนื่องจากกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดรับสมัครโรงเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการเพื่อชิงรางวัลรวมกว่า 2 ล้านบาท และได้เป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมการแข่งขันในระดับนานาชาติ เพื่อชิงรางวัลอีกกว่า 1.5 ล้านบาท รวมมูลค่ารางวัลถึง 3.5 ล้านบาท ตอกย้ำถึงพันธกิจสำคัญของเอไอเอ ที่มุ่งสนับสนุนเยาวชนและผู้คนในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก กว่าหนึ่งพันล้านคนให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’โครงการ “สุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี - AIA Healthiest Schools” เป็นโครงการที่กลุ่มบริษัทเอไอเอ และเอไอเอ ประเทศไทย ริเริ่มขึ้นเพื่อมุ่งเสริมสร้างและปลูกฝังพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพของนักเรียนที่มีอายุระหว่าง 5 - 16 ปี โดยมุ่งเน้นใน 4 ด้านสำคัญ ได้แก่ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การทำกิจกรรมที่แอคทีฟ การมีสุขภาพใจที่ดี และการพัฒนาสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิดความยั่งยืน โดยเมื่อปีที่ผ่านมา ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากโรงเรียนทั่วประเทศที่เข้าร่วมโครงการมากกว่า 600 โรงเรียน และส่งผลงานเข้าประกวดถึง 91 โรงเรียน ซึ่งโรงเรียนที่ชนะระดับประถมศึกษา ได้แก่ โรงเรียนเทศบาล 2 วัดดอนมูลชัย จังหวัดตาก และโรงเรียนที่ชนะระดับมัธยมศึกษา ได้แก่ โรงเรียนเทศบาล 1 กิตติขจร จังหวัดตาก สำหรับโรงเรียนระดับประถมและมัธยมศึกษาที่สนใจ สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการ “สุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี - AIA Healthiest Schools” ปีที่ 3 ได้แล้วที่เว็บไซต์ ahs.aia.com/th/th/ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 8 มีนาคม 2567

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

การวางแผนทางการเงิน

เทคนิคลงทุนกองทุนรวม แบบสบายกระเป๋า-สบายใจ

24/09/2024

บทความโดย "สมาคมนักวางแผนการเงินไทย"วันที่ 24 กันยายน 2567 หากคุณรู้สึกว่าการลงทุนในกองทุนรวมเป็นเรื่องไกลตัว หรือยากเกินกว่าจะเข้าใจ ความจริงแล้วการลงทุนในกองทุนรวมเป็นเรื่องใกล้ตัวและเรียนรู้กันได้ แต่ต้องใช้ความเข้าใจและความอดทน แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นคุ้มค่าช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินรู้จักตัวเองก่อน เลือกกองทุนทีหลังก่อนจะเริ่มลงทุนในกองทุนรวม ต้องรู้จักตัวเองให้ดีก่อน ลองถามตัวเองว่า “กล้าเสี่ยงแค่ไหน” หากชอบความตื่นเต้น กองทุนรวมหุ้นอาจเหมาะสม แต่หากชอบความมั่นคง กองทุนรวมตราสารหนี้อาจเป็นคำตอบที่ดีกว่า อีกทั้ง ถามตัวเองว่า “ต้องการได้ผลตอบแทนเท่าไร” ยิ่งต้องการผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงก็มักสูงตามไปด้วย และอย่าลืมถามว่า “มีเงินเท่าไรที่พร้อมลงทุน” ซึ่งต้องดูงบประมาณก่อนว่ามีเท่าไร แล้วค่อยเลือกลงทุนให้เหมาะสมเริ่มจากกองทุนที่เข้าใจง่ายการเริ่มต้นลงทุนในกองทุนรวม ควรเริ่มจากกองทุนรวมที่เข้าใจง่าย ดังนั้น กองทุนรวมตลาดเงิน หรือกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะมีความเสี่ยงต่ำ ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าฝากเงินกับธนาคารนอกจากนี้ กองทุนรวมดังกล่าวยังมีสภาพคล่องสูง หมายความว่า สามารถถอนเงินออกมาใช้ได้เร็วเมื่อจำเป็น และเมื่อเริ่มคุ้นเคยและมั่นใจมากขึ้น ค่อยพิจารณากองทุนรวมที่มีความเสี่ยงและโอกาสผลตอบแทนสูงขึ้น เช่น กองทุนรวมผสม หรือกองทุนรวมหุ้นกระจายความเสี่ยงหลักสำคัญประการหนึ่งในการลงทุนกองทุนรวม คือ การกระจายความเสี่ยง โดยแทนที่จะนำเงินทั้งหมดไปลงทุนในกองทุนรวมกองเดียว ควรแบ่งเงินลงทุนในหลาย ๆ กองทุน เช่น กองทุนรวมตลาดเงิน กองทุนรวมตราสารหนี้ กองทุนรวมหุ้น กองทุนรวมทองคำ หรือกอง REITs ซึ่งการกระจายความเสี่ยงจะช่วยให้พอร์ตลงทุนมีเสถียรภาพมากขึ้น หากกองทุนรวมไหนไม่ดี อีกกองทุนก็จะช่วยพยุงให้พอร์ตยังเติบโตได้ดูผลงานย้อนหลัง แต่อย่ายึดติดการเลือกกองทุนรวม ควรดูผลงานย้อนหลังโดยดูว่ากองทุนรวมว่าทำผลงานดีแค่ไหนในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา เปรียบเทียบกับดัชนีอ้างอิง (Benchmark) และกองทุนรวมประเภทเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งรับประกันผลการดำเนินงานในอนาคต สิ่งสำคัญ คือ ดูแนวโน้มผลการดำเนินงานของกองทุนรวมในระยะยาว และพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น นโยบายการลงทุน ทีมผู้จัดการกองทุน ค่าธรรมเนียมต่าง ๆอ่านหนังสือชี้ชวนหนังสือชี้ชวนของกองทุนรวมจะบอกข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับกองทุนรวมนั้น ๆ เช่น นโยบายการลงทุน กองทุนรวมนี้เหมาะกับใคร ต้องระวังอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ คะแนนความเสี่ยง ปัจจัยความเสี่ยงที่สำคัญ ผลการดำเนินงานในอดีต สัดส่วนประเภทสินทรัพย์ที่ลงทุน ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ รวมถึงข้อมูลอื่น ๆ เช่น ข้อมูลแสดงรายการที่เกี่ยวข้อง เช่น นโยบายการจ่ายเงินปันผล จำนวนขั้นต่ำในการซื้อขาย เวลาเปิดและปิดทำการ การทำรายการซื้อ ขาย สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน รายชื่อผู้จัดการกองทุน และข้อมูลเพื่อติดต่อสอบถามลงทุนแบบสม่ำเสมอวิธีการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาในการติดตามข้อมูลทุกวัน คือ การลงทุนแบบสม่ำเสมอ (DCA) โดยกำหนดจำนวนเงินที่จะลงทุนในแต่ละเดือน แล้วให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) หักเงินจากบัญชีอัตโนมัติทุกเดือนเพื่อซื้อหน่วยลงทุน โดยข้อดี คือ ประหยัดเวลา ไม่ต้องคอยจับตาดูตลาดทุกวัน ลดความเสี่ยงจากการจับจังหวะตลาด และสร้างวินัยการลงทุน ซึ่งการลงทุนแบบนี้จะช่วยสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวทบทวนพอร์ตลงทุนควรทบทวนพอร์ตลงทุนอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยทุก 6 เดือนหรือ 1 ปี โดยให้ถามตัวเองว่า  •  กองทุนรวมที่ลงทุนยังเหมาะกับเป้าหมายทางการเงินอยู่หรือไม่  •  สัดส่วนการลงทุนยังสอดคล้องกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้หรือไม่  •  ผลตอบแทนเป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่หากพบว่ามีอะไรที่ไม่เป็นไปตามแผน ก็อย่าลังเลที่จะปรับเปลี่ยน ซึ่งการทบทวนพอร์ตสม่ำเสมอจะช่วยให้มั่นใจว่าการลงทุนยังเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาเรียนรู้สม่ำเสมอการลงทุนเป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต ยิ่งเรียนรู้ ยิ่งเก่ง ยิ่งมั่นใจ ลองหาเวลาว่างในแต่ละวันเพื่อศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุน ซึ่งการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้เข้าใจสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป และสามารถปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ได้ เพราะไม่มีใครเก่งการลงทุนโดยไม่เรียนรู้ ดังนั้น ควรฝึกฝนสม่ำเสมอ ยิ่งเรียนรู้ ยิ่งเก่ง ยิ่งมั่นใจ และยิ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จในการสร้างความมั่งคั่งการลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด เพียงแค่เริ่มจากการรู้จักตัวเอง เลือกกองทุนที่เข้าใจง่าย กระจายความเสี่ยง ดูผลงานย้อนหลัง อ่านหนังสือชี้ชวน ลงทุนสม่ำเสมอ ทบทวนพอร์ตเป็นประจำ และเรียนรู้อยู่เสมอ ก็จะสามารถบริหารเงินลงทุนได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1658098

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

ประกันรถยนต์ ชั้น 3 เหมาะกับรถแบบไหน คุ้มไหมที่จะทำ

24/09/2024

การทำประกันรถยนต์ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด แต่ด้วยตัวเลือกที่หลากหลายของประกันรถยนต์ในปัจจุบันนี้ จึงทำให้หลายคนอาจเกิดความสับสนว่าควรเลือกประกันประเภทไหนที่เหมาะสมกับตนเองมากที่สุด หนึ่งในตัวเลือกที่ได้รับความนิยมคือ "ประกันรถยนต์ ชั้น 3" ซึ่งเป็นประกันที่มีค่าเบี้ยไม่สูงมากนัก แต่ก็ให้ความคุ้มครองในระดับหนึ่งบทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับประกันรถยนต์ ชั้น 3 อย่างละเอียด เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้ว่าประกันประเภทนี้เหมาะกับคุณหรือไม่ ประกันรถยนต์ ชั้น 3 คืออะไร ให้ความคุ้มครองอะไรบ้าง เหมาะกับรถแบบไหน และคุ้มค่าที่จะทำหรือไม่ประกันรถยนต์ชั้น 3 คุ้มครองอะไรบ้างประกันรถยนต์ ชั้น 3 เป็นประกันภัยภาคสมัครใจประเภทหนึ่ง ที่ให้ความคุ้มครองน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับประกันชั้นอื่น ๆ แต่ก็มีค่าเบี้ยประกันที่ต่ำกว่า ลักษณะเด่นของประกันประเภทนี้คือ การให้ความคุ้มครองเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอกเป็นหลัก เพื่อให้เข้าใจถึงขอบเขตความคุ้มครองของประกันรถยนต์ ชั้น 3 อย่างชัดเจน เราจะแบ่งการอธิบายออกเป็นหัวข้อย่อย ดังนี้รถและทรัพย์สินคู่กรณีประกันรถยนต์ ชั้น 3 ให้ความคุ้มครองต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถและทรัพย์สินของคู่กรณีหรือบุคคลภายนอก แต่ไม่คุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถของผู้เอาประกันเองกรณีที่ผู้เอาประกันเป็นฝ่ายผิด และชนรถคู่กรณี  •  ประกันจะจ่ายค่าเสียหายให้กับรถของคู่กรณี  •  ผู้เอาประกันต้องรับผิดชอบค่าซ่อมรถของตนเองทั้งหมดกรณีที่ผู้เอาประกันเป็นฝ่ายถูก และถูกรถคู่กรณีชน  •  ผู้เอาประกันต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ประกันภัยทันทีที่เกิดเหตุ  •  การแจ้งเคลมต้องทำในสถานที่เกิดเหตุและต่อหน้าคู่กรณีเท่านั้น  •  ประกันของคู่กรณีจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าเสียหายความคุ้มครองนี้มีข้อจำกัดสำคัญคือ ไม่คุ้มครองกรณีที่ไม่มีคู่กรณีเป็นยานพาหนะทางบก เช่น การชนฟุตบาท เสา รั้วบ้าน ต้นไม้ หรือกรณีหินกระเด็นใส่รถ ในกรณีเหล่านี้ ผู้เอาประกันต้องรับผิดชอบค่าเสียหายเองค่ารักษาพยาบาลประกันรถยนต์ ชั้น 3 ให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ประสบอุบัติเหตุทั้งฝ่ายผู้เอาประกันและคู่กรณี รวมถึงผู้โดยสารในรถทั้งสองฝ่าย โดยทั่วไป วงเงินคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจะอยู่ที่ประมาณ 50,000 - 200,000 บาทต่อคน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบริษัทประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล นอกจากค่ารักษาพยาบาลแล้ว ประกันรถยนต์ ชั้น 3 ยังให้ความคุ้มครองกรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพถาวร อันเนื่องมาจากอุบัติเหตุรถยนต์ โดยทั่วไปวงเงินคุ้มครองจะอยู่ที่ประมาณ 100,000 - 500,000 บาทต่อคน ความคุ้มครองนี้ครอบคลุมผู้ขับขี่และผู้โดยสารในรถยนต์คันเอาประกัน รวมทั้งบุคคลภายนอกที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุประกันตัวผู้ขับขี่ประกันรถยนต์ ชั้น 3 มีบริการประกันตัวผู้ขับขี่ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุและถูกดำเนินคดี โดยบริษัทประกันจะจัดหาทนายความมาดำเนินการต่อสู้คดีให้ และวางเงินประกันตัวหากจำเป็น วงเงินประกันตัวโดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 200,000 - 500,000 บาทต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบริษัทประกันประกันรถยนต์ชั้น 3 เหมาะกับรถแบบไหนการตัดสินใจว่าประกันรถยนต์ ชั้น 3 เหมาะกับรถของคุณหรือไม่ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วยกัน มาดูกันว่าลักษณะของรถและผู้ขับขี่ที่เหมาะกับการทำประกันรถยนต์ ชั้น 3 ควรเป็นแบบไหน  •  รถยนต์ที่มีอายุการใช้งานมาก รถที่มีอายุมากกว่า 7 ปีขึ้นไป หรือรถที่มีมูลค่าตลาดไม่สูงมาก  •  รถที่ใช้งานน้อย รถที่ใช้เฉพาะในวันหยุดหรือรถที่มีระยะทางการใช้งานต่อปีไม่มาก  •  รถที่จอดในที่ปลอดภัย รถที่มีที่จอดส่วนตัวหรือที่จอดที่มีระบบรักษาความปลอดภัยดี รถที่มีความเสี่ยงต่ำในการถูกโจรกรรมหรือเกิดอุบัติเหตุ  •  ผู้ขับขี่ที่มีประสบการณ์ ผู้ที่ขับรถมานานและมีความชำนาญ ผู้ที่มีประวัติการขับขี่ที่ดี ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง  •  รถที่ไม่ได้ติดตั้งแก๊ส รถที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงหลัก เนื่องจากรถติดแก๊สมีความเสี่ยงด้านอัคคีภัยสูงกว่า  •  ผู้ที่ต้องการประกันราคาประหยัด เหมาะสำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัดในการทำประกัน ผู้ที่ต้องการความคุ้มครองขั้นพื้นฐานโดยเน้นความรับผิดต่อบุคคลภายนอก  •  รถที่ไม่ได้ใช้เพื่อการพาณิชย์ รถส่วนบุคคลที่ไม่ได้ใช้รับจ้างหรือขนส่งสินค้า รถที่ไม่ได้มีการใช้งานหนักหรือเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุสูง  •  ผู้ที่มีความระมัดระวังในการขับขี่สูง ผู้ที่ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด ผู้ที่มักขับรถในเส้นทางที่คุ้นเคยและมีความเสี่ยงต่ำ  •  ผู้ที่มีประกันภัยอื่น ๆ เสริม ผู้ที่มีประกันสุขภาพหรือประกันชีวิตที่ครอบคลุมอยู่แล้วอย่างไรก็ตาม แม้ว่ารถของคุณจะเข้าข่ายลักษณะข้างต้น แต่การตัดสินใจทำประกันรถยนต์ ชั้น 3 ควรพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น สภาพการจราจรในพื้นที่ที่คุณขับรถเป็นประจำ ความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติในพื้นที่ และความสามารถในการรับภาระค่าซ่อมรถหากเกิดอุบัติเหตุประกันรถยนต์ ชั้น 3 INSURE ประกันรถที่เหมาะสำหรับคุณประกันรถยนต์ ชั้น 3 เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองขั้นพื้นฐานในราคาประหยัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับรถที่มีอายุการใช้งานมาก หรือผู้ที่ใช้รถไม่บ่อยนัก อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเลือกทำประกันประเภทนี้ควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบคอบแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับสยามรัฐออนไลน์https://www.siamrath.co.th/n/562094

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

CURU Gallery เชิญร่วมเปิดประสบการณ์ นิทรรศการ "Colors" ครั้งแรกในประเทศไทย ของสองศิลปินระดับโลก

24/09/2024

CURU Gallery ขอเชิญทุกท่านร่วมสัมผัสประสบการณ์ทางศิลปะที่ไม่เหมือนใครกับนิทรรศการ "Colors" ครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งเป็นการรวมตัวของสองศิลปินระดับแนวหน้า ได้แก่ Yuta Okuda(โอคุดะ ยูตะ) จากญี่ปุ่น และ Muebon ศิลปินสตรีทอาร์ตชาวไทย จาก Sanctuary Gallery นิทรรศการนี้เป็นการเดินทางผ่านสีสันและความคิดสร้างสรรค์ที่สะท้อนอารมณ์และเรื่องราวที่แตกต่างกันของศิลปินทั้งสอง Yuta Okuda ถ่ายทอดความรู้สึกละเอียดอ่อนผ่านภาพดอกไม้ที่เต็มไปด้วยความหมาย ในขณะที่ Muebon นำเสนองานศิลปะสตรีทที่ท้าทายกรอบความคิดเดิม ๆ ของสังคมเมือง ผสมผสานการวิพากษ์วิจารณ์ทุนนิยมและความเป็นเมืองสมัยใหม่ เข้าชมผลงานของทั้ง2ศิลปินได้ตั้งแต่วันนี้จนถึง 20 ตุลาคม 2567 ที่ CURU Gallery, Warehouse 30Yuta Okuda (โอคุดะ ยูตะ): "With Gratitude"“งานแสดงนี้เป็นงานแสดงแรกที่ไทย ซึ่งเป็นงานดอกไม้ที่แสดงตัวตนของผมผ่านซีรีส์“With Gratitude” ซีรีส์นี้จะวาดด้วยธีม ความรู้สึกขอบคุณ (หรือซาบซึ้ง) เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมาทำให้รู้สึกได้ว่าเราไม่สามารถทำในสิ่งที่อยากทำได้อย่างเคย เพราะฉะนั้นจึงรู้สึกขอบคุณสิ่งที่มีอยู่ตอนนี้ที่ทำให้รู้สึกว่าสามารถใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและมองไปข้างหน้าได้โดยจะส่งผ่านความรู้สึกเหล่านั้นผ่านภาพช่อดอกไม้ครับ หวังว่าทุกคนจะรู้สึกดีและสดชื่นขึ้นหลังจากได้มายืนอยู่ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้ และได้รับการโอบกอดจากสีสันอันหลากหลายเหล่านี้นะครับ” โอคุดะ ยูตะ กล่าวMuebon (มือบอญ): การสะท้อนของสังคมและทุนนิยมผ่าน "Mori"ทางด้าน Muebon หรือ "มือบอญ" ศิลปินสตรีทอาร์ตชาวไทย ได้นำเสนองานใหม่ที่สะท้อนประสบการณ์การใช้ชีวิตในนิวยอร์กซิตี้ โดยผ่านตัวละครไอคอนของเขา Mori เขาใช้ภาพโฆษณาที่พบเจอในชีวิตประจำวันมาสร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่วิพากษ์สังคมทุนนิยม เมื่อเป็นเด็ก Muebon ใฝ่ฝันถึงสิ่งต่าง ๆ เช่น น้ำอัดลมยี่ห้อดัง ที่พบในโฆษณาทั่วไป แต่ต่อมาก็ตระหนักได้ว่าข้อความทางการค้าที่แฝงในพื้นที่สาธารณะเหล่านี้ได้หล่อหลอมให้เกิดเป็นคาแร็กเตอร์ของ Mori และสะท้อนมุมมองเขาที่มุ่งมั่นในการใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือ คล้ายกับโฆษณาเหล่านั้น เพื่อส่งเสริมให้ผู้คนฉุกคิด ตั้งคำถาม และสะท้อนเกี่ยวกับชีวิตและชุมชน มากกว่าการเป็นเพียงผู้บริโภคธรรมดาเพียงเท่านั้น“การใช้ชีวิตในนิวยอร์กทำให้ผมเห็นวัฒนธรรมเมืองที่ผสมผสานกันอย่างซับซ้อน ผมใช้การตัดและซ้อนทับภาพโฆษณาเหล่านั้นเพื่อสะท้อนประวัติศาสตร์และวิพากษ์ธุรกิจการค้าที่รายล้อม และอาจครอบงำอยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคน” มือบอญ กล่าวซีรีส์ของมือบอญเปลี่ยนสัญลักษณ์ของทุนนิยมให้กลายเป็นสตรีทอาร์ตที่เต็มไปด้วยสีสันสดใส สะท้อนความเป็นเมืองและสังคม รวมถึงแรงบันดาลใจที่เขาได้รับจากนิวยอร์กซิตี้นิทรรศการ "Colors" นำเสนอผลงานศิลปะร่วมสมัยที่ไม่เพียงแค่สวยงาม แต่ยังกระตุ้นความคิดและเปิดมุมมองใหม่ให้กับผู้ชมร่วมสัมผัสประสบการณ์ศิลปะกับ Sanctuary Gallery สามารถเข้าชมผลงานของทั้ง2ศิลปินได้ ตั้งแต่วันนี้จนถึง 20 ตุลาคม 2567 ที่ CURU Gallery, Warehouse 30แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/entertainment/detail/9670000089235

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

“Macka Democracy Park” สวนสาธารณะโบราณ ที่กลายเป็น “สวนแมวเหมียว” แห่งอิสตันบูล

24/09/2024

สวนสาธารณะ Maçka Democracy Park เป็นหนึ่งในสวนสาธารณะขนาดใหญ่และได้รับความนิยมในอิสตันบูล ประเทศตุรกี (ทูร์เคีย) มีผู้มาเยี่ยมชมทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว ตั้งอยู่ในหุบเขา Dolmabahçe ระหว่างย่าน Maçka กับ Nişantaşıภาพ: สำนักข่าวซินหัวสวนสาธารณะแห่งนี้เป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจที่มีเส้นทางเดิน สนามเด็กเล่น สิ่งอำนวยความสะดวก พื้นที่สำหรับเล่นกีฬา และพื้นที่ปิกนิกท่ามกลางความเขียวขจีของต้นไม้และพืชพันธุ์ต่างๆ มากมายภาพ: สำนักข่าวซินหัวสวนเป็นส่วนหนึ่งของสวนพระราชวัง Dolmabahçe และแยกออกจากสวนที่เคยใช้เป็นสวนสาธารณะในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ได้รับการตั้งชื่อว่า Maçka Park ซึ่งหมายถึงผู้คนจากภูมิภาคทะเลดำที่ถูกส่งไปยังกรุงคอนสแตนติโนเปิล ไม่นานหลังจากที่สุลต่านมาห์เหม็ดที่สอง พิชิตภูมิภาคนี้ในปี ค.ศ. 1461 ชื่อสวนแห่งนี้ยังคงใช้ชื่อว่า Maçka Park จนกระทั่งปี ค.ศ.1993 เมื่อมีการปรับปรุงและเปลี่ยนชื่อเป็น Maçka Democracy Parkภาพ: สำนักข่าวซินหัวสวน Maçka Demokrasi เปิดทุกวันตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงดึกดื่น และไม่เสียค่าเข้าชม หนึ่งในจุดเด่นของสวนแห่ง คือ การเป็นแหล่งอาศัยของเจ้าสัตว์ประจำถิ่นกรุงอิสตันบูล นั่นคือ บรรดาแมวเหมียวทั้งหลาย จนทำให้เป็นสวนที่เต็มไปด้วยแมว และมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “สวนแมวเหมียว”ภาพ: สำนักข่าวซินหัวภาพ: สำนักข่าวซินหัวแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000088965

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

การวางแผนทางการเงิน

แผนการเงินที่ดีต้องมีการทบทวน

19/09/2024

บทความโดย “สมาคมนักวางแผนการเงินไทย”ในการวางแผนการเงินไม่ว่าจะเพื่อเป้าหมายใดก็ตาม สิ่งสำคัญที่จะทำให้สำเร็จนั้นคือการมีวินัยและทำให้ได้ตามแผน และมีสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าการทำตามแผนคือการ “ทบทวน” และ “ปรับปรุง” แผนการเงินของตัวเองด้วย เพราะเมื่อเวลาผ่านไปสถานการณ์ชีวิตหรือเป้าหมายอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ที่ทำให้จำเป็นต้องทบทวนและปรับปรุงแผนการเงิน แบ่งได้เป็น 2 สถานการณ์ คือ– การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ส่วนตัว เช่น ช่วงชีวิตที่เปลี่ยนไปอาจมีความต้องการใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นจากแผนที่เคยวางไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง รถ บ้าน หรือแม้กระทั่ง การแต่งงานมีครอบครัว การมีบุตร การลาออกจากงาน การเจ็บป่วย ในบางครั้งการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ส่วนตัวอาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่อาจต้องมีการปรับเปลี่ยนเป้าหมาย เช่น เปลี่ยนเวลาเกษียณจากเดิมตอนอายุ 60 ปีเป็นอายุ 50 ปี ซึ่งทำให้ต้องมีการทบทวนแผนเดิม– การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ภายนอก ซึ่งอยู่เหนือการควบคุมของเรา เช่น สถานการณ์เศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลง ส่งผลถึงการลงทุน การปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้ได้ผลตอบแทนไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง การเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ ไม่ว่าจะเป็น หลักเกณฑ์เกี่ยวข้องกับภาษี กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับตราสารการเงินการทบทวนแผนจึงเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง โดยทบทวนเป้าหมายเดิมว่ายังคงเป็นไปตามแผนที่เคยวางไว้หรือไม่ หรือเราอาจจะมีเป้าหมายใหม่ขึ้นมา ก็พิจารณาทบทวนกับแผนเก่าว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ เพื่อให้สอดคล้องตามสถานการณ์ต่าง ๆ โดยสิ่งที่ควรทบทวน ได้แก่– ความเป็นไปของชีวิตและข้อมูลทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็น เรื่องการงาน เรื่องสุขภาพ และเรื่องครอบครัวก็เช่นกัน ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เพราะจะส่งผลต่อการใช้เงินทั้งหมด ส่วนเรื่องข้อมูลทางการเงิน เช่น สินทรัพย์ หนี้สิน ก็ควรอัปเดตข้อมูลให้เป็นปัจจุบันที่สุด– ผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นการทบทวนผลตอบแทนในการลงทุนต่าง ๆ ว่าเป็นอย่างไร ต้องมีการปรับสัดส่วนการลงทุน (Portfolio Rebalancing) หรือไม่ เพื่อให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้– การคุ้มครองความเสี่ยง ประเมินว่าการคุ้มครองต่าง ๆ นั้นเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่หรือไม่ มีภาระการเงิน หรือความเสี่ยงอื่น ๆ เพิ่มเติมหรือไม่ หากประเมินแล้วว่าไม่เพียงพอ ก็อาจจะต้องพิจารณาทำประกันเพิ่ม หรือในทางตรงกันข้าม หากภาระการเงินลดลงมากแล้ว ก็อาจจะพิจารณาลดหรือหยุดความคุ้มครองของบางกรมธรรม์ เพื่อประหยัดรายจ่ายค่าเบี้ยประกันการทบทวนและปรับแผนการเงินจะทำให้มั่นใจได้ว่า เมื่อสถานการณ์ในชีวิตเปลี่ยนแปลงไป จะยังคงสามารถทำให้เป้าหมายและความต้องการเป็นจริงได้ในที่สุดแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1652929

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

สุขภาพ

"น้องเอวา" ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย เสียชีวิตแล้ว เปิดข้อความสุดเศร้าจาก "แม่เมย์"

19/09/2024

สุดเศร้า "แม่เมย์" แจ้งข่าว "น้องเอวา" ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย เสียชีวิตแล้ว พร้อมแจ้งกำหนดการพิธีรดน้ำศพและสวดอภิธรรม ขณะที่โลกออนไลน์แห่คอมเมนต์แสดงความอาลัยจากกรณี คลิปบีบหัวใจที่ทำเอาคนพบเห็นเศร้าใจจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่กันเป็นจำนวนมาก สำหรับผู้ใช้บัญชีติ๊กต็อกที่ชื่อว่า "แม่เมย์แม่น้องเอวา" ซึ่งคุณแม่มักโพสต์คลิปลูกสาววัย 11 ปี ที่กำลังต่อสู้กับโรคมะเร็งระยะสุดท้าย กระทั่งเมื่อช่วงวันที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา คุณแม่ได้โพสต์ขอยุติการรักษาทุกอย่าง เพราะไม่อยากให้ลูกเจ็บปวดทรมานอีกแล้ว ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้นล่าสุด วันที่ 19 ก.ย. 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า "คุณแม่น้องเอวา" ได้โพสต์แจ้งข่าวเศร้าผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมภาพจับมือลูกสาว โดยระบุข้อความว่า "เดินทางไปรอแม่ที่ดาวก่อนนะลูก เดินไปตามทางสวนดอกไม้สวย ๆ ไม่เจ็บปวด ไม่ทรมานอีกแล้ว ลืมมันไปให้หมดเลยนะลูก ทิ้งความเจ็บปวดไว้ในชาตินี้ให้หมด พอแล้ว เกิดมาใหม่ขอให้หนูร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บนะ รักสุดหัวใจน้องเอวา"ทั้งนี้ หลังโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไปก็มีคนเข้ามาคอมเมนต์แสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก อาทิ ไม่เจ็บไม่ทรมานแล้วลูก ไปเป็นนางฟ้าตัวน้อย ๆ สู้จนสุดทางแล้ว เก่งมาก ๆ แล้วลูก, หลับพักผ่อนนะคะ น้องเอวา ไม่เจ็บไม่ปวดแล้ว ขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ แม่เมย์, เสียใจด้วยนะคะ, ขอแสดงความเสียใจด้วยจ้าหนู พักผ่อนนะลูก เป็นต้นต่อมา คุณแม่น้องเอวาได้โพสต์ข้อความกำหนดการพิธีรดน้ำศพและสวดอภิธรรม ด.ญ.ภัทรศยา กลิ่นขำ (น้องเอวา) ดังนี้วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน 2567เวลา 15.00 น. พิธีรดน้ำศพเวลา 19.30 น. สวดพระอภิธรรมวันศุกร์ที่ 20 กันยายน 2567เวลา 19.30 น. สวดพระอภิธรรมวันเสาร์ที่ 21 กันยายน 2567เวลา 19.30 น. สวดพระอภิธรรมวันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน 2567เวลา 15.00 น. พิธีฌาปนกิจ ณ วัดสระแท่น ต.นาดี อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี.ขอบคุณเฟซบุ๊ก Natsuda Klinkhamแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/news/society/2815244

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

"ก้องกาน" ชวนคุณสำรวจความฝัน ความหวัง และบทสนทนาภายในจิตใจ

19/09/2024

เตรียมพบกับการเดินทางสู่โลกแห่งจินตนาการและความฝันในแบบที่คุณไม่เคยสัมผัสมาก่อน! พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย MOCA BANGKOK ร่วมกับ Tang Contemporary Art ภูมิใจนำเสนอ "No Heart Here" นิทรรศการเดี่ยวสุดพิเศษของศิลปินไทยชื่อดัง กันตภณ เมธีกุล หรือที่รู้จักกันในนาม ก้องกาน นิทรรศการที่จะพาผู้ชมเข้าสู่โลกที่ผสมผสานระหว่างความจริงและจินตนาการ สำรวจความคิดลึกซึ้งผ่านศิลปะที่สร้างแรงบันดาลใจอย่างไม่มีขีดจำกัด สะท้อนถึงชีวิตสมัยใหม่ที่ซับซ้อนผ่านมุมมองของศิลปะเหนือจริง เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน ถึง 27 ตุลาคม 2567 ณ MOCA BANGKOK"No Heart Here" เป็นการเล่าเรื่องราวของการสำรวจภายในจิตใจ ผ่านการผสมผสานระหว่างสิ่งที่คุ้นเคย เช่น ทุ่งหญ้า ท้องฟ้า และสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง กับภาพลวงตาที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ซึ่งทำให้ผู้ชมตั้งคำถามถึงความเชื่อมโยงระหว่างร่างกาย จิตใจ และการสนทนาภายในที่อาจไม่เคยถูกเปิดเผย ผลงานของก้องกานในนิทรรศการนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปินระดับโลกอย่าง เรอเน มากริต ที่ชวนให้ผู้ชมสำรวจความลึกซึ้งทางอารมณ์และจิตใจด้วยวิธีที่น่าทึ่งและน่าติดตามในนิทรรศการนี้ ผู้ชมจะได้สัมผัสกับการเดินทางผ่าน โซนต่าง ๆ ที่ก้องกานรังสรรค์ขึ้นมาเพื่อท้าทายความคิดและการรับรู้ของผู้ชมทุกคนPainting Roomในโซน "Painting Room" ผู้ชมจะได้พบกับภาพวาดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะเหนือจริงของเรอเน มากริต โดยการสร้างความขัดแย้งระหว่างวัตถุที่ไม่เกี่ยวข้องกัน นำเสนอเรื่องราวเชิงบทกวีที่มีความลึกซึ้งและจับใจ ก้องกานยังได้นำแนวคิดจากการ์ตูนโทรทัศน์ในยุค 90 และประสบการณ์ส่วนตัวในนิวยอร์กและกรุงเทพฯ มาผสมผสานกับการเล่าเรื่อง ทำให้ผลงานของเขามีความทันสมัยและเข้าใจง่าย แต่ก็ยังคงความลึกซึ้งที่ปลอบประโลมและท้าทายความคิดMaze of Dreams (วงกตแห่งภาพฝัน)โซนนี้เป็นเสมือนวงกตแห่งความทรงจำ ที่สะท้อนถึงความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ โดยแต่ละห้องในวงกตนี้จะแสดงให้เห็นความทรงจำที่ก้องกานเก็บบันทึกไว้ ซึ่งบางครั้งก็เป็นสิ่งที่ดักขังเราไว้ในอดีต ขัดขวางไม่ให้เราเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง นิทรรศการนี้เชิญชวนผู้ชมให้ค้นหาทางออกเพื่อปลดปล่อยตัวเองจากความทรงจำที่กักขังไว้After the Rain (ฟ้าหลังฝน)ด้วยแนวคิดที่ว่า "ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ" ผลงานชิ้นนี้เป็นการแสดงออกถึงความหวังและพลังบวกที่มักเกิดขึ้นหลังจากพายุแห่งชีวิตผ่านพ้นไป ในชิ้นงานศิลปะจัดวางนี้ ผู้ชมจะได้สัมผัสถึงความสำคัญของความหวังและความเชื่อมั่นในปาฏิหาริย์ที่อยู่ในใจเรา เมื่อเผชิญกับความท้าทายจะมีทางออกและอนาคตที่สดใสรออยู่เสมอLet it Goเมื่อเราเติบโตขึ้น มักจะสะสมความคิดและความลับไว้ในใจ ยิ่งเวลาผ่านไป การแบกรับเหล่านี้ยิ่งกลายเป็นภาระหนักอึ้ง ผลงาน Let it Go สะท้อนถึงการปล่อยวางและการละทิ้งสิ่งที่ไม่จำเป็นในจิตใจ เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับประสบการณ์ใหม่ ๆ และโอกาสที่ดีกว่าในอนาคตผลงานของก้องกานมีเสน่ห์ทั้งในด้านความสวยงามและการท้าทายความคิด ด้วยลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์ ตัวละครที่เราเห็นบ่อย ๆ ในผลงานของเขา เช่น เด็กชายและหลุมดำที่ฝังผืนผ้าใบเล็ก ๆ อยู่ภายใน ได้กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่ทำให้ผู้ชมตั้งคำถามถึงความจริงและจินตนาการ…รายละเอียดนิทรรศการ:  •  ชื่อนิทรรศการ: No Heart Here โดยก้องกาน  •  วันที่: 14 กันยายน – 27 ตุลาคม 2567  •  สถานที่: MOCA BANGKOK  •  เวลาเปิดทำการ: วันอังคาร – วันอาทิตย์, 10:00 น. – 18:00 น. (ปิดวันจันทร์)  •  ค่าบัตรเข้าชม: ผู้ใหญ่ 180 บาท, นักเรียนที่มีบัตรนักศึกษา 100 บาท, เด็กสูงต่ำกว่า 100 เซนติเมตร เข้าชมฟรีMOCA BANGKOK และ Tang Contemporary Art ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานเปิดตัวนิทรรศการ "No Heart Here" พร้อมโอกาสสุดพิเศษที่จะได้พบกับก้องกาน ในวันที่ 14 กันยายน 2567 เวลา 16.00 น.เกี่ยวกับ ก้องกานกันตภณ เมธีกุล หรือที่รู้จักกันในนาม ก้องกาน เป็นศิลปินไทยที่สำรวจศิลปะเหนือจริงและชีวิตสมัยใหม่ ผลงานของเขาได้รับการยอมรับในระดับสากลจากนิทรรศการที่จัดแสดงในแกลเลอรีและพิพิธภัณฑ์ชั้นนำทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นนิวยอร์ก ปารีส โซล ปักกิ่ง และกรุงเทพฯติดตามข่าวสารและข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MOCA BANGKOK ได้ที่:  •  Website: www.mocabangkok.com   •  Facebook: www.facebook.com/mocabangkok   •  Instagram: www.Instagram.com/mocabangkok   •  Tiktok: https://www.tiktok.com/@mocabangkok?lang=en สำหรับการนัดหมายเข้าชมในวันอื่นๆ  และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสื่อมวลชนกรุณาติดต่อทีมประชาสัมพันธ์: ชม พีอาร์พนิตพิชา คงสังข์ โทร 063-1913667 อีเมล ked@chom-co.com ฌานิศ พึ่งใจ โทร 081 558 6001 อีเมล chanis1@chom-co.com แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1449155/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

ตื่นตา แรลลี่ “Gumball 3000” นำทัพซูเปอร์คาร์สุดหรูระดับโลกกว่า 120 คัน อวดโฉมหน้า “เซ็นทรัลเวิลด์”

19/09/2024

Gumball 3000 จัดแรลลี่ฉลอง 25 ปี นำซูเปอร์คาร์สุดหรูจากทั่วโลกกว่า 120 คัน เคลื่อนทัพบุกกรุงเทพฯ อวดโฉมหน้า “เซ็นทรัลเวิลด์” ก่อนผ่านไทยสู่สิงคโปร์ โดยแรลลี่ครั้งนี้สร้างสถิติโลกใหม่ใน Guinness Book of Records สำหรับการจัดแสดงซูเปอร์คาร์ที่ใหญ่ที่สุด“Gumball 3000” ฉลองครบรอบ 25 ปี จัดแรลลี่การกุศลระดับโลก นำคนดังขับเคลื่อนซูเปอร์คาร์สุดหรูระดับโลกกว่า 120 คัน ในเส้นทาง “Saigon to Singapore” บนระยะทาง 3,000 กม. เวลา 6 วัน 5 ประเทศ ตั้งแต่ 14-22 กันยายน 2567แรลลี่ Gumball 3000 เริ่มต้นจากไซง่อน (โฮจิมินห์ซิตี) เวียดนาม ผ่านกัมพูชา ไทย มาเลเซีย สิ้นสุดที่สิงคโปร์( **ไซง่อน - พนมเปญ - เสียมราฐ - นครวัด - กรุงเทพฯ - กระบี่ - กัวลาลัมเปอร์ - สิงคโปร์**) เพื่อร่วมงาน F1 พร้อมจัดงานเทศกาลรถยนต์ ดนตรี และงานเฉลิมฉลองในทุกประเทศสำหรับแรลลี่ Gumball 3000 ขบวนรถได้วิ่งเข้าสู่ประเทศไทย ที่จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ในวันที่ 17 กันยายน 2567 จากนั้นขบวนได้มุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ เพื่อทำกิจกรรม Public Event อย่างยิ่งใหญ่ในเวลา 19.00-22.00 น. ณ ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์โดยงานนี้ได้รวมซูเปอร์คาร์สุดหรูมูลค่ามากที่สุดในโลกไว้ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็น Rolls Royce Silver Shadow, Ferrari 812 GTS, Ferrari 812 Competizione, Ferrari F8 Spider⁠, Ferrari 575M, Maranello F1 เรียกได้ว่าเป็นการรวมรถ Ferrari ที่มีเครื่องยนต์หลากหลายมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา, Lamborghini และครั้งแรกที่จะได้เห็น Tesla Cyber Truck วิ่งบนท้องถนนกรุงเทพนอกจากนี้ประชาชนที่มาร่วมงานยังได้ร่วมยลโฉมสุดยอดยนตรกรรมระดับโลก Lamborghini 2 รุ่นสุดแรร์ ได้แก่ Revuelto และ Diablo การผสมผสานที่ลงตัวของสมรรถนะ และเทคโนโลยีสุดล้ำบนตำนานกระทิงดุ มูลค่ารวมหลายร้อยล้านบาทหลังจากนั้น แรลลี่ Gumball 3000 ได้เดินทางสู่จังหวัดกระบี่ในวันที่ 18 กันยายน และร่วมการแข่งขันฟุตบอล Freestyle Football Charity ณ เกาะปันหยี จังหวัดพังงา ในวันที่ 19 กันยายน ก่อนจะเดินทางไปยังจังหวัดสตูลในวันที่ 20 กันยายน เพื่อข้ามแดนสู่ประเทศมาเลเซีย และไปปิดท้ายที่สิงคโปร์สำหรับ Gumball 3000 เป็นอีกหนึ่งงานที่สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว ที่ผสานแรลลี่แข่งรถให้เข้ากับการท่องเที่ยว วัฒนธรรม อีกทั้งยังเป็นการกระจายรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่น และช่วยขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจของเมืองที่ขบวน Gumball 3000 วิ่งผ่านได้เป็นอย่างดีแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000087500

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X