Everyday knowledge for you
ประกันภัย
30/04/2024
อุบัติเหตุคือสิ่งที่ไม่แน่นอน ไม่เคยนัดวันล่วงหน้าว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ยิ่งช่วงวันหยุดยาว หรือเทศกาลสำคัญอย่างวันสงกรานต์ อัตราการเกิดอุบัติเหตุก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นจนน่าใจหาย จากข้อมูลสถิติในปี 62 พบว่าเดือนเมษายนมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบนทางหลวงทั้งหมด 2,325 ครั้ง เสียชีวิต 311 คน และเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาธรรมดาอย่างเดือนมีนาคมพบว่าจำนวนของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นต่างกันถึง 1.6 เท่า อุบัติเหตุนอกจากจะสร้างความเจ็บปวดให้แก่ร่างกายแล้ว ยังอาจส่งผลกระทบต่อการเงินในกระเป๋าด้วยเช่น เพราะถ้ามีเงินสำรองไม่เพียงพอ หรือมีสวัสดิการ แต่ไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายการรักษาที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็อาจทำให้ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อจ่ายให้กับอุบัติเหตุที่เคยคาดหวังจะให้เกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ประกันอุบัติเหตุจึงกลายเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่คนส่วนใหญ่เลือกมาไว้แผนสำรองในยามที่เกิดอุบัติเหตุ นอกจากนี้ก็ยังเหตุผลอีก 5 ข้อด้วยกันที่จะช่วยย้ำเตือนว่าทำไมเราจึงควรประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลไว้ในครอบครองเหตุผลข้อที่ 1 ไม่ต้องกังวลเรื่อค่ารักษาในกรณีที่เราเกิดอุบัติเหตุขึ้นไม่ว่าจะอาการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย หรือเข้าขั้นสาหัส ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลก็คอยช่วยดูแลเรื่องใช้จ่าย หรือค่ารักษาต่างๆ ให้ ซึ่งหากค่ารักษาที่เกิดขึ้นนั้นไม่เกินวงเงินที่สัญญากรมธรรม์กำหนดไว้ เราก็แทบจะไม่ต้องกวักเงินตัวเองออกมาจ่ายเลยแม้แต่สตางค์เดียวเหตุผลข้อที่ 2 มีค่าชดเชยในกรณีที่เสียชีวิต ทุพพลภาพ หรือสูญเสียอวัยวะจากอุบัติเหตุหลายคนอาจไม่เคยรู้ว่าประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลนั้นให้ความคุ้มครองผู้เอาประกันในกรณีที่เสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ/สายตา หรือการทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง/ชั่วคราวสิ้นเชิง/ชั่วคราวบางส่วนจากอุบัติเหตุด้วย โดยบริษัทประกันจะจ่ายค่าชดเชย หรือสินไหมทดแทนให้เป็นเงินจำนวนตามที่สัญญากรมธรรม์กำหนดไว้ ยกตัวอย่างเช่น นาย noon ทำประกันอุบัติเหตุกับบริษัท a ไว้ 1 กรมธรรม์ โดยทำทุนประกันไว้ที่ 1,000,000 บาท หลังจากไปได้ไม่นาน นาย noon ประสบอุบัติเหตุจนต้องสูญเสียมือข้างซ้ายไป ทำให้บริษัทประกันต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับนาย noon เป็นจำนวน 60% ของจำนวนเงินเอาประกัน ดังนั้นนาย noon จะได้รับเงินชดเชยจากบริษัทประกันเป็นจำนวน 600,000 บาทเหตุผลข้อที่ 3 ไม่ต้องตรวจสุขภาพเหตุผลข้อที่ 3 นี้อาจเป็นหนึ่งในเหตุผลข้อหลักๆ ที่คนส่วนใหญ่สนใจทำประกันอุบัติเหตุ เพราะโดยปกติแล้วประกันสุขภาพในทุกๆ แบบจำเป็นต้องตรวจสุขภาพทุกครั้งก่อนที่จะเริ่มทำสัญญา แต่ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลส่วนใหญ่นั้นแทบจะไม่จำเป็นเลยที่ต้องมีผลการตรวจสุขภาพ เพียงแค่ตอบคำถามสุขภาพให้ตรงตามความเป็นจริงเท่านั้น และะหากเราเป็นผู้ที่มีสุขภาพสมบูรณ์และมีอายุอยู่ภายในกฎเกณฑ์ที่กำหนดก็สามารถทำประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลได้แบบไม่มีปัญหาเหตุผลข้อที่ 4 จ่ายให้เลยไม่รอในกรณีที่เราไปเดินไปต่างจังหวัดแล้วดันเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลก็จ่ายให้เราทันที โดยไม่ต้องมานั่งสำรองจ่ายไม่เหมือนกับประกันสังคมที่เราต้องสำรองจ่าย แล้วไปทำเรื่องขอเงินคืนทีหลังเหตุผลข้อที่ 5 เบี้ยประกันถูกเหมือนให้ฟรีประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลส่วนใหญ่เบี้ยประกันจะราคาไม่แรงมาก บางแผนประกันเบี้ยอาจเริ่มต้นหลักร้อยเพียงเท่านั้น ซึ่งความถูก หรือแพงของเบี้ยประกันนั้นจะถูกคิด หรืออ้างอิงมาจากแผนประกันที่เราเลือก ความเสี่ยงของกลุ่มอาชีพ และความคุ้มครองเสริมที่เลือกเสริมเข้ามา อีกทั้งประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) ยังเป็นประกันที่มีความยืดหยุ่นสูงเนื่องจากเป็นสัญญาแบบปีต่อต่อ กล่าวคือประกันจะให้ความคุ้มครองผู้เอาประกันเพียง 1 ปีเท่านั้น หากเรารู้สึกว่าแผนประกันอุบัติเหตุที่ทำอยู่ในปัจจุบันนั้นไม่ตอบโจทย์ ปีหน้าก็สามารถเลือกแผนประกันใหม่ได้โดยไม่ติดเงื่อนไขอะไรขอบคุณแหล่งข้อมูล :tgia.org, oic.or.th, aar-insurance.ke, tataaig.com, metlife.com,cigna.co.th maoinvestor.comแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับnoon bloghttps://www.noon.in.th/blog/5-reason-should-have-pa/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
fintips by ttb ชวนรู้ 20 คำศัพท์เกี่ยวกับ “กองทุนรวม” ที่มือใหม่ควรรู้ การลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดก็ตาม ควรทำการศึกษาและเข้าใจในสินทรัพย์นั้น ๆ ให้ดีเสียก่อน เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อพอร์ตการลงทุน เริ่มต้นด้วยการศึกษาคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ที่เหมาะกับนักลงทุนมือใหม่ อย่างการลงทุนใน “กองทุนรวม” ว่าแต่ละคำศัพท์ที่นักลงทุนควรรู้นั้นมีอะไรบ้าง วันนี้ fintips by ttb จะมาแนะนำคำศัพท์เหล่านี้เพื่อให้นักลงทุนมือใหม่ได้รู้ และเข้าใจก่อนที่จะลงทุน 1. กองทุนรวม (Mutual Fund) คือ การรวบรวมเงินของนักลงทุน นำมาลงทุนตามนโยบายที่กองทุนรวมนั้น ๆ กำหนดไว้ โดยมี “ผู้จัดการกองทุน” ที่เป็นมืออาชีพช่วยบริหารจัดการเงินของกองทุน 2. ตราสารหนี้ (Bond) คือ ตราสารทางการเงินที่ผู้ถือ หรือนักลงทุนมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ และผู้ออกตราสารหนี้มีสถานะเป็นลูกหนี้ โดยเจ้าหนี้จะได้รับผลตอบแทนในรูปของ “ดอกเบี้ย” อย่างสม่ำเสมอ ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ และจะได้รับ “เงินต้น” คืน เมื่อครบกำหนดอายุ ตัวอย่าง ตราสารหนี้ที่พบเห็นทั่วไป เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้เอกชน 3. ตราสารทุน (Equity Instruments) คือ ตราสารที่กิจการออกขายให้แก่ผู้ลงทุนเพื่อระดมเงินทุนไปใช้ในกิจการ ตราสารทุนแบ่งได้หลายประเภท เช่น หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น 4. กองทุนรวมผสม (Mixed Fund) คือ กองทุนรวมที่ลงทุนทั้งในตราสารทุนและตราสารหนี้ โดยกองทุนรวมประเภทนี้จะให้ผลตอบแทน และความเสี่ยงที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับสัดส่วนของการลงทุนในตราสารแต่ละประเภทที่กำหนดไว้ในหนังสือชี้ชวน ซึ่งแบ่งได้ 2 แบบ คือ กองทุนรวมแบบผสมที่มีข้อกำหนดในการลงทุนในตราสารทุน (Balanced Fund) และกองทุนรวมแบบผสมยืดหยุ่น (Flexible Fund) 5. กองทุนลดหย่อนภาษี คือ กองทุนรวมที่สามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งมีด้วยกัน 2 กองทุนรวม ได้แก่ Super Saving Funds (SSF) คือ กองทุนรวมเพื่อการออม ที่มีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์ได้ทุกประเภท ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น หุ้น ตราสารหนี้ กองทุนดัชนี ฯลฯ และ Retirement Mutual Fund (RMF) คือ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่มีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์ได้หลายประเภท 6. บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) คือ บริษัทที่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้บริหารเงินลูกค้าในรูปแบบกองทุนรวม (Mutual Fund) กองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) 7. หน่วยลงทุน Net Asset Value (NAV) คือ มูลค่าทรัพย์สินสุทธิเป็นมูลค่าเงินลงทุนทั้งหมดของกองทุนรวม รวมถึงผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่กองทุนรวมได้รับจากการลงทุน หักออกด้วยค่าใช้จ่าย และหนี้สินของกองทุนรวมนั้น โดยปกติแล้วจะคำนวณมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนตามราคาตลาดในแต่ละวัน (Mark to Market) เพื่อสะท้อนถึงมูลค่าที่เป็นจริงตามสภาวะตลาดที่ได้เปลี่ยนแปลงไป 8. หนังสือชี้ชวนส่วนสรุป (Fund Fact Sheet) คือ หนังสือที่ บลจ.เป็นผู้ออกเพื่อเผยแพร่ข้อมูลของกองทุนให้ผู้ลงทุนทราบ ภายในหนังสือจะบอกรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับกองทุนรวมนั้น ๆ เช่น ประเภทของกองทุน ความเสี่ยง นโยบายการลงทุน สัดส่วนของสินทรัพย์ที่กองทุนรวมลงทุน ผลตอบแทนย้อนหลัง และข้อมูลสำคัญอื่น ๆ เป็นต้น ซึ่งนักลงทุนควรอ่านและศึกษาข้อมูลในส่วนนี้ทุกครั้ง เพื่อทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน 9. Capital Gain คือ ผลกำไรจากส่วนต่างของราคาหลักทรัพย์ กำไรที่ได้จาก Capital Gain ถูกเรียกเก็บภาษีในบางประเทศ (Capital Gains Tax) ส่วนในประเทศไทยนั้น เงินได้จากการขายหรือโอนหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังไม่มีการเรียกเก็บภาษี ส่วนในกรณีที่เป็นการขายหรือโอนหลักทรัพย์นอกตลาด ผู้ลงทุนประเภทบุคคลธรรมดาที่อยู่ในประเทศไทยถึง 180 วันในปีภาษีจะต้องเสียภาษีโดยถูกหัก ณ ที่จ่ายตามอัตราภาษีก้าวหน้า และต้องนำเงินได้ไปรวมคำนวณตอนสิ้นปีด้วย ส่วน Capital Gain จากการลงทุนในกองทุนรวม ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี 10. เงินปันผล (Dividend) คือ การปันผลกำไรของบริษัทคืนแก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งจะจ่ายเป็นเงินสด สินทรัพย์ หรือหุ้นก็ได้ ซึ่งรายได้ส่วนดังกล่าวที่นักลงทุนได้รับจะต้องเสียภาษีโดยถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% แต่สามารถขอคืนภาษีย้อนหลังได้โดยใช้สิทธิเครดิตภาษีเงินปันผล 11. Dollar Cost Average (DCA) คือ วิธีการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน ที่ลงทุนด้วยเงินลงทุนเท่า ๆ กันทุกงวด โดยไม่คำนึงถึงราคาของสินทรัพย์ลงทุน ณ ขณะนั้น โดยจะนิยมใช้กับการลงทุนในกองทุนรวมหรือหุ้น เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ยังจับจังหวะลงทุนไม่ได้ หรือไม่มีเวลาติดตามข่าวสาร 12. Lump Sum คือ วิธีการลงทุนแบบครั้งเดียวด้วยเงินก้อนในจังหวะเวลาที่ประเมินแล้วว่าเหมาะสม (Market Timing) และมีความมั่นใจว่าในอนาคตราคาสินทรัพย์ที่ลงทุนจะปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเหมาะสำหรับนักลงทุนที่สามารถวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน และภาวะเศรษฐกิจได้ดี มีความรู้เรื่องการวิเคราะห์ทางเทคนิค มีเงินก้อน และรอคอยเวลาที่เหมาะสมในการลงทุนได้ เพราะถ้าหากจับจังหวะลงทุนผิดก็อาจสร้างผลขาดทุนเป็นจำนวนมาก 13. ภาวะเงินเฟ้อ (Inflation) คือ ภาวะที่ราคาสินค้าหรือบริการเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่ารักษาพยาบาล เสื้อผ้า ราคาที่ดิน ฯลฯ ซึ่งหากเรามีเงินเท่าเดิมจะซื้อสินค้าหรือบริการเหล่านั้นได้น้อยลงกว่าเดิม โดยสาเหตุการเกิดเงินเฟ้อแบ่งได้เป็น 2 สาเหตุหลัก ๆ คือ ความต้องการซื้อสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น (Demand-Pull Inflation) และต้นทุนการผลิตสูงขึ้น (Cost-Push Inflation) 14. ภาวะเงินฝืด (Deflation) คือ ภาวะที่ราคาสินค้าและบริการลดต่ำลงเรื่อย ๆ เนื่องจากปริมาณสินค้าและบริการต่าง ๆ ที่ผลิตออกมามีมากกว่าความต้องการซื้อสินค้าของคนในประเทศ หรือพูดง่าย ๆ คือ ตรงข้ามกับภาวะเงินเฟ้อ โดยสาเหตุของเงินฝืดเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งเกิดจากความเชื่อมั่นของผู้ซื้อลดลง ไม่กล้าใช้จ่ายเงิน เนื่องจากปัจจัยที่เข้ามากระทบ เช่น ภัยธรรมชาติ หรือเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง รวมไปถึงปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจไม่เพียงพอ เช่น เงินตราไหลออกนอกประเทศมากเกินไป เป็นต้น 15. Stagflation คือ การรวมคำ 2 คำเข้าด้วยกัน ได้แก่ Stagnation คือ ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวหรือชะงัก และ Inflation คือ ระดับราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นหรือเงินเฟ้อ Stagflation จึงหมายถึง ภาวะที่อัตราเงินเฟ้อและการว่างงานเพิ่มขึ้น แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจกลับโตไม่ทันกัน 16. Gross Domestic Product (GDP) คือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ คำนวณมาจากมูลค่าสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตในประเทศ ณ ช่วงเวลานั้น หรือพูดง่าย ๆ ว่า GDP เป็นมูลค่าเศรษฐกิจทั้งหมดที่เกิดขึ้นในประเทศ ซึ่งประกอบด้วย 4 ส่วนสำคัญ ได้แก่ Consumption คือ การบริโภคของภาคเอกชนและประชาชนทั่วไป Investment คือ การลงทุนของภาคเอกชน Government Spending คือ การใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ และ Net Export คือ มูลค่าการส่งออกสุทธิ 17. Federal Reserve (Fed) คือ หน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่ดูแลนโยบายการเงินของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่ง Fed นั้นมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ และการเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งจะมีผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต อัตราคิดลด (Discount Rates) และการลงทุนของนักลงทุน ซึ่งไม่มีใครจะสามารถคาดการณ์ได้ถูกต้องว่าทิศทางในอนาคตและนโยบายของ Fed จะเป็นอย่างไร ซึ่งต้องอาศัยการวิเคราะห์ การคาดเดาจากการสื่อสารของ Fed 18. Federal Open Market Committee (FOMC) คือ คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ มีหน้าที่ในการกำหนดและรักษาอัตราดอกเบี้ยนโยบายโดยตรง ซึ่งให้ความสำคัญกับการดำเนินการผ่านตลาดการเงิน โดยใช้เครื่องมือในการบริหารจัดการเป้าหมายของอัตราการว่างงาน และเป้าหมายเงินเฟ้อ 19. การจัดพอร์ตการลงทุน (Investment Portfolios) คือ การกระจายลงทุนในหลากหลายหลักทรัพย์ เพื่อลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าหลักทรัพย์ โดยขึ้นอยู่กับแผนการลงทุนว่าเรารับความเสี่ยงได้แค่ไหน คาดหวังผลตอบแทนเท่าไหร่ และมีวัตถุประสงค์ในการลงทุนอย่างไร 20. Stop Loss คือ จุดตัดการลงทุน หรือจุดตัดการขาดทุน คือ การตั้งจุดตัดเพื่อไม่ให้ราคาหลักทรัพย์ในพอร์ตลดลงไปมากกว่านี้ ซึ่งขณะที่ทำการ Stop Loss นั้น นักลงทุนอาจขาดทุน หรือได้กำไรอยู่ในขณะที่ขายก็ได้ แต่ขายออกไปเพื่อป้องกันไม่ให้กำไรลดลงกว่าที่เป็น หรือขาดทุนมากยิ่งขึ้น การลงทุนไม่เป็นเรื่องที่ยากเกินอีกต่อไป หากทำความเข้าใจกับ 20 คำศัพท์ควรรู้นี้ เพื่อให้เข้าใจหลักการ พร้อมตั้งเป้าหมายการลงทุน เท่านี้ก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุน สามารถวางแผนลงทุนได้อย่างสบายใจ เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีแบบยั่งยืน ทั้งนี้การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์ https://www.prachachat.net/finance/news-1127814
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
วันที่ 23 ธันวาคม 2016 เป็นวันที่อยู่ในความทรงจำของ Steve Adcock ไปตลอดชีวิต เพราะเป็นวันสุดท้ายของเจ้าตัวที่จะได้ทำงานเต็มเวลา เนื่องจากเจ้าตัว และภรรยาได้เกษียณก่อนกำหนดเมื่ออายุเดินทางมาถึง 33 ปี และ 35 ปี ตามลำดับ ด้วยเงินเก็บที่ทำให้มีอิสรภาพทางการเงิน นี่คือวิธีที่เขาจัดการจนสามารถมีเงินเก็บ ที่ใครๆ ก็สามารถทำได้ 1. มองข้าม passion ตัวคุณเอง แน่นอนว่าความหลงใหลมีแนวโน้มไปในทางสร้างสรรค์ แต่ไม่สามารถสร้างเงินให้กับเราได้เสมอไป โดยความหลงใหลของผมคือการถ่ายภาพ แต่จุดแข็งของผม คือวิทยาการคอมพิวเตอร์ ที่สามารถทำเงินได้มากกว่า ซึ่งในปี 2004 เงินเดือนเริ่มต้นในฐานะวิศกรซอฟต์แวร์ของผม คือ 55,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และในปี 2016 ผมสามารถทำเงินได้มากกว่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ผมอาจไม่มีเงินมากกว่านี้หากเลือกทำตาม passion 2. เรียนรู้จากมหาเศรษฐี ตลอดชีวิตการทำงานของผม ผมทำงานกับคนร่ำรวยมากมาย แทนที่จะอิจฉาพวกเขา ผมกลับจดบันทึก ผมไม่มีวันลืมเรื่องราวของ Brian ที่ผมทำงานด้วยหลังเลิกงาน แม้ว่าเขาจะเป็นมหาเศรษฐี แต่เขาก็ใส่นาฬิกา Casio ราคาถูก และไม่ได้สวมเสื้อผ้าแบรนด์เนมแต่อย่างใด โดย Brian เป็นคนที่มีความรับผิดชอบ เขาไม่ได้มาจากคนที่ฐานะร่ำรวย แต่เขาหาความมั่งคั่งด้วยการลงทุน และควบคุทการใช้จ่าย 3. ตัดคนขี้แพ้ออกจากชีวิต หากคุณออกไปเที่ยวกับคนที่ชอบดื่มตามบาร์ และใช้เงินเป็นจำนวนมาก จึงไม่แปลกที่คุณจะมีนิสัยการใช้เงินแบบเดียวกัน ดังนั้น คุณสามารถยกระดับตัวเองด้วยการอยู่กับคนที่ประสบความสำเร็จ โดยภารกิจของผมคือการสร้างความสัมพันธ์กับพวกเขา หลังจากนั้น ผมรู้สึกว่าการตัดสินใจเรื่องเงินดีขึ้น และลดแอลกอฮอล์ รวมถึงตั้งใจทำงานจนได้เลื่อนตำแหน่ง 4. เรียนรู้การใช้สิทธิ์ลดหย่อน ผมลงทุนในกองทุนที่นายจ้างสนับสนุน โดยบริษัทบางแห่งมีบัญชี Health Savings (HSA) เพื่อช่วยให้พนักงานประหยัดเงินก่อนหักภาษี ตลอดจนการใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี เหล่านี้จะช่วยในเรื่องค่าใช้จ่ายเป็นอย่างดี 5. เปลี่ยนบริษัท 5 ครั้ง ในรอบ 14 ปี การหางานมักเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการขอขึ้นเงินเดือน เพราะการต่อรองเงินเดือนที่สูงขึ้นถือเป็นเรื่องปกติของกระบวนการนี้ โดยผมได้รับเงินเพิ่ม 15-20% ทุกครั้งที่เปลี่ยนบริษัท ซึ่งสูงกว่าค่าครองชีพทั่วไป 3% ที่นายจ้างจำนวนมากเสนอให้พนักงาน อย่างไรก็ตาม ข้อควรระวังคืออย่าเปลี่ยนบริษัทบ่อย ควรทำงานอย่างน้อย 1 ปี เพราะนายจ้างบางคนจะไม่ชอบจ้างพนักงานที่เปลี่ยนงานบ่อย 6. ใช้ระบบอัตโนมัติกับเรื่องเงิน ผมหักเงินอัตโนมัติเข้าบัญชีเกษียณอายุ การจ่ายค่าสาธารณูปโภค ต่าง ๆ เพื่อให้เป็นระบบ และไม่ต้องมานั่งเสียดอกเบี้ยภายหลัง 7. ไม่สนใจผู้ที่เกลียดชัง ส่วนที่น่าเสียดายของการทำอะไรที่สำคัญ คือคุณจะโดนเกลียด บางครั้งก็เยอะ โดยผู้คนจะวิพากษ์วิจารณ์การใช้จ่ายเงินที่แตกต่างกัน คุณอาจต้องเสียเพื่อนไป หากคุณปฏิเสธชั่วโมงแห่งความสุขประจำสัปดาห์ที่บาร์ใกล้บ้านคุณ มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ความเกลียดชังเป็นเรื่องที่ควรมองข้าม หากคุณจะสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเอง 8. ให้ความสำคัญกับการสื่อสาร บ่อยครั้งที่คู่สมรสมีความคิดที่แตกต่างกันเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้จ่าย เป้าหมาย และความฝัน หากปล่อยไว้โดยไม่ทำอะไร ความแตกต่างเหล่านี้อาจทำให้เกิดข้อโต้แย้ง และปัญหาอื่น ๆ ในความสัมพันธ์ที่ขัดขวางไม่ให้คุณบรรลุเป้าหมายทางการเงิน ดังนั้น ความสัมพันธ์ขึ้นอยู่กับการสื่อสารอย่างเปิดเผยกับคู่ครองของคุณ เพื่อให้คุณสามารถกำหนดเป้าหมาย และสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุขได้ 9. ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพ ชีวิตมีค่ามากกว่าเงิน เหนือสิ่งอื่นใด สุขภาพเป็นสิ่งสำคัญที่สุด การมีสุขภาพที่ดีทำให้คุณมีความสุข และมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังลดโอกาสค่ารักษาพยาบาลที่ไม่คาดคิดอีกด้วย ที่มา: cnbc แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับsmartsme https://www.smartsme.co.th/content/248777
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
นิสัย... สร้างไม่ง่าย แต่สร้างได้ครับ โดยเฉพาะนิสัยดีๆทางการเงิน ยาวหน่อยแต่อ่านให้จบนะครับ 1. นิสัยกำหนดงบประมาณ นิสัยข้อนี้เป็นนิสัยพื้นฐานของคนที่ต้องการมีความสำเร็จทางการเงิน ในแต่ละเดือนคุณควรกำหนดงบประมาณสำหรับรายจ่ายต่างๆ งบประมาณค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่ากินอยู่ ท่องเที่ยว และอื่นๆ และงบประมาณสำคัญที่สุดที่คุณควรตั้งคือ งบเงินอออม เงินลงทุนในแต่ละเดือนครับ 2. นิสัยไม่ใช้เงินเกินตัว ปัญหาทางการเงินของคนยุคนี้หนึ่งปัญหาคือปัญหาเรื่องบัตรเครดิต หากคุณต้องการมีความสำเร็จทางการเงิน คุณต้องใช้บัตรเครดิตให้เป็น บัตรเครดิตเป็นเครื่องมือในการอำนวยความสะดวกในการจับจ่ายใช้สอย ไม่ใช่เป็นอุปกรณ์ในการให้คุณใช้เงินเกินกว่าที่คุณมีนะครับ 3. นิสัยการจ่ายบิลต่างๆตรงเวลา บิลค่าใช้จ่ายต่างๆที่คุณต้องจ่าย ไม่ว่าจะค่านำ้ ค่าไฟ ค่าผ่อนต่างๆ รวมทั้งสลิปเรื่องบัตรเครดิตที่คุณต้องจ่ายทุกเดือน สร้างนิสัยจ่ายตรงเวลาเถอะครับ เดี๋ยวนี้มีระบบช่วยเตือนคุณมากมาย ตั้งเวลาเตือนเลยครับ ยังไงๆก็ต้องจ่าย จ่ายช้าบางทีเกิดลืมจ่ายเข้าไปอีก อาจทำให้คุณมีค่าใช้จ่ายเพิ่มจากดอกเบี้ย หรือค่าปรับนะครับ 4. นิสัยออมเงินอัตโนมัติ วินัยในการออมและการลงทุนจะช่วยให้คุณมีโอกาสสำเร็จทางการเงิน ระบบการออมอัตโนมัติคือระบบที่จะช่วยสร้างวินัยให้คุณ หาทางที่จะสร้างระบบที่จะหักเงินจากบัญชีเงินฝากของคุณ เพื่อไปออมหรือลงทุนทุกๆเดือน เช่นหักบัญชีซื้อกองทุน หักบัญชีย้ายมาฝากประจำ เข้าระบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หักบัญชีออมเงินในกรมธรรม์ วิธีนี้จะช่วยให้คุณมีเงินเก็บอย่างแน่นอน 5. นิสัยตรวจสอบราคาก่อนซื้อ เวลาที่คุณจะซื้ออะไร อย่ารีบร้อนตัดสินใจซื้อทันที เช็คราคาก่อนที่จะซื้อหน่อยดีไหม เดี๋ยวนี้แค่คุณกดหาเข้าไปที่สมาร์ทโฟนที่อยู่ในมือคุณ ไม่กี่นาทีคุณก็สามารถตรวจสอบราคาของที่คุณจะซื้อได้แล้ว ว่าราคามันถูกหรือแพงกว่าแหล่งอื่นๆ มันช่วยให้คุณประหยัดเงินที่ต้องจ่ายได้พอสมควรเลย 6. นิสัยตรวจสอบรอยรั่วของเงินคุณเสมอๆ การจดบันทึกค่าใช้จ่าย จะทำให้คุณรู้ว่า เงินที่คุณหามาอย่างยากลำบาก มันไหลไปทางใดมั่ง จำนวนเท่าไหร่ มันจะช่วยให้คุณรู้จุดอ่อนทางการเงินของคุณ คุณจดบันทึกค่าใช้จ่ายของคุณไปสักสองสามเดือน เแล้วคุณจะประหลาดใจมากๆกับรายจ่ายบางอย่างของคุณแน่นอน 7. นิสัยจ่ายหนี้ที่คุณมี การจ่ายหนี้ต่างๆที่คุณมี ควรเป็นความสำคัญลำดับแรกๆเรื่องเงินของคุณ การจ่ายหนี้ไม่ตรงเวลาหรือไม่จ่ายหนี้ จะทำให้เครดิตของคุณเสียหาย ซึ่งจะมีผลต่อการขอกู้หนี้ที่จำเป็นของคุณในอนาคต อย่างเช่นกู้ซื้อบ้าน ซื้อรถ นอกจากนั้นมันยังทำให้คุณมีรายจ่ายเรื่องดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีกด้วย 8. นิสัยสร้างกองทุนเงินฉุกเฉิน บางทีคุณอาจไม่เคยฉุกเฉินเลย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่ต้องเตรียม รายจ่ายพวกนี้คุรไม่อาจรู้เลยว่ามันจะมาเมื่อไร อย่างค่าซ่อมรถ ซ่อมบ้าน ค่ารักษาพยาบาลของตัวเองและคนในบ้าน เผื่อเงินก้อนนี้ไว้มั่งนะครับ ฉุกเฉินขึ้นมาแล้วไม่มีใช้จะยุ่งนะ 9. นิสัยเก็บออมเงินเพื่อเกษียณ เรื่องเกษียณเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายถ้าคุณไม่ได้เตรียมเงิน การแบ่งเงินมาเก็บ มาออม มาลงทุนเพื่อเกษียณตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นเรื่องที่คุณควรทำเป็นอย่างยิ่ง การออมเงินจำนวนน้อยๆแต่ต่อเนื่อง จะช่วยให้คุณมีเงินเพื่อวันเกษียณที่ยังไงๆก็มาถึงแน่นอน 10. นิสัยไม่ประมาททางการเงิน ความประมาทเป็นบ่อเกิดของความล้มเหลวทุกอย่าง คุณต้องระมัดระวังค่าใช้จ่ายใหญ่ๆที่อาจเกิดขึ้น ที่อาจทำให้คุณเกิดความเสียหายทางการเงินอย่างรุนแรง เช่นค่ารักษาพยาบาลการเจ็บป่วยร้ายแรง ที่คุณป้องกันได้โดยการทำประกัน หรือป้องกันความประมาทในเรื่องการลงทุนที่คุณไม่ได้เข้าใจจริง ด้วยความไม่โลภ หมั่นหาความรู้เรื่องการลงทุนที่ถูกต้องสม่ำเสมอ หากคุณไม่ประมาทเสียอย่าง ก็จะไม่มีทางที่จะมีอะไรมาหยุดยั้งความร่ำรวยของคุณได้เลย อ่านถึงตรงนี้คุณมีนิสัยเรื่องเงินอะไรที่ผมบอกมั่งแล้วครับ ถ้ามีแล้วทำให้มีมากขึ้น ถ้าไม่มีก็รีบทำให้มีนนะครับ ความสำเร็จทางการเงินอยู่ข้างหลังนิสัยการเงินดีๆเหล่านี้ครับ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ stock2morrow https://stock2morrow.com/article/5063
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
เปิดแนวคิดการลงทุนของเหล่าซีอีโอและนักลงทุนดังระดับโลก เช่น “วอร์เรน บัฟเฟตต์” ที่เผยว่าถ้าอยากรวยต้องลงทุนไม่ใช่ “เล่นหวย” จากปากคำของ เทรย์ ล็อกเกอร์บี พิธีกรพอดแคสต์ชื่อดัง พร้อมเผยแนวคิดที่มหาเศรษฐีทั่วโลกใช้ในการดำเนินชีวิต เทรย์ ล็อกเกอร์บี ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของ Better Booch เครื่องดื่มคอมบูชา กล่าวถึงประสบการณ์และแนวคิดที่เขาได้เรียนรู้จากการเป็นพิธีกรพอดแคสต์ “We Study Billionaires” รายการสัมภาษณ์นักลงทุนและซีอีโอชื่อดังหลายคน ซึ่งทำให้เขาได้ข้อสรุปว่า เหล่ามหาเศรษฐีไม่ได้หวังที่จะรวยจากการเล่นหวย หรือ ลอตเตอรี่ รวมถึงไม่ได้หวังรวยทางลัดการจากเสี่ยงโชค โดยชี้ให้เห็นว่า ถ้าหากนำเอาเงินที่ใช้ในการซื้อลอตเตอรี่ตลอดระยะเวลาหลายสิบปี แล้วไปลงทุนในบัญชีเงินเกษียณส่วนบุคคล หรือ IRA (Individual Retirement Account) กองทุน ตลาดหุ้น และตราสารหนี้ จะได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า และมีโอกาสที่ทำให้คุณกลายเป็นมหาเศรษฐีได้มากกว่า ยิ่งคุณเสียเงินไปกับลอตเตอรี่มากเท่าไร โอกาสที่คุณจะเป็นเศรษฐีก็น้อยลงเท่านั้น โดยจะเห็นได้ว่าแทบจะไม่มีเหล่ามหาเศรษฐี ซีอีโอ ผู้ประกอบการ ผู้บริหารระดับสูงเคยถูกรางวัลลอตเตอรี่เลย ตามรายงานเมื่อปี 2559 จากสำนักข่าว Vox ระบุว่า กลุ่มผู้ที่ซื้อลอตเตอรี่มักจะเป็นคนที่มีรายได้รายปีระหว่าง 25,00-80,000 ดอลลาร์ ขณะที่ผู้ที่มีรายได้รายปีมากกว่า 200,000 ดอลลาร์ขึ้นไปแทบจะไม่เล่นหวยเลย อีกทั้งยังระบุว่า ในแถวชานเมืองของรัฐคอนเนตทิคัตที่เป็นพื้นที่ยากจน มักจะมีอัตราการถูกรางวัลบ่อยที่สุด ซึ่งสะท้อนได้ว่าคนเหล่านี้นิยมเล่นหวย ผลการศึกษาอีกชิ้นหนึ่งจาก The Insured Retirement Institute ร่วมกับ Center for Generational Kinetics พบว่า 15% ของชาวมิลเลนเนียลยอมรับว่า พวกเขาลอตเตอรี่เป็นวิธีหนึ่งในการหาเงินไว้ใช้หลังเกษียณของพวกเขา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนรุ่นมิลเลนเนียลมีความกังวลกับการวางแผนออมเงินไว้ใช้หลังเกษียณ โดยมองว่าลอตเตอรีเป็นอีกความหวังหนึ่ง ทั้งที่อาจจะเป็นการลงทุนที่อาจจะไม่ได้รับผลตอบแทนเลยก็ตาม นอกจากนี้ ล็อกเกอร์บีได้สรุปแนวคิด 3 ข้อ ที่เหล่ามหาเศรษฐีทั่วโลกใช้ในการดำเนินสู่เส้นทางแห่งความมั่งคั่งไว้ดังนี้ • ไม่ทำตามความกลัวหรือแรงกระตุ้นจากภายนอก ล็อกเกอร์บีได้สัมภาษณ์ โฮเวิร์ด มาร์กส มหาเศรษฐีผู้ร่วมก่อตั้ง Oaktree Capital Management บริษัทจัดการสินทรัพย์ระดับโลก เกี่ยวกับช่วงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ (Great Recession) ที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2550 - 2552 ตลอดจนช่วงเริ่มต้นของการแพร่ระบาดของโควิด-19 มาร์กส ระบุว่า แทนที่จะตัดสินใจลงทุนด้วยความกลัว แต่เขาเลือกที่จะมุ่งเน้นที่การค้นหาข้อมูลและมองหาโอกาสที่เป็นไปได้ มากกว่าที่จะพิจารณาถึงความเสี่ยงหรือผลกระทบด้านลบที่อาจเกิดขึ้น วิธีการนี้ทำให้สามารถล้างหนี้สินช่วงวิกฤติทางการเงินปี 2551 และยังทำให้เหล่านักลงทุนของ Oaktree ได้รับผลกำไรประมาณ 6,000 ล้านดอลลาร์ ดังนั้น เมื่อคุณกำลังพบว่าตนเองประสบปัญหาหรือความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ มหาเศรษฐีคนนี้แนะนำให้ “ไม่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ ตั้งสติและค่อย ๆ มองหาหาวิธีที่จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น” • อดทนและมองการณ์ไกล หนึ่งในมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ประธานและซีอีโอของ Berkshire Hathaway บริษัทโฮลดิ้งข้ามชาติ กล่าวว่า หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้การลงทุนของเขาประสบความสำเร็จ คือ เลือกลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่สามารถเติบโตได้ในอนาคตอีกหลายทศวรรษ ไม่ว่าราคาหุ้นในตอนนั้นจะสูงขนาดใดก็ตาม มหาเศรษฐีหลายคนชื่นชมทั้งแนวทางของบัฟเฟตต์และระยะเวลาที่สื่อถึงความอดทนเป็นอย่างมาก ในการพบกันของ ไบรอัน เชสกี ผู้ร่วมก่อตั้ง Airbnb กับ เจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้งและอดีตซีอีโอของ Amazon และมหาเศรษฐีนักลงทุนอย่าง บัฟเฟตต์ ในครั้งนั้น เบซอสถามบัฟเฟตต์ว่าทำไมถึงไม่มีใครสนใจลงทุนแบบวิธีของเขาทั้งที่มีประสิทธิภาพมากกว่า บัฟเฟตต์ตอบว่า “เพราะไม่มีใครอยากรวยช้าไงละ” • ปฏิเสธมากกว่าที่จะตอบตกลง ส่วนแนวคิดของ เดวิด รูเบนสไตน์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Carlyle Group บริษัทหุ้นนอกตลาด อีกทั้งยังเป็นคณะกรรมการในอีกหลายบริษัท พร้อมทั้งเป็นนักเขียนและพิธีกรในรายการโทรทัศน์อีกด้วย ล็อกเกอร์บีถามว่า รูเบนสไตน์มีเคล็ดลับอะไรที่ทำให้มีเวลาในการทำงานได้มากขนาดนี้ เขายอมรับว่าเขาหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธกิจกรรมที่ทำให้เสียเวลา ไม่ว่าจะเป็น การเล่นกอล์ฟ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือแม้แต่การดูเน็ตฟลิกซ์ ขณะที่ เจซซี อิตซ์เลอร์ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Marquis Jet บริษัทเช่าเครื่องบินเจ็ทที่ส่วนที่ใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งเป็นหุ้นส่วนของ Zico ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มน้ำมันมะพร้าว เขาเห็นด้วยรูเบนสไตน์ว่าต้องปฏิเสธให้เป็น “ช่วงอายุ 20-30 ปี เป็นช่วงที่ดีในการตอบตกลงทุกอย่าง เพื่อสร้างเครือข่าย เปิดรับโอกาสต่าง ๆ ที่จะเข้ามา แต่เมื่อเข้าสู่อายุ 40 ปีขึ้นไป คุณต้องรู้จักการปฏิเสธและจัดการกับเวลาของคุณได้อย่างเต็มที่” นอกจากนี้ อิตซ์เลอร์ยังเผยเคล็ดลับในการปฏิเสธอย่างนุ่มนวลว่า “เพื่อให้เป็นการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อไป คุณควรจะเลี้ยงอาหารเขาสักมื้อ หรือมอบของขวัญเล็ก ๆ น้อย ถึงแม้จะปฏิเสธข้อเสนอของเขาแต่ก็ยังต้องเก็บคอนเน็คชันเอาไว้” ที่มา: CNBC, New York Times แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจ https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1037812
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันสุขภาพ
30/04/2024
สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) หรือ สังคมที่มีผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 20 ต่อจำนวนประชากรทั้งหมด กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศไทย จากข้อมูลของกรมการปกครองกระทรวงมหาดไทยเดือน มกราคม 2565 พบว่า มีผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปในประเทศไทย กว่า 12.11 ล้านคน หรือคิดเป็น 18.3% ของจำนวนประชากรทั้งหมด คำถามคือจะวางแผนหรือให้คำแนะนำอย่างไร ในช่วงที่ผู้สูงอายุกำลังจะขาดรายได้จากการทำงาน รวมถึงความเสื่อมสภาพของร่างกายที่นำมาซึ่งปัญหาด้านสุขภาพ ประเด็นนี้ ธนาคารทิสโก้แนะนำให้ใช้หลักการวางแผนปกป้องความมั่งคั่ง (Wealth Protection) เป็นแนวทางหลัก เพื่อบริหารความเสี่ยงทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วงเกษียณอายุ และให้ชีวิตหลังเกษียณเป็นไปได้อย่างราบรื่น#รายได้ที่เพียงพอจากการวิจัยของมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุ พบว่า ร้อยละ 70 ของผู้สูงอายุไม่มั่นใจว่ามีเงินออมเพียงพอสำหรับอนาคต ขณะที่ร้อยละ 40 หวังพึ่งรายได้จากลูกหลานในการดำรงชีพ นอกจากนี้ ด้วยนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าขึ้น ส่งผลให้อายุขัยเฉลี่ยของคนไทยในปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 78 ปี และยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นไปถึง 100 ปีได้ในอนาคต ทำให้ต้องวางแผนรับมือกับอายุขัยที่ยืนยาวมากขึ้น เพื่อให้มีรายรับเพียงพอในช่วงหลังเกษียณ และมีกระแสเงินสดอย่างสม่ำเสมอจนกว่าจะเสียชีวิต จากประเด็นนี้แนะนำให้ใช้เครื่องมือทางการเงินอย่าง “ประกันชีวิตแบบบำนาญ” โดยเน้นเลือกแบบประกันที่มีคุณสมบัติ 3 อย่างคือ 1. ประกันบำนาญที่จ่ายเงินบำนาญให้กับเรายาวถึงอายุ 99 ปี 2. เน้นผลประโยชน์ดำรงชีวิต (Living Benefit) หรือจ่ายเงินคืนในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับทุนประกัน 3. เนื่องจากประกันชีวิตแบบบำนาญเป็นความคุ้มครองระยะยาว จึงควรเลือกบริษัทประกันที่มีฐานะทางการเงินมั่นคงและไม่เคยมีประวัติไม่ดีด้านการจ่ายค่าสินไหม โดยดูได้จากอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy Ratio) ที่ควรอยู่ในระดับสูงหรือ ไม่ต่ำกว่า 140%#ทางเลือกในการรักษาจากการวิจัยของมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุ พบว่า ผู้สูงอายุไทยเข้าถึงบริการทางการแพทย์ และการสาธารณสุข ผ่านกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในสัดส่วนที่สูงที่สุด ถึงร้อยละ 81 ซึ่งอาจมีข้อจำกัดในการรักษา ที่ไม่ทันกับนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าขึ้นและค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้น ข้อมูลจาก Willis Towers Watson บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำ เปิดเผยตัวเลขค่ารักษาพยาบาลในประเทศไทย (Medical Inflation) ในช่วงปี ค.ศ. 2019 – 2021 พบว่า เพิ่มขึ้นราว 7 - 8% ต่อปี หรือเพิ่มขึ้นจะเป็นเท่าตัวในทุก ๆ 10 ปี ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าตกใจไม่น้อย นำมาซึ่งคำถามในใจว่าจะรับมือกับค่าใช้จ่ายด้านค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นได้อย่างไร ทางเลือกหนึ่งที่สามารถทำได้คือโอนความเสี่ยง ด้วยการทำประกันสุขภาพและประกันโรคร้าย โดยกำหนดทุนความคุ้มครองให้ครอบคลุมกับค่าใช้จ่าย เช่น เลือกแบบเหมาจ่ายวงเงินขั้นต่ำต่อปีประมาณ 3 - 5 ล้านบาทขึ้นไป และเลือกแบบที่ให้ความคุ้มครองต่อเนื่องได้ถึง 99 ปี ทั้งนี้ ควรเปรียบเทียบค่าเบี้ยในช่วงเกษียณอายุ เพื่อประมาณค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียม รวมทั้งเลือกความคุ้มครองค่าห้องผู้ป่วยในให้สอดคล้องกับโรงพยาบาลใกล้บ้านหรือที่ใช้บริการเป็นประจำอย่างไรก็ตาม แนวทางการเลือกแบบประกันเพื่อวางแผนชีวิตรับวัยเกษียณข้างต้นนั้น เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นที่จะช่วยให้การบริหารค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพมีประสิทธิภาพ และครอบคลุมค่าใช้จ่ายไม่ให้บานปลายจากการเข้ารับการรักษาโรคแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับwealthythahttps://www.wealthythai.com/en/updates/insurance/11905
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
หลายคนอาจมองว่า การลงทุนในตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่อาจพลิกชีวิตจากยาจกกลายเป็นมหาเศรษฐีได้เหมือนกับใครหลายคนที่ได้ลงทุนคริปโตในยุคแรก ๆ แต่หารู้ไม่ว่า มันมีสิ่งหนึ่งที่ใครหลายคนได้มองข้ามไปเกี่ยวกับคริปโตเคอร์เรนซี่ ไขความลับศาสตร์อายุยืน เวลานี้นักวิทยาศาสตร์หลายคนได้เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่ว่า จะทำอย่างไรให้ชีวิตของมนุษย์เรามีอายุยืนยาวและมีสุขภาพที่ดี แม้ว่าเรื่องนี้อาจต้องใช้ระยะเวลานานในการแก้ไขรหัสลับคำตอบตรงนี้ อีกทั้งจะต้องยอมรับความจริงด้วยว่า การที่จะไขรหัสลับตรงนี้ได้ จะต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญระดับสูงเข้ามาไขปริศนาตรงส่วนนี้ ที่น่าสนใจก็คือ พวกเขาเริ่มมีการเปรียบเทียบระหว่างสกุลเงินดิจิทัลอย่างคริปโตเคอร์เรนซี่กับศาสตร์ที่ช่วยให้มนุษย์มีอายุที่ยืนยาวมากขึ้น หลายคนมองว่า มันจะเกี่ยวกันได้อย่างไรที่จะเอาเรื่องสินทรัพย์ดิจิทัลมาเปรียบเทียบกับศาสตร์ทางด้านการแพทย์ แน่นอนว่าทั้งสองเรื่องนี้ไม่มีความเกี่ยวพันกันเลยก็จริง แต่ทางผู้เชี่ยวชาญได้มองมุมกลับในเรื่องของการที่ใครหลายคนได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซี่มากขึ้น อาจมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม ปฏิเสธไม่ได้ว่า อุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซี่ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดมากที่สุดในประวัติศาสตร์โลก จากการที่ผู้คนส่วนใหญ่ได้มีการเข้ามาลงทุนในตลาดคริปโตเมื่อเทียบกับตลาดทุนที่มีอยู่มาแต่เดิม ตรงส่วนนี้เริ่มทำให้ผู้เชี่ยวชาญเริ่มมองถึงความเป็นไปได้ที่ผู้คนเริ่มใช้เวลาศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับคริปโตมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้ความพยายามในการทำกำไรก็ดี รวมไปถึงเรื่องของการฝึกฝนความอดทนจากการที่พวกเขาต้องทนถือเหรียญคริปโตท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบากในขณะนี้ หมายความว่าความพยายามและความอดทนที่มีต่อตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่ อาจมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของพวกเรา รวมไปถึงกระบวนการทางด้านชีวเคมี ซึ่งการที่จะเห็นผลถึงการเปลี่ยนแปลงตรงนี้อาจต้องใช้เวลาหลายสิบปีด้วยกัน โดยที่ทุกฝ่ายจะต้องทำการค้นหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้กันต่อไป แม้ว่าตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่ที่เป็นอยู่ในขณะนี้จะเข้าสู่ภาวะหมี แต่อุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซี่โดยรวมยังคงเติบโตต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการพัฒนานวัตกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกันก็ดี โดยเฉพาะการพัฒนาองค์กรอัตโนมัติแบบกระจายศูนย์หรือ DAO ที่เริ่มมีการระดมทุนวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้น ซึ่งหากมีการเดินหน้าขับเคลื่อนพัฒนาอุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซี่แบบนี้ต่อไป ก็อาจมีความเป็นไปได้สูงที่ทุกคนจะได้เห็นตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่เข้าสู่ภาวะกระทิงอีกครั้ง ข้อมูลจาก : https://cointelegraph.com/news/how-crypto-is-playing-a-role-in-increasing-healthy-human-lifespans แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับโพสต์ทูเดย์ https://www.posttoday.com/post-next/model-business-era/687411
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
ช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวสลดที่น่าสะเทือนใจในสังคมประเทศญี่ปุ่น ซึ่งหลายคนอาจจะคาดไม่ถึง เมื่อมีรายงานข่าวว่า คุณตาวัย 81 ปีชาวญี่ปุ่น ผลักภรรยาของตนเองตกทะเลพร้อมวีลแชร์ โดยอ้างว่า “เหนื่อยเพราะดูแลมาตลอด 40 ปี” โดยทาง สำนักข่าวเดอะไทเกอร์ รายงานว่า ข่าวดังกล่าวสร้างความตื่นตระหนกให้กับชาวญี่ปุ่น หลายคนบอกว่าเป็นการสะท้อนถึงสถานการณ์ที่ผู้สูงอายุต้องเผชิญในญี่ปุ่น เนื่องจากผู้สูงอายุหลายคนไม่ได้รับความช่วยเหลือ พวกเขาจึงต้องดูแลทั้งตัวเองและคนรักที่มีอายุมากเช่นกัน ย้อนกลับมายังประเทศไทย ซึ่งกำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยเช่นกัน ซึ่งเป็นการก้าวมาแบบไม่ค่อยพร้อมนัก สำหรับกลุ่มคนที่ไม่มีเงินออมสำหรับวัยเกษียณ แม้ว่าบางครอบครัวยังยึดติดกับวัฒนธรรมเดิมๆ คือ การให้ลูกหลานช่วยดูแล แต่ทว่าด้วยโลกเปลี่ยนไปความคิดของคนรุ่นใหม่ อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ปั้นปลายชีวิตของหลายๆ คนได้ ดังนั้น เพื่อให้ก้าวสู่สังคมสูงวัยอย่างมั่นคง เราอาจต้องหันมาใส่ใจสุขภาพร่างกายและสุขภาพทางการเงินมากขึ้น เพราะค่าใช้จ่ายยามชราในอีก 5 ปี 10 ปีข้างหน้าอาจไม่เหมือนเดิม สำหรับเคล็ดลับดีๆ เพื่อให้การวางแผนเกษียณอายุได้ตามเป้าหมาย ผู้เชี่ยวชาญจาก บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด ได้มี 5 เครื่องมือเพื่อการออมเงินเพื่อวัยเกษียณ มาช่วยวางแผน โดยเริ่มจาก 1. ออมหุ้น – ออมกองทุน โดยการวางแผนเกษียณอายุ โดยไม่กังวลเรื่องภาษีเงินได้หรือมีการวางแผนภาษีไว้ดีแล้ว อาจเลือกการออมหุ้นหรือออมกองทุนได้ โดยเน้นเลือกหุ้นหรือกองทุนที่ดี แล้วทำการทยอยซื้อสม่ำเสมอด้วยเงินเท่าๆกัน หรือที่เรียกว่า Dollar Cost Average (DCA) ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากการจับจังหวะการลงทุน และได้ราคาหุ้นหรือกองทุนในค่าเฉลี่ย สำหรับการลงทุนระยะยาวเพื่อเกษียณ ควรเลือกประเภทสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มจะเติบโตระยะยาวด้วย แต่DCAก็มีความเสี่ยง เพราะถ้าเกิดช่วงที่เราเกษียณอายุแล้วเกิดเหตุการณ์สภาวะตลาดผันผวนหนักทำให้หุ้นลงพอดี ผลตอบแทนเราก็จะลดลงตามไปด้วย ดังนั้น DCA ทำได้ แต่ต้องนานพอ ซึ่งก็สอดคล้องกับการออมเพื่อการเกษียณอายุพอดี 2. Super Saving Fund (SSF) ซึ่งกองทุนSSF เป็นกองทุนรวมที่มีสิทธิทางภาษี สามารถเลือกลงทุนได้ทรัพย์สินที่หลากหลาย ตั้งแต่ตราสารเงิน ตราสารหนี้ ตราสารทุน และสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ โดยสามารถซื้อได้สูงสุด 200,000 บาท แต่ต้องไม่เกิน 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี และต้องถืออย่างน้อย 10 ปี นับจากวันที่ซื้อ ข้อดีของการใช้ SSF ออมเพื่อเกษียณอายุ คือสิทธิ์ในการลดหย่อนภาษี ส่วนข้อเสียคือ เมื่อครบ 10 ปี แทนที่เราจะเอาเงินไปลงทุนต่อ เราอาจเอาเงินไปใช้ในวัตถุประสงค์อื่นแทน ทำให้เก็บเงินเกษียณได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 3. Retirement Mutual Fund (RMF) กองทุนRMF มีลักษณะคล้ายๆ SSF แต่ต้องถือยาวนานกว่า คือ ต้องถือไปจนอายุ 55 ปี ซึ่งถ้าใครถอนก่อนจะมีโทษในลักษณะการคืนภาษีที่ได้รับลดหย่อนมา หรือการเสียภาษีในเงินส่วน Capital Gain เว้นแต่เสียชีวิตหรือทุพพลภาพ 4. ประกันบำนาญ หลักของประกันบำนาญ คือ การชำระเบี้ย จนถึงอายุที่กำหนดไว้ตามสัญญา และหลังจากอายุเกษียณประกันบำนาญจะจ่ายเงินให้เราเป็นงวดๆ เช่น ชำระเบี้ยถึงอายุ 60 ปี หลังจากนั้น เริ่มรับบำนาญจนถึงอายุ 85 ปี ซึ่งอันนี้ขึ้นอยู่กับสัญญาที่ทำไว้ มีหลายแบบ หลายอายุเลยทีเดียว สำหรับทางเลือกการออมอันนี้ นอกจากได้บำนาญแล้วยังลดหย่อนภาษีได้ด้วย 5. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ / กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข) สำหรับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สามารถเลือกสะสมได้ตั้งแต่ 2-15% ของเงินเดือน แล้วนายจ้างสมทบ 2-15% ขึ้นกับเงื่อนไขของนายจ้าง ส่วน กบข.สามารถเลือกสะสมได้ตั้งแต่ 3-15% ของเงินเดือน โดยรัฐจะสมทบให้ 3% ของเงินเดือน แต่ในส่วนของ กบข. จะมีเรื่องเงินชดเชยที่รัฐให้เพิ่ม สำหรับคนที่ได้บำนาญน้อยลงด้วย อย่างไรก็ตาม แผนการเงินเพื่อวัยเกษียณจะเป็นไปตามเป้าหมายได้ อาจจะต้องวางแผนกันตั้งแต่เนิ่นๆ อย่าปล่อยให้อายุมากไปจนออมเงินเกษียณกันไม่ไหว เริ่ม ณ ตอนนี้ยังทัน!! แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับซีเคว้ล ออนไลน์ https://www.sequelonline.com/?p=136769
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร กูรูนักลงทุนวีไอ เผยมุมมองชีวิตในฐานะ “นักเลือก-คิดก่อนทำ” และความสำเร็จเรื่องเดียวที่ต้องการจริง ๆ นั่นคือ มีชีวิตที่มีสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจให้ยาวที่สุด แม้ถึงวันนี้มีคนชวน “เล่นการเมือง” ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor) เปิดเผยว่า การเป็น ไนักลงทุนแบบ VI” ที่มุ่งมั่นและทุ่มเทของผมในวัยตั้งแต่ 44 ปีมาจนถึงวันนี้ ชีวิตและความคิดของผมแทบทุกอย่างไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ผมยังเป็นคนที่มัธยัสถ์ มีความคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ มีความรับผิดชอบและมีวินัยสูง และเป็นคนที่ “ชอบลงทุน” นั่นคือ เสียสละการบริโภคในวันนี้เพื่อสิ่งที่มากกว่าในวันข้างหน้า หรือลำบากวันนี้เพื่อที่จะสบายในวันข้างหน้า แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนก็คือ การเปลี่ยนจาก “นักสู้” เป็น “นักเลือก” หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องกว่าก็คือ เป็น “นักเลือก-ก่อนที่จะสู้” และนั่นนำมาสู่ภาคปฏิบัติที่สำคัญมากก็คือ ก่อนที่จะทำอะไร ผมจะ “คิดก่อนทำ” ไม่ใช่ “คิดก่อนว่าจะทำอย่างไร” แต่มักจะเป็น “คิดก่อนว่าจะทำหรือไม่” เดี๋ยวนี้ผมจะไม่ทำอะไรที่ไม่ได้มีความหมายหรือเป็นประโยชน์อะไรในชีวิตเพียงพอที่จะทำ หรือทำแล้วก็ไม่รู้สึกว่าทำง่ายหรือสนุกที่จะทำ ตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือ ให้ไปสอนคอร์สเกี่ยวกับการทำธุรกิจหรือการลงทุนซึ่งจะต้องเตรียมการสอน ออกข้อสอบ ตรวจข้อสอบ และให้คะแนนกับนักศึกษาหรือคนที่เข้าอบรมที่ “จำเป็น” ต้องเข้ามาเรียนหรืออยากได้วุฒิ ในกรณีแบบนี้ในอดีตผมทำมามาก โดยเฉพาะในช่วงที่ยังเป็น “นักสู้” ที่นอกจากทำงานเป็นลูกจ้างประจำในบริษัทเอกชนแล้ว ก็ยังสอนหนังสือเป็นงานเสริม เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ การจบปริญญาเอกทางการเงินมา ถ้าไม่สอนแล้วจะให้ทำอะไร แต่เดี๋ยวนี้ผมไม่ทำแล้ว จริง ๆ แล้ว ช่วงที่เป็น VI ใหม่ ๆ ผมเองก็ยังต้องทำสิ่งที่ตนเองไม่ชอบทำและทำไปก็ไม่ทำให้ตนเองเก่งขึ้นหรือเป็นประโยชน์ในอนาคต แต่ต้องทำเพราะมันเป็น “อาชีพ” ที่หาเงินได้ดี และทำให้เรา “มีสถานะในสังคม” และทั้งสองอย่างนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นในช่วงที่เรายังไม่มี “อิสรภาพทางการเงิน” ดังนั้น การเป็นนักเลือกที่มีอิสระในการเลือกว่าจะทำอะไรก็ได้จริง ๆ นั้น ขึ้นอยู่กับว่าเรามีความมั่งคั่งเพียงพอแค่ไหนด้วย ในช่วงหลังจากที่ผมมีอิสรภาพทางการเงินสมบูรณ์และออกจากการทำงานประจำเมื่ออายุประมาณ 50 ปีเศษ ผมก็เริ่มที่จะเข้มงวดขึ้นในการที่จะรับงานหรือทำงานอะไรที่ตนเองไม่ชอบ นอกจากนั้น งานที่มีความสนใจและอาจที่จะอยากทำ ผมก็จะ “คิดก่อนที่จะทำ” โดยเฉพาะถ้าเป็นการทำที่ใช้เวลาและเป็นเรื่องต่อเนื่องระยะยาว ผมจะคิดอย่างถี่ถ้วนว่าผมจะทำได้ดีหรือไม่ และผมจะ “ชนะ” ไหม ? คำว่าชนะของผมไม่ได้หมายความว่าผมจะเข้าไปต่อสู้หรือแข่งขันกับใครจริง ๆ คำว่า “ชนะ” ของผมนั้นแปลว่า ถ้าแข่งขันหรือเปรียบเทียบกับคนอื่นส่วนใหญ่หรือในความรู้สึกของผมหรือคนอื่นที่ไม่ลำเอียง ผมจะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน ? การที่จะทำได้ดีหรือเป็นผู้ชนะนั้น ผมจะเริ่มคิดจาก “ปัจจัยหรือความสามารถในการแข่งขัน” ของเรื่องนั้นก่อน ว่างานแบบนั้น อะไรเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้เข้าแข่งได้เปรียบและถ้าทำได้ดีก็จะมีโอกาสเป็นผู้ชนะประสบความสำเร็จสูง ตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นนักแสดง ความสำเร็จก็คงเป็นดารานำในแต่ละกลุ่มหรือบทบาท เช่น เป็นพระเอกนางเอก หรือเป็นตัวตลก หรือตัวประกอบที่โดดเด่น ก็ต้องดูว่าแต่ละกลุ่มนั้นคนที่จะ “ชนะ” มักจะมีคุณสมบัติพิเศษอะไร เช่น หน้าตาดี รูปร่างดี นอกเหนือไปจากการแสดงที่จะต้องมีความสามารถในระดับหนึ่ง เป็นต้น เช่นเดียวกับเรื่องของกีฬา ที่บางทีถ้าคุณ “ตัวเล็ก” ในหมู่นักกีฬาประเภทนั้น โอกาสชนะก็อาจจะยากมาก หรืออย่างการทำงานเป็นลูกจ้างอย่างที่ตัวผมเองครั้งหนึ่งเคยทำงานเป็นวาณิชธนกิจของบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง ซึ่งผมทำมานานพอสมควรแต่ประสบความสำเร็จน้อยมากหรือเป็น “ผู้แพ้” ทั้ง ๆ ที่ทุ่มเท “แทบตาย” และก็คิดว่าเราน่าจะมีความรู้มากพอเพราะเรียนจบปริญญาเอกทางการเงิน หลังจากออกมาจากวงการและคิดย้อนหลังกลับไปถึงได้รู้ว่า เรา ซึ่งหมายรวมถึงบริษัทและพนักงานรวมถึงตัวผมเองนั้น ไม่มีปัจจัยหรือความสามารถในการแข่งขันเพียงพอโดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทหลักทรัพย์ผู้นำทางด้าน IB หลายแห่ง เช่น เราไม่มี “ผลงาน” ที่โดดเด่นพอที่จะไปขายให้กับลูกค้า คนของเรารวมถึงตัวผมเองนั้น ภาษาอังกฤษแย่มาก และในวงการนี้ ข้อเสนอหรือรายงานเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษที่อ่อนแอนั้น ไม่ได้รับการยอมรับจากลูกค้าทั้งด้านผู้ขายหุ้นและนักลงทุน นี่ยังไม่ต้องพูดถึงฐานลูกค้าที่เรามีน้อยมากเนื่องจากเพิ่งมาทำทีหลังนานมาก ผลก็คือ แข่งทีไรก็แพ้แทบทุกที และคนที่ชนะก็จะมีปัจจัยในการแข่งขันที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ และทำให้การแข่งขันต่อมาก็ชนะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็น “วงจรแห่งความรุ่งเรือง” ที่ทำให้ชนะและประสบความสำเร็จซึ่งก็รวมไปถึงคนที่เข้าไปทำงานทีหลังก็จะได้อานิสงส์จากความได้เปรียบของตัวบริษัท และทั้งหมดนั้น ผมก็นำมาประยุกต์ใช้กับบริษัทจดทะเบียนทั้งหลายในตลาดหลักทรัพย์ฯที่เราเข้าไปเลือกซื้อหุ้นแบบ “VI” ในแบบ “ซูเปอร์สต๊อก” ที่บอกว่าเราต้องการเลือกหุ้น “ผู้ชนะ” ในราคาที่ไม่แพง วิธีการก็คือ ดูว่าในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจของบริษัท อะไรคือปัจจัยสำคัญในการแข่งขัน ซึ่งแต่ละอุตสาหกรรมก็จะไม่เหมือนกันแม้ว่าจะมีปัจจัยบางอย่างร่วมกันอยู่ ตัวอย่างเช่น เรื่องของขนาด ซึ่งบางอุตสาหกรรมขนาดอาจจะไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญมาก แต่ในธุรกิจค้าปลีกนั้น ขนาดหรือเครือข่ายที่ใหญ่จะได้เปรียบค่อนข้างมาก และเมื่อใหญ่ถึงจุดหนึ่ง การแข่งขันก็มักจะแทบหมดไป รายใหญ่แทบจะชนะเสมอ การวิเคราะห์ว่าใครหรืออะไรจะแพ้หรือชนะนั้น สำหรับผมแล้ว เป็นเรื่องที่จำเป็นมากสำหรับ “นักเลือก” โดยเฉพาะการเป็น “นักลงทุนระยะยาว” ที่ความสำเร็จหรือล้มเหลวแทบทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าคุณเลือกหุ้นหรือหลักทรัพย์ถูกตัวไหม และสิ่งที่จะต้องศึกษาและรู้จริงก็คือ อะไรที่เป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขันหรือในความสำเร็จของผู้เล่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่จะเรียนรู้หรือเข้าใจได้เอง ส่วนมากแล้วก็จะมาจากการวิเคราะห์วิจัยของ “กูรู” ทางธุรกิจที่ได้เขียนหนังสือหรือแบบเรียนให้นักศึกษาเรียนรู้ การอ่านหนังสือประวัติศาสตร์หรือกรณีศึกษาทางธุรกิจเองก็มีความสำคัญที่จะทำให้เราเข้าใจและนำมาใช้วิเคราะห์ได้เช่นเดียวกัน และนี่ก็คือเหตุผลที่นักลงทุนเอกของโลกทั้งหลายมักจะเป็น “นักอ่านตัวยง” ทั้งนั้น การวิเคราะห์ว่าใครจะชนะหรือใครจะแพ้นั้นแน่นอนว่าไม่ใช่ใช้เฉพาะในธุรกิจหรือหุ้นหรือการลงทุน ที่จริงสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือการวิเคราะห์ตัวเราเองว่าเราจะชนะหรือแพ้ในชีวิตและเราควรจะทำอะไรที่จะทำให้มีโอกาสชนะมากขึ้น ส่วนตัวผมเองนั้น จนถึงอายุ 44 ปี ผมเลือก หรือที่จริงควรจะพูดว่า “ไม่ได้เลือก” ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะ “ไม่มีสิทธิเลือก” ให้ต้องทำงานหรือทำสิ่งต่าง ๆ ที่ตนเองไม่มีปัจจัยในการแข่งขันหรือต่อสู้เพียงพอ ดังนั้น แม้ว่าจะต่อสู้เต็มที่แล้วก็ยังแพ้ แต่เมื่อเริ่มรู้จัก “เลือก” ที่จะเป็นนักลงทุน “ด้วยความจำเป็น” ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ผมก็พบว่า เรามีปัจจัยในการแข่งขันเต็มเปี่ยม เพราะการลงทุนนั้นแทบจะไม่ได้อาศัยอะไรทางด้านร่างกายหรือสถานะทางครอบครัวหรือสังคม สิ่งที่ต้องใช้ก็คือ ความรู้ทางธุรกิจ การคิดวิเคราะห์ และความเข้าใจในพฤติกรรมของคน ซึ่งทั้งหมดนั้นผมมีไม่น้อยกว่าใครในตลาดหุ้นไทยในยุควิกฤติและหลังจากนั้น ไม่ได้เก่งหรือมีความสามารถสูงกว่า แค่เป็นคนแรก ๆ ที่คิดเรื่องการลงทุนแบบ VI เท่านั้น หลังจากประสบความสำเร็จในด้านของการลงทุน ถึงวันนี้มีคนชวนให้ทำโน่นนี่รวมถึง “เล่นการเมือง” ด้วย อาจจะคิดว่า “มีปัจจัยในการแข่งขัน” ซึ่งอาจจะหมายถึงการมีเงินพร้อม แต่ใจผมกลับคิดว่า อายุขนาดนี้แล้ว ความสำเร็จที่ผมต้องการจริง ๆ แทบจะเหลืออยู่เรื่องเดียวแล้ว นั่นคือ มีชีวิตที่มีสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจให้ยาวที่สุด และนั่นก็คือสิ่งที่เราเลือกที่จะทำ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์ https://www.prachachat.net/finance/news-1110285
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
หุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-linked Bond: SLB) ตราสารหนี้รูปแบบใหม่ในกลุ่มตราสารหนี้สีเขียว กับโอกาสลงทุนพร้อมดูแลสิ่งแวดล้อมน่าสนใจอย่างไร วันที่ 7 พฤศจิกายน 2565 หลายคนอาจจะยังไม่คุ้นหูกับชื่อ “หุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน หรือ Sustainability-Linked Bond (SLB)” มากเท่าไหร่นัก ซึ่งต้องบอกว่าเป็นหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน หรือ หุ้นกู้ยั่งยืน เป็นตราสารหนี้รูปแบบใหม่ในกลุ่มตราสารหนี้สีเขียว แต่เชื่อว่าหลายคนอาจจะยังสงสัยว่าเจ้าหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน มันน่าสนใจอย่างไรและมีกลไกอย่างไร “ประชาชาติธุรกิจ” สรุปมาให้ ดังนี้ หุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน คืออะไร หุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-linked Bond : SLB) เป็นตราสารหนี้ที่ผลตอบแทนขึ้นอยู่กับเป้าหมายโดยรวมของบริษัทผู้ออกในอนาคต ที่จะก่อให้เกิดผลกระทบด้านดีต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยผู้ออกสามารถนำเงินทุนที่ระดมได้ไปใช้กับโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมและสังคมโครงการหนึ่งหรือหลายโครงการก็ได้ แต่หากบริษัททำไม่สำเร็จตามเป้าหมายภายในระยะเวลาที่กำหนด จะต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (คูปอง : Coupon) ให้แก่นักลงทุน โดยแนวคิด SLB มาจาก Enel Group บริษัทพลังงานในอิตาลีที่ต้องการสร้างแรงจูงใจในการดำเนินกิจการให้แก่ตัวเองบรรลุเป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) ขององค์การสหประชาชาติ จึงนำหลักเกณฑ์การกู้เงินส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability Linked Loan Principles : SLLP) ที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สามารถปรับเปลี่ยนขึ้นหรือลงตามดัชนีชี้วัดความสำเร็จ (Key Performance Indicators) ของผู้ขอกู้ มาใช้อ้างอิงในการออกตราสารหนี้ หุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืนรุ่นแรกเกิดขึ้นปี 2562 SLB รุ่นแรกของโลกเกิดขึ้นในเดือนกันยายน 2562 โดยบริษัท Enel Group ที่ผูกโยงอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋วของตราสารหนี้มูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้ากับตัวชี้วัดความยั่งยืนของบริษัท โดยกำหนดเป้าหมายในการประเมินผลรอบแรกในเดือนธันวาคมปี 2564 ว่า บริษัทต้องสามารถผลิตพลังงานทดแทนได้อย่างน้อย 55% ของกำลังการผลิตทั้งหมด หากไม่บรรลุตามเป้าหมาย บริษัทจะต้องเพิ่มคูปองจากเดิมอีก 25 basis points หรือ 0.25% ให้แก่นักลงทุน ซึ่งตลาดตอบรับค่อนข้างดี บริษัทจึงได้ออก SLB อีก 3 รุ่นมูลค่ารวมกว่า 2.5 พันล้านยูโรในเดือนถัดมา องค์ประกอบของหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน จากการที่ SLB ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก สมาคมตลาดทุนระหว่างประเทศ หรือ ICMA (International Capital market Association) จึงได้ออกมาตรฐานการออก SLB เรียกว่า Sustainability-linked Bond Principle (SLBP) ในเดือนมิถุนายน 2563 เพื่อเป็นแนวปฏิบัติให้แก่ผู้ออก ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้นตอนดังนี้ 1) Selection of KPIs : ผู้ออกต้องกำหนดตัวชี้วัด มีหลายตัวชี้วัดได้แต่ต้องสามารถประเมินผลในเชิงปริมาณและตรวจสอบได้โดย external reviewer 2) Calibration of Sustainability Performance Targets (SPTs) : ต้องระบุเป้าหมายของตัวชี้วัดหรือค่าอ้างอิง ซึ่งควรกำหนดไว้สูงกว่าค่ามาตรฐานของการทำงานปกติ รวมถึงระยะเวลาที่จะบรรลุเป้าหมาย 3) Bond Characteristics : ผู้ออกต้องกำหนดลักษณะการเปลี่ยนแปลงของตราสารและเงื่อนไขที่ต้องดำเนินการภายหลังการเปลี่ยนแปลงนั้น ๆ เช่น หากไม่สามารถบรรลุตัวชี้วัด ผู้ออกต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋วเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ เป็นเวลานานแค่ไหน 4) Reporting : จัดทำรายงานและเปิดเผยข้อมูลต่อนักลงทุนเป็นประจำเพื่อแจ้งผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัด เช่น รายปี หรือเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ 5) Verification : จัดให้มีการรับรองหรือการให้ความเห็นโดย external reviewer จุดเด่น = หุ้นกู้รักษ์โลก ต้องบอกว่าความน่าสนใจของหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน นอกจากจะเพิ่มช่องทางการระดมทุนให้แก่ภาคธุรกิจแล้ว นักลงทุนก็จะมีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลโลกและดูแลสังคมไปพร้อม ๆ กัน จุดนี้เรียกได้ว่าเป็นจุดเด่นของหุ้นกู้ประเภทนี้เลยก็ว่าได้ อย่างที่กล่าวไปข้างต้นหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน เป็นตราสารหนี้รูปแบบใหม่ในกลุ่มตราสารหนี้สีเขียว ที่อัตราดอกเบี้ยสามารถเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตามผลสำเร็จของตัวชี้วัดหรือเป้าหมายของบริษัทผู้ออกที่มีความเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมและสังคม นอกจากนี้จุดเด่นของหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน คือ การที่อัตราดอกเบี้ยสามารถเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตามผลสำเร็จของตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์ https://www.prachachat.net/finance/news-1111260
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
30/04/2024
30/04/2024
03/10/2024
23/04/2024
30/04/2024