Everyday knowledge for you
ข่าวการเงิน
30/04/2024
รายงานข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับทองคำค้าปลีกประเทศไทย (Retail Gold Insights : Thailand report) ฉบับล่าสุดจากสภาทองคำโลก (World Gold Council) เผย ผู้บริโภคชาวไทยมีความเข้าใจในการลงทุน โดยมีการนำรายได้ 35% มาลงทุุนในทอง และผู้ลงทุนมีผลิตภัณฑ์การลงทุุนเฉลี่่ย 3.5 รายการ ทั้งนี้ นักลงทุนมองว่าตนเองเป็นนักลงทุนที่มีความมั่นใจ และเต็มใจที่จะลองลงทุนในหลายรูปแบบเพื่อแลกกับการเติบโตทางการเงินแบบทวีคูณ87% ของนักลงทุนไทยเห็นด้วยว่า การมีพอร์ตลงทุนที่หลากหลายเพื่อช่วยปกป้องความมั่งคั่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เนื่องจากนักลงทุนชาวไทยมีความกังวลถึงภาวะตลาดการเงินล่ม พวกเขาจึงต้องการทำความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ที่เลือกลงทุน และมีมุมมองในการลงทุนระยะยาวผลการสำรวจชี้ให้เห็นว่า ทองคำเป็นการลงทุนที่นิยมมากที่สุดเป็นอันดับสองในพอร์ตการลงทุนของประเทศไทย และกว่าครึ่งหนึ่งของนักลงทุนรายย่อยในประเทศได้ถือครองทองคำในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง โดยการลดความเสี่ยงเป็นปัจจัยหลัก (57%) ที่กระตุ้นให้นักลงทุนตัดสินใจลงทุนในทองคำ แนวโน้มเช่นนี้ตอกย้ำให้เห็นว่า นักลงทุนรายย่อยตระหนักถึงบทบาทของทองคำในฐานะผลิตภัณฑ์ลงทุนที่มีความปลอดภัย ซึ่งนับว่าสอดคล้องกับบทบาทของทองคำในพอร์ตการลงทุน ที่ถือเป็นเครื่องมือช่วยปกป้องความมั่งคั่งนักลงทุนกว่า 40% ได้ซื้อทองคำเพื่อการลงทุนในช่วง 12 เดือนก่อนการสำรวจ โดยทองคำแท่งถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 30% ของนักลงทุน ตามด้วยเหรียญทองคำที่ 12% กองทุนทอง (ETF) ที่ 10% ทองคำเก็บในคลังนิรภัยที่ 9% และเครื่องประดับทองคำที่ 9%Photo : Shutterstockแต่ก็พบว่ามีอุปสรรคที่ทำให้นักลงทุนที่สนใจยังลังเลที่จะลงทุนในทองคำเป็นครั้งแรก • เกือบ 80% ของนักลงทุนกลุ่มนี้เผยว่า พวกเขายังไม่มีความรู้มากพอที่จะซื้อทองคำ และไม่ทราบถึงช่องทางในการซื้อทองคำที่มีราคาไม่แพง โดยอุปสรรคที่เด่นชัดที่สุดคือ พวกเขาเชื่อว่าทองคำนั้น “มีค่าธรรมเนียมการซื้อ/ขายทองคำสูงเกินไป” • เกือบครึ่งหนึ่งกังวลถึงความสมบูรณ์ของผลิตภัณฑ์ทองคำ โดยมากกว่า 30% ระบุว่ากลัวถูกหลอกให้ซื้อทองคำปลอม จึงเลือกที่จะไม่ซื้อ และกว่า 10% ชี้ว่าตนไม่กล้าซื้อ เพราะยังไม่มีการรับประกันถึงความบริสุทธิ์ของทองคำ • มากกว่าหนึ่งในสามของนักลงทุนที่คิดจะลงทุนในทองคำเป็นครั้งแรกคิดว่าตนจะไม่สามารถเก็บทองคำไว้ได้อย่างปลอดภัย โดยนักลงทุนกลุ่มนี้อาจยังไม่ทราบถึงช่องทางและบริการการจัดเก็บทองคำที่มีอยู่กลุ่มนักลงทุนรายย่อย 4 ประเภทในประเทศไทยการศึกษาวิจัยยังเจาะลึกถึงกลุ่มนักลงทุนรายย่อยสี่ประเภทในประเทศไทย ได้แก่ นักลงทุนที่กล้าเสี่ยงโดยยึดตามคำแนะนำ (Guided Risk Takers), เทรดเดอร์ที่ชอบความผันผวน (Adventurous Traders), นักกลยุทธ์เชิงอไจล์ (Agile Strategists) และนักออมที่ระมัดระวัง (Cautious Savers) • 35% เป็นนักลงทุนที่กล้าเสี่ยงโดยยึดตามคำแนะนำ ซึ่งยอมรับความเสี่ยงเพื่อให้สามารถเติบโตได้แบบทวีคูณ และนักลงทุนกลุ่มนี้จะไม่ค่อยกังวลกับการสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีความหลากหลาย • 26% เป็นเทรดเดอร์ที่ชอบความผันผวน ซึ่งต้องการลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่เห็นผลในระยะสั้น และมักจะชอบเป็นผู้ที่ได้ลองอะไรใหม่ ๆ นักลงทุนกลุ่มนี้มักเป็นนักลงทุนรายแรก ๆ ที่จะเลือกการลงทุนแบบใหม่ • 26% เป็นนักกลยุทธ์เชิงอไจล์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมมากที่สุด โดยพวกเขากลุ่มนี้มองการลงทุนเป็นงานอดิเรก และมุ่งเน้นที่จะสร้างพอร์ตการลงทุนที่หลากหลาย เพื่อปกป้องและเพิ่มความมั่งคั่งนอกจากนี้ พวกเขายังมักที่จะลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่ตนเองเข้าใจอย่างชัดเจน • 13% เป็นนักออมที่ระมัดระวัง โดยจะเลือกลงเงินน้อยที่สุดและไม่ชอบความเสี่ยงสูง พวกเขาจะเลือกลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่มีความน่าเชื่อถือ และสิ่งที่จะมาช่วยลดความเสี่ยง รวมถึงให้ผลตอบแทนที่มั่นคงอันสามารถเก็บเป็นมรดกไว้ให้บุตรหลานของตนได้มากกว่า 80% ของนักลงทุนรายย่อยแต่ละกลุ่มเห็นด้วยว่า ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ดี ซึ่งช่วยสร้างหลักประกันในช่วงที่เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองหรือเศรษฐกิจได้Photo : Shutterstockผลิตภัณฑ์ทองคำดิจิทัลเพื่อดึงดูดนักลงทุนรายย่อยเพิ่มและรักษาฐานนักลงทุนที่มีอยู่เดิมประการสุดท้าย งานวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า นักลงทุนเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ทองคำกว่า 73% ผ่านทางออฟไลน์ แต่เมื่อถามถึงปัจจัยของการเลือกซื้อทองคำแล้ว สาเหตุอันดับต้น ๆ ได้แก่ การขาย/เปลี่ยนทองเป็นเงินสดได้ง่าย ซื้อได้ตลอดเวลา และมีการสร้างผลกำไรผลิตภัณฑ์ทองคำดิจิทัล ไม่ว่าจะให้บริการโดยธนาคารหรือผู้ให้บริการรายอื่น จะช่วยให้ผู้ขายสามารถทำการตลาดและผู้ซื้อสามารถตัดสินใจซื้อได้อย่างครอบคลุมและราบรื่นยิ่งขึ้นMr. Andrew Naylor ประธานเจ้าหน้าที่บริหารประจำภูมิภาค APAC (ไม่รวมประเทศจีน) ของสภาทองคำโลก กล่าวว่า“ประเทศไทยมีตลาดทองคำขนาดใหญ่ที่มีการซื้อขายกันอย่างคึกคัก เกือบครึ่งหนึ่งของนักลงทุนรายย่อยในประเทศไทยเลือกที่จะลงทุนในทองคำ และทองคำนับเป็นผลิตภัณฑ์ที่นิยมเป็นอันดับสองของไทย จากรายงานข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับทองคำค้าปลีกในประเทศไทย (Retail Gold Insights : Thailand report) ทำให้เข้าใจถึงอัตราผลตอบแทนที่นักลงทุนคาดหวัง ความต้องการในการลงทุน และพฤติกรรมการซื้อของนักลงทุนไทย รวมถึงแสดงให้เห็นว่า ทำไมนักลงทุนประเภทต่าง ๆ ในประเทศไทยถึงให้ความสนใจกับทองคำกันอย่างแพร่หลาย โดยสิ่งขับเคลื่อนสำคัญคือบทบาทของทองคำในฐานะเครื่องป้องกันความเสี่ยงในช่วงที่การเมืองหรือเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ มีศักยภาพในการลงทุนมหาศาล อีกทั้งยังได้รับแรงหนุนที่แข็งแกร่งจากการฟื้นตัวจากการระบาดใหญ่ทั่วโลกและปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจในระยะยาว ข้อมูลของเราแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความต้องการของนักลงทุนในการถือทองคำในฐานะที่เป็นการลงทุนที่ปลอดภัย แต่ยิ่งไปกว่านั้น เรายังได้ตระหนักรู้ถึงสิ่งอื่น ๆ ผ่านการศึกษานี้อีกด้วย การวิเคราะห์ของสภาทองคำโลกยังแสดงให้เห็นว่า ทองคำสามารถเป็นเครื่องปกป้องความมั่งคั่ง เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องและสามารถช่วยกระจายพอร์ตการลงทุนได้ เราจะเดินหน้าทำการวิจัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้นักลงทุนเข้าใจถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการลงทุนในทองคำและวิธีการในการลงทุน”แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับpositioningmaghttps://positioningmag.com/1402083
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth 24Hrsบทเรียนการซื้อหุ้นเพราะความโมโหของปู่ Warren Buffettการเข้าซื้อหุ้นของปู่ Buffett มักจะกลายเป็นตำนานเสมอ และปู่เองก็ย้ำเตือนอยู่บ่อย ๆ ว่า ‘อารมณ์เป็นศัตรูตัวฉกาจต่อการลงทุน’ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าอาณาจักร Berkshire Hathaway ของปู่ Buffett ที่ยิ่งใหญ่ทุกวันนี้ จริง ๆ แล้วถูกซื้อเพราะ ‘ความโมโห’ ล้วน ๆย้อนกลับไปในปี 2493 Benjamin Graham ผู้เป็นอาจารย์ของ Buffett เคยนำหุ้น Berkshire Hathaway มาวิเคราะห์ แล้วพบว่าราคาหุ้นของบริษัทอยู่ต่ำกว่า ‘มูลค่าสินทรัพย์หมุนเวียนสุทธิ’ ซึ่งเป็นหุ้นที่ตรงกับหลักการลงทุนในแบบที่ Graham ชื่นชอบ หรือเป็น ‘หุ้นก้นบุหรี่’ ซึ่งตอนนั้น Buffett เองก็แอบเล็งหุ้น Berkshire อยู่เช่นกันครับปู่ Buffett จึงทยอยซื้อหุ้น Berkshire ไปเรื่อย ๆ ผ่าน Warren Buffett Partnership ของเขาที่มีกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นราคาถูกมาก โดยไม่ได้มีความคิดที่จะซื้อกิจการ Berkshire เลยแม้แต่น้อย แต่อาจจะเป็นโชคชะตาที่ทำให้สุดท้ายปู่ Buffett ต้องมานั่งเก้าอี้บริหาร Berkshire ด้วยเหตุผลที่ตัวเขาเองก็บอกว่า “มันเป็นการตัดสินใจที่โง่ที่สุดของผม”การผิดสัญญาซื้อหุ้นคืนของ Seabury Stantonในช่วงปี 2505-2507 ขณะที่ Buffett กำลังทยอยซื้อหุ้น Berkshire เรื่อย ๆ จนมีสัดส่วน 7% ของทั้งหมด คนใหญ่คนโตในบริษัทกลับเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข Seabury Stanton ผู้บริหาร Berkshire ในตอนนั้นประกาศว่าจะขอซื้อหุ้น Berkshire คืนจาก Buffett โดยทั้งคู่ตกลงราคากันได้ที่ 11.50 เหรียญ/หุ้น ในตอนแรกBuffett ในวัยหนุ่มก็เข้าใจว่าการตกลงนี้เป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว เขาคำนวณว่าจะได้กำไรจากการขายหุ้น Berkshire ประมาณ 50% แต่เรื่องดันซับซ้อนไปอีกขั้น เพราะหลังจากนั้นไม่นาน Stanton ที่ตกลงราคากับ Buffett ไปแล้ว กลับส่งจดหมายถึงผู้ถือหุ้นทุกคนว่า ‘จะขอซื้อหุ้น Berkshire คืนที่ราคา 11.375 เหรียญ/หุ้น’ ไม่เหมือนที่คุยกันไว้แน่นอนว่าเมื่อตกลงกันแล้วแต่ไม่ทำตามสัญญา ไม่ว่าใครก็คงโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ไม่เว้นแม้แต่ปู่ Buffett ที่ทั้งใจเย็นและมีเหตุผลก็ยังฉุนเฉียวอย่างหนักจนควันออกหูในตอนนั้นครับ Buffett จึงตัดสินใจจะ ‘ไม่ขายหุ้นคืน’ และ ‘ซื้อหุ้นเพิ่ม’ เข้าไปอีก ถึงแม้ในตอนนั้นราคาหุ้น Berkshire จะสูงขึ้นก็ตาม Buffett ซื้อหุ้นจนมีสัดส่วนในการควบคุม Berkshire และไล่ Stanton ที่มีเล่ห์เหลี่ยมกับเขาออกจนได้ในที่สุดเหตุผลที่ Buffett ตัดสินใจเข้าซื้อ Berkshire Hathaway และกลายเป็นเจ้าของ Berkshire ถึงทุกวันนี้ จึงเกิดขึ้นจากเหตุผลเดียว นั่นคือ ‘ความโมโห’ แน่นอนว่าตัว Buffett เองก็รู้ถึงเรื่องนี้ครับ และทุกครั้งที่ Buffett ย้อนกลับมาเล่าถึงเหตุการณ์นี้ เขามักจะพูดถึงการตัดสินใจของเขาว่า“มันเป็นการตัดสินใจที่โง่ที่สุดของผม เพราะธุรกิจสิ่งทอในตอนนั้นไม่มีแนวโน้มจะฟื้นขึ้นมาเลย และ Berkshire จะเสียเงินไปเรื่อย ๆ จากธุรกิจนี้”ต้องเล่าว่า หลังจากนั้น Buffett ได้พยายามพลิกฟื้นคืนธุรกิจสิ่งทอของ Berkshire ทุกทาง แต่ก็ล้มเหลว ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเป็นคนอื่นคงปิดธุรกิจที่คอยเผาเงินสดทิ้ง แล้วไปลงทุนอย่างอื่นแทน แต่ด้วยความเป็นคนช่างเห็นใจของ Buffett ทำให้เขา ‘จบไม่ลง’ เพราะ Buffett เห็นใจพนักงานใน Berkshire และเลือกจะบริหารบริษัทต่อไป ถึงแม้ว่าธุรกิจกำลังจะจมสู่ใต้บาดาลก็ตามหลังจากนั้นไม่นาน Buffett ก็ได้เปลี่ยนทิศทางของ Berkshire ไปทำในสิ่งที่เขาถนัดมากที่สุด นั่นคือ ‘การลงทุน’ นั่นเองครับ Buffett เริ่มใช้ Berkshire ลงทุนในตลาดหุ้นและทำให้ Berkshire กลายสภาพเป็นบริษัทโฮลดิ้ง โดยตัว Buffett เริ่มเปลี่ยนมาลงทุนใน ‘หุ้นคุณภาพดี’ มากขึ้น แทนที่จะเป็น ‘หุ้นราคาถูก’ เพียงอย่างเดียวBerkshire Hathaway ได้กลายเป็นอาณาจักรลงทุนของ Buffett หลังจากที่เขาปิดตัว Warren Buffett Partnership ลง และมูลค่าของบริษัทก็เติบโตแบบทบต้นในแนวทางที่ Buffett ต้องการเพื่อให้คุณเห็นภาพว่า Berkshire เติบโตขึ้นมากแค่ไหน ผมจะพาคุณย้อนดูตั้งแต่ที่ Buffett เข้าซื้อ Berkshire แรก ๆ จนถึงทุกวันนี้ครับย้อนอดีตกลับไปช่วงปี 2505ราคาหุ้น Berkshire ประมาณ 15.00 เหรียญ/หุ้น มูลค่า Berkshire ประมาณ 17 ล้านเหรียญ กลับมาปัจจุบันในปี 2565 ราคาหุ้น Berkshire ประมาณ 430,000 เหรียญ/หุ้น มูลค่า Berkshire ประมาณ 630,000 ล้านเหรียญBerkshire สร้างกำไรให้กับ Buffett เป็นแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นผลตอบแทนอันมหาศาลและควรถูกบันทึกไว้บนหน้าประวัติศาสตร์การลงทุนของโลกเลยครับ แน่นอนว่าตัว Buffett เองก็ได้รับ 3 บทเรียนสำคัญจากการลงทุนใน Berkshire Hathaway ครั้งนี้เช่นกัน ประกอบไปด้วย 1. อารมณ์เป็นศัตรูตัวฉกาจต่อการลงทุน 2. ควรให้ความสำคัญกับ ‘คุณภาพ’ ของหุ้นที่ลงทุน 3. ไม่ควรไปเสียเวลากับธุรกิจที่ไม่ทำกำไรทั้งหมดนี้คือการเข้าซื้อ Berkshire Hathaway ที่โด่งดังของ Warren Buffett ซึ่งเกิดขึ้นจากความโมโหที่ผู้บริหารเก่าของบริษัทที่ผิดสัญญาซื้อหุ้นเพียงแค่ 0.125 เหรียญเท่านั้นเองครับเรื่องเล่าของปู่ Buffett จริง ๆ แล้วมีอีกเยอะมาก ด้วยความที่ปู่เป็นนักลงทุนมาตลอดชีวิต ทำให้พบเจอกับการเข้าซื้อหุ้นที่น่าตื่นเต้นหลายครั้ง และเต็มไปด้วยบทเรียนสำคัญที่นำมาสอนนักลงทุนรุ่นต่อ ๆ ไปเสมอการเข้าซื้อ Berkshire Hathaway ก็เป็นเหมือน ‘หลักกิโล’ สำคัญที่ช่วยหล่อหลอมปู่ Buffett ให้เป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกจนถึงทุกวันนี้เช่นกัน หลังจากนั้น Buffett เริ่มปรับสไตล์การลงทุนของตัวเองเล็กน้อย ซึ่งเป็นไปได้ว่ามาจากบทเรียนในการซื้อ Berkshire ของเขา รวมไปถึงความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิทคนสำคัญอย่าง Charlie Munger ครับเมื่อคุณขอคำแนะนำจากปู่ Buffett ทุกคนมักจะเคยได้ยินประโยคดังที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง นั่นคือ “จงซื้อหุ้นที่คุณยินดีจะถือเอาไว้ แม้ว่าตลาดหุ้นจะปิดตัวไปเป็นเวลา 10 ปี” ทำให้ทุกคนเห็นว่าสไตล์การลงทุนของปู่ Buffett เริ่มเปลี่ยนไป และเขาให้ความสำคัญกับคุณภาพของธุรกิจมากที่สุด ส่วนเรื่องราคาหุ้นเป็นเรื่องสำคัญรองลงมานั่นเองครับและแนวทางการลงทุนในแบบ VI ตามปู่ Buffett จึงเป็นหลักการที่ผมให้ความสำคัญและนำมาสร้างแพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้น เพื่อให้นักลงทุนสามารถเข้าถึง ‘หุ้นคุณภาพดี ราคาถูก’ อย่างแท้จริง คงไม่แปลกอะไร เพราะใคร ๆ ก็อยากประสบความสำเร็จเหมือนปู่ Buffett จริงไหมละครับผมหวังอย่างยิ่งว่า ทุกคนที่เข้ามาสู่โลกการลงทุนจะได้รู้จักกับปู่ Buffett และประสบความสำเร็จในการลงทุนเช่นเดียวกับปู่ Buffett นะครับแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1057040
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
30/04/2024
รู้หรือไม่? การพลัดตกหกล้ม หรืออุบัติเหตุจากการปฏิบัติงานมักเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินที่ทำให้มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่ต้องสูญเงินในกระเป๋าไปอย่างน่าเสียดาย จากรายงานสถิติตัวเลขของการแจ้งเหตุผู้ป่วยฉุกเฉินผ่านสายฉุกเฉิน 1669 ของประชาชนในวัยแรงงานตั้งแต่อายุ 20 – 60 ปี ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2561 –จนถึงวันที่ 30 เมษายน 61 มีการแจ้งเหตุการพลัดตกหกล้ม หรืออุบัติเหตุจากการปฏิบัติงานเข้ามามากถึง 42,127 คนnoon know สถิติการแจ้งเหตุผู้ป่วยฉุกเฉินของวัยแรงงาน 3 อันดับแรก ได้แก่ • อุบัติเหตุจากยานยนต์ • อาการป่วย อ่อนเพลีย อัมพาตเรื้อรัง • อาการปวดท้อง, หลัง, เชิงกรานจากข้อมูลสถิติที่ได้กล่าวมาในข้างต้นยิ่งช่วยย้ำเตือนให้เห็นภาพได้ชัดเจนว่าอุบัติเหตุไม่เคยเป็นเรื่องไกลตัว ถึงแม้ว่าเราจะทำสิ่งนั้นอยู่เป็นประจำ หรือจนเคยชิน แต่อุบัติเหตุก็ไม่เคยปราณีใคร ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลจึงอาจกลายเป็นอีกหนึ่งหลักประกันสำคัญที่จะช่วยให้สามารถรักษาสภาพคล่องทางการเงินของเราไว้แม้ในยามที่ต้องล้มหมอนนอนเสื่อ ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) คือการประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองผู้เอาประกันภัยในกรณีที่ได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย ทุพพลภาพ สูญเสียอวัยวะ หรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ โดยบริษัทประกันภัยจะเข้ามารับผิดชอบเรื่องภาระค่าใช้จ่ายจากการรักษาพยาบาล หรือจ่ายค่าชดเชยให้ในกรณีทุพพลภาพ สูยเสียอวัยวะ หรือเสียชีวิตโดยมีผลประโยชน์ความคุ้มครองพื้นฐานมีให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ประกันอุบัติเหตุแบบอบ.1 1. จ่ายเงินก้อนเมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ 2. จ่ายเงินชดเชยเมื่อผู้เอาประกันสูญเสียอวัยวะ/สายตาจากอุบัติเหตุ 3. จ่ายเงินชดเชยเมื่อผู้เอาประกันทุพลภาพถาวร/ชั่วคราว สิ้นเชิงจากอุบัติเหตุ 4. จ่ายเงินชดเชยเมื่อผู้เอาประกันทุพลภาพชั่วคราวบางส่วนจากอุบัติเหตุ 5. จ่ายค่ารักษาพยาบาลแทนผู้เอาประกันประกันอุบัติเหตุแบบอบ.2 1. จ่ายเงินก้อนเมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ 2. จ่ายเงินชดเชยเมื่อผู้เอาประกันสูญเสียอวัยวะ/สายตาจากอุบัติเหตุ 3. จ่ายเงินชดเชยเมื่อผู้เอาประกันทุพลภาพถาวร/ชั่วคราว สิ้นเชิงจากอุบัติเหตุ 4. จ่ายเงินชดเชยเมื่อผู้เอาประกันทุพลภาพชั่วคราวบางส่วนจากอุบัติเหตุ 5. จ่ายค่ารักษาพยาบาลแทนผู้เอาประกัน 6. จ่ายเงินชดเชยในกรณีที่สูญเสียนิ้ว/การฟัง/การพูด และทุพลลภาพถาวรบางส่วนประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) จำเป็นแค่ไหนที่ต้องมีตอบ หากมีเงินสำรองมากพอที่จะครอบคลุมค่ารักษาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต หรือมีหลักประกันสุขภาพอื่นๆที่แข็งแรงมากพอก็อาจไม่จำเป็นต้องมีประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลเพิ่มอีก แต่ถ้าไม่มี “ประกันอุบัติส่วนบุคคล” ก็อาจเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ควรมีติดตัวไว้ เพราะเบี้ยประกันไม่สูงมากนัก แต่ได้รับความคุ้มครองเกือบครอบคลุมทุกเหตุไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวเราในอนาคตได้ ใครบ้างที่ควรมีประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) ไว้ในครองครอง • คนที่มีไลฟ์สไตล์โลดโผน อาทิเช่น ชอบเล่นกีฬา เดินทางท่องเที่ยวบ่อยเด็กเล็ก เนื่องจากความซุกซนอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ทุกเมื่อ • คนที่ต้องการเครื่องมือช่วยแบ่งเบาภาระค่ารักษาพยาบาล หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกิดจากอุบัติเหตุไม่คาดฝัน • คนที่ต้องการขยายความคุ้มครองให้ครอบคลุมมากขึ้นจากหลักประกันสุขภาพที่มีอยู่ในปุจจุบัน • คนที่มีลักษณะการทำงานเอื้อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย อาทิเช่น พนักงานเช็ดกระจนบนตึกสูง • คนที่ไม่สามารถทำประกันชีวิตได้ เนื่องจากมีปัญหาด้านสุขภาพที่ร้ายแรงขอบคุณแหล่งข้อมูล : assurity.com, aar-insurance.ke, oic.or.th/thแหล่งที่มาข่าว noonhttps://www.noon.in.th/blog/how-pa-necessary-to-you/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
รู้จริง!รู้ลึก เรื่องการวางแผนการเงิน แบบครบวงจร เรียนรู้จากรูรู ตัวจริง เสียงจริงมีจิตอาสา…การรวมตัวของวิทยากรการเงินและประกันชีวิตมากที่สุดครั้งหนึ่งใน …FA STATION แพลตฟอร์มออนไลน์มาเเรงน้องใหม่ล่าสุด สอนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อช่วยยกระดับความรู้ให้สังคมไทยเรียนจบ รับประกาศนียบัตร มีงานทำ ทันที…FA STATION กราบขอบพระคุณสื่อมวลชน ผู้บริหารและพลังพี่น้องตัวแทนทุกสื่อที่มาร่วมงานและ ประชาชนโครงการจิตอาสานี้……https://www.innwhy.com/fa26092022/……https://kohkrasaekhao.com/?p=19617……https://iwhatjournal.wordpress.com/2022/09/26/launch-of-the-financial-planning-learning-platform-fa-staion/https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02hRYUTN7CxFAx1Qh4o9TWSkAVr5ivLWL7SEHWJJtmm4vq2gGJo8VVgn9QSxQUEdUzl&id=100063487929496https://twitter.com/bkkexp/status/1574367674053771265?t=dDlCChCJ4fSS7R252CTkwA&s=19https://www.instagram.com/p/Ci-Bx-9rkc_l8_TCPmHjQT9vNe8ZXMkGtibiOY0/?igshid=YmMyMTA2M2Y=…https://xn--l3caabg1fm8h5ab.com/ดูบทความ-128163-รู้จริงรู้ลึก-เรื่องการวางแผนการเงิน-เรียนจบมีงานทำทันที.html………https://splendor-biz.com/52159/…………https://www.benewsonline.com/home/2022/09/รู้จริง-รู้ลึก-เรื่องการ/………https://worldbusiness-th.com/51099/……https://www.thaipublicmedia.com/2022/09/FA-STATION-Financial-Planning-Learning-Platform.html……https://kaoupdate.com/2022/09/26/37550-fa-staion/……https://smartlife-news.com/business/aia-fa-station/………https://gorgeousbkk.com/fa-station-aia/……https://www.arsa-story.com/news/1664116293945691………http://greeneconomynews.com/?p=20540………https://sabaideethailand.wordpress.com/2022/09/25/fa-station/………https://4quarter.co/33224/………รู้จริง!รู้ลึก เรื่องการวางแผนการเงิน เรียนจบมีงานทำทันที http://www.thaimlmnews.com/รู้จริงรู้ลึก-เรื่องการ/… https://mlmnewsonline.com/?p=32224https://ibiznewsmedia.com/2022/09/25/fa-station/https://www.clubhoon.com/mainnews_detail.php?id=OTZpUElTVnErODlJcEtBNUhSaEZ3dz09&cate_id=5…รู้จริง!รู้ลึก เรื่องการวางแผนการเงิน เรียนจบมีงานทำทันที | Worldbusiness https://worldbusiness-th.com/51099/…www.thaipublicmedia.com https://web.facebook.com/ThaiPublicMedia/posts/pfbid033xG7B3yxy7vjCcVZ3D3KFdxes9BAeMCP4tzGFxWMueryYvBNukyeGriX3ZtyVg4alhttps://twitter.com/ThaiPublicMedia/status/1574563782491508736…………|||……………|||………………ณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต กล่าวแสดงความยินดีกับ กับงานเปิดตัว FA STATION แพลตฟอร์มล่าสุด ของประชาชนคนไทยทุกคนhttps://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid07FP19hHgoM4UKzvqw2eoGezvr4HF1bANCJGUxtYBbZHJ58uMuBeAooPrRYE8AxTCl&id=544464316FA STATION TEAM27/9/65 : 09:00 น.
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
การวางแผนทางการเงิน
30/04/2024
ถึงเวลา! เปิดตัวแพลตฟอร์มการเรียนรู้การวางแผนการเงิน FA STATION วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน 2565 เวลา 13:00น ณ โรงแรมแชงกรีล่า กรุงเทพ ห้องบอลรูม ประชาชนทุกสาขาอาชีพ สามารถกดสมัครเรียนรู้ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายผ่านเว็บไซต์ FA STATION จบครบในที่เดียว โดยวิทยากรระดับประเทศกว่า 30 ท่านFA STATION เป็นสถานีการเรียนรู้ด้านการวางแผนการเงินออนไลน์ครบวงจร จากกูรูตัวจริงที่นำประสบการณ์การทำงานที่ประสบความสำเร็จมาแนะนำทั้งภาคทฤษฎี และปฎิบัติ มากกว่า 300 คลิป ตั้งแต่พื้นฐาน ไปจนถึงเรื่องยากๆ โดยผู้เรียนสามารถชมออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง โดยสามารถถาม-ตอบ แบบสดๆ ผ่านช่องทางส่วนตัวกับวิทยากรได้อีกด้วย จากแนวคิด “Learn Your Class with Your Master”คุณประกิตติ บุณยเกียรติ ที่ปรึกษาอาวุโส เอไอเอ ประเทศไทยคุณณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายตัวแทนประกันชีวิตวิทยากรจิตอาสาทั้ง 30 ท่าน จากหลากสมาคม องค์กรและ CEO การเงินบริษัทชั้นนำของประเทศ อาทิ คุณชลเดช เขมะรัตนา (นายกสมาคมฟินเทค(TFA) และผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน การลงทุนและเทคโนโลยี), คุณกมลวรรณ สุชาตานนท์ (CEO บลป.โรโบเวลธ์ & FA STATION), คุณพันธ์ศักดิ์ พสุกุลพันธ์ (CEO Wealth24hrs & Co Founder FA STATION), คุณดุษณี เกลียวปฏินนท์ (วิทยากรที่มีประสบการณ์ทำงานด้านพัฒนาผลิตภัณฑ์และการเป็นนักลงทุน ได้รับเชิญเป็นวิทยากรบรรยายให้สมาคม องค์กรและตลาดหลักทรัพย์),คุณมงคล ลุสัมฤทธิ์ (นายกสมาคมผู้บริหารธุรกิจประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน GAMA) เป็นต้นโดยทุกหลักสูตรจะไม่มีค่าใช้จ่าย สำหรับการเรียนรู้เพื่อไปวางแผนให้ตนเองและครอบครัว และไปประกอบวิชาชีพ ที่ปรึกษาการเงินอิสระ นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรพิเศษของวิทยากร ที่เปิดคลาสสอนออนไลน์ในราคาพิเศษสุดๆ ที่ไม่เคยบรรยายที่ไหนมาก่อนให้เลือกเรียนได้ ทุกหลักสูตรถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับประชาชนคนไทยทุกสาขาอาชีพ ทั้งนักเรียน นักศึกษา คนรุ่นใหม่ที่สามารถเข้าถึงแพลตฟอร์มนี้ได้ เรียนรู้ก่อนและก้าวทันโลกการเงินคุณชลเดช เขมะรัตนา นายกสมาคมฟินเทคประเทศไทย(TFA) กล่าวว่า “ในโลกการเงินในปัจจุบัน เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับชีวิตประจำวันในทุกมิติมากกว่าในอดีต ประชาชนทุกคนเริ่มเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีและปรับตัวได้มากขึ้น เเต่ยังไม่มีการเรียนรู้ การสอนอย่างมีระบบ ถึงมีก็ยังมีค่าใช้จ่ายที่สูง ประชาชนขาดโอกาสอีกมากโดยเฉพาะเรื่อง การวางแผนการเงินที่ทุกคน ทุกอาชีพต้องเกี่ยวข้อง ขาดวางแผนการเงินของตนเองและครอบครัว จึงทำให้มีหนี้เสียจำนวนมากเป็นปัญหาในหนี้ภาครัวเรือน ผมจึงขอชื่นชมโครงการFA STATION ที่เกิดขึ้นมาในช่วงเวลาที่เหมาะสมภายใต้การร่วมแรง ร่วมใจการแบ่งปันของวิทยากรจิตอาสาทุกท่าน”คุณกมลวรรณ สุชาตานนท์ CEO INDEGO & FA STATION ได้กล่าวว่า “ด้วยสถานการณ์ของโรคไวรัสโควิด-19 ที่ระบาดทั่วโลกในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประชากรทั่วโลก โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนคนไทยทุกสาขาอาชีพได้รับผลกระทบในหลายๆ ด้านโดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ การตกงานและปัจจุบันระดับหนี้ครัวเรือนของไทยอยู่ในระดับที่น่ากังวล ไม่ว่าจะเทียบกับในอดีตหรือเทียบกับต่างประเทศ โดยข้อมูล ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2564 ชี้ว่าระดับหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทยเพิ่มขึ้นสูงถึง 89.3% และเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ไทยมีระดับหนี้ครัวเรือนต่อ GDP สูงเป็นอันดับที่ 12 จาก 70 ประเทศทั่วโลก และสูงเป็นอันดับที่ 2 ในเอเชียรองจากประเทศเกาหลีใต้ นี่คือเหตุผลสำคัญที่เกิดโครงการ FA STATION ที่เป็นสถานีของการเรียนรู้การวางแผนการเงิน สอนให้รู้จริง ทำได้และวางแผนได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เป็นเจตนารมณ์ร่วมกันของวิทยากรทุกๆคนค่ะ”คุณพันธ์ศักดิ์ พสุกุลพันธ์ CEO Wealth24hrs ในฐานะหัวเรี่ยวหัวแรงของการปั้นแพลตฟอร์มนี้มากว่า2ปีได้กล่าวว่า “เราอยากให้ประชาชนคนไทยทุกสาขาอาชีพ โดยเฉพาะน้องๆ นักศึกษาชั้นปีสุดท้ายได้เรียนรู้ก่อน เพราะคือวัยที่กำลังต้องการข้อมูลในการวางแผนชีวิตเข้าสู่โลกใบใหม่ของการเริ่มต้นทำงาน เริ่มต้นที่จะวางแผนการเงินจากเงินเดือนๆ เเรกของชีวิต ถ้ารู้ก่อนจะได้เปรียบในทุกมิตินับจากวันที่เรารู้ เราสามารถที่จะเตรียมตัว วางแผนชีวิตได้ดี เพื่ออนาคตที่ดีได้ไม่ยาก นอกจากนี้เเล้ว FA STATION ยังวางแผนการทำงานด้านนี้ เปิดโอกาสในการทำอาชีพที่ปรึกษาการเงินอิสระในช่วงที่รองานประจำ หรือจะทำเต็มตัวได้ทันทีเมื่อจบคอร์สเรียน จึงขอฝากทุกท่านช่วยกันประชาสัมพันธ์ในโครงการนี้ เพื่อช่วยเหลือสนับสนุนให้ทุกคนเข้าถึงแพลตฟอร์มดีๆ เช่นนี้ โดยสามารถสมัครเรียนรู้ด้วยตนเองผ่าน www.FASTATION.co.th โดยเริ่มรับสมัครวันเเรกในวันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน 2565 เป็นต้นไป”
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
30/04/2024
ไฟไหม้ หรือน้ำท่วมเฉียบพลันเป็นเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่สามารถสร้างความสูญเสีย และความเสียหายให้กับตัวเรา และทรัพย์สินได้อย่างมากมายมหาศาล โดยเฉพาะความเสียที่เกิดขึ้นกบ “บ้าน” หลายๆ คนจึงเลือกที่จะทำ ประกันอัคคีภัย หรือประกันภัยบ้าน ไว้มาเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งรายละเอียด และเงื่อนไขความคุ้มครองโดยทั่วไปของประกันภัยบ้านสามารถตามไปอ่านได้ที่บทความ ประกันภัยบ้าน เรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามแต่สำหรับบทความนี้เพื่อเป็นการช่วยเตรียมพร้อมในยามที่ภัยมาแต่เนิ่นๆ เราจะการพาไปดูรายละเอียดเกี่ยวกับการเคลมประกันภัยบ้านกันว่าแต่ละขั้นตอน หรือเอกสารที่ต้องเตรียมนั้นมีอะไรบ้างขั้นตอนการเคลมประกันบ้าน 1. ติดต่อบริษัทผู้รับประกันเพื่อแจ้งให้รู้ถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นทันที 2. ถ่ายภาพของทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหายโดยละเอียด เพื่อให้เห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด 3. จัดทำรายการทรัพย์สินที่เสียหายทั้งหมด 4. ให้ช่างหรือผู้รับเหมาประเมินราคาค่าเสียหายของทรัพย์สินที่เกิดขึ้นทั้งหมด 5. เก็บรักษาทรัพย์สินที่เสียหาย เพื่อให้บริษัทประกันภัยตรวจสอบ 6. เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน • หนังสือเรียกร้องของผู้เอาประกันภัย • สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้เอาประกันภัย • ใบเสนอราคาค่าซ่อมแซมของผู้รับเหมา และ/หรือ ใบเสร็จรับเงินในการซ่อมแซม • ภาพถ่ายความเสียหาย • สำเนาบันทึกประจำวันของเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ (ในกรณีที่ต้องมีการแจ้งความ) • หนังสือยอมรับผิดของบุคคลภายนอก (ในกรณีที่เสียหายจากการกระทำบุคคลภายนอก) 7. ส่งเอกสารให้กับบริษัทผู้รับประกันภัย ต้องรอนานไหมกว่าจะได้รับค่าชดใช้ค่าสินไหมทดแทนประกันบ้าน โดยปกติแล้วบริษัทผู้รับประกันจะใช้ระยะเวลาในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ภายใน 15 วันทำการ หลังจากที่ผู้เอาประกันลงนามในเอกสารตกลงค่าเสียหายและจัดส่งเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้แก่บริษัทเรียบร้อยแล้ว แต่อาจช้ากว่ากำหนดได้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันนั้นๆ ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก : tqm.co.th, s-ins.co.th, thairath.co.thแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับnoonhttps://www.noon.in.th/blog/7-step-to-claim-hoem-insurance/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
"มิตรภาพจากเพื่อนที่ร่ำรวยในวัยเด็ก มีส่วนทำให้สถานะทางสังคมและฐานะทางเศรษฐกิจสูงขึ้นเมื่อเป็นผู้ใหญ่"บทสรุปสั้นๆ จากการศึกษา 2 ชิ้นใหม่ล่าสุดของ Raj Chetty นักเศรษฐศาสตร์ของฮาร์วาร์ด ที่มีสาระสำคัญว่า การมีเพื่อนรวยกว่าตั้งแต่เด็ก เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนพลังเงินในกระเป๋าของคุณได้จริงๆ จากการศึกษาครั้งนี้พบว่า เด็กจากครอบครัวที่มีสถานะทางเศรษฐกิจที่ไม่ดี แต่ได้อยู่อาศัยในชุมชนที่เพื่อนๆ กว่า 70% มาจากครอบครัวฐานะทางการเงินดี เด็กกลุ่มนี้จะมีรายได้สูงกว่าคนรุ่นเดียวกันโดยเฉลี่ย 20% เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่โดยอธิบายว่าที่เป็นแบบนั้นได้เพราะมีการสะสม "ทุนทางสังคม" (social capital) ที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จนสามารถมีฐานะดีกว่าเดิมได้เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่โดยทุนทางสังคมที่ว่านี้ สะสมมาจากการคบเด็กในครอบครัวที่ร่ำรวย ที่อาจได้แรงบันดาลใจหรือแนวคิดในการสร้างตัว ไปจนถึงการรับข้อมูลข่าวสารที่มีผลต่อการพัฒนาตัวเองจนยกระดับฐานะเศรษฐกิจ รวมไปถึงโอกาสในการหางาน หรือโอกาสทางสังคมอื่นๆ ด้วยซึ่งความสัมพันธ์ส่วนบุคคลหรือมิตรภาพเหล่านี้ เป็นปัจจัยผลักดันให้เกิด "การเลื่อนชั้นทางสังคม" ที่ทรงพลังอย่างไม่เชื่อ จนอาจพูดได้ว่า ในบางครั้ง "การศึกษา" หรือ "อาชีพเฉพาะทาง" ก็ยังไม่สามารถทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจของคนคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้ถึงขนาดนี้ อย่างไรก็ตาม ทีมผู้วิจัยอธิบายว่าเรื่องนี้เป็นสมมติฐานที่มีมานานแล้วในแวดวงวิชาการเศรษฐศาสตร์ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ "คนรวย" จะมีโอกาสได้เป็นเพื่อนกับ "คนจน" เนื่องจากโดยปกติแล้วคนที่มีฐานะใกล้เคียงกันถึงจะมีโอกาสได้พบปะกันและผูกมิตรกัน • ถ้าเราคบเพื่อนรวย จะทำให้รวยขึ้นได้ไหม ?จากการศึกษาข้างต้น อนุมานได้ว่าการเปลี่ยนแปลงสถานะทางรายได้ที่ดีขึ้นของมนุษย์ส่วนหนึ่งมาจากสิ่งแวดล้อม ทัศนคติบางอย่างที่ถูกส่งต่อในสังคมที่อยู่หรือคนที่เข้าหาและคลุกคลีด้วยบ่อยๆ "คุณจะมีเส้นทางชีวิตเหมือนกับคนที่คุณคบหาด้วย" วอลเลน บัฟเฟตต์ เคยกล่าวไว้คำพูดของ บัฟเฟตต์ หนึ่งในมหาเศรษฐีระดับโลก สอดคล้องกับ Thomas Corley ผู้เขียน Rich Habits: The Daily Success Habits of Wealthy Individuals" ใช้เวลา 5 ปีในการศึกษากิจกรรมของคนร่ำรวย ในระหว่างการวิจัย เขาค้นพบจุดร่วมที่น่าสนใจ จากเศรษฐีที่สร้างฐานะด้วยตัวเอง 177 คนในการศึกษาของเขาจุดเด่นของคนกลุ่มนี้ คือความพยายามสร้างความสัมพันธ์กับคนที่เขาอยากเลียนแบบ โดยก่อนที่พวกเขาจะกลายเป็นคนมั่งคั่งร่ำรวย เศรษฐีหน้าใหม่เหล่านี้พยายามอย่างตั้งใจในการสร้างความสัมพันธ์เฉพาะกับบุคคลที่พวกเขาอยากจะเป็น นั่นคือคนที่ร่ำรวยและประสบความสำเร็จคนอื่นๆCorley ยังบอกอีกว่า "คนทั่วไป" อาจชอบคบกับคนที่พวกเขาคุ้นเคยและเข้าถึงได้ง่ายโดยไม่รู้ตัว เช่น เพื่อนร่วมงาน เพื่อนบ้าน หรือสมาชิกในครอบครัว แต่ในทางกลับกันเศรษฐีเหล่านี้ไม่มีปัญหาในการย้ายไปอยู่นอกเครือข่ายสังคมเดิมๆ และสามารถสร้างมิตรภาพกับคนที่พวกเขาต้องการเลียนแบบได้แบบไม่เคอะเขินจึงกล่าวได้ว่าการ "มีเพื่อนรวยกว่า" ทำให้มีโอกาสรวยขึ้น เป็นไปได้จริง อย่างไรก็ตาม "รวย" ณ ที่นี้ ก็ไม่ได้หมายความว่ารวยจากการหวังเพิ่งพาทรัพย์สินจากเพื่อน แต่มิตรภาพที่แน่นแฟ้น ความปรารถนาดีต่อกัน ไปจนถึงแนวความคิดของคนที่คลุกคลีกับธุรกิจหรือแนวคิดทางการเงินแบบก้าวหน้าต่างหาก ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างและต่อยอดรายได้ต่างหาก ที่ทำให้คนเราสามารถ "รวยขึ้นได้"--------------------------------อ้างอิง: wealthtender, businessinsider, sciencealert,, bbcแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1023845
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ภาษี
30/04/2024
ก่อนนำ “เบี้ยประกันบำนาญ” มาใช้ลดหย่อนภาษี เราต้องรู้เงื่อนไขการใช้สิทธิลดหย่อนก่อน ซึ่งมีด้วยกัน 5 ข้อ คือ1. “เบี้ยประกันชีวิตแบบทั่วไป” หรือ “ประกันชีวิต” แบบมีความคุ้มครองชีวิตที่กำหนดเวลาตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปใช้ลดหย่อนภาษีตามที่จ่ายจริงได้และสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท และประกันสุขภาพตามเงื่อนไขที่สรรพากรกำหนดที่ไม่เกิน 25,000 บาท ทั้งนี้ประกันชีวิตแบบทั่วไปและประกันสุขภาพใช้ลดหย่อนภาษีตามที่จ่ายจริงและได้รวมกันได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท2. “เบี้ยประกันบำนาญ” (แบบลดหย่อนภาษีได้) ใช้ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 200,000 บาท และไม่เกิน 15% ของเงินได้ซึ่งต้องเสียภาษี ซึ่งเงินก้อนนี้เมื่อนำไปรวมกับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ครูว่าด้วยโรงเรียนเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) รวมกันต้องไม่เกิน 500,000 บาท3. ถ้าใครที่ยังไม่มี “ประกันชีวิตแบบทั่วไป” สามารถนำ “เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ” ไปหักลดหย่อนแทนเบี้ยประกันชีวิตได้ด้วย ก็แปลว่าเราจะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีด้วยประกันบำนาญอย่างเดียวได้สูงสุดถึง 300,000 บาท ทำให้เราเสียภาษีน้อยลง หรืออาจจะได้เงินคืนจากภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายไปแล้วกลับมา4. ถ้าใครมี “ประกันชีวิตแบบทั่วไป” แล้ว แต่ยังไม่เต็ม 100,000 บาทแรก สามารถใช้ “เบี้ยประกันบำนาญ” ไปรวมสิทธิ์ลดหย่อนในส่วนของโควต้าเบี้ยประกันชีวิตแบบทั่วไปให้ครบ 100,000 ก่อนแล้วค่อยนำเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญมาลดหย่อนในส่วนที่เหลือได้5. กรณีมีคู่สมรส และทั้งคู่เป็นผู้ชำระเบี้ยสามารถ “แยกยื่นภาษี” ในส่วนของเบี้ยประกันชีวิตของประกันแบบบำนาญ เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนในส่วนของตนเองได้ สูงสุดคนละ 200,000 บาทวิธีคำนวณลดหย่อนภาษีของ “ประกันบำนาญ”ตัวอย่าง: สมมติว่า ถ้าปีนี้เรามีรายได้ 3,500,000 บาท ซื้อประกันชีวิตแบบทั่วไปปีละ 50,000 บาท ซื้อหน่วยลงทุน RMF ไว้ 300,000 บาท และไม่มีเงินจากส่วนอื่นไปหักลดหย่อนในวงเงิน 500,000 นี้ เราควรจะซื้อประกันชีวิตบำนาญแบบลดหย่อนภาษีได้โดยชำระเบี้ยประกันปีละเท่าไหร่ จึงจะสามารถใช้สิทธิได้เต็มจำนวน และจะประหยัดภาษีไปได้เป็นจำนวนเงินเท่าไหร่วิธีคิดแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนขั้นที่ 1: ตรวจสอบสิทธิของประกันชีวิตปกติว่าถึง 100,000 บาทหรือยัง ผลการคำนวณ 100,000 – ประกันปกติ 50,000 คือเหลือสิทธิลดหย่อนด้วยประกันบำนาญอีก 50,000 บาทขั้นที่ 2: ตรวจสอบสิทธิของประกันชีวิตบำนาญรวมกับ - กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ - กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน - กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) - กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) - กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ทั้งหมดนี้รวมกันต้องไม่เกิน 500,000 ว่าเหลือสิทธิอีกเท่าไหร่“ผลการคำนวณ 500,000 – RMF 300,000 คือเหลือสิทธิลดหย่อนด้วยประกันบำนาญอีก 200,000 บาท”ขั้นที่ 3: ตรวจสอบสิทธิลดหย่อนประกันบำนาญไม่เกิน 15% ของเงินได้ (ไม่เกิน 200,000)ผลการคำนวณ 3,500,000 x 15% คือมีเพดานสูงสุดไม่เกิน 525,000 บาท แต่จากขั้นที่ 1 และ 2 คำนวณเหลือสิทธิ 50,000 + 200,000 นั่นคือ เราจะสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีในโควต้าประกันบำนาญได้ไม่เกิน 250,000 บาทผลการคำนวณภาษีที่ประหยัดถ้าสมมติเราเสียภาษีอยู่ที่ขั้นภาษีที่อัตรา 15% ก็เท่ากับว่า เราจะสามารถประหยัดภาษีไปได้อย่างน้อย 250,000 x 15% = 37,500 บาทต่อปีตัวอย่างที่ 2: สมมติ ถ้าเรามีรายได้ทั้งปี 2,000,000 บาท แล้วเราซื้อประกันบำนาญไป 350,000บาท โดยไม่เคยซื้อประกันชีวิตแบบทั่วไป ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือ กองทุนรวม RMF เลย จะสามารถนำเบี้ยประกันไปลดหย่อนภาษีในโควต้าประกันบำนาญได้สูงสุดเท่าไหร่ และจะประหยัดภาษีไปได้เป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ขั้นที่ 1: ตรวจสอบสิทธิของประกันชีวิตปกติว่าถึง 100,000 บาทหรือยัง ผลการคำนวณ “ยังไม่มี” คือเหลือสิทธิลดหย่อนด้วยประกันบำนาญอีก 100,000 บาทขั้นที่ 2: ตรวจสอบสิทธิของประกันชีวิตบำนาญรวมกับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ซึ่งรวมกันต้องไม่เกิน 500,000 ว่าเหลือสิทธิอีกเท่าไหร่“ผลการคำนวณ 500,000 –0 คือเหลือสิทธิลดหย่อนด้วยประกันบำนาญอีก 200,000 บาท (สิทธิลดหย่อนสูงสุดคือไม่เกิน 200,000)”ขั้นที่ 3: ตรวจสอบสิทธิลดหย่อนประกันบำนาญไม่เกิน 15% ของเงินได้ (ไม่เกิน 200,000)ผลการคำนวณ 2,000,000 x 15% = 300,000 บาท แต่เกิน 200,000 บาท“ดังนั้น ก็ใช้สิทธิ์ลดหย่อนประกันบำนาญได้ 200,000 บาท และใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีในโควต้าประกันชีวิตแบบทั่วไปได้อีก 100,000 บาท รวม 300,000 บาท แสดงว่าซื้อ 350,000 บาท แต่เอาไปใช้ลดหย่อนภาษีได้ 300,000 บาท”การคำนวณภาษีที่ประหยัดขึ้นกับฐานภาษีที่จ่าย เช่นถ้าเสียภาษีในขั้นอัตรา 15% ก็จะประหยัดภาษีไปได้ปีละ 300,000 x 15% = 45,000 บาทต่อปีเลยทีเดียวการซื้อเกินสิทธิ์ที่ใช้ลดหย่อนได้“การซื้อประกันชีวิต” และ “ประกันบำนาญ” สามารถซื้อเกินสิทธิ์ได้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อความคุ้มครองชีวิต, สุขภาพ, ออมเงิน หรือเพื่อการวางแผนเตรียมเงินไว้ใช้หลังเกษียณ โดยนำเบี้ยประกันไปใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีตามที่จำนวนไม่เกินที่สรรพากรกำหนด ส่วนที่ซื้อเกินสิทธิ์จะไม่ต้องยื่นภาษีหรือทำอะไร ต่างจากในกรณี SSF และ RMF ที่เมื่อซื้อเกินสิทธิ์จะต้องมีการยื่นภาษีของเงินได้ที่เป็นกำไรจากการขายกองทุน SSF หรือ RMF นั้นๆ“ประกันบำนาญ” นั้น นอกจากจะช่วยให้เรา “ประหยัดภาษี” แล้ว จุดประสงค์หลักคือการเก็บออมในวันนี้เพื่อมีเงินใช้ในวันเกษียณ ดังนั้นเมื่อทำประกันบำนาญแล้ว ขอให้มีวินัยในการเก็บออมและรอรับเงินบำนาญที่จ่ายคืนจากกรมธรรม์จนครบกำหนดสัญญา จะช่วยให้สิทธิ์การลดหย่อนภาษีเป็นไปอย่างถูกต้องตามเงื่อนไขแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับwealthythaihttps://www.wealthythai.com/en/updates/wealth-management/wealth-ez/11776
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
การวางแผนทางการเงิน
30/04/2024
ในช่วงปีที่ผ่านมา กระแสคริปโทเคอร์เรนซีมาแรงสุด ๆ จนนักลงทุนจำนวนมากมองไปที่อนาคต ฝันไปไกลถึงคริปโทฯจะระบบเงินในอนาคตและดีกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆในช่วงที่คนมีความเชื่อมั่น ทุกอย่างดูเหมือนจะไปด้วยดี ราคาสินทรัพย์ดิจิทัลทุกประเภททะยานขึ้นชั่วข้ามคืน รวมถึงมีสินทรัพย์ดิจิทัลใหม่ ๆ ออกมาเสนอขายมากมาย จนจำชื่อไม่ได้ ซึ่งจากความเชื่อมั่นของบรรดานักลงทุนนี้เอง ทำให้มีการเปรียบเทียบ "ข้อดี-ข้อเสีย" ของการลงทุนในคริปโทฯกับสินทรัพย์ประเภทอื่น อย่างเช่น "ทองคำ" ซึ่งเป็นสินทรัพย์ "อมตะนิรันดร์กาล" ที่คนทั่วโลกต้องการมีไว้ครอบครองมายาวนานแต่คริปโทฯจะมาทดแทน หรือ เป็นสินทรัพย์ที่ดีกว่า "ทองคำ"จริงหรือไม่เมื่อเปรียบเทียบระหว่าง "คริปโทฯ" กับ "ทองคำ" สิ่งที่นักลงทุนต้องรู้ก่อนเป็นอันดับแรก ๆ มีดังนี้• อุปสงค์ หรือ ความต้องการทองคำมีหลากหลายมากกว่า• อุปทานทองคำ หรือแหล่งผลิตทองคำก็มีอยู่มากมายทั่วโลก แม้จะเริ่มมีปริมาณลดลง จากการขุดกันมานับร้อยปี• คริปโทเคอร์เรนซี มีลักษณะของการลงทุนแบบ "เก็งกำไร" ขนานแท้• ทองคำได้พิสูจน์ตัวเองมานานนับพันปีว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย โดยเฉพาะในช่วงที่เงินเฟ้อพุ่งทะยานและเกิดวิกฤติแต่ก็ยังไปดูถูกดูแคลนคริปโทฯไม่ได้ เพราะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา ซึ่งเมื่อพิจารณาในระยะสั้น ก็ถือว่ายังไม่อาจทดแทนทองคำได้ ด้วยเหตุผลดังนี้อุปสงค์ หรือความต้องการทองคำมีมาจากหลายแห่ง : ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ต่างจากสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ เพราะมีการนำทองคำไปใช้หลายทาง บรรดานักลงทุนและธนาคารกลางทั่วโลก ถือทองคำไว้เพื่อหาส่วนต่างหรือผลตอบแทนในอนาคต และทองคำยังช่วยรักษามูลค่าของเงินลงทุน "ชั้นเยี่ยม" เมื่อเปรียบเทียบกับสินทรัพย์อื่นนอกจากนี้ ทองคำยังเป็นที่ต้องการอย่างมากจากอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ และยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ที่ขาดไม่ได้ ตั้งแต่ในโทรศัพท์มือถือไปจนถึงชุดอุปกรณ์ทีวี ล้วนแต่มีส่วนประกอบของ "ทองคำ" อยู่ด้วยทั้งสิ้น แม้จะเพียงน้อยนิดขณะที่ทองคำมีการนำไปใช้หลากหลาย แต่ราคาทองคำก็มีความยืดหยุ่นมากกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ กล่าวคือ เมื่อตลาดการเงินเจอแรงกดดัน เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายขึ้น นักลงทุนก็จะซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย และที่น่าแปลกก็คือ เมื่อเศรษฐกิจขยายตัวได้ดี ผู้บริโภคก็จะซื้อเครื่องประดับและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นกล่าวคือ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะย่ำแย่ หรือ ขยายตัวได้ดี ล้วนแต่มีความต้องการทองคำจากคนกลุ่มต่าง ๆ เสมความต้องการคริปโทเคอร์เรนซีไม่มีความหลากหลาย : ความต้องการคริปโทฯส่วนใหญ่มาจากการลงทุนเป็นเหตุผลหลัก เมื่อเทียบกับการซื้อทองที่มาจากหลายทางหลาบวัตถุประสงค์ แม้คริปโทฯจะมีหลากหลาย แต่ไม่ใช่เรื่องการนำไป "ใช้ประโยชน์" แม้จะมีหลายชนิด แต่ก็มีมูลค่าต่างกัน โดยบิตคอยน์เป็นคริปโทฯที่มีมูลค่าการตลาดมากที่สุดในบรรดาคริปโทฯทั่วโลกจากการวิจัยพบว่าผู้บริโภคบางกลุ่มมองว่าคริปโทฯมีความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนสูง (high risk, high return) มีการเก็งกำไรกันดุเดือดเมื่อเทียบกับทองคำ ยกตัวอย่าง บิตคอยน์ มีราคาผันผวนแบบ "สุด ๆ" วิ่งขึ้น-ลง แทบตามไม่ทันสำหรับนักลงทุน สร้างความตื่นตระหนักให้กับนักลงทุน ซึ่งบางรายอาจจะรีบ "ช้อนซื้อ" หรือไม่ก็ "เทขายทิ้ง"ไปเลยการผลิตทองคำและผู้ครอบครองมีจำนวนมากหลากหลาย : เหมืองทองมีอยู่ทั่วโลก และส่วนแบ่งตลาดค่อนข้างกระจาย กล่าวคือไม่มีทวีปใดทวีปหนึ่งมีการผลิตทองคำเกิน 30% ของการผลิตทองคำทั่วโลก ซึ่งหมายความการผลิตทองคำจากเหมืองทอง มีมากมายทั่วโลก นอกจากนี้ ผู้ครอบครองทองคำมี "หลากหลาย" กระทรวงการคลังสหรัฐเป็นผู้ถือครองทองคำมากที่สุดในโลก แต่ก็คิดเพียง 4% ของทองคำที่มีอยู่ทั่วโลกเท่านั้น เกือบ 50% อยู่ในรูปของเครื่องประดับที่มีอยู่ทุกมุมโลก ขณะที่กว่า 20% เป็นของนักลงทุนในตลาดที่เก็บในรูปของทองคำแท่งและเหรียญทองคำอำนาจและความเป็นเจ้าของคริปโทเคอร์เรนซีไม่ได้มีการกระจายตัว : ในปี 2021 มีผู้ที่ลงทุนใน 5 ประเทศเท่านั้นที่ควบคุมการขุดเหมืองบิตคอยน์ โดยมีศักยภาพมากถึง 80% ซึ่งทำให้ผู้เป็นเจ้าของบิตคอยน์กระจุกตัวอย่างมาก กล่าวคือมีเพียง 2% ที่ครอบครองบิตคอยน์ส่วนใหญ่ ในสัดส่วนมากถึง 95% ทองคำและบิตคอยน์มทีพฤติกรรมต่างกันในโลกการลงทุน : ราคาทองคำมักจะพุ่งขึ้นเมื่อตลาดหุ้นเจอแรงกดดัน อย่างไรก็ตาม บิตคอยน์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ยกตัวอย่างเช่น ตั้งแต่เดือนพ.ย. 2021-พ.ค. 2022 ราคาบิตคอยน์ร่วงไปกว่าครึ่ง ขณะที่ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq เริ่มฟื้นตัว ส่วนราคาทองขยับเล็กน้อยคริปโทฯผันผวนมากกว่าทองมาก นักวิเคราะห์บางรายแนะนำว่านักลงทุนคริปโทฯควรเพิ่มลงทุนทองคำไว้ในพอร์ต เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มลงทุนสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนระยะยาวณ ปัจจุบัน มีข้อคิดเกี่ยวกับทองคำ-คริปโทฯ ดังนี้• ตลาดคริปโทฯยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นการพัฒนา ทำให้เกิดความผันผวนสูง ดังนั้นคริปโทฯจึงค่อนข้างยากในการลงทุนซื้อขาย• ทองคำเป็นสินทรัพย์การลงทุนที่ต้องใช้ความพยายามและต้องผ่านกทรทดสอบหลายด้าน• ทองคำให้ผลตอบแทนแข่งขันได้กับตลาดหุ้นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา• ทองคำมีผลประกอบลการที่ดีระหว่างช่วงเงินเฟ้อ• ทองคำซื้อง่ายขายคล่อง แม้ในยามวิกฤติ• นักลงทุนในทองคำเพราะต้องการกระจายความเสี่ยงและปรับพอร์ตลงทุน โดยลดการลงทุนสินทรัพย์อื่นในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจและการเงินแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับpptvhd36https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99/179023
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
30/04/2024
ฝนตก น้ำท่วม ปัญหาโลกแตก ที่ใครๆ ก็ไม่อยากเจอ โดยเฉพาะเจ้าของรถยนต์ทั้งหลาย เพราะน้ำที่ท่วมขังอาจนำพามาซึ่งความเสียหายหลักหมื่น หลักแสนฝนตกทีไร น้ำรอการระบายทุกที จอดรถอยู่อโศกดีๆ กลายเป็นสวนสยามทะเลกรุงเทพซะงั้น นี่คือปัญหาที่คนไทยส่วนใหญ่มักประสบพบเจอกันในช่วงฤดูฝนอยู่บ่อยครั้ง แต่ที่ร้ายไปกว่าน้ำท่วมอีกก็คือ รถยนต์ต้องมาพังเพราะน้ำเข้าเครื่องยนต์นี่แหละ ถ้าเป็นแบบนี้ประกันรถยนต์ที่ทำไว้จะคุ้มครองหรือเปล่านะ เพื่อคลายความสงสัยที่มีบทความได้รวบรวมคำตอบของทุกคำถามไว้ไว้แล้วประกันรถยนต์ภาคสมัครใจคุ้มครองกรณีรถยนต์เสียหายจากน้ำท่วมหรือไม่?ตอบ คุ้มครอง แต่ต้องเข้าข่ายเงื่อนไขเหล่านี้ เงื่อนไขที่ 1 ประกันรถยนต์ที่ทำต้องให้ความคุ้มครองภัยธรรมชาติ อย่างน้ำท่วม ซึ่งประเภทของประกันรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองภัยดังกล่าวมีดังนี้ • ประกันรถยนต์ชั้น 1 • ประกันรถยนต์ชั้น 2+ (บางแพคเกจ) • ประกันรถยนต์ชั้น 2 (บางแพคเกจ) • ประกันรถยนต์ชั้น 3+ (บางแพคเกจ)เงื่อนไขที่ 2 ความเสียหายต้องเกิดจากอุบัติเหตุ ไม่ใช่ความจงใจ สำหรับเงื่อนไขข้อที่ 2 นี้เราต้องมานั่งทำความเข้าใจกันก่อนซักนิด เพราะถึงแม้ว่ารถยนต์จะเสียหายจากน้ำท่วม แต่ถ้าเป็นการจงใจขับลุยน้ำท่วม ประกันไม่รับเคลมอย่างแน่นอน เพื่อให้เห็นภาพชัดกันมากขึ้น เราลองไปดูสถานการณ์ตัวอย่างกันซักนิด ตัวอย่างที่ 1 หญิงนูนขับรถยนต์ออกไปทำงานตามปกติ แต่ฝนเจ้ากรรมดันตกลงมาอย่างงหนัก ทำให้เกิดน้ำท่วมเฉียบพลัน จะขับรถหนีก็ไม่ทัน เครื่องยนต์จึงเสียหายอย่างหนัก เพราะถูกน้ำเข้า ถ้าเป็นกรณีเช่นนนี้ ประกันรถยนต์คุ้มครองแน่นอน เพราะเกิดจากอุบัติเหตุ ไม่ใช่ความจงใจ และถ้าบริษัทประกันประเมินดูแล้วเสียไม่คุ้มซ่อม หรือไม่สามารถทำให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมได้ ประกันจะจ่ายค่าสินไหมทดแทน 70-80% ของทุนประกันให้แก่ผู้เอาประกัน หมายเหตุ ทุนประกัน คือมูลค่าความคุ้มครองที่บริษัทประกันรถยนต์จะจ่ายให้สูงสุดต่อปีสำหรับความเสียหาย โดยรถใหม่ป้ายแดงจะมีทุนประกันอยู่ที่ 80% ของมูลค่ารถยนต์ ตัวอย่างที่ 2 ชายพีร์ขับรถยนต์ไปทำงานตามปกติ ปรากฎว่าเจอน้ำท่วมขังอยู่ข้างหน้า คาดว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากฝนตกหนักเมื่อวาน แต่ไม่เป็นไร เพราะถ้าใจเรากล้า อุปสรรคอะไรเช้ามา เราก็จะฝ่าฟันไปได้ สุดท้ายผลลัพธ์คือน้ำเข้ารถจนเครื่องยนต์ และระบบไฟฟ้าเสียหายหนักมาก ถ้าเป็นกรณีนี้ประกันรถยนต์ไม่คุ้มครองอย่างแน่นอน เพราะจงใจที่ขับฝ่าไปทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าข้างหน้ามีน้ำท่วมขัง เราแนะนำให้หลีกเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นน่าจะดีต่อใจ และเงินในกระเป๋า แถมให้อีกนิด………. 6 ขั้นตอนการเคลมประกันรถยนต์ กรณีรถเสียหายจากน้ำท่วม 1. เตรียมหลักฐาน และเอกสารให้พร้อม ดังนี้ • หลักฐานที่เกิดเหตุ อาทิเช่น รูปถ่ายที่บันทึกรายละเอียดของสถานการณ์ เป็นต้น • เอกสารเกี่ยวตัวรถ และกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ที่เราทำไว้ • ใบขับขี่ • บัตรประชาชน2. ติดต่อบริษัทประกันฯ ที่ทำประกันรถยนต์เอาไว้ (รายชื่อบริษัทประกันรถยนต์)3. รอเจ้าหน้าที่จากบริษัทประกันฯ มาตรวจสอบเพื่อประเมินความเสียหาย4. เลือกอู่หรือศูนย์ซ่อมเพื่อประเมินราคา5. รอการอนุมัติจากบริษัทประกันภัยที่ทำอยู่6. เมื่อเอกสารผ่านการอนุมัติ ก็สามารถนำรถส่งไปซ่อมที่อู่หรือศูนย์ซ่อมได้เลย“น้ำท่วมรถ” อาจเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเราบ่อยๆ แต่อย่างไรก็ตาม “ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ” ก็ยังเป็นสิ่งสำคัญที่เราควรมีติดรถไว้ตลอด เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้นการทำมีประกันไว้ย่อมดีกว่า เพราะอย่างน้อยเราก็ไม่ต้องแบกรับค่าซ่อมแต่เพียงคนเดียว ขอบคุณที่มา : oic.or.th, moneyguru.co.th, car.kapook.com, ngerntidlor.comแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับnoonhttps://www.noon.in.th/blog/how-to-claim-when-water-damage-car/?fbclid=IwAR3AMk5Hol4PPvfTP90LHwEfr15JInhV448MvhgYnNPrjYudWqf0oGeMWU0
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
20/08/2024
29/04/2024
30/04/2024
11/10/2024
30/04/2024