Everyday knowledge for you
การวางแผนทางการเงิน
14/01/2025
โดย : วาณิชชา สายเสมารายได้ที่เพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการชำระหนี้สิน การลงทุนต่อยอด ไปจนถึงเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินและการออมเงินเพื่อการเกษียณอายุ แต่คุณเคยสังเกตไหมว่าเมื่อมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ทำไมเงินเก็บของคุณในบัญชีธนาคารกลับไม่เติบโตขึ้นอย่างที่คาดหวังไว้ และบางครั้งกลับกลายเป็นว่าต้องจ่ายเงินมากขึ้นตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “Lifestyle InflationLifestyle Inflation คืออะไรแนวทางการใช้จ่ายที่คุณมีรายได้เพิ่มมากขึ้น แต่รายจ่ายก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย เรียกว่า “Lifestyle Inflation” ซึ่งความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจากความรู้สึกที่ว่าคุณมีอำนาจในการใช้จ่ายมากขึ้น เช่น การกินอาหารในร้านที่หรูหรามากขึ้น การเปลี่ยนมาใช้เครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์แทนดรักสโตร์แบรนด์ ไปจนถึงการซื้อรถยนต์และการขยับขยายที่อยู่อาศัยให้มีความกว้างขวาง และสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว แน่นอนว่าบางสิ่งก็เป็นจำเป็นในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคุณให้ดีขึ้น รวมถึงการให้รางวัลตัวเอง หลังจากที่ต้องเหน็ดเหนื่อยทุ่มเทกับการทำงานกว่าประสบความสำเร็จด้านรายได้ แต่หลายครั้งก็ต้องยอมรับว่าสิ่งของบางอย่างก็จัดอยู่ในหมวดฟุ่มเฟือยและอาจไม่ได้จำเป็นกับชีวิตมากนัก แม้ว่าคุณจะสามารถจ่ายได้ก็ตามแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณติดกับดักขวางทางรวยอย่าง Lifestyle Inflation เข้าแล้วหรือยัง ? สิ่งที่จะพิจารณาได้ง่าย ๆ คือคุณยังใช้เงินแบบเดือนชนเดือนอยู่หรือไม่ จ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิตตลอดเวลาหรือเปล่า ท้ายสุดถ้าคุณหยุดทำงานในวันนี้ คุณจะยังสามารถซื้อสิ่งของที่คุณเคยซื้อได้หรือไม่ หากคำตอบคือ “ไม่” คุณอาจต้องหันกลับมาโฟกัสกับเป้าหมายทางการเงินให้หนักแน่นขึ้น โดยเฉพาะเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินและการออมเงินเพื่อการเกษียณอายุไม่อยากติดกับ Lifestyle Inflationอันดับแรกต้องเข้าใจก่อนว่า Lifestyle Inflation สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน หรือไต่ระดับขึ้นมาจนมีตำแหน่งสูงและรายได้ที่มากขึ้นแล้ว ดังนั้นเพื่อให้หลุดพ้นจากกับดักนี้อย่างยั่งยืน ความรู้ที่ถูกต้องและการวางแผนทางการเงินที่ดีจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ซึ่งแน่นอนว่าขั้นตอนพื้นฐานที่สุดคือการสร้างวินัยทางการเงินอย่าง “การเก็บก่อนใช้” โดยเมื่อมีรายได้เข้ามาก็ให้แบ่งเงินเป็นสัดส่วนตามความจำเป็นและการใช้งาน เช่น 50 / 30 / 20 โดย 50% คือค่าใช้จ่ายจำเป็น 30% คือค่าใช้จ่ายเพื่อสร้างความสุขให้กับตัวเอง และ 20% คือการเก็บออมเงินถัดมาคือ “การทำบัญชีรายรับรายจ่าย” ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม แต่สิ่งนี้จะทำให้คุณมองเห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น ว่าคุณกำลังใช้จ่ายอยู่กับอะไรบ้าง ของสิ่งนั้นมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน หากเป็นของชิ้นใหญ่ ของราคาสูง หรืออสังหาริมทรัพย์ที่ต้องมีการผ่อนจ่ายระยะยาว นอกจากจะต้องประเมินความจำเป็นในการใช้งานอย่างถี่ถ้วนแล้ว คุณอาจจะต้อง “ทดลองเก็บเงินทุกเดือนเท่ายอดผ่อนชำระต่อเดือน” เพื่อเป็นการลองสนามก่อนว่าคุณสามารถปรับตัวกับค่าใช้จ่ายตรงนี้ได้อย่างไม่ติดขัด ก่อนจะข้ามขั้นไปสร้างรายจ่ายระยะยาวจริง ๆ ในแบบที่ถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว แม้ว่าสินค้าบางอย่างจะเป็นการผ่อน 0% นาน 48 เดือนก็ตามท้ายที่สุดคือ “หยุดเป็นหนี้บัตรเครดิต” และควร “จ่ายบัตรเครดิตในจำนวนเต็มทุกครั้ง” เพราะประโยชน์ที่แท้จริงของการใช้งานบัตรเครดิต คือสิทธิพิเศษในระยะปลอดดอกเบี้ย ไปจนถึงคะแนนสะสม ส่วนลดสินค้าพิเศษสำหรับผู้ถือบัตร และการแลกไมล์สะสมเพื่อการเดินทาง ทั้งนี้ ใครที่กลัวหักห้ามใจใช้จ่ายเกินตัวไม่ได้ การไม่ใช้บัตรเครดิตเลยอาจเป็นทางออกที่ดีที่สุด ส่วนความกังวลเรื่องการชำระค่าบริการดิจิทัลต่าง ๆ ที่ต้องชำระผ่านบัตรเครดิตนั้น ปัจจุบัน ก็มีทางเลือกเป็นบัตรเดบิตหรือดิจิทัลวอลเล็ตหลากหลายเจ้า ที่ให้บริการชำระค่าสตรีมมิง ซึ่งสามารถใช้ทดแทนบัตรเครดิตได้Lifestyle Inflation ในแบบที่มีรายจ่ายสูงขึ้นตามรายได้ เพราะมีเป้าหมายในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น หรือให้รางวัลกับการทำงานหนักของตัวเองไม่ใช่เรื่องที่ผิด ขอเพียงคุณคิดอย่างรอบคอบ ใช้จ่ายอย่างเข้าใจ และสะสมเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญลำดับต้น ๆ ให้พร้อมก่อน การยกระดับคุณภาพชีวิตขึ้นตามรายได้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดเลยแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ amarintvhttps://www.amarintv.com/spotlight/finance/503411
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
14/01/2025
ชวนไปเสพงานศิลปะที่ผสมผสานกับเทคโนโลยีดิจิตัล ออกมาเป็นอาร์ตมิวเซียมสุดตื่นตาด้วยแสง สี เสียง และกลิ่น “Arte Museum Yeosu” แห่งเมืองยอซู ประเทศเกาหลีใต้FlowerBeach Cloudใครเป็นคอศิลปะ หรือรักการไปชมผลงานศิลปะในรูปแบบต่างๆ บอกเลยว่าต้องห้ามพลาดที่นี่ เพราะมีความน่าสนใจตรงที่เป็นการผสมผสานงานศิลปะเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ๆ จนกลายมาเป็นอาร์ตมิวเซียมสุดตื่นตาที่นี่คือ “Arte Museum Yeosu” ตั้งอยู่ในเมืองยอซู ประเทศเกาหลีใต้ โดยอยู่ในพื้นที่ของ Yeosu Expo Convention Center สถานที่จัดประชุม World Expo 2012 และเป็นศูนย์ประชุมขนาดใหญ่ มีทั้งห้องจัดนิทรรศการ ห้องประชุม สัมมนา ห้องประชุมขนาดเล็ก สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ครบครัน รวมไปถึงความสะดวกในการเดินทาง ด้วยการมีสถานี KTX หรือสถานีรถไฟความเร็วสูง ตั้งอยู่ด้านหน้าศูนย์ประชุมLost TubeLive Sketch Bookสำหรับ “Arte Museum Yeosu” นิทรรศการศิลปะในรูปแบบมีเดียอาร์ต ใช้เทคนิคมัลติมีเดียผสมผสานงานศิลปะจนออกมาเป็นผลงานสุดสร้างสรรค์ โดยที่นี่เป็น Arte Museum ลำดับที่ 2 ในเกาหลีใต้ ถัดจากเกาะเชจู ตามมาด้วย คังนึง และล่าสุดที่ ปูซานArte Museum Yeosu นำเสนอในธีมหลักคือ “มหาสมุทร” ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงทะเลและภูมิทัศน์ทางธรรมชาติของเมืองยอซู ภายในพื้นที่ 1,400 ตารางเมตร โดยแบ่งออกเป็น 12 โซน ได้แก่Flower – พบกับดอกคามิเลีย ดอกไม้แห่งความรักและวงจรแห่งชีวิต ดอกคามิเลียจะเบ่งบานเมื่ออากาศเย็นลง แม้จะไม่มีกลิ่นหอม แต่สีสันความสดใสของดอกไม้ก็ช่วยดึงดูดให้สัตว์เข้ามาช่วยให้ดอกไม้บานสะพรั่ง และร่วงหล่นลงสู่พื้นดินตามวัฏจักรBeach Cloud – ชายหาดที่น่าตื่นตาตื่นใจมาพร้อมกับเมฆหลากหลายสีสันและรูปแบบ ทำให้ชายหาดที่เห็นนี้มีการเปลี่ยนแปลงบรรยากาศไปตลอดเวลา ทั้งฟ้าครึ้ม คลื่นซัดสาดยามเย็น หรือแม้แต่ยามค่ำคืนWaterfall MetalMoonLost Tube – ทางเดินนี้จะพบกับนกฟลามิงโก้ขนาดยักษ์ในท้องทะเลLive Sketch Book – สร้างโลกนี้ด้วยฝีมือการวาดของเรา ในธีมแนวปะการัง โดยเปิดให้ลงมือสร้างสรรค์โลกใต้ท้องทะเลสีสันต่างๆ เมื่อวาดในกระดาษแล้ววางในจุดที่กำหนด รูปวาดนั้นก็จะฉายขึ้นบนจอWaterfall Metal – สัมผัสถึงพลังของน้ำตกโลหะที่ยืดหยุ่นและลึกลับMoon – กระต่ายบนดวงจันทร์ตัวโตกว่า 4 เมตร ที่เรืองแสงสีนวลคล้ายกับสีของพระจันทร์Star - Shooting StarRomantic ThunderStar Shooting Star – ดวงดาวนับร้อยนับพันที่คล้ายกับฝนดาวตก เป็นโคมกระดาษเล็กใหญ่ที่แขวนอยู่เต็มห้อง และจะเปลี่ยนสีสันไปเรื่อยRomantic Thunder – สายฟ้าที่ฟาดลงมาบนโลกเป็นสีชมพูดูโรแมนติกWhale – วาฬที่เกิดจากการเต้นระบำของสายน้ำและเกลียวคลื่นGarden Arte Museum X Musee D'orsay – นำเสนอคอลเลกชั่นศิลปะของ Musee D'orsay ที่ถูกตีความใหม่โดย Arte Museum แบ่งงานศิลปะออกเป็นยุคต่างๆ นำเสนอโดยเริ่มต้นจากการเป็นสถานีรถไฟ ผันเปลี่ยนงานศิลปะไปตามยุค พร้อมกับเสียงเพลงคลาสสิกที่คลอกันไปGarden Arte Museum X Musee DorsayGarden Arte Museum X Musee DorsayGarden Arte Museum X Musee DorsayGarden Ocean, Yeosu's Dream – ดำดิ่งลงสู่มหาสมุทร พบกับความน่าอัศจรรย์ใต้ท้องทะเล ไปจนถึงทิวทัศน์อันสวยงามของทะเลยอซูArte Tea Bar – ปิดท้ายที่บาร์เครื่องดื่มที่ยังคงผสมผสานมีเดียอาร์ต หากสั่งเครื่องดื่มมาแล้ววางแก้วไว้บนโต๊ะ เซ็นเซอร์ก็จะจับตัวแก้วแล้วปรากฏภาพดอกคามิเลียในรูปแบบต่างๆ ภายในแก้ว จนกระทั่งเครื่องดื่มหมด ดอกคามิเลียก็จะหายไปGarden Ocean, Yeosus DreamGarden Ocean, Yeosus DreamArte Tea BarArte Tea Bar“Arte Museum Yeosu” เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 10.00-20.00 น. (รอบสุดท้ายเข้าเวลา 19.00 น.) ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://artemuseum.com/YEOSUแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000003491
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
14/01/2025
ททท.น่าน ชวนเที่ยว ฤดูกาลดอกนางพญาเสือโคร่งบาน ตอนนี้ที่ขุนสถาน บานเกือบ 100% พร้อมนำเสนอ 4 จุดหมายชมซากุระเมืองไทยที่จังหวัดน่านภาพ: แฟนเพจอุทยานแห่งชาติขุนสถานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานน่าน แจ้งข่าวการชมดอกนางพญาเสือโคร่งบาน ในต้นปี 2568 นี้ โดยล่าสุดระบุว่า ดอกนางพญาเสือโคร่ง ที่ดอยขุนสถาน บานเกือบ 100% แล้วนอกจากนี้ ททท.น่าน รวบรวม 4 จุดหมายปลายทาง สำหรับนักท่องเที่ยวผู้หลงใหลในความงามของซากุระเมืองไทย โดยระบุว่าฤดูกาลเบ่งบานของซากุระเมืองไทย...ไกล้เข้ามาแล้ว!! “ดอกนางพญาเสือโคร่ง” เริ่มจะชมพูทั่วทั้งดอยททท.สำนักงานน่าน มีพิกัดชมดอกนางพญาเสือโคร่งที่น่านมาฝาก เตรียมตัวแพ็คกระเป๋าวางแพลนกันมาเที่ยวได้เลยภาพ: แฟนเพจอุทยานแห่งชาติขุนสถาน1. อุทยานแห่งชาตินันทบุรี (ดอยวาว/ดอยกาด) ตำบล.ศรีภูมิ อำเภอ.ท่าวังผา คาดการณ์ว่าจะบานเต็มที่ ช่วง 15 - 30 มกราคม 68 ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม 065-416-88532. สถานีวิจัยต้นน้ำขุนสถาน (อุทยานแห่งชาติขุนสถาน) ตำบล.สันทะ อำเภอ.นาน้อย คาดการณ์ว่าจะบานเต็มที่ ช่วง 15 - 30 มกราคม 68 ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม 087-173-95493. บ้านมณีพฤกษ์ ตำบล.งอบ อำเภอ.ทุ่งช้าง คาดการณ์ว่าจะบานเต็มที่ ช่วง 15 - 30 มกราคม 68 ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม 097-963-41964. อุทยานแห่งชาติดอยภูคา ตำบล.ภูคา อำเภอ.ปัว คาดการณ์ว่าจะบานเต็มที่ ช่วง 15 - 30 มกราคม 68 ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม 082-194-1349*หมายเหตุ: ดอกนางพญาเสือโคร่งจะบานเต็มที่ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งนี้ช่วงเวลาเป็นเพียงการคาดการณ์ กรุณาสอบถามข้อมูลก่อนออกเดินทางภาพ: แฟนเพจอุทยานแห่งชาติขุนสถานแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000003484
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
14/01/2025
เอไอเอ ประเทศไทย เปิดศักราชใหม่ปี 2568 อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการจัดงาน AIA Agency Leaders Kick Off 2025 โดยมาพร้อมกับความมุ่งมั่น “สร้าง เสริม สู่ความสำเร็จ” เพื่อนำพาเอไอเอไปสู่ปีแห่งการเติบโตอย่างยั่งยืนซึ่งคณะผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มบริษัทเอไอเอ นำโดย นายหลี่ หยวน ชยอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ นายตัน ฮาค เลห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารประจำภูมิภาค ได้ให้เกียรติเดินทางมาร่วมงานเพื่อกล่าวชื่นชมและขอบคุณท่านผู้บริหารหน่วยในความทุ่มเทตลอดปี 2567 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังได้ทำพิธีเปิดศักราชใหม่ปี 2568 อย่างเป็นทางการ ร่วมกับนายไช เวย บิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต กลุ่มบริษัทเอไอเอ นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย และ นางอลิสา สิมะโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต เอไอเอ ประเทศไทย พร้อมกับท่านผู้บริหารหน่วยกว่า 4,500 ท่านที่เข้าร่วมงาน ณ TRUE ICON HALL ชั้น 7 ICONSIAMและเข้าร่วมผ่านช่องทางออนไลน์และพื้นที่ที่ได้มีการถ่ายทอดสดไปยัง 4 จุดทั่วประเทศ เมื่อวันพฤหัสที่ 9 มกราคม ที่ผ่านมา ซึ่งได้แสดงให้เห็นถึงพลังอันแข็งแกร่งและเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นของทีมงานเอไอเอทุกคน ที่ต้องการรักษาความเป็นที่หนึ่งในอุตสาหกรรมประกันชีวิต เพื่อส่งมอบความคุ้มครองและประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้แก่คนไทยทั่วประเทศยิ่งไปกว่านั้น เอไอเอยังได้ประกาศถึงการสนับสนุนพลังตัวแทนในหลากหลายมิติ ทั้งในด้านกลยุทธ์การดูแลและพัฒนาตัวแทนมืออาชีพ การสร้างตัวแทนรุ่นใหม่ โบนัสพิเศษสำหรับตัวแทนเต็มเวลา หรือ AIA Financial Advisor ตลอดจนแนวทางการนำพาพลังตัวแทนไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนโดยนางอลิสา สิมะโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต รวมไปถึงการสนับสนุนจากฝ่ายต่าง ๆ ในองค์กร นำโดย นายเอกรัตน์ ฐิติมั่น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจประกันสุขภาพ นางสาวชลิดา นครชัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด และนายสุธนิศร์ สุริโยทัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ซึ่งได้ร่วมขึ้นกล่าวถึงกลยุทธ์ที่จะสนับสนุนท่านผู้บริหารหน่วย รวมทั้งพลังตัวแทนตลอดปี 2568 เพื่อให้เป็นปีแห่งการเติบโตอย่างยั่งยืน
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
10/01/2025
ไฟป่า LA สร้างความเสียหายรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ นักวิเคราะห์ Morningstar DBRS คาดกระทบเคลมประกันมูลค่ากว่า 8 พันล้านดอลลาร์ เจ้าหน้าที่ด้านเครดิต Moody’s Ratings ชี้เป็นลบต่อตลาดประกันภัยโดยรวม คาดต้นทุนการฟื้นฟูที่เพิ่มขึ้น ผลักดันให้เบี้ยประกันสูงขึ้น กระทบการเข้าถึงประกันภัยทรัพย์สินรอยเตอร์ (Reuters) รายงานว่าไฟป่าที่สร้างความเสียหายรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของลอสแองเจลิส อาจก่อให้เกิดความเสียหายที่ได้รับการประกันมูลค่ากว่า 8 พันล้านดอลลาร์ ตามรายงานของนักวิเคราะห์จาก Morningstar DBRS นอกจากนี้ยังระบุว่าไฟป่าครั้งนี้มีมูลค่าความเสียหายสูงกว่าไฟป่า Woolsey ในปี 2018 ที่แคลิฟอร์เนีย ซึ่งเคยสร้างความเสียหายมากกว่า 6 พันล้านดอลลาร์แจสเปอร์ คูเปอร์ เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเครดิตจาก Moody’s Ratings คาดว่าความเสียหายที่ได้รับการประกันจะมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ เนื่องจากมูลค่าสูงของบ้านและธุรกิจในพื้นที่ดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามอาจมีบ้านหลายหลังไม่มีการทำประกันครอบคลุม โดยเจ้าของบ้านระบุว่าเป็นเรื่องยากที่จะซื้อประกันในรัฐที่มีแนวโน้มเกิดภัยพิบัติ เนื่องจากบริษัทประกันหลายแห่งได้ถอนตัวออกจากตลาด“เหตุการณ์เหล่านี้จะส่งผลกระทบในวงกว้างและเป็นลบต่อตลาดประกันภัยโดยรวม นอกจากนี้ต้นทุนการฟื้นฟูที่เพิ่มขึ้นมีแนวโน้มที่จะผลักดันให้เบี้ยประกันสูงขึ้น และอาจทำให้การเข้าถึงประกันภัยทรัพย์สินลดลง” เดนิส แรปมุนด์ นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Moody’s กล่าวเสริมนักวิเคราะห์จาก Morningstar DBRS ยังกล่าวว่า สัดส่วนความเสียหายที่ไม่ได้รับการประกันอาจสูงกว่าปกติ หรือได้รับการคุ้มครองภายใต้แผน California FAIR ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยเจ้าของบ้านในพื้นที่ที่ไม่มีประกันภัยมาตรฐานให้บริการขณะที่ JPMorgan เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 ม.ค. 2568 ได้ประเมินความเสียหายที่ได้รับการประกันถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์ ตามรายงานของสำนักพิมพ์ The Insurer ของ Thomson Reuters ซึ่งเป็นการประเมินที่เพิ่มขึ้นจากเมื่อวันก่อนที่คาดการณ์ไว้เป็น 2 เท่า เนื่องจากความเสียหายที่เพิ่มมากขึ้นแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1731928
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
14/01/2025
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ต้อนรับปีนักษัตรงูเล็ก ปีมะเส็ง พ.ศ.2568 จัดทัวร์พิเศษ "อาศิรวิษนักษัตร" เชิญชมโบราณวัตถุชิ้นสำคัญที่มีตำนานเชื่อมโยงกับ “งู” พระอิศวร นางมณโฑ ท้าววิรูปักษ์ พระมหาพิชัยราชรถ เครื่องเบญจรงค์ โบราณวัตถุเหล่านี้เกี่ยวพันกับ “งู” อย่างไรต้อนรับปีใหม่ พ.ศ.2568 ซึ่งตรงกับ ปีนักษัตรงูเล็ก หรือ ปีมะเส็ง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ได้จัดนำชมพิพิธภัณฑ์ในหัวข้อ อาศิรวิษนักษัตร เปิดตำนานอสรพิษ พุทธศักราช 2568“อาศิรวิษ แปลว่า ผู้มีพิษในเขี้ยว ซึ่งหมายถึงงูนั่นเอง” ศุภวรรณ นงนุช ภัณฑารักษ์ชำนาญการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร อธิบายความหมายของชื่อหัวข้อการนำชมพิพิธภัณฑ์เป็นกรณีพิเศษในเทศกาลท่องเที่ยวพิพิธภัณฑ์ยามค่ำคืน Night at the Museum Festival ครั้งที่ผ่านมา โดยค้นหา ตำนานเกี่ยวกับงู ซึ่งเชื่อมโยงกับ โบราณวัตถุ ที่จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์“เราพบว่าคัมภีร์วิษณุปุราณะของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู กล่าวถึงที่มาทำไมงูจึงมีลิ้นสองแฉก นางมณโฑในวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ก็มีชาติกำเนิดเกี่ยวกับงู ไตรภูมิพระร่วงมีการจัดลำดับชั้นระหว่างพญานาคกับงูดิน เครื่องถ้วยเบญจรงค์ 5 สี ก็เชื่อมโยงตำนานเกี่ยวกับงูตามที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ซานไห่จิงของจีน” ศุภวรรณ กล่าวถึงแนวคิดในการนำชม โบราณวัตถุชิ้นสำคัญ ที่สัมพันธ์กับ ปีมะเส็ง ปีงูประติมากรรมพระอิศวร • วัสดุ : สำริด ศิลปะสุโขทัย ต้นพุทธศตวรรษที่ 20 (อายุประมาณ 600 ปี) • ตำแหน่งจัดแสดง : ห้องสุโขทัย อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ • ตำนานอสรพิษ : ที่มาของพิษงูและเหตุใดงูมีลิ้น 2 แฉกคัมภีร์วิษณุปุราณะ คัมภีร์สำคัญในศาสนาฮินดูเกี่ยวกับ ‘พระวิษณุ’ หรือเรียกอีกนามหนึ่ง ‘พระนารายณ์’ เทพผู้สร้างผู้ปกป้องคุ้มครองโลก บันทึกไว้ว่า กาลก่อนที่เทวดายังไม่เป็นอมตะ วันหนึ่งพระอินทร์ประทับมาบนหลังช้างเอราวัณ ฤาษีทุรวาสซึ่งเหาะไปเที่ยวสวรรค์กลับมา จึงนำพวงมาลัยที่นางฟ้าร้อยถวายให้ตนถวายให้กับพระอินทร์พระอินทร์ทรงนำพวงมาลัยวางบนบ่าช้างเอราวัณ กลิ่นหอมของดอกไม้สวรรค์ทำให้ช้างเอราวัณเมาคลั่ง ชูงวงคว้าพวงมาลัยกระทืบทิ้งฤาษีทุรวาสโกรธจัดจึงสาปให้เทวดากำลังลดลงกึ่งหนึ่งเสมอเมื่อรบกับอสูร ทำให้เทวาดาตายลงเป็นจำนวนมาก จึงพากันไปเฝ้าพระนารายณ์เพื่อขอกำลังกลับคืน อย่างน้อยเมื่อรบกับอสูรจะได้ไม่ต้องตายพระนารายณ์ทรงแนะนำให้ทำพิธี กวนเกษียรสมุทร (กวนทะเลน้ำนม ที่บรรทมของพระนารายณ์) ให้เทวดาเก็บสมุนไพรต่างๆ ทิ้งลงในทะเลน้ำนม นำ ‘ภูเขามันทร’ เป็นแกนกลางปักลงในทะเลน้ำนม ใช้พญานาควาสุกรีต่างเชือกพันรอบภูเขา ให้ทั้งสองฝ่ายช่วยกันดึงไปมาฝ่ายเทวดาฉลาดเลือกดึงหางพญานาค เมื่อท้องพญานาควาสุกรีเสียดสีกับภูเขามันทรทำให้สำรอกพิษออกมา ฝ่ายอสูรที่ดึงฝั่งหัวพญานาคถูกพิษ จากหน้าตาปกติจึงอัปลักษณ์ตั้งแต่นั้นมาการกวนเกษียรสมุทรดำเนินไป 1,000 ปี ทำให้เกิด "ของทิพย์" 14 สิ่ง ลอยขึ้นมาจากทะเลน้ำนม หนึ่งในนั้นคือ พิษร้าย ลอยขึ้นมาเป็นสิ่งแรกพระอิศวรเกรงว่าหากพิษร้ายแพร่ลงไปยังโลกมนุษย์ สัตว์โลกจะตายกันหมด จึงทรงกลืนพิษร้ายเอาไว้แต่ขณะทรงวักพิษร้ายเข้าพระโอษฐ์ มีพิษส่วนหนึ่งตกกระจายอยู่ตามยอดหญ้า แมงป่องมาเมื่อถึงก็เอาหางจิ้มลงในพิษร้าย แมงป่องจึงมีพิษอยู่ที่หางขณะที่ งูแลบลิ้นเลียเพื่อกลืนกินพิษ ทำให้งูมีพิษและถูกใบหญ้าบาดลิ้นแยกเป็นสองแฉกนับแต่นั้นพระมหาพิชัยราชรถ • วัสดุ : ไม้แกะสลัก ปิดทองประดับกระจก สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 พ.ศ.2338 • ขนาด : กว้าง 4.90 เมตร ความยาวพร้อมงอนรถ 18 เมตร สูง 11.20 เมตร น้ำหนัก 13.7 ตัน ใช้กำลังพลชักลาก 216 คน • ตำแหน่งจัดแสดง : โรงราชรถ • ตำนานอสรพิษ : ความแค้นครุฑ-นาค อีกหนึ่งตำนานทำไมงูมีลิ้นสองแฉกวรรณคดีนิทานศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ระบุว่า พญาครุฑต้องการช่วยมารดาที่หลงกลนาคจนตกเป็นทาสมารดาเหล่านาค จึงอาสาไปนำหนึ่งในของทิพย์ที่ลอยขึ้นมาจากการกวนเกษียรสมุทรคือ น้ำอมฤต ที่เก็บรักษาโดยพระจันทร์มาให้นาคดื่มตามความต้องการของนาคเมื่อไถ่ตัวมารดาสำเร็จ พญาครุฑระบายแค้นด้วยการออกอุบายให้เหล่านาคชำระกายก่อนดื่มน้ำอมฤต แล้วแอบใช้เท้าเขี่ยคนโทจนน้ำอมฤตหกกระจายอยู่ตามยอดหญ้า นาคเสียดายจึงใช้ลิ้นเลียไปตามใบหญ้า ลิ้นจึงถูกบาดออกเป็นสองแฉก ทำให้งูซึ่งเป็นลำดับชั้นล่างๆ ของนาคมีลิ้นสองแฉกไปด้วยในวรรณคดีระบุด้วยว่า ขณะพญาครุฑนำน้ำอมฤตกลับมา พระอินทร์และทวยเทพเข้าขัดขวาง แต่ไม่สามารถต้านทานฤทธิ์พญาครุฑ พระนารายณ์จึงเสด็จมาช่วยแต่ก็มิอาจปราบครุฑลงได้ ไม่มีฝ่ายใดแพ้ชนะ ทั้งสองจึงทำสัญญา ครุฑจะอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าพระนารายณ์ และจะยอมเป็นพาหนะแห่งพระนารายณ์ด้วยเหตุนี้พระนารายณ์จึงทรงครุฑ ส่วนครุฑก็ปรากฏอยู่ในธงพระครุฑพ่าห์ที่ปักอยู่เหนือราชรถองค์พระนารายณ์ซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่ารูปเศียรนาค แกะสลักด้วยไม้สักทองบนพระมหาพิชัยราชรถศุภวรรณกล่าวว่า การนำชม พระมหาพิชัยราชรถ ในทัวร์ปีมะเส็ง อาศิรวิษนักษัตร เปิดตำนานอสรพิษ พุทธศักราช 2568 เนื่องจาก พระมหาพิชัยราชรถเป็นหนึ่งในเครื่องประกอบในพระราชพิธีพระบรมศพและพระศพของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ได้รับการสร้างอย่างวิจิตรงดงามตามคติความเชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นอวตารของพระนารายณ์หรือสมมุติเทพที่จุติลงมายังโลกมนุษย์เมื่อพระมหากษัตริย์สวรรคตเท่ากับเป็นการเสด็จกลับสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์บนยอดเขาพระสุเมรุซึ่งเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ตอนบนสุดของ ‘พระมหาพิชัยราชรถ’ มี บุษบก เป็นเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศของพระมหากษัตรย์ลวดลายราชรถส่วนใหญ่สลักด้วย ไม้สักทองเป็นรูปเศียรนาค จำนวนมาก มองเห็นจากทุกด้านของราชรถ นาคนั้นหมายถึงแท่นบรรทมพระนารายณ์ตามคติสมมุติเทพ เมื่อพระมหากษัตริย์คืออวตารของพระนารายณ์ การประดิษฐานพระบรมโกศบน พระมหาพิชัยราชรถ จึงเปรียบกับการประทับบนหลังนาค เพื่อเป็นพาหนะแห่งพระเกียรติยศกลับสู่สวรรค์ตู้พระธรรม • ประวัติ : สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพย์ วังหน้าในรัชกาลที่ 3 โปรดให้สร้างตู้พระธรรม 3 ตู้ สำหรับเก็บพระไตรปิฎก • ศิลปกรรม : ผนังตู้ด้านหน้าเขียนลายรดน้ำ ผนังตู้ด้านหลังและด้านข้างเขียนภาพจิตรกรรมสีฝุ่นเรื่องรามเกียรติ์ • ตำแหน่งจัดแสดง : พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ • ตำนานอสรพิษ : กำเนิดนางมณโฑในวรรณกรรมเรื่อง รามเกียรติ์ กล่าวถึง 4 พระฤาษีผู้มีตบะปักหลักใช้ป่าหิมพานต์บำเพ็ญภาวนา แม่โค 500 ตัวในป่าใกล้กับอาศรมมีใจเลื่อมใส ทุกเช้าจึงพากันมาหยดนมใส่ไว้ในอ่างหนึ่งจนเต็มเพื่อให้พระฤาษีได้ฉันเป็นประจำ ใกล้อ่างนมมีแม่กบอาศัยอยู่ พระฤาษีมีใจเมตตาแบ่งนมให้นางกบเป็นอาหารดำรงชีพเรื่อยมา“นาคเป็นสัตว์กึ่งเทพ ถือตนมียศมีเกียรติ ไม่สมสู่ข้ามตระกูลและมักดูถูกงูดินว่าเป็นพลเมืองชั้นสอง เพราะมีรูปกายอย่างสัตว์โลกทั่วไป แต่เจ้าหญิงแห่งเมืองนาคกลับสมสู่กับงูดินในป่าเมื่อฤาษีบังเอิญมาพบเข้าจึงจับแยก เพราะเห็นว่าไม่เหมาะสม ธิดาพญานาคอับอายแทรกแผ่นดินหนีกลับเมืองบาดาล แต่ด้วยกลัวฤาษีจะนำเรื่องนี้มาฟ้องพ่อ จึงแอบขึ้นมาคายพิษลงในอ่างน้ำนมนางกบเห็นเหตุการณ์ ด้วยความกตัญญูรู้คุณจึงยอมเสียสละชีวิตโดดลงไปในอ่างกินน้ำนมพิษจนตัวตายเมื่อฤาษีกลับมาเห็นจึงเกิดความสงสัย เป่ามนต์ให้นางกบฟื้นคืนเพื่อถามหาสาเหตุ เมื่อทราบถึงความกตัญญู จึงชุบกายนางกบเป็นผู้หญิงรูปโฉมงดงาม ตั้งชื่อนางว่ามณโฑและนำไปถวายพระศิวะ ต่อมากลายเป็นนางกำนัลของพระอุมา” ศุภวรรณเล่าชาติกำเนิดของนางมณโฑซึ่งมีความเกี่ยวข้องระหว่างงูดินและนาคภาพจิตรกรรมนางมณโฑบรรทมเคียงทศกัณฐ์ผู้เข้าชม ‘ตู้พระธรรม’ จะได้ชมภาพจิตรกรรมสีฝุ่นขณะหนุมานค้นหานางสีดาในกรุงลงกาแล้วพบทศกัณฐ์บรรทมเคียงข้างนางมณโฑภาพจิตรกรรมฝาผนัง ‘ท้าววิรูปักษ์’ประวัติ : เขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1ราว พ.ศ.2338 ในสมัยรัชกาลที่ 1 เชื่อว่าเป็นฝีมือช่างชาวอยุธยา เพราะเขียนตามคตินิยมสมัยอยุธยาตอนปลายตำแหน่งจัดแสดง : พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ (เหนือกรอบหน้าต่างทั้ง 4 ด้าน)ตำนานอสรพิษ : คาถาปราบงูหนึ่งในความสอดคล้องกันระหว่าง ‘คัมภีร์วิษณุปุราณะ’ ของพราหมณ์-ฮินดู และ ‘ไตรภูมิพระร่วง’ ในศาสนาพุทธ คือความเชื่อที่ว่า ทิศทั้ง 4 มีเทวดาสถิตรักษาประจำทิศ รวมเรียกว่า ‘ท้าวจตุโลกบาล’ ประกอบด้วย1. ท้าวเวสสุวรรณหรือท้าวกุเวร ประจำทิศเหนือ ปกครองยักษ์2. ท้าววิรุฬหก ประจำทิศใต้ ปกครองครุฑและกุมภัณฑ์3. ท้าวธตรฐ ประจำทิศตะวันออก ปกครองคนธรรพ์4. ท้าววิรูปักษ์ ประจำทิศตะวันตก ปกครองนาค“ภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ที่เชื่อมโยงกับตำนานอสรพิษคือภาพเทพชุมนุมชั้นล่างสุดเหนือกรอบหน้าต่าง เป็นภาพท้าวจตุโลกบาล คือเจ้าแห่งครุฑ เจ้าแห่งยักษ์ เจ้าแห่งคนธรรพ์ และเจ้าแห่งนาค เขียนเรียงลำดับเป็นภาพชุดต่อเนื่องกันไปโดยรอบผนังทั้งสี่ด้านของพระที่นั่งฯ” ศุภวรรณ กล่าวภาพจิตรกรรมท้าววิรูปักษ์ (ภาพกลาง)จิตรกรรมงูหรืองูดินอยู่ใต้ภาพท้าววิรูปักษ์และอยู่ล่างสุดของผนังในตำนานกล่าวว่า ท้าววิรูปักษ์ เป็นเทพผู้มอบ คาถาวิรูปักเข หรือคาถาปราบงูแด่พระพุทธเจ้าสำหรับกำราบบรรดาพญานาค งูและสัตว์มีพิษ ไม่ให้มารบกวนเวลาออกธุดงค์หรือถือศีลในป่า“ในพระไตรปิฎกมี อหิราชสูตร ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนแก่ภิกษุทั้งหลายเพื่อสวดแผ่เมตตาให้กับบรรดาอสรพิษต่างๆ เพื่อให้อยู่ร่วมกันได้ อหิแปลว่างู อหิราชสูตรเป็นคาถาท่อนที่ต่อจากอาฏานาฏิยสูตรซึ่งเป็นคาถาไล่ผีที่เคยใช้สวดไล่โรคห่าสมัยรัชกาลที่ 4 ปัจจุบันใช้ในพิธีสวดภาณยักษ์” ศุภวรรณกล่าวเครื่องเบญจรงค์เครื่องถ้วยเบญจรงค์ ลายราชสีห์ สมัยรัชกาลที่ 3วัสดุ : เครื่องปั้นดินเผาตำแหน่งจัดแสดง : ห้องเครื่องถ้วยในราชสำนัก หมู่พระวิมานตำนานอสรพิษ : เจ้าแม่หนี่วาเครื่องเบญจรงค์ หรือ ‘เครื่องถ้วย 5 สี’ ประกอบไปด้วยสี ขาว แดง เหลือง เขียว ดำ มีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมหลายชาติในเอเชีย“เครื่องถ้วย 5 สี เชื่อมโยงตำนานเกี่ยวกับ งู เนื่องจากปรากฏอยู่ในคัมภีร์ ซานไห่จิง ของจีน หรือ ‘คัมภีร์แห่งขุนเขาและท้องทะเล’ ซึ่งกล่าวถึงการกำเนิดโลกและ เจ้าแม่หนี่วา ผู้สร้างมนุษย์และพลเมืองชาวจีนตามความเชื่อของคนจีน” ศุภวรรณ กล่าวเจ้าแม่หนี่วาคือเทพธิดาผู้นำดินมาบรรจงปั้นเป็นรูปคนทีละคนแล้วเป่าลมหายใจให้มีชีวิต ต่อมาทรงเหนื่อยจากการปั้นมนุษย์ จึงใช้เส้นด้ายจุ่มดินเหนียวดินโคลนแล้วสะบัดลงไปบนพื้นโลก เศษดินเหนียวและหยดโคลนกลายเป็นมนุษย์จำนวนมาก แต่เนื่องจากไม่ปราณีต ทำให้มนุษย์ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังมีความแตกต่างของใบหน้าและรูปร่าง บ้างจึงพอมีพอกิน บ้างยากจน บ้างพิกลพิการ ต่างจากมนุษย์ที่บรรจงปั้นมักเป็นคนร่ำรวยมีเกียรติจากนั้นเจ้าแม่หนี่วาต้องการลดภาระในการสร้างมนุษย์ ทรงมอบความสามารถในการมีบุตรให้มนุษย์ที่ทรงปั้น เมื่อเกิดการแต่งงานอยู่กิน ประชากรชาวจีนจึงเพิ่มจำนวนไปอย่างมากมาย ชาวจีนจึงกราบไหว้เจ้าแม่หนี่วาในฐานะ ‘เทพมารดา’เครื่องเบญจรงค์ โถและจานลายเทพพนม พุทธศตวรรษที่ 24คัมภีร์ซานไห่จิงบันทึกไว้ด้วยว่า ครั้งหนึ่งเกิดการต่อสู้กันระหว่างเทพแห่งไฟและเทพแห่งน้ำ ทำให้เสาค้ำฟ้ากับแผ่นดินหัก ฟ้าถล่มเกิดเป็นรอยรั่ว ส่งผลให้ปีศาจหลั่งไหลออกทำร้ายมนุษย์เจ้าแม่หนี่วาจึงต่อสู้กำราบปีศาจ ใช้ขาเต่ายักษ์ค้ำยันท้องฟ้า และเก็บ ดินโคลน 5 สีในแม่น้ำ คือสีขาว แดง เหลือง เขียว ดำ มาปั้นและอุดท้องฟ้าไว้สำเร็จ ศุภวรรณกล่าวด้วยว่า จีนค้นพบและใช้ ดินห้าสี ในการผลิตเครื่องปั้นดินเผาแต่โบราณ สำหรับประเทศไทยพบหลักฐานสมัยกรุงศรีอยุธยามีการสั่งผลิตเครื่องปั้นดินเผาห้าสีจากประเทศจีนต่อมาไทยเรียกเครื่องถ้วยห้าสีนี้ว่า เครื่องเบญจรงค์ เมื่อไทยผลิตได้เองก็ยังคงสีทั้งห้าไว้ เพียงแต่มีความอ่อนแก่ของสีต่างไปจากจีน และสีทั้งห้านี้ยังเป็นพื้นฐานของวัฒนธรรมทั้งตะวันออกและตะวันตกที่หมายถึงโซนอินเดียและเปอร์เซียศุภวรรณ นงนุช ภัณฑารักษ์ชำนาญการ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครสีทั้ง 5 ของดินโคลนในแม่น้ำของเจ้าแม่หนี่วา ยังไปปรากฏอยู่ใน คัมภีร์เต๋าเต๋อจิง ศาสตร์แห่งความสมดุลตามลัทธิเต๋าของจีน ที่มอบน่านฟ้าทั้งสี่ทิศให้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของสัตว์เทพทั้งสี่ ได้แก่1. เสือขาว - ทิศตะวันตก2. มังกรเขียว - ทิศตะวันออก3. หงส์แดง - ทิศใต้4. เต่าดำ - ทิศเหนือ5. มังกรเหลือง (หรือมังกรทอง) - ศูนย์กลางของสวรรค์ทั้งยังเป็นสีสัญลักษณ์ของ เบญจธาตุ หรือ ธาตุทั้ง 5 ในศาสตร์ฮวงจุ้ย ได้แก่ ไม้-สีเขียว, ไฟ-สีแดง, ดิน-สีเหลือง, น้ำ-สีดำ และ ทอง-สีขาวคัมภีร์ซานไห่จิง บรรยายลักษณะ เจ้าแม่หนี่วา ไว้ว่ามีกายครึ่งบนเป็นสตรี ส่วนกายครึ่งล่างมีหางเป็นงู สีทั้งห้าของเครื่องเบญจรงค์จึงมีความเกี่ยวพันกับงูด้วยประการฉะนี้แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1160828
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
10/01/2025
เชื่อว่าหลายคนเคยตกเครื่องบินหรือหลาย ๆ คนเคยได้ยินประสบการณ์นี้ ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้ฝันร้ายสำหรับใครหลายคน ทั้งความเครียด เสียเวลา และค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่ถ้ามีเตรียมตัวที่ดี จะไม่เกิดปัญหาเช่นนี้แน่นอนตรวจสอบเอกสารการเดินทางล่วงหน้าตรวจสอบว่าพาสปอร์ต (passport) และวีซ่า (visa) ของคุณยังไม่หมดอายุ ปริ้นหรือเก็บ E-ticket และข้อมูลการจองตั๋วเครื่องบินวางแผนการเดินทางไปสนามบินตรวจสอบระยะเวลาเดินทางจากบ้านไปสนามบินโดยใช้แอป เช่น Google Maps หรือ Grab ที่สำคัญต้องเผื่อเวลาสำหรับการจราจร รถติด และเหตุการณ์อื่น ๆ เช่น ฝนตกหนัก • สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศ แนะนำให้ไปถึงสนามบินล่วงหน้าอย่างน้อย 2 ชั่วโมง • สำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ ควรเผื่อเวลา 3 ชั่วโมงเช็คอินล่วงหน้า (Online Check-in)ปัจจุบันสายการบินส่วนใหญ่เปิดให้ เช็คอินออนไลน์ ผ่านแอปหรือเว็บไซต์ ซึ่งการเช็คอินล่วงหน้าช่วยประหยัดเวลาเตรียมกระเป๋าเดินทางให้เรียบร้อยตรวจสอบขนาดและน้ำหนักกระเป๋าที่อนุญาตตามนโยบายของสายการบิน จัดของที่จำเป็นและเอกสารสำคัญไว้ในที่หยิบง่าย เช่น เสื้อผ้า ยาประจำตัว และอุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่ ไว้ในกระเป๋าที่ถือขึ้นเครื่อง (carry on)ตั้งนาฬิกาปลุกและแจ้งเตือนตั้งเวลาปลุกและตั้งปฏิทินล่วงหน้าในวันที่เดินทาง เพื่อเป็นการเตือนความจำตรวจสอบสถานะเที่ยวบินก่อนออกเดินทาง ให้เช็คสถานะเที่ยวบินว่ามีการล่าช้าหรือไม่ ผ่านแอปของสายการบินหรือการแจ้งเตือนผ่าน SMS หรือ อีเมลจากสายการบินหลังเช็คอินแล้วอย่าลืมรักษาเวลาหลังจากเช็คอินแล้วและผ่านจุดตรวจแล้ว อย่าลืมมองหาประตูขึ้นเครื่อง (Gate) และฟังประกาศจากเจ้าหน้าที่ ถ้าต้องรอเป็นเวลานาน และควรอยู่ใกล้ Gate เพื่อป้องกันการลืมเวลา“การเดินทางที่ดีเริ่มต้นจากการวางแผนที่รอบคอบ” ก่อนที่เราจะเดินทางท่องเที่ยวหรือไปไหนก็ตาม ไม่ว่าจะโดยสารด้วยรถสาธารณะ รถส่วนตัว หรือเครื่องบิน ทั้งในและนอกประเทศ จำเป็นจะต้องมีการเช็คข้อมูลวางแผนที่ดีและเผื่อเวลาสำหรับการเดินทาง เพื่อลดโอกาสการไปถึงสถานที่นั้น ๆ ล่าช้าหรือตกเครื่องบินแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1450403/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
09/01/2025
กรุงเทพฯ 9 มกราคม 2568 - กองทุนเปิด เอไอเอ อินคัม ฟันด์ (AIA-IC) บริหารจัดการโดย บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนเอไอเอ (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับการจัดอันดับ 5 ดาว จาก Morningstar Thailand ประเภทกองทุน Mid/Long Term Bond ทั้งในส่วนของผลตอบแทนโดยรวม (Performance Overall) และผลตอบแทน 3 ปี (3-Y Performance) ซึ่งกองทุนที่ได้รับการจัดอันดับนั้นต้องมีผลตอบแทนอย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป และวิธีการจัดอันดับนั้นใช้วิธีคำนวณเดียวกันทั่วโลก สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถของทีมผู้จัดการกองทุนของ บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) ในการสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงมีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม ทั้งนี้ กองทุนเปิด เอไอเอ อินคัม ฟันด์ มีนโยบายการลงทุนในตราสารหนี้ และ/หรือเงินฝาก หรือตราสารเทียบเท่าเงินฝาก ที่ออกโดยภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน และ/หรือ ภาคเอกชน ทั้งใน และ/หรือต่างประเทศ ซึ่งมีอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหรือของผู้ออกตราสารที่อยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) รวมกันทุกขณะไม่น้อยกว่า 80% ของ NAVผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน AIA Income Fund ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2567*ผลตอบแทนที่มีอายุเกินหนึ่งปีจะแสดงเป็นผลตอบแทนต่อปีดัชนีชี้วัดของกองทุนเปิด เอไอเอ อินคัม ฟันด์ (Benchmark) คือ1. ผลตอบแทนรวมสุทธิของดัชนีพันธบัตรรัฐบาล Mark-to-Market อายุน้อยกว่าเท่ากับ 1 ปี ของสมาคมตราสารหนี้ไทย สัดส่วน (%): 20.002. ผลตอบแทนรวมสุทธิของดัชนีพันธบัตรรัฐบาล Mark-to-Market อายุน้อยกว่าเท่ากับ 10 ปี ของสมาคมตลาดสารหนี้ไทย สัดส่วน (%): 50.003. ผลตอบแทนรวมสุทธิของดัชนีตราสารหนี้ภาคเอกชน Mark-to-Market ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสารอยู่ในระดับ A- ขึ้นไป อายุน้อยกว่าเท่ากับ 10 ปี ของสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (%): 30.00อย่างไรก็ดี จากข้อมูลของ Morningstar ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 กองทุนเปิด เอไอเอ อินคัม ฟันด์ มีผลการดำเนินงานช่วง 3 ปี อยู่ที่ 2.2% ต่อปี ซึ่งตามการจัดกลุ่มของ Morningstar ในประเภทกองทุน Mid/Long Term Bond และตามการจัดกลุ่มของ AIMC ประเภทกองทุน Mid Term General Bond นั้น กองทุนเปิด เอไอเอ อินคัม ฟันด์ ล้วนมีผลการดำเนินงานอยู่ใน Top Quartile ตามการจัดกลุ่มจากทั้ง 2 สถาบัน ทั้งนี้ กองทุนเปิด เอไอเอ อินคัม ฟันด์ มีค่า Maximum drawdown อยู่ที่ -2.64% และมี Recovering Period ที่ 80 วัน* *ข้อมูล ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2567แหล่งข้อมูล: บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) จำกัด, AIMC, Morningstar Thailand
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
การทำงาน
07/01/2025
บีบีซีนิวส์ มุนโด (แผนกภาษาสเปน)คุณเคยเป็นแบบนี้บ้างไหม ? มีงานค้างหลายชิ้นที่ต้องรีบทำ แต่พยายามรวบรวมพลังกายและใจหลายยกแล้ว ก็ไม่สามารถจะเคี่ยวเข็ญตัวเองให้ลุกขึ้นมาจัดการงานค้างให้เสร็จได้ในบางครั้งความเกียจคร้าน, ความกลัวที่จะทำงานได้ไม่ดีหรือไม่สมบูรณ์แบบ, รวมทั้งความเฉื่อยชาผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย ๆ ทำให้เราต้องเสียเวลาไปมากมายโดยใช่เหตุ จนท้ายที่สุดแล้วก็ไม่อาจทำงานได้สำเร็จลุล่วงตามกำหนด แถมยังต้องเสียเวลาอันมีค่าของตนเองไปกับการนั่งวิตกกังวล โดยไม่อาจจะพักผ่อนอย่างสบายใจได้เลยแม้จะมีหลายเหตุผลที่ทำให้เรากลายเป็นคนขี้เกียจไปชั่วคราว แต่ก็ใช่ว่าเรื่องนี้จะไม่มีทางแก้ไขได้ เพราะชาวญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อว่าขยันขันแข็งและมีวินัยในการทำงานอย่างยิ่ง ได้เสนอเคล็ดลับหลายวิธีในการเอาชนะความเกียจคร้านและสร้างแรงจูงใจในการทำงานไว้ดังนี้อิคิไกแม้จะไม่มีคำแปลความหมายโดยตรงจากภาษาญี่ปุ่น แต่อิคิไก (ikigai) เป็นศัพท์ที่ใช้เรียกแนวคิดเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข ซึ่งแท้จริงแล้วมันคือเหตุผลที่ทำให้คุณตื่นขึ้นมาในทุกเช้าสำหรับชาวตะวันตกที่คุ้นเคยกับแนวคิดเรื่องอิคิไกดี พวกเขาอาจนึกถึงแผนภาพเวนน์ (Venn diagram) ที่มีวงกลม 4 วงมาซ้อนทับกัน โดยแต่ละส่วนแสดงถึงข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่คุณรัก, สิ่งที่คุณทำได้ดี, สิ่งที่คุณต้องการ, และสิ่งที่คุณซื้อหาได้ด้วยเงินเค็น โมงิ นักประสาทวิทยาศาสตร์ผู้เขียนหนังสือ "ปลุกอิคิไกในตัวคุณ" (Awakening Your Ikigai) ระบุว่าอิคิไกคือแนวคิดโบราณที่คนญี่ปุ่นรู้จักคุ้นเคยมานาน ซึ่งอาจจะนิยามความหมายได้ง่าย ๆ ว่า "เหตุผลที่ทำให้ตื่นนอนตอนเช้า" หรือถ้าจะกล่าวให้ไพเราะแบบบทกวีเสียหน่อยก็คือ "การตื่นขึ้นด้วยความสุขใจ"มิจิโกะ คุมาโนะ นักจิตวิทยาชาวญี่ปุ่น กล่าวไว้ในบทความของเธอที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2017 ว่าอิคิไกคือสุขภาวะของกายและจิตที่เกิดขึ้นจากการทุ่มเทอุทิศตนทำในสิ่งที่ชื่นชอบ โดยกิจกรรมดังกล่าวนำมาซึ่งความรู้สึกว่าชีวิตถูกเติมเต็มจนสมบูรณ์โดยสรุปแล้วอิคิไกคือการมองหาสิ่งที่สร้างแรงจูงใจให้ตัวคุณในทุกวัน สิ่งนั้นจะกลายเป็นเหตุผลที่ผลักดันคุณให้ก้าวไปข้างหน้า กิจกรรมดังกล่าวอาจเป็นอะไรก็ได้ เช่นการหาพื้นที่เล็ก ๆ ปลูกต้นไม้, ดูแลสัตว์เลี้ยง, หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เป็นประจำไคเซ็นปรัชญาไคเซ็น (kaizen) มีรากฐานอยู่บนหลักการสร้างความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ และหมั่นปรับปรุงพัฒนาอย่างสม่ำเสมอในทุกแง่มุมของชีวิต อันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความทะเยอทะยานจะประสบความสำเร็จตั้งแต่วันแรกที่ลงมือทำ ซึ่งนอกจากจะเป็นไม่ได้แล้ว ความรีบร้อนจะยิ่งทำให้เกิดความสับสนคับข้องใจ จนเราเลิกล้มสิ่งที่เพิ่งเริ่มลงมือทำไปในที่สุดส่วนการประยุกต์ใช้ปรัชญาไคเซ็นในชีวิตประจำวันนั้น เราอาจตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ ที่ต้องการทำให้สำเร็จลุล่วงในแต่ละวัน โดยมุ่งให้ความสนใจกับการปรับปรุงพัฒนาไปทีละน้อย เคล็ดลับนั้นอยู่ที่ความมุ่งมั่น เพื่อสร้างความก้าวหน้าเล็ก ๆ ที่นำพาตัวคุณเข้าใกล้เป้าหมายใหญ่มากขึ้นไปทุกขณะย่างก้าวเล็ก ๆ เหล่านี้ จะช่วยคุณเอาชนะความเกียจคร้านเฉื่อยชา ทั้งยังช่วยสร้างแรงส่งที่สม่ำเสมอ เพื่อผลักดันให้สามารถผลิตผลงานออกมาได้ตามเป้า นอกจากนี้ยังช่วยให้มองเห็นรายละเอียด ซึ่งจะนำไปใช้ในการพัฒนาไปทีละเล็กละน้อยได้เป็นอย่างดีการตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ ในแต่ละวัน และเฝ้าดูตัวคุณทำมันได้สำเร็จ สามารถจะสร้างแรงจูงใจให้ตัวเองได้ปรัชญาไคเซ็นนั้นมีประวัติความเป็นมาย้อนไปได้ถึงยุคหลังสงครามของญี่ปุ่น บริษัทใหญ่อย่างโตโยต้า (Toyota) ถึงกับยอมรับแนวคิดนี้ให้เป็นหนึ่งในหลักการพื้นฐานของระบบการผลิต คำว่า "ไค" หมายถึงความเปลี่ยนแปลง ส่วนคำว่า "เซ็น" หมายถึงการไปในทิศทางที่ดีขึ้น หลักการนี้สามารถจะช่วยรับประกันได้ว่า ผลงานที่ออกมาจะมีคุณภาพในระดับสูงสุด ลดปริมาณของเสียเหลือทิ้ง และเพิ่มพูนประสิทธิภาพทั้งในการทำงานของเครื่องจักรและกระบวนการทำงานของมนุษย์เทคนิค "มะเขือเทศ"เมื่องานที่ต้องทำดูซับซ้อนยุ่งยากเกินไป หรือเป็นงานที่หนักและต้องอาศัยการเพ่งสมาธิจดจ่ออย่างมาก เทคนิคนี้อาจช่วยคุณได้ แม้ว่ามันจะเป็นหลักการที่ไม่ได้ถือกำเนิดในประเทศญี่ปุ่นก็ตามเทคนิค "โปโมโดโร" (pomodoro) ซึ่งหมายถึงมะเขือเทศในภาษาอิตาเลียน ถูกคิดค้นขึ้นโดยฟรานเชสโก ชิริลโล ในช่วงทศวรรษ 1980 ก่อนจะถูกหยิบยืมมาใช้กันอย่างกว้างขวางในญี่ปุ่น เพื่อเพิ่มผลิตภาพและทำให้ผู้คนรู้สึกเพลิดเพลินกับการงานประจำวันได้มากขึ้น โดยคำว่ามะเขือเทศนั้นหมายถึงอุปกรณ์ช่วยนับเวลาชนิดหนึ่ง ที่มีรูปทรงเหมือนกับมะเขือเทศนั่นเองไม่ว่าจะอ่านหนังสือ ทำงานบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือจัดระเบียบบ้านให้เรียบร้อย เทคนิคมะเขือเทศจะช่วยให้คุณมีสมาธิและรู้สึกว่างานเบาขึ้นรศ.แมตทิว เบอร์แนกคี จากคณะศึกษาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนาของสหรัฐฯ บอกกับบีบีซีว่า เทคนิคมะเขือเทศนั้นแบ่งเวลาทำงานออกเป็นช่วงสั้น ๆ ซึ่งส่งผลดีต่อการหลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนที่ทำให้เสียสมาธิคุณอาจลองตั้งเวลาด้วยนาฬิกาไว้ 25 นาที แล้วอ่านหนังสือหรือทุ่มเททำงานอย่างใดอย่างหนึ่งในช่วงเวลานั้นเพียงอย่างเดียว โดยตัดขาดจากสิ่งล่อใจทั้งปวงที่ทำให้วอกแวก ไม่จดจ่อแน่วแน่กับงานที่อยู่ตรงหน้าจากนั้นคุณจะมีเวลาพักเพื่อให้รางวัลกับสมอง 5 นาที โดยสามารถจะหันไปเพลิดเพลินกับสิ่งที่ทำให้เสียสมาธิได้ เช่นอาจจะกินขนมของว่างหรือดูข้อความในโทรศัพท์ แล้วจึงกลับมาเริ่มช่วงเวลาของการตั้งใจทำงานอีก 25 นาทีต่อไปเทคนิคนี้นอกจากจะช่วยไม่ให้คุณเสียเวลาไปกับสิ่งชวนวอกแวกทั้งหลายแล้ว ยังเพิ่มแรงจูงใจให้กับสมอง โดยใช้ช่วงเวลาพักให้รางวัลตัวเองสั้น ๆ มาหลอกล่อให้ตั้งใจทำงานได้นั่นเองฮาระฮะจิบุมีคำกล่าวในภาษาญี่ปุ่นที่ว่า "อย่ากินอาหารลงท้อง (ฮาระ) มากเกินกว่าแปดส่วน (ฮะจิบุ)" ซึ่งเป็นคำเตือนที่หมายความว่า อย่าทำให้ตัวเองท้องพองอืดจนกระเพาะแทบแตก เนื่องจากการกินเข้าไปเรื่อย ๆ ไม่หยุด จนกว่าจะรู้สึกอิ่มคำเตือนนี้เกี่ยวข้องกับความรู้สึกขยันหรือขี้เกียจทำงานอย่างยิ่ง เพราะหลังจากที่คุณกินอาหารมื้อใหญ่เข้าไปจนหนังท้องตึงหนังตาหย่อน ก็อาจอยากงีบหลับแทนที่จะทำงานก็เป็นได้คำแนะนำให้กินอาหารเพียงแปดส่วนของท้องนี้ มาจากจังหวัดโอกินาวาทางตอนใต้ของญี่ปุ่น ซึ่งคนท้องถิ่นทำตามหลักการดังกล่าวมาแต่โบราณ เพื่อควบคุมนิสัยการกินและรักษาสุขภาพดร.ซูซาน อัลเบอร์ส นักจิตวิทยาชาวอเมริกันจากคลีฟแลนด์คลินิกในรัฐโอไฮโอ บอกว่าวิธีการกินดังกล่าวมีประโยชน์มาก เพราะช่วยให้ผู้คนไม่กินมากเกินไป โดยหยุดกินก่อนที่จะเริ่มรู้สึกอิ่มเพียงเล็กน้อยเทคนิค "โชชิน" คือการทำทุกสิ่งด้วยทัศนคติที่เปิดกว้าง ไม่ด่วนตัดสินด้วยประสบการณ์ในอดีตที่เคยพบเจอมาก่อนดร.อัลเบอร์สยังแนะนำว่า เมื่อคุณตักอาหารใส่จาน ให้ลองกะดูว่าต้องกินในปริมาณเท่าใดจึงจะอิ่มพอดี จากนั้นให้ตักใส่จานเพียงแค่ 80% ของปริมาณที่กะไว้ว่าจะทำให้อิ่ม หรืออาจลองกินเพียง 2 ใน 3 ของปริมาณอาหารในจานที่มีคนตักมาให้แล้ว โดยช่วงหลังอาหารคุณควรจะรู้สึกพึงพอใจและไม่หิว แต่ไม่ควรคิดว่าจะต้องกินจนอิ่มโชชินแนวคิดนี้มาจากคำสอนของพุทธศาสนานิกายเซ็น โดยคำว่า "โชชิน" (shoshin) นั้นแปลว่า "จิตของผู้เริ่มต้น" โดยพระภิกษุชุนริว ซูสุกิ ผู้ให้กำเนิดแนวคิดนี้เคยเขียนไว้ในคัมภีร์ว่า "จิตของผู้เริ่มต้นมีความเป็นไปได้อยู่มหาศาล แต่จิตของผู้เชี่ยวชาญนั้นมีความเป็นไปได้อยู่น้อยมาก"หลักการนี้คือการทำทุกสิ่งด้วยทัศนคติที่เปิดกว้าง ไม่ด่วนตัดสินด้วยประสบการณ์ในอดีตที่เคยพบเจอมาก่อน ไม่ว่าจะมีความช่ำชองหรือเชี่ยวชาญในเรื่องดังกล่าวมามากเพียงใดก็ตาม โดยให้ทำใจเสมือนว่าเป็นผู้มาใหม่ที่ไร้ประสบการณ์อย่างสิ้นเชิงในแง่หนึ่งปรัชญาโชชินจะทำให้เรายอมรับได้ว่า ตนเองไม่ใช่ผู้ที่รู้รอบไปเสียทุกสิ่ง นิตยสารฟอร์บส์ฉบับที่ตีพิมพ์ในอินเดียยังรายงานว่า ปัจจุบันมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์หลายชิ้นที่พิสูจน์ยืนยันถึงประโยชน์ของทัศนคติแบบถ่อมตนดังกล่าว ซึ่งส่งผลดีเกินคาดแก่ผู้ที่ยึดถือปฏิบัติตาม เพราะการเข้าหาสิ่งใหม่ด้วยความกระตือรือร้นอยากรู้อยากเห็นและมีใจเปิดกว้าง จะนำเราไปสู่ความเพียรพยายาม, ความกล้าหาญ, และการสร้างสรรค์นวัตกรรมวาบิซาบินอกจากคำนี้จะแปลความหมายโดยตรงไม่ได้แล้ว ยังไม่มีนิยามที่แน่นอนตายตัวในวัฒนธรรมญี่ปุ่นอีกด้วย คำว่า "วาบิซาบิ" (wabi-sabi) มีต้นกำเนิดมาจากคำสอนลัทธิเต๋าในยุคราชวงศ์ซ่งของจีน (ค.ศ. 960 - 1279) และต่อมาได้ถ่ายทอดไปเป็นส่วนหนึ่งของคำสอนในพุทธศาสนานิกายเซ็นในตอนแรกมีความเข้าใจกันว่า ปรัชญานี้คือการแสดงความชื่นชมยินดีต่อสิ่งต่าง ๆ ในรูปแบบที่จำกัดและประหยัดมัธยัสถ์ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันแนวคิดวาบิซาบิมีความหมายที่ครอบคลุมกว้างขวางและผ่อนคลายมากขึ้น โดยหมายถึงการยอมรับภาวะตามธรรมชาติที่เป็นอนิจจังไม่เที่ยงแท้ ซึ่งรวมถึงความเศร้าและความทุกข์ตรม รวมทั้งยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบในทุกสิ่ง ตั้งแต่สถาปัตยกรรมไปจนถึงภาชนะเซรามิกและการจัดดอกไม้ลิลี่ ครอสลีย์-แบ็กซ์เตอร์ เคยระบุไว้ในบทความหนึ่งของบีบีซีนิวส์มุนโดว่า "เมื่อเราพยายามสร้างสิ่งสมบูรณ์แบบขึ้นมา และพยายามต่อสู้เพื่อถนอมรักษามันไว้ เราได้ปฏิเสธเจตจำนงของมัน ทั้งยังพลาดโอกาสไม่ได้รับความสุขที่มากับความเปลี่ยนแปลงและการเติบโต"ดังนั้นเมื่อเราตั้งใจสร้างผลงานในอาชีพหรือทำงานอดิเรกทั่วไป การยอมรับความบกพร่องไม่สมบูรณ์แบบ แทนที่จะมุ่งเน้นความเป็นเลิศในทุกรายละเอียด จึงเป็นหลักการที่ควรยึดถือปฏิบัติ เพราะแท้จริงแล้ว "ความสมบูรณ์แบบคือศัตรูของความดีงาม" การที่เราดื้อรั้นจะสร้างสิ่งสมบูรณ์แบบขึ้นมาให้ได้ โดยมุ่งเพ่งเล็งไปที่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั้งหมด มีแต่จะทำให้เราสูญเสียเวลาอันมีค่าไปโดยเปล่าประโยชน์แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับบีบีซีไทยhttps://www.bbc.com/thai/articles/ckg3361lk5ko
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันสุขภาพ
07/01/2025
บทความโดย "บรรยง วิทยวีรศักดิ์" กูรูวงการประกันชีวิตไทยในปีที่ผ่านมา มีข่าวลงในสื่อหลายแหล่งว่า บริษัทประกันชีวิตเตรียมจะนำเงื่อนไขเรื่อง Copayment เข้ามาบังคับใช้ เพื่อแก้ปัญหาการเรียกร้องค่าสินไหมประกันสุขภาพที่พุ่งพรวด จนบริษัทประกันชีวิตหลายแห่งต้องยกเลิกขายการประกันสุขภาพเด็ก หรือประกันสุขภาพหมู่ในกลุ่มขนาดเล็กเรื่องนี้คนกลัวกันมาก ลูกค้าหลายคนรีบสมัครทำประกันสุขภาพ ด้วยเชื่อว่าตอนนี้เงื่อนไข Copayment ยังไม่ถูกนำมาบังคับ แต่ถ้าใครทำหลังปีใหม่ก็อาจจะถูกใส่เงื่อนไขลงไปว่าต้องร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลทุกครั้งที่มีการเรียกร้องสินไหมข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรความจริง เงื่อนไข Copayment มีระบุในกรมธรรม์มาสักระยะหนึ่งแล้ว เป็นเงื่อนไขในแผนการประกันสุขภาพมาตรฐานใหม่ (New Health Standard) แต่บางบริษัทแค่ระบุเงื่อนไขว่าหากมีการเรียกร้องสินไหมมากผิดปกติ ก็จะปรับให้ลูกค้าร่วมจ่ายในอัตรา 0% นั่นหมายความว่าถึงแม้จะมีเงื่อนไข Copayment เข้ามา แต่บริษัทประกันชีวิตแห่งนั้นก็ยังรู้สึกว่า ยังไม่จำเป็นต้องให้ลูกค้าร่วมจ่าย เพราะเขายังสามารถควบคุมอัตราสินไหมให้เดินหน้าไปได้ถึงตอนนี้ ผู้เอาประกันภัยแต่ละคนต้องไปดูว่าในกรมธรรม์ประกันสุขภาพของตนนั้น มีเงื่อนไข Copayment ที่ระบุจำนวนเปอร์เซ็นต์ที่ต้องร่วมจ่ายหรือไม่ ถ้าระบุว่า 0% ก็แสดงว่าไม่ต้องร่วมจ่าย แต่ถ้าระบุว่า 20% หรือ 30% นั่นหมายความว่า เราได้ถือสัญญาที่มีเงื่อนไข Copayment เรียบร้อยแล้ว ถ้าเรามีการเรียกร้องสินไหมมากผิดปกติ เราสามารถถูกบังคับให้ต้องมีการร่วมจ่ายสินไหมในปีถัดไปด้วยเงื่อนไขของคำว่าการเรียกร้องสินไหมผิดปกติ มีอะไรบ้าง1. หากมีการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเกินความจำเป็นทางการแพทย์ หรือมีการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนด้วยกลุ่มโรคป่วยเล็กน้อยทั่วไป (Simple Diseases) ตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป และมีอัตราการเรียกร้องค่าสินไหมในรอบปีกรมธรรม์ประกันภัยตั้งแต่ 200% ของเบี้ยประกันภัย2. หากมีอัตราการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนของผู้เอาประกันภัยแต่ละรายในรอบปีกรมธรรม์ประกันภัยตั้งแต่ 400% (โดยจะไม่นำมาใช้กับการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนกรณีที่ป่วยด้วยโรคร้ายแรงหรือการผ่าตัดใหญ่)เท่าที่ทราบ ในกรมธรรม์ประกันสุขภาพมาตรฐานใหม่ จะระบุเงื่อนไขว่า ผู้เอาประกันภัยต้องร่วมรับผิดชอบสินไหมค่ารักษาพยาบาลแบบ Copayment สัดส่วน 30% ในปีถัดไปทำไมจึงมีเงื่อนไขนี้ขึ้นมาตามความเข้าใจของผู้เขียน เข้าใจว่าเกิดจากข้อตกลงของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ที่ขอ (กึ่งบังคับ) ให้บริษัทประกันภัยห้ามยกเลิกกรมธรรม์ของลูกค้าเมื่อพบว่าลูกค้าป่วยเป็นโรคร้ายแรงหรือมีสุขภาพที่ทรุดลง ยกเว้นในกรณีลูกค้าปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสุขภาพของตนเองตอนทำประกันชีวิตบริษัทประกันภัยจึงขอต่อรองเงื่อนไขว่า หากลูกค้ามีการเบิกสินไหมจุกจิก ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นตามเงื่อนไข 2 ข้อข้างบน ก็ขอให้ลูกค้ามีส่วนร่วมรับผิดชอบค่าสินไหมด้วย โดยบริษัทประกันภัยจะลดเบี้ยประกันให้ตามอัตราส่วนที่ลูกค้ารับผิดชอบอ้าว ถ้ามันเป็นอย่างนั้น ก็แปลว่า กรมธรรม์ประกันสุขภาพมีเงื่อนไขนี้มาแล้วสักระยะหนึ่ง ทำไม เราต้องตกใจกันยกใหญ่ก็เพราะกระแสข่าวที่ออกมา เป็นไปทำนองว่าบริษัทประกันภัยทุกแห่ง ร่วมกันเสนอให้สำนักงาน คปภ. อนุมัติกรมธรรม์ที่มีเงื่อนไข Copayment ตั้งแต่ปีแรก และในทุกการเรียกร้องสินไหมสุขภาพของทุกกรมธรรม์ที่สมัครใหม่เลยครับก่อนอื่น เราต้องทราบว่า กรมธรรม์ประกันสุขภาพที่มีเงื่อนไข Copayment นั้นมี 2 รูปแบบ คือ1. แบบกำหนดให้มี Copayment ตั้งแต่วันเริ่มทำประกันภัยสุขภาพ โดยผู้เอาประกันภัยมีความประสงค์ที่จะร่วมจ่ายในค่ารักษาพยาบาลที่มีการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ซึ่งโดยทั่วไปจะกำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์ของค่ารักษาพยาบาล เช่น หากสัญญาประกันภัยสุขภาพกำหนด Copayment ที่ 10% และมีค่ารักษาพยาบาล 100,000 บาท ผู้เอาประกันภัยจะต้องจ่าย 10,000 บาท ส่วนที่เหลือ 90,000 บาท บริษัทประกันภัยจะเป็นผู้รับผิดชอบ สัญญาประกันภัยสุขภาพรูปแบบนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง หรือมีสวัสดิการประกันภัยสุขภาพกลุ่มอยู่แล้ว โดยมีเบี้ยประกันภัยที่ถูกกว่ามาก2. แบบกำหนดให้มี Copayment ในเงื่อนไขการต่ออายุสัญญาคุ้มครองสุขภาพ กรณีครบรอบปีกรมธรรม์ประกันภัย (ปีต่ออายุ) ซึ่งจะใช้พิจารณาในช่วงที่มีการต่ออายุสัญญาประกันภัยสุขภาพนั้น โดยบริษัทต้องแจ้งเงื่อนไขดังกล่าวให้ผู้เอาประกันภัยทราบตั้งแต่วันเริ่มทำประกันภัยสุขภาพ และไม่สามารถเพิ่มเติมเงื่อนไขดังกล่าวในภายหลังได้โดยจะมาใช้ก็ต่อเมื่อมีการใช้สิทธิการเรียกร้องค่าสินไหมค่ารักษาพยาบาลที่เกินความจำเป็นทางการแพทย์ หรือใช้สิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาลที่ค่อนข้างสูง (ไม่รวมการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนด้วยโรคร้ายแรง หรือการผ่าตัดใหญ่) โดยจะต้องออกบันทึกสลักหลังให้กับผู้เอาประกันภัยเมื่อมีการเพิ่มเงื่อนไข Copayment เข้าไป และหากในปีกรมธรรม์ถัดไป ไม่เข้าเงื่อนไขการมี Copayment แล้ว บริษัทจะต้องกลับมาใช้เงื่อนไขปกติตามเดิม (ที่ไม่ต้องมี Copayment) ทั้งนี้ การกำหนดให้มี Copayment ในทุกกรณี รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 50%แต่คนส่วนใหญ่ รวมถึงตัวแทนประกันชีวิตเองก็ยังเข้าใจว่า ถ้าเราตกอยู่ในเงื่อนไขของ Copayment แล้วเราจะเสียเปรียบ เพราะต้องร่วมจ่ายค่าสินไหมหรือเบิกได้ไม่ครบ ขณะที่ยังต้องจ่ายเบี้ยประกันเท่าเดิม อันนี้เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอย่างยิ่งเพราะถ้าเราเลือกการประกันสุขภาพที่มีเงื่อนไข Copayment ตั้งแต่ปีแรก เช่น ร่วมจ่าย 10% ของค่าสินไหมที่เกิดขึ้น เบี้ยประกันสุขภาพของเราก็ต้องลดลงด้วย ซึ่งอาจจะลดลง 20-30% (ที่ประเทศสิงคโปร์เบี้ยประกันลดลง 30-40%) ซึ่งถือว่าน่าจูงใจมาก โดยเฉพาะคนที่คิดว่าตัวเองมีสุขภาพแข็งแรงหรือถ้ามองอีกมุมหนึ่งว่า คนชอบพูดกันว่าบริษัทประกันภัย/ประกันชีวิต เป็นเสือนอนกิน มีแต่กำไรอย่างเดียว การที่เราถูกบังคับเงื่อนไข Copayment เท่ากับเรามีส่วนร่วมในการรับประกันภัย 10% นั่นคือ ถ้าเราไม่มีการเรียกร้องสินไหม เราก็ได้เงิน 20-30% นี้เข้ากระเป๋าเราฟรี ๆ แต่ถ้าเรามีการเรียกร้องสินไหม เราก็ต้องร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เท่ากับว่าเราได้ทำตัวเป็นบริษัทประกันภัยย่อย ที่เข้าไปรับประกันภัยต่อจากบริษัทประกันชีวิต เราจะได้เข้าใจความเสี่ยงที่บริษัทประกันชีวิตเขารับไปเช่นกันผมขอยืนยันว่า ถ้าใครที่ซื้อกรมธรรม์ที่มีเงื่อนไข Copayment ในรูปแบบแรก ที่กำหนดให้มี Copayment ตั้งแต่วันเริ่มที่ทำประกันภัยนั้น เบี้ยประกันต้องถูกกว่าอัตราเปอร์เซ็นต์ที่เราร่วมจ่ายเสมอเหตุผลก็คือ คนที่เลือกกรมธรรม์แบบที่มีเงื่อนไข Copayment ตั้งแต่แรกนั้น เขาต้องมั่นใจว่าเขาเองเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรง โอกาสที่จะเรียกร้องสินไหมมีน้อย แต่ที่ยังทำประกันก็เผื่อพลาดในกรณีที่มีการรักษาใหญ่ ๆ ที่ตนคิดไม่ถึง เช่น อุบัติเหตุหรือโรคมะเร็ง ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ถึง 90% ก็ให้บริษัทประกันชีวิตรับผิดชอบไป ตัวเองก็หาเงินเพียงแค่ 10% ของค่ารักษาพยาบาล ซึ่งยังอยู่ในภาวะที่ยอมรับได้อีกเหตุผลที่สำคัญก็คือ เมื่อไหร่ที่มีเงื่อนไขร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาล ผู้เอาประกันภัยก็จะช่วยกลั่นกรองว่าการรักษาต่าง ๆ ที่คุณหมอเสนอมานั้นจำเป็นมากน้อยเพียงใด มันมีอาการหนักถึงขนาดจะต้องวินิจฉัยหรือรักษาโดยวิธีการนั้นหรือไม่ เมื่อคนไข้ได้สอบถามความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญอื่น เป็นลักษณะ Second Opinion แล้ว ก็จะรักษาเฉพาะที่จำเป็นจริง ๆ การตรวจวินิจฉัยที่ฟุ่มเฟือยก็ลดน้อยลงไป ทำให้ค่ารักษาพยาบาลก็จะถูกลงหรือลดน้อยลงประมาณ 30% (ตามผลการวิจัยของประเทศสิงคโปร์ที่พบว่าคนไข้ที่มีการร่วมจ่ายในค่ารักษาพยาบาลนั้น มักจะมีค่ารักษาพยาบาลที่ถูกกว่าโดยเฉลี่ย 30%)ดังนั้น แทนที่เราจะบอกว่าบริษัทประกันชีวิตที่ออกเงื่อนไข Copayment นั้นเป็นผู้ร้าย ผมก็อยากให้บริษัทประกันชีวิตแสดงบทเป็นพระเอก โดยการออกกรมธรรม์ประกันสุขภาพที่มีเงื่อนไข Copayment และมีส่วนลดเบี้ยประกันมากกว่าอัตราเปอร์เซ็นต์ที่ลูกค้าต้องร่วมจ่าย และผมเชื่อมั่นว่าบริษัทไหนชิงออกผลิตภัณฑ์ตัวนี้ก่อน ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวลูกค้าที่มีคุณภาพ ลูกค้าที่มั่นใจว่าตนเองแข็งแรง ดูแลสุขภาพดี เข้าอยู่ในพอร์ตโฟลิโอของตนส่วนสำนักงาน คปภ. ก็ต้องเร่งสร้างความเข้าใจกับประชาชนว่า ถ้าประเทศของเรามีกรมธรรม์แบบ Copayment มากขึ้น หรืออาจจะบังคับใช้ในทุกกรมธรรม์เหมือนในสิงคโปร์ ก็จะทำให้ประชาชนหันกลับมาดูแลสุขภาพของตนเอง ขณะเดียวกันก็คอยตรวจสอบค่ารักษาที่คุณหมอเสนอมา ว่าเหมาะสมหรือฟุ่มเฟือยเกินไป ก็จะช่วยลดการใช้ทรัพยากรของชาติ ที่หมดไปจากการใช้ยาแพงเกินไปหรือใช้เครื่องมือที่ฟุ่มเฟือยเกินไปดังนั้น ผมจึงเชื่อว่าประกันสุขภาพแบบประชาชนมีส่วนร่วมจ่าย เป็นพระเอกที่เข้ามากู้สถานการณ์ค่ารักษาพยาบาลที่พุ่งพรวดสูงเกินไป ทำให้ประเทศชาติเสียทรัพยากรไปจำนวนมาก ทั้งเงินตราที่ต้องเสียไปในการนำเข้ายาและเครื่องมือแพทย์จากต่างประเทศ สูญเสียประสิทธิภาพในการทำงานของคนวัยทำงานที่ยังนอนพักรักษาในโรงพยาบาลทั้งที่พอจะหายดี กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้แล้ว ซึ่งผมเชื่อว่าการที่ประเทศสิงคโปร์บังคับให้ทุกบริษัทประกันชีวิตต้องมีเงื่อนไข Copayment ในกรมธรรม์นั้น ผ่านการวิจัยและการไตร่ตรองมาอย่างดีเยี่ยมแล้วประเทศไทยยังต้องมีช่วงเปลี่ยนผ่านในเรื่องนี้ เพื่อให้คนรู้จักพึ่งพาตัวเองมากขึ้น ลองคิดดูว่าถ้าเบี้ยประกันสุขภาพของเราถูกลง 20-30% ประชาชนสามารถจัดหาประกันสุขภาพได้มากขึ้น (แทนที่จะพึ่งพาแต่ภาครัฐ) พร้อมทั้งกระตุ้นให้พวกเขาหันกลับมาดูแลสุขภาพตนเอง เมื่อเป็นผู้ป่วยก็รีบเช็กเอาต์จากโรงพยาบาลหลังจากที่อาการดีขึ้น มีเตียงว่างมากขึ้น บุคลากรทางการแพทย์ก็มีเวลาพักผ่อนมากขึ้นเมื่อกรมธรรม์ส่วนใหญ่ของประเทศมีเงื่อนไข Copayment ก็จะทำให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลต่อรายลดลง ภาพรวมของการเรียกร้องสินไหมลดลง อัตราการเติบโตของค่าใช้จ่ายเรื่องค่ารักษาพยาบาลลดลง ทำให้อัตราเบี้ยประกันสุขภาพชะลอตัว ไม่ขึ้นพรวดพราดเหมือนในอดีต กลับมาสู่มาตรฐานที่ควรจะเป็น ผมเชื่อว่าประโยชน์จะตกกับทุกฝ่าย ทั้งประชาชน บริษัทประกันภัยและประเทศชาติในที่สุด ผมจึงสนับสนุนเรื่องนี้เต็มที่ครับหมายเหตุ1. ในประเทศสิงคโปร์ ถึงแม้จะกำหนดให้กรมธรรม์ประกันสุขภาพทุกฉบับต้องมีเงื่อนไข Copayment ที่ 10% แต่ก็ยังอนุโลมให้บริษัทประกันภัยออกกรมธรรม์ประกันสุขภาพแบบเบิกได้ทุกบาททุกสตางค์ด้วย เพียงแต่เบี้ยประกันภัยจะสูงกว่าแบบ Copayment ถึง 40% ดังนั้นประชาชนส่วนใหญ่กว่า 95% จึงเลือกทำประกันแบบ Copayment2. กรมธรรม์แบบมีเงื่อนไข Copayment ในไทย ยังไม่มีข้อสรุป สำนักงาน คปภ. ยังไม่ได้ตัดสินใจในเรื่องนี้ คาดว่าในระยะแรกน่าจะออกเป็นกรมธรรม์ประกันสุขภาพที่มีเงื่อนไข Copayment 2 รูปแบบพร้อมกัน คือแบบบังคับใช้ตั้งแต่ปีแรก และแบบที่ถูกตั้งเงื่อนไข Copayment ในกรณีที่มีการเรียกร้องสินไหมผิดปกติ แล้วค่อยประเมินผลอีกครั้งหนึ่งว่า จะบังคับใช้ในทุกกรมธรรม์ได้หรือไม่ ประชาชนพร้อมรับหรือไม่แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1728283
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
30/04/2024
30/04/2024
05/09/2024
17/12/2024
30/04/2024