คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ห้องแสดงนิทรรศการ

"ผ้าเช็ดตัว" ในโรงแรม นำกลับมาใช้ใหม่ดีไหม

01/04/2024

จากข้อมูลของหน่วยงานพิทักษ์สิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา (US Environmental Protection Agency) โรงแรม เป็นผู้ใช้น้ำมากถึง 15% ของปริมาณน้ำทั้งหมดที่ใช้โดยสถานประกอบการและหน่วยงานในประเทศ คิดเป็น 17% ของน้ำประปาที่ใช้ในอเมริกา เมื่อพิจารณาว่า 16% ของการใช้น้ำในโรงแรมเป็นการซักรีด จึงไม่แปลกใจที่เราจะเห็นป้ายเล็กๆ ในห้องน้ำที่รณรงค์ให้แขกช่วยประหยัดน้ำโดยการใช้ผ้าขนหนู หรือผ้าเช็ดตัวซ้ำ แต่การใช้ผ้าเช็ดตัวซ้ำดีจริงหรือแม้การรณรงค์ให้นักท่องเที่ยวใช้ผ้าเช็ดตัวซ้ำในโรงแรมจะเป็นแนวคิดที่ดูเหมือนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่บทความวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการด้านการบริการธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว (Journal of Hospitality and Tourism Research) ชี้ให้เห็นว่า การปฏิบัตินี้กลับส่งผลเสียต่อทั้งธรรมชาติและสุขภาพของผู้คนผลการศึกษาชี้ว่า การยืดระยะเวลาการซักผ้าเช็ดตัวอาจส่งผลให้คราบสกปรกฝังแน่น ยากแก่การกำจัด ซึ่งนำไปสู่การใช้สารเคมีทำความสะอาดมากขึ้นและการซักนานขึ้น นอกจากนี้ หากคราบดังกล่าวไม่สามารถขจัดออกได้ สุดท้ายแล้วผ้าเช็ดตัวนั้นก็จะถูกทิ้งและแทนที่ด้วยของใหม่ กลายเป็นว่า "ระบบทำความสะอาดแบบรักษ์โลก" นี้กลับส่งผลให้มีการใช้ทรัพยากรมากขึ้น แทนที่จะลดลงอีกทั้ง การสัมผัสกับสารเคมีทำความสะอาดอย่างต่อเนื่องยังส่งผลต่อสุขภาพของพนักงานโรงแรม คุณ Grace N. Sembajwe, DSc. หัวหน้าผู้วิจัย ระบุว่า พนักงานเหล่านี้มักประสบปัญหา "อาการแพ้ทางเดินหายใจจำนวนมาก"การล่าช้าการทำความสะอาดผ้าปูที่นอน พรม และม่าน ยิ่งส่งผลกระทบรุนแรง ไม่เพียงแต่ดูไม่น่ามอง แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพของผู้เข้าพัก และอาจนำไปสู่รีวิวที่ไม่ดีบนเว็บไซต์จองโรงแรม"การเลือกซักผ้าปูที่นอนที่บ้านสัปดาห์ละครั้ง ย่อมแตกต่างจากการที่โรงแรมซักผ้าปูที่นอนสัปดาห์ละครั้ง" คุณ Sembajwe กล่าว "โรงแรมขนาดเล็กจำนวนมากไม่ได้ซักผ้าห่มเลยเกินกว่าปีละหนึ่งหรือสองครั้ง"แทนที่จะเลื่อนการซักผ้า โรงแรมควรลงทุนในเครื่องซักผ้าประหยัดพลังงาน สำหรับการประหยัดพลังงานที่บ้าน ผู้เขียนแนะนำให้ใช้ราวตากผ้าแทนเครื่องอบผ้าขอขอบคุณข้อมูล :apartmenttherapyแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1447079/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

กำลังซื้อ กำลังแย่

30/03/2024

คอลัมน์ : เช้านี้ที่ซอยอารีย์ ผู้เขียน : ดร.พงศ์นคร โภชากรณ์์ (pongnakornp@fpo.go.th) ผมตั้งชื่อเรื่องไว้ว่า “กำลังซื้อ กำลังแย่” วันนี้เรามาวิเคราะห์เรื่องนี้กันว่า จริงอย่างที่ผมว่าไหม ? และเราจะใช้ข้อมูลอะไรมาชี้วัดว่ามันกำลังแย่ ? จริงอยู่ว่าในปี 2566 พระเอกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คือ การบริโภคภาคเอกชน ซึ่งมีสัดส่วนถึงร้อยละ 59 ใน GDP ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 7.1 ต่อปี สูงสุดในรอบ 11 ปี แต่ก็เป็นผลจากการขยายตัวของการบริโภคในหมวดร้านอาหารและโรงแรมสูงถึงร้อยละ 46.5 ต่อปี หากการท่องเที่ยวกลับเข้าสู่การขยายตัวในระดับปกติ การบริโภคย่อมชะลอตัวลง ประกอบกับข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ออกมา 2 เดือนแรกของปี 2567 ยิ่งทำให้เห็นว่า การบริโภคกำลังอ่อนแรงลงแล้ว เรามาวิเคราะห์เครื่องชี้เศรษฐกิจแต่ละตัวกันครับ 1. รายได้เกษตรกรที่ขจัดเงินเฟ้อออก ครอบคลุมประชากรประมาณ 20 ล้านคน พบว่าหดตัวในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2567 ร้อยละ -0.6 และ -1.7 ต่อปี ปีที่แล้วทั้งปีก็หดตัวร้อยละ -2.1 ต่อปี ดังนั้นกำลังซื้อของเกษตรกรยังคงอ่อนแอต่อเนื่อง ช่วงที่เหลือยังต้องเผชิญกับภัยแล้งน้ำท่วมอีก 2. จำนวนนักท่องเที่ยวชะลอตัว ต่างประเทศเที่ยวไทยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 24 มีนาคม มีจำนวนกว่า 8 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 44 ต่อปี ชะลอลงมากจากปี 2566 ที่ขยายตัวถึงร้อยละ 154 ต่อปี ส่วนไทยเที่ยวไทยเดือนมกราคม 2567 ขยายตัวร้อยละ 6.8 ต่อปี ชะลอลงมากจากปี 2566 ที่ขยายตัวร้อยละ 23 ต่อปี ดังนั้น รายได้จากนักท่องเที่ยวที่ผันไปเป็นเงินเข้ากระเป๋าชาวบ้าน ร้านค้า โรงแรม ร้านอาหาร สองแถวรับจ้าง ย่อมมีแนวโน้มลดลงตามไปด้วย 3. ยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ปี 2566 ขยายตัวได้ร้อยละ 4.6 ต่อปี แต่เดือนมกราคม และกุมภาพันธ์ 2567 หดตัวร้อยละ -1.8 และ -10.0 ต่อปี ตามลำดับ สะท้อนว่ากำลังซื้อของประชาชนรายได้น้อยก็อ่อนแอเช่นกัน 4. ยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ ปี 2566 ขยายตัวร้อยละ 3.6 ต่อปี เดือนมกราคม 2567 ยังขยายตัวได้ที่ร้อยละ 5.4 ต่อปี แต่เดือนกุมภาพันธ์ 2567 กลับมาหดตัวที่ร้อยละ 27.1 ต่อปี ก็บ่งชี้ว่า ประชาชนที่มีรายได้ปานกลางก็ยังมีกำลังซื้อที่เปราะบาง แล้วจะหายเปราะบางเมื่อใด 5. ยอดรถปิกอัพจดทะเบียนใหม่ ปี 2566 หดตัวร้อยละ -27.2 ต่อปี ต่อมาในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2567 หดตัวร้อยละ -31.5 และ -36.4 ต่อปี ตามลำดับ สะท้อนว่า ประชาชนหรือผู้ประกอบการขนาดเล็ก กิจการขนาดเล็กที่ต้องลงทุนซื้อรถปิกอัพไว้ขนส่ง ก็มีกำลังซื้อที่ลดลง 6. ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ปี 2566 หดตัวร้อยละ -3.8 ต่อปี เดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2567 หดตัวร้อยละ -2.9 และ -2.8 ต่อปี ตามลำดับ ซึ่งเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17 หมายความว่า โรงงานผลิตของน้อยลง ซึ่งเป็นไปได้ว่ากำลังซื้อของเศรษฐกิจโดยรวมของโรงงาน บริษัท ห้างร้าน ครัวเรือน ยังมีแนวโน้มหดตัว 7. ยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม แม้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่สะท้อนกิจกรรมของเศรษฐกิจในเดือนมกราคม 2567 ซึ่งเป็นเดือนที่มีมาตรการ Easy e-Receipt จะทำให้มูลค่าการจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น แต่ก็เป็นกำลังซื้อของผู้มีรายได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเท่านั้น 8. หนี้ครัวเรือน ปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 91 ของ GDP และมีโอกาสจะเพิ่มขึ้น หนี้เสียจะเพิ่มขึ้น หนี้ที่กำลังจะเสียก็จะเพิ่มเร็วกว่า ทำให้การบริโภคภาคเอกชนจะถูกบั่นทอนด้วยหนี้ครัวเรือน กำลังซื้อก็จะลดลงในระยะยาว ดังนั้น หากมีคนมาถามผมว่า เศรษฐกิจกำลังจะฟื้นตัวแล้วใช่ไหม ? ผมจะตอบว่า “ตอนนี้ ยังครับ” บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน มิได้ผูกพันเป็นความเห็นขององค์กรที่สังกัด แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1532870

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

เสพงานศิลป์ นิทรรศการ “หลากสีในสวนสวย” หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน

29/04/2024

ธรรมชาติ สร้างแรงบันดาลใจให้ศิลปินสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างไม่รู้จบ....สัปดาห์นี้ “พี่ม้ามังกร” ขอพาน้องไปเสพศิลปะให้สุนทรีย์ สร้างชีวิตให้มีความรื่นรมย์ ชื่นชมธรรมชาติ ในนิทรรศการศิลปกรรมศิลป์สิรินธร “หลากสีในสวนสวย” (COLOURS IN A GARDEN) ที่ห้องโถงชั้น 1 หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน เปิดให้เข้าชมฟรีถึงวันที่ 26 เม.ย.นี้นิทรรศการนี้ ศูนย์ศิลป์สิรินธรร่วมกับสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม จัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาส สมเด็จพระกนิษฐา ธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราช กุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 69 พรรษา วันที่ 2 เมษายน 2567 และเฉลิมฉลองครบรอบ 31 ปี ศูนย์ศิลป์สิรินธร โรงเรียนศรีสงครามวิทยา อ.วังสะพุง จ.เลยความมุ่งมั่นในการจัดนิทรรศการเปรียบเสมือนการสื่อสารโดยใช้ “ศิลปะ” ที่รังสรรค์โดย “ศิลปิน” เป็นตัวแทนความ รักและกตัญญูต่อ สมเด็จพระ กนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระ เทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรม ราชกุมารี ที่ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อ “ศูนย์ศิลป์สิรินธร” ตลอดจนเป็นการแสดงความเคารพของศิษย์ที่มีต่อ นายสังคม ทองมี ครูผู้เป็นต้นแบบแห่งแรงบันดาลใจและเป็นกำลังสำคัญของวงการศิลปศึกษาของประเทศภายในนิทรรศการเต็มไปด้วยผลงานศิลปะที่ทำให้ผู้ชมได้ปลดปล่อยอารมณ์ชมธรรมชาติอย่างอิ่มเอมผ่านงานศิลป์ เหมือนอยู่ท่าม กลางสวนสวยที่อุดมสมบูรณ์อันเป็นที่มาของพันธุ์ไม้งามหลากสีสัน งอกงามและมอบคุณค่าคืนสู่สังคม โดยนำมาจัดแสดง 112 รายการ มีไฮไลต์สำคัญได้แก่ “มังกรบิน” ภาพวาดฝีพระหัตถ์และ “Untitle” ภาพ พิมพ์ฝีพระหัตถ์โลหะร่องลึก สมเด็จ พระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดงานศูนย์ศิลป์สิรินธร เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2548 และในปี 2566 ที่ผ่านมาขณะเดียวกันมีผลงานของบรรดาศิษย์เก่าศูนย์ศิลป์สิรินธร จำนวน 16 คน อาทิ Heartful Memories, Colouring Milano Duomo , Thailand's coronation Day parade, A Window View from Monet’s House at Giverny, France, Blooming day @ Central hotel Huahin Home Darden,A midst of Srilankan Forest, Home Garden, Contemplation-Time  and Thought, In the Pink Garden, Contemplation-Time and Thought, ดอกผักบุ้ง, สีสันในสวน (ครัว),Axure Dreamweaver, Birth of paradise, Summer day, ความงามเมืองอุดร, Night  in the garden, Colors in the garden และ Morning Glory manนอกจากนี้ยังมีผลงานของ 2 ศิลปินแห่งชาติ ได้แก่ นายพิชัย นิรัตน์ ชื่อ “สาระลังกา” 2546, “กล้วยไม้เมืองเหนือ” 2007 และผลงาน “สัม พันธภาพ” ของ นายสุรชัย จันทิมาธร ซึ่งแต่ละผลงานมีความงดงามมีเอกลักษณ์ของศิลปินแต่ละคนเลยครับ.พี่ม้ามังกรแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/2772865

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

สายเที่ยวต้องรู้! 11 ยาแก้ปวด ห้ามนำเข้าประเทศญี่ปุ่น

30/03/2024

สายเที่ยวต้องรู้! 11 ยาแก้ปวด ห้ามนำเข้าประเทศญี่ปุ่น ช่วงนี้หลายคนเตรียมตัวเดินทางไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ดอกซากุระกำลังเริ่มผลิบานในหลายพื้นที่ ด้วยอากาศที่หนาวเย็นกว่าบ้านเรา หลายท่านอาจเกรงว่าจะเป็นไข้ไม่สบาย ต้องการพกยาแก้ไข้แก้ปวดตัวตัวไปด้วย แต่อย่าเพิ่งนิ่งนอนใจควรเช็กให้ดีว่าเป็นยาแก้ปวดต้องห้ามเหล่านี้หรือไม่ประกาศสำคัญจากสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโดเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระบุว่า ยาแก้ปวดบางชนิดที่รัฐบาลญี่ปุ่นห้ามนำเข้าประเทศ เนื่องจากยาบางชนิด เป็นยาที่มีส่วนผสมต้องห้ามภายใต้กฎหมายุของญี่ปุ่น โดยทางสถานทูตฯ ขอแจ้งตัวอย่างรายชื่อยา ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงผิดกฎหมายและห้ามนำเข้ามาในญี่ปุ่น ดังนี้ 1. TYLENOL COLD2. NYQUIL3. NYQUIL LIQUICAPS4. ACTIFED5. SUDAFED6. ADVIL COLD & SINUS7. DRISTAN COLD/ "NO DROWSINESS"8. DRISTAN SINUS9. DRIXORAL SINUS10. VICKS INHALER11. LOMOTILสำหรับท่านใดที่เดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นแล้วมีโรคประจำตัวต้องใช้ยาประจำตัวทุกวัน สามารถนำยาติดตัวไปด้วยได้ หากไม่มั่นใจว่าเป็นยาต้องห้ามหรือไม่ อาจติดใบรับรองแพทย์หรือหลักฐานการสั่งจ่ายยา และควรแจ้งมัคคุเทศก์ให้ทราบด้วยเพื่อป้องกันปัญหาขณะเดินทางแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1447039/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

แก้ถังแตก “กองทุนประกันวินาศภัย” จ่อกู้ 3,000 ล้าน จ่ายเจ้าหนี้

30/03/2024

ผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัย ยอมรับ “ถังแตก” เหลือเงินแค่ 3 ล้าน ขณะที่ภาระหนี้ท่วม 5 หมื่นล้าน ยันทำทุกหนทางแต่ยังไร้ทางออก ขณะที่คลังยันมีแนวทางแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน เผยระยะสั้นจ่อทยอยกู้ 3,000 ล้าน เติมกองทุนไปก่อน ส่วนระยะยาวเล็งดึงภาคธุรกิจประกันร่วมแก้ปัญหานายชนะพล มหาวงษ์ ผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัย (กปว.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากกรณีที่กองทุนประกันวินาศภัยต้องปรับแผนการจ่ายคืนหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัยนั้น เนื่องจากตอนนี้เหลือเงินอยู่แค่ 3-4 ล้านบาทเท่านั้นโดยรอบต่อไปต้องรอเงินสมทบจากบริษัทประกันภัยที่จะเข้ามาอีกที ในช่วงเดือน ก.ค. 2567 ซึ่งบริษัทประกันนำส่งในอัตรา 0.5% ของเบี้ยประกันที่บริษัทได้รับในรอบเดือน ม.ค.-มิ.ย. 2567 หรือคิดเป็นเงินประมาณ 600-700 ล้านบาท“ตอนนี้เงินเหลือแค่ 3-4 ล้านบาท นั่นจึงเป็นที่มาของกองทุนต้องออกมาบอกกับประชาชน ขอปรับเปลี่ยนการอนุมัติชะลอจ่ายเงินให้แก่เจ้าหนี้ เพราะเวลานี้แทบไม่มีเงินจากช่องทางอื่นเข้ามาเลย”กองทุนยันทำทุกหนทางแล้วนายชนะพลกล่าวว่า ทั้งนี้ต้องบอกว่า กองทุนประกันวินาศภัย เป็นหน่วยงานของรัฐ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองเจ้าหนี้ ซึ่งมีสิทธิได้รับชำระหนี้ที่เกิดจากการเอาประกันภัย ในกรณีที่บริษัทถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย เปรียบเป็นหลักประกันให้กับประชาชน ซึ่งต้องจ่ายเงินเยียวยาให้เจ้าหนี้รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท มีลักษณะคล้ายกับสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ที่คุ้มครองกรณีธนาคารพาณิชย์ล้มละลาย“ในกรณีที่เงินกองทุนไม่เพียงพอจ่ายหนี้ ข้อกฎหมายกำหนดไว้ว่า สามารถขอรับเงินสนับสนุนจากรัฐบาล ตามมาตรา 80 (11) ตาม พ.ร.บ.ประกันวินาศภัย และเนื่องจากหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้สาธารณะ กองทุนจึงได้ขอบรรจุวงเงินกู้ไว้กับ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ไว้จำนวน 3,000 ล้านบาท รวมทั้งได้ดำเนินการเสนอปรับอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุน จาก 0.25% เป็น 0.5% ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดที่กฎหมายกำหนดแล้วแต่อย่างไรก็ตาม ยังถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบเงินนำส่งของธนาคารพาณิชย์ที่กำหนดไว้ 1% กองทุนจึงคาดหวังว่าหากแก้เกณฑ์ใหม่ปรับขึ้นไปที่ระดับ 1% น่าจะทำให้มีเงินเข้าสู่กองทุนได้ปีละ 2,000-3,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่เงินจะเข้ามาแค่ปีละ 1,200-1,300 ล้านบาท”ที่ผ่านมา กองทุนได้ดำเนินการขอปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพิ่มเงินสมทบเสนอต่อ คณะกรรมการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (บอร์ด คปภ.) ไปแล้ว ส่วนเรื่องเงินกู้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็ได้อนุมัติให้ใส่ไว้ในแผนบริหารหนี้แล้วเพียงแต่ตอนนี้ไม่มีใครให้กู้ ส่วนแผนการระดมทุนโดยออกตราสารทางการเงิน อยู่ระหว่างศึกษาและหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อย่างไรก็ดี แนวทางนี้มีข้อจำกัดเรื่องรายได้ของกองทุนขอรัฐจัดสรรงบฯช่วยอุ้มนายชนะพลกล่าวอีกว่า ขณะนี้กองทุนจึงพยายามขอรับเงินสนับสนุนจากรัฐบาล โดยส่งเรื่องไปยังสำนักงบประมาณแล้ว แต่ก็ไม่มีแผนรองรับการช่วยเหลือเรื่องนี้ เพราะรัฐบาลไม่มีเงิน สะท้อนให้เห็นว่า จากที่พยายามดำเนินการจัดหาเงินมาเกือบ 2 ปี ตอนนี้แทบไม่มีอะไรเคลื่อนไหวเลย มีเพียงแค่เงินสมทบของบริษัทประกันวินาศภัยที่นำส่งเข้ามาเท่านั้นโดยในช่วงปี 2566 ที่ผ่านมา กองทุนเร่งจ่ายหนี้ให้กับประชาชนได้ประมาณ 7,000-8,000 รายต่อเดือน วงเงินอนุมัติจ่าย 300-400 ล้านบาท จนกระทั่งถึงปี 2567 นี้ ได้รับเงินสมทบเข้ามาในเดือน ม.ค. กว่า 600 ล้านบาท เบื้องต้นวางแผนจะแบ่งจ่ายเฉลี่ย เดือนละ 100 ล้านบาท เพื่อรอเงินนำส่งครั้งที่ 2 เข้ามาแต่พิจารณาแล้วอาจจะไม่เหมาะสมที่จะจ่ายลดลงจากเดิมที่มีการจ่ายกว่า 300 ล้านบาทต่อเดือน จึงตัดสินใจจ่ายในเดือน ม.ค.-ก.พ. 2567 ในจำนวนใกล้เคียงกับปี 2566“จึงทำให้ในเดือน มี.ค. 2567 เงินกองทุนหมดหน้าตัก โดยเงินสมทบจะเข้ามาอีกทีในช่วงเดือน ก.ค. 2567 ระหว่างนี้กองทุนจะตรวจสอบรับรองมูลหนี้ให้เจ้าหนี้ และรอเงินเข้ามาแล้ว กองทุนจะอนุมัติจ่าย แต่อย่างไรก็ตาม คงจะจ่ายเงินให้ได้เฉพาะการอนุมัติของรอบเดือน มี.ค.-เม.ย. 2567 เท่านั้น เพราะเงินหมด ดังนั้นจะติดค้างไปอีก โดยตอนนี้มีหนี้ค้างจ่ายอยู่ 5 หมื่นล้านบาท กับเจ้าหนี้ทั้งหมด 6 แสนราย”นายชนะพลกล่าวว่า ตอนนี้ขึ้นกับนโยบายของภาครัฐแล้ว ทั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กระทรวงการคลัง และรัฐบาล ว่าจะจัดการหรือดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร หากไม่ทำอะไรก็ต้องใช้เวลาร่วม 80 ปี จึงจะจ่ายหนี้หมด กองทุนพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เนื่องจากเป็นเรื่องหลักประกันของผู้ใช้บริการสถาบันการเงินที่รัฐมีให้ จะทำให้ขาดความน่าเชื่อถือทั้งในและต่างประเทศแก้ปัญหา “สินมั่นคง” ค้างเติ่งแหล่งข่าวจากสำนักงาน คปภ.กล่าวว่า ปัญหากองทุนประกันวินาศภัยที่ผ่านมา รัฐบาลบอกทำนองว่าจะให้ทยอยกู้เงินเป็นงวด ๆ งวดละ 3,000 ล้านบาท โดยในช่วงต้นเดือน เม.ย. 2567 จะมีการประชุมคณะกรรมการจัดหาแหล่งเงินของกองทุนประกันวินาศภัย ซึ่งน่าจะต้องมีการพูดคุยเรื่องนี้กันส่วนความคืบหน้าการเพิกถอนใบอนุญาต บริษัท สินมั่นคงประกันภัย ขณะนี้เรื่องอยู่ที่กระทรวงการคลัง ซึ่งเวลาที่ทอดยาวออกไป คงเป็นเรื่องที่คลังกำลังคิดพิจารณาให้รอบคอบ เพราะอาจจะกระทบต่อภาระหนี้กองทุนประกันวินาศภัยที่ผ่านมา คปภ.เคยเรียกสินมั่นคงฯ เข้ามาพูดคุยหลายรอบ เพื่อทราบถึงแนวทางดำเนินการฟื้นฟูกิจการของตัวเอง แต่ยังไม่มีแผนการที่มีความเป็นไปได้ ซึ่งเบื้องต้นตามกฎหมายไม่มีกำหนดเดดไลน์ แต่ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจพิจารณาดูว่าตรงไหนที่จะเหมาะสม ซึ่งปัจจุบัน คปภ.สั่งให้สินมั่นคงฯ หยุดรับประกันชั่วคราวไป และตอนนี้เข้าไปควบคุมการจ่ายเงินออก ที่เหลือก็รอเพิกถอน ทำอะไรไม่ได้แล้วคลังยันมีทางออก-ไม่ใช้งบฯอุ้มนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวว่า ล่าสุดมีการประชุมร่วมกันเมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา ถึงกรณีกองทุนประกันวินาศภัยมีปัญหาขาดสภาพคล่องต้องชะลอการจ่ายหนี้ และการแก้ปัญหา สินมั่นคงประกันภัย อย่างไรก็ดี ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่า การแก้ปัญหาจะได้ข้อสรุปเมื่อใด“กําลังดำเนินการอยู่ เรายังไม่มีข้อสรุปที่ออกมาพูดได้ตอนนี้ ต้องรอให้ชัด ๆ กว่านี้ ถ้าได้ข้อสรุปแล้วจะมีการแถลง เดี๋ยวรอคําตอบก่อน”ขณะที่ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รมช.คลัง กล่าวว่า คงต้องไปดูฐานอํานาจทางกฎหมายของกองทุนประกันวินาศภัยก่อน ว่าจะสามารถทําอะไรได้บ้าง โดยมองว่าหากจะไปเก็บเงินเพิ่มจากบริษัทประกัน อาจจะไม่ถูกต้อง“คงต้องไปดูวิธีการหาเงินของเขา เพราะว่ากฎหมายเขาก็มีอํานาจอยู่ค่อนข้างจํากัดอยู่พอสมควร”ส่วนกรณีกองทุนประกันวินาศภัยได้เสนอแผนขอบรรจุวงเงินในแผนบริหารหนี้สาธารณะ ในวงเงิน 3,000 ล้านบาทนั้น ก็ต้องดูว่ารัฐบาลค้ำได้ไหม หากกองทุนมีอํานาจกู้ได้เอง ก็ต้องดูว่าจะเป็นหนี้สาธารณะหรือเปล่า ก็ต้องให้ทาง สบน.เข้าไปดูสำหรับกรณีหากมีการเสนอขอใช้งบประมาณในการแก้ไขปัญหา ก็ต้องพิจารณาว่ากองทุนประกันวินาศภัย เป็นหน่วยงานที่จะขอรับงบประมาณตามกฎหมายได้หรือไม่ หากเป็นหน่วยงานที่สามารถรับงบประมาณได้ ก็ต้องไปเข้ากฎหมายงบประมาณอีกที ซึ่งมองว่าอาจจะนานไป เพราะงบประมาณปี 2568 ขอไม่ทันแล้วด้านแหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังกล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังพอจะมีแนวทางออกที่เตรียมไว้แล้ว เพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างยั่งยืน ทั้งกรณีกองทุนประกันวินาศภัยที่ไม่มีเงินเหลือ กับกรณี บมจ.สินมั่นคงฯ โดยจะไม่ใช้งบประมาณ เพราะจะสร้างภาระทางการคลังจำนวนมาก ซึ่งจะขัดกฎหมายวินัยการเงินการคลัง อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ต้องรอให้มีการแถลงอย่างเป็นทางการอีกที“กองทุนอยากบีบให้คลังออกเงิน แต่ทำไม่ได้ เพราะจะผิดกฎหมาย ดังนั้นอาจจะต้องให้ภาคธุรกิจประกันมีส่วนร่วม แต่ก็ต้องมีแรงจูงใจให้เขาด้วย” แหล่งข่าวกล่าวแหล่งข่าวกล่าวว่า ในระยะสั้นน่าจะมีการกู้เงินที่วางกรอบไว้ 3,000 ล้านบาทก่อน ในเดือน มิ.ย.นี้ โดยกองทุนประกันวินาศภัยถือเป็นนิติบุคคล สามารถกู้ตรงได้เอง ซึ่งกระทรวงการคลังจะช่วยดูเรื่องตลาดให้แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1532866

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

พ่อรวยสอนลูก เปิดสาเหตุทำไม "การเกษียณอายุแบบ Baby Boomer" ส่วนใหญ่ถึงพังก่อนกำหนด

29/04/2024

โรเบิร์ต คิโยซากิ นักแนะนำการลงทุน เจ้าของหนังสือขายดี "Rich Dad Poor Dad หรือ พ่อรวยสอนลูก" ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่นานได้ออกมาเตือนนักลงทุนว่าตลาดหุ้นกำลังตกต่ำเข้าสู่วัฏจักรขาลง โดยกลุ่มคนรุ่น Baby Boomer ซึ่งมีบทบาทมากในสังคมปัจจุบันนี้ จะกลายเป็นเหยื่อที่เสียหายมากที่สุดจากหายนะครั้งนี้ finbold กล่าวถึงบทวิจารณ์ของ โรเบิร์ต คิโยซากิ โดยเขาชี้ให้เห็นว่าผลพวงของสัญญาณล่มสลายของตลาดหุ้น เริ่มมีสัญญาณสะท้อนออกมาแล้ว “ธนาคารยักษ์ใหญ่อีกแห่งในจีนล้มละลาย” และสิ่งเดียวกันนี้กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา “เนื่องจากอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ โดยเฉพาะอาคารสำนักงานหลายแห่งกำลังล้มละลาย และมันคือวิกฤติครั้งสำคัญ” ตามโพสต์ใน X ที่เขาเผยแพร่เมื่อวันที่ 29 เดือนมีนาคม เงินบำนาญคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ กับความหวังหลังเกษียณ แต่สลายหายไปในตลาดหุ้น นอกจากนี้ เขาชี้ให้เห็นว่าคนรุ่น Baby Boomer มีความเสี่ยงเป็นพิเศษเนื่องจากแผนการเกษียณอายุของพวกเขาที่มี "สินทรัพย์ปลอม" ผ่านกองทรัสต์เพื่อการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ (REIT) หรือที่เรียกว่า Mutual Fund ETFs สำหรับอสังหาริมทรัพย์ และ "การเกษียณอายุของ Baby Boomer กำลังจะทยอยพังทลายลงอย่างช้าๆ เมื่อทรัพย์สินเสมือนในรูปสัญญากระดาษพังทลายลง”เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น เขาแนะนำให้ผู้ติดตามของเขาว่า “ออกไปจากสินทรัพย์ปลอม รวมถึงสกุลเงินดอลลาร์ และซื้อทองคำ โลหะเงิน และบิทคอยน์ Bitcoins โดยไม่ต้องรอวันเกษียณอายุและเอาเงินบำนาญมาลงทุน "ผมไม่เชื่อว่าสินทรัพย์อะไรก็ตามที่พิมพ์ออกมาในรูปของกระดาษได้ (ดอลล่าร์ พันธบัตร สัญญาการถือครอง หรือสินทรัพย์ในรูปแบบกระดาษ) จะเชื่อถือได้ พวกคุณต้องไปสัมผัสของจริง เรียนรู้และสัมผัสประสบการณ์จริงด้วยตัวเอง" โรเบิร์ต คิโยซากิ อธิบายไว้ก่อนหน้านี้ว่าคนรุ่นของเขา กำลังจะเสียหายอย่างมากจากผลกระทบของ “การล่มสลายของตลาดหุ้นครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์” ที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากแบงก์ชาติสหรัฐ ซึ่งเป็นธนาคารกลางของประเทศ มีการพิมพ์ธนบัตรหรือเงินกระดาษมากเกินไป โดยไม่มีสินทรัพย์หลักใดเป็นเครื่องการันตีค้ำประกันหนุนหลังดอลล่าร์ นอกจากนี้ โรเบิร์ต คิโยซากิ ยังคงย้ำจุดยืนมาอย่างต่อเนื่องว่าวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันตัวเองจากผลกระทบจากอุบัติเหตุครั้งใหญ่ครั้งนี้ คือการมุ่งเน้นไปที่การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์และทรัพยากรเป็นการลงทุนที่เหนือกว่าในปี 2567 รวมถึงการเลือกลงทุนประเภทความเสี่ยงต่ำ ที่เป็นหลุมหลบภัยเช่น โลหะมีค่า เช่น ทองคำและโลหะเงิน หรือแม้กระทั่งวัวเนื้อวากิว ที่มีราคาสูง และสกุลเงินดิจิทัลเช่นบิทคอยน์เป็นต้น ขณะที่ดังที่กล่าวไว้ ไมค์ แมคโกลน ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน และนักวิเคราะห์อาวุโสของ Bloomberg ได้ออกมาเตือนเมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่าสินค้าโภคภัณฑ์อาจประสบปัญหา โดยนักลงทุนควรต้องเตรียมพร้อมสำหรับความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้น โดยมีความเสี่ยงถึง 30% อย่างไรก็ดีภายใต้อิทธิพลของหุ้นที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่าและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ลดลงในประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้บริโภคสินค้าโภคภัณฑ์อันดับต้น ๆ ของโลก ทำให้เกิดผลกระทบเป็นระลอกคลื่นในห่วงโซ่อุปทาน ทั้งนี้คนรุ่น Baby Boomer คือคนรุ่นที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2489 - 2507 (ค.ศ. 1946 - 1964) และจัดเป็นกลุ่มคนที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจและทิศทางสังคมในปัจจุบัน แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดออนไลน์https://mgronline.com/stockmarket/detail/9670000027877?tbref=hp

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

“แพรรี่ พาย” พาชมนิทรรศการผ้าไทยเทียบชั้นมหาอำนาจวงการแฟชั่นโลก

29/04/2024

จังหวัดบุรีรัมย์ สร้างเซอร์ไพรส์ร่ายมนต์สะกดคนเข้าชมงาน ตะลึงความงดงามนิทรรศการแสดงผลิตภัณฑ์ผ้าไทยครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี Colors of Buriram เชิดชูภูมิปัญญาชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยเรียงเรื่องราวอารยธรรมเส้นทางสายไหมในวันวาน สู่งานหัตถศิลป์พื้นถิ่น บอกเล่าวัฒนธรรมความเป็นไทยผ่านลวดลายอันวิจิตรบรรจงบนพื้นผ้าทอนานาชนิดและงานศิลปหัตถกรรมอันทรงคุณค่าหลากหลายชิ้นงาน สร้างความประทับใจไม่รู้ลืมแก่นักท่องเที่ยวและประชาชนชาวบุรีรัมย์ที่ให้ความสนใจเข้าร่วมชมงานมากกว่า 20,000 คน ตลอดระยะเวลา 3 วันนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า งาน “Colors of Buriram” เป็นการจัดนิทรรศการแสดงผลิตภัณฑ์ผ้าไทยและงานหัตถกรรมภูมิปัญญาชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด โดย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จมาทอดพระเนตรนิทรรศการ กระบวนการทอผ้าและจัดแสดงผลิตภัณฑ์ผ้าไหม (เป็นการส่วนพระองค์) ณ มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพพิเศษบ้านนาโพธิ์ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ (กลุ่มผ้าตุ้มทอง) ตำบลนาโพธิ์ อำเภอนาโพธิ์ และที่ว่าการอำเภอนาโพธิ์ หลังเสด็จกลับแล้ว จังหวัดบุรีรัมย์จึงมีการจัดงาน Colors of Buriram ต่อเนื่องอีก เป็นระยะเวลา 3 วัน“ความสำเร็จของงาน “Colors of Buriram” ในครั้งนี้เกิดจากความร่วมใจของชาวบุรีรัมย์กว่า 3,000 คน บนพื้นที่ 6,000 กว่าตารางเมตร หรือขนาดเท่า 1 สนามฟุตบอล จัดในโดมติดแอร์ขนาดมหึมา บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอนาโพธิ์ มี Exhibition Wall นิทรรศการผ้า ที่จัดแสดงและงานหัตถกรรมผ้า 2,000 กว่าชิ้น ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด ผลิตภัณฑ์ที่คัดสรรมาจากทั้ง 23 อำเภอ โดยเฉพาะผ้าไหมของชาวบุรีรัมย์ที่มีการพัฒนาต่อยอดให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความทันสมัย ใส่ได้ทุกเพศทุกวัย ถักทอด้วยความประณีต ออกแบบและตัดเย็บสวยงาม เพื่อสืบสานพระราชปณิธาน ผ้าไทยใส่ให้สนุกให้คงอยู่คู่กับชุมชนและชาวบุรีรัมย์ สืบสานอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทย และสนับสนุนกลุ่มอาชีพผลิตภัณฑ์ OTOP ให้มีรายได้เพิ่มขึ้น”งานในครั้งนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากนักท่องเที่ยวและประชาชนที่สนใจมากกว่า 20,000 คน ร่วมเรียนรู้ขั้นตอนการผลิตผ้าไหมไทยที่ละเอียดอ่อนตั้งแต่ต้นจนจบ ตระหนักถึงศักยภาพและความสามารถในการผลิตและจำหน่ายสินค้าชุมชน ที่ปัจจุบันมีการพัฒนารูปแบบให้มีความทันสมัยใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยมีเหล่านักแสดง, เซเลบริตี้ และอินฟลูเอนเซอร์เบอร์ท็อปต้นๆ ของเมืองไทย มาร่วมสร้างสีสันประชันความสวยงามอลังการ ได้แก่ อาร์ต-พศุตม์ บานแย้ม, ป้าตือ สมบัษร, ปิงปอง-ธงชัย ทองกันทม รวมทั้ง สยาม แยปป์ แนวรุกสุดหล่อ นักเตะลูกครึ่งไทย-อังกฤษ วัย 19 ปี จากสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ดยอดทีมแชมป์ไทยลีก 8 สมัย โดยเป็นครั้งแรกกับการผนึกความเป็นเมืองกีฬาและวัฒนธรรมนำเสนอการแต่งกายด้วยผ้าไหมลายผ้าพระราชทานผสมผสานกับผ้าไทยลวดลายเอกลักษณ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่นบุรีรัมย์ เพื่อต่อยอดผลิตภัณฑ์สู่ตลาดแฟชั่นของคนรุ่นใหม่และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันผ้าไหมไทยในเวทีโลกอีกด้วยภายในงานมีการจัดแสดง-จำหน่าย ของดีของขึ้นชื่อมากมาย และกิจกรรมที่น่าสนใจอื่นๆ อาทิ กิจกรรมสาธิต การเขียนผ้าบาติก, การเขียนทอง, การทอเสื่อกกยกขิด, มัดหมี่ลายพระราชทาน “ผ้าลายสิริวชิราภรณ์”, การปักผ้า (นกกะเรียน), การย้อมสีธรรมชาติ และงานผ้าอีโค ปริ้นต์ เป็นต้น รวมทั้งลายผ้าพระราชทานตามแนวพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ที่ทำให้เกิดการจุดพลังการขับเคลื่อนงานหัตถกรรมในทุกมิติ เพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ผ้าพื้นถิ่นให้ร่วมสมัย คนนิยมใส่ผ้าไทยมากขึ้น จนสามารถสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับประชาชนอย่างครบวงจร สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดบุรีรัมย์ หมายเลขโทรศัพท์ 0-4466-651ผ้าลายสิริวชิราภรณ์ ประเภทผ้ามัดหมี่แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/celebonline/detail/9670000026151?tbref=hp

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

10 แหล่งชมซากุระในเกียวโต เมืองมรดกโลกสุดโรแมนติก

29/04/2024

ปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายน เป็นช่วงเวลาสำคัญอีกครั้งสำหรับการท่องเที่ยวญี่ปุ่น โดยเฉพาะ “เกียวโต” เมืองมรดกโลกของยูเนสโก เพราะเป็นช่วงเทศกาลฮานามิ (Hanami) หรือเทศกาลชมซากุระต้อนรับการมาเยือนของฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งอดีตเมืองหลวงเก่าแก่ของญี่ปุ่นก็เต็มไปด้วยสถานที่อันสวยงามที่สามารถชมซากุระได้อย่างน่าประทับใจเทศกาลฮานามิ เป็นกิจกรรมง่ายๆไม่ซับซ้อน เป็นการเดินเล่นไปตามถนนหนทาง สวนสาธารณะ วัดวาอาราม หรือศาลเจ้า โดยนอกจากเดินชมความงามของฤดูกาลใหม่แล้ว ตามธรรมเนียมชาวญี่ปุ่นจะจัดปาร์ตี้กันใต้ต้นซากุระที่บานสะพรั่งชวนคนรัก ครอบครัว หรือเพื่อนฝูง มารวมตัวกันเพลิดเพลินกับความงามของดอกไม้บานและเฉลิมฉลองการมาถึงของอากาศที่อบอุ่นหลังจากอยู่กับฤดูหนาวอันยาวนานชวนมาทำความรู้จักกับ 10 แหล่งชมซากุระแห่งเมืองเกียวโตฤดูใบไม้ผลิที่เกียวโตแม่น้ำคาโมะ (Kamo River)สายน้ำสำคัญไหลผ่านใจกลางเกียวโต มีต้นซากุระเรียงรายริมฝั่งที่ผลิบานในฤดูใบไม้ผลิเช่นเดียวกับแม่น้ำหลายสายในญี่ปุ่น นอกจากนี้ริมแม่น้ำยังมีเส้นทางสำหรับเดินเล่นซึ่งเต็มไปด้วยคู่รัก บริเวณนี้ยังสวยงามเป็นพิเศษในช่วงปลายฤดูกาลอีกด้วย เพราะกลีบดอกซากุระที่เริ่มร่วงโรย จะหล่นและลอยไปตามแม่น้ำเส้นทางนักปราชญ์เส้นทางนักปราชญ์ (Philosopher’s Path)เส้นทางนักปราชญ์ มีที่มาจากครั้งหนึ่งเคยเป็นเส้นทางเดินของ "นิชิดะ คิทาโร” นักปรัชญาผู้มีชื่อเสียงชาวญี่ปุ่น เขานั่งสมาธิบนเส้นทางริมคลองสมัยเมจิขณะเดินทางไปมหาวิทยาลัยเกียวโตในแต่ละวัน และในช่วงฤดูซากุระบานก็เป็นเส้นทางสุดสวยที่หลายคนโปรดปราน ด้วยสองข้างทางมีวัดและศาลเจ้าหลายแห่ง ทอดยาวประมาณ 2 กิโลเมตร เช่น วัดกินคะคุจิ วัดนันเซ็นจิ รวมทั้งยังมีคาเฟ่น่ารักๆตลอดเส้นทางอย่างไรก็ตาม เส้นทางนักปราชญ์เป็นหนึ่งในจุดหมายที่ได้รับความนิยมมาก ดังนั้นหากต้องการหลีกเลี่ยงความวุ่นวายของผู้คน แนะนำให้ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่สำหรับการเดินชมซากุระท่ามกลางความเงียบสงบวัดคิโยมิซึเดระวัดคิโยมิซึเดระ (Kiyomizudera)วัดคิโยมิซึเดระ หรือวัดน้ำใส หรือ Kiyomizudera มีทิวทัศน์ที่คุ้มค่าต่อการมาเยือน แต่ก็เป็นวัดยอดนิยมของเกียวโตแม้ในวันปกติอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อถึงช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยดอกซากุระปริมาณผู้คนก็ยิ่งล้นหลาม แต่ก็คุ้มกับวิวดอกซากุระผลิบานสะพรั่งจากระเบียงของวัดที่มองออกไปเห็นเมืองเก่าแก่ ช่วงเทศกาลวัดมีการประดับไฟในช่วงเย็นถึงค่ำให้ได้ชมด้วย (ค่าเข้าวัด 400 เยน)ถนนชิมบาชิถนนชิมบาชิ (Shimbashi Street)ถนนที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในย่านกิออน (Gion) หรือย่านที่มีเกอิชา ศิลปินชั้นสูงของญี่ปุ่น ซึ่งมีภาพดอกซากุระบานสะพรั่งทั่วถนนทอดยาวไปตามคลองชิราคาวะ ส่วนที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ ระหว่างถนนนาวาเตะ-โดริ กับ คาวาบาตะ-โดริศาลเจ้าเฮอันศาลเจ้าเฮอัน (Heian Shrine)อีกจุดหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากมีต้นซากุระพันธุ์ย้อย หรือ Weeping Cherry (ซากุระที่มีกิ่งไหลเหมือนสายน้ำ) ซึ่งเงาสะท้อนปรากฏที่สระน้ำของสวนในศาลเจ้า ซากุระพันธุ์นี้จะบานช้ากว่าพันธุ์อื่นๆ เล็กน้อย จึงเหมาะมากที่จะไปชมในช่วงปลายเทศกาลคลองโอคาซากิคลองโอคาซากิ (Okazaki Canal)มีบริการล่องเรือชมดอกไม้ตามฤดูกาล บริเวณนี้เต็มไปด้วยช่างภาพ และนักท่องเที่ยวที่แวะมาเซลฟี่อย่างคึกคัก สามารถเดินเล่นไปตามเส้นทางและดูเรือแล่นผ่านไปมาได้ โดยคลองไหลผ่านศาลเจ้าเฮอันจากทิศใต้ไปทิศตะวันออก และเชื่อมต่อแม่น้ำคาโมะกับโครงข่ายคลองของทะเลสาบบิวะ (ค่านั่งเรือ 1,500 เยน)สวนสาธารณะมารุยามะสวนสาธารณะมารุยามะ (Maruyama Park)สวนสาธารณะแห่งนี้ คือ หนึ่งในจุดไฮไลท์ของเทศกาลชมซากุระที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเกียวโตและเป็นที่ชื่นชอบของคนในท้องถิ่น เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความคึกคัก ที่อาจไม่เหมาะสำหรับชอบความเงียบสงบ แต่ก็สวยงามคุ้มค่า สวนแห่งนี้มี Gion Shidare-zakura ต้นซากุระพันธุ์ย้อยที่เติบโตจากเมล็ดของต้นซากุระที่มีอายุราว 200 ปีทางรถไฟสายเก่าทางรถไฟสายเก่า Keage Inclineในอดีตใช้ในการขนส่งเรือระหว่างคลอง ปัจจุบันเป็นทางรถไฟที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว แต่ก็เป็นจุดถ่ายภาพ มีเส้นทางเก่าแก่ที่งดงามโดยเฉพาะมีดอกซากุระบานสะพรั่ง ที่นี่ยังกลายเป็นโบราณสถานแห่งชาติในปี ค.ศ.1996 อีกด้วยสะพานโทเก็ตสึ ที่อาราชิยามะอาราชิยามะ (Arashiyama)นักท่องเที่ยวอาจจดจำภาพป่าไผ่ที่ย่านชานเมืองเกียวโตแห่งนี้ แต่แม่น้ำของอาราชิยามะ ก็เป็นแหล่งชมซากุระที่สวยงามมากเช่นกัน แม่น้ำคัตสึระ (Katsura) เรียงรายไปด้วยต้นซากุระบานสะพรั่ง และสามารถนั่งเรือพายออกไปเพลิดเพลินกับวิวแม่น้ำได้โดยจุดชมดอกซากุระยอดนิยมอื่นๆ ในอาราชิยามะ ได้แก่ วัดเท็นริวจิ (Tenryuji ) และสะพานโทเก็ตสึ (Togetsukyo) รวมถึงสวนสาธารณะเล็กๆ เช่น คัตสึระกาวะ เรียวคุจิ (Katsuragawa Ryokuchi)วัดนินนาจิวัดนินนาจิ (Ninna-ji Temple)แหล่งมรดกโลกขององค์การยูเนสโกแห่งนี้เหมาะสำหรับชมซากุระสายพันธุ์ต่างๆ ที่มีความงดงามไม่แพ้ภาพวาดในฤดูใบไม้ผลิ วัดนินนาจิมีพื้นที่เปิดโล่งซึ่งปกติเข้าฟรี อย่างไรก็ตามในช่วงฤดูดอกซากุระบาน มีค่าเข้า 500 เยนแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000026477

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย คว้า 4 รางวัลสุดยอดแบรนด์และบริษัทที่น่าเชื่อถือที่สุดจากเวที Thailand's Most Admired Company และ Thailand's Most Admired Brand 2024 โดยนิตยสาร BrandAge

29/04/2024

กรุงเทพฯ, 29 มีนาคม 2567 – เอไอเอ ประเทศไทย โดย นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ (ขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ และ นายพีร พนิตพล ผู้อำนวยการฝ่ายยูนิต ลิงค์ (ซ้าย) รับรางวัลอันทรงเกียรติจากเวที “Thailand’s Most Admired Company 2024 และ Thailand's Most Admired Brand 2024” ติดต่อกันเป็นปีที่ 24 ซึ่งจัดขึ้นโดยนิตยสาร BrandAge โดยปีนี้เอไอเอ ประเทศไทย ได้รับถึง 4 รางวัล ได้แก่ บริษัทที่น่าเชื่อถือที่สุด กลุ่มประกันชีวิต และแบรนด์ที่น่าเชื่อถือที่สุด กลุ่มประกันชีวิต พร้อมด้วยกลุ่มประกันชีวิตควบการลงทุน (ยูนิต ลิงค์) นอกจากนี้ ยังคว้ารางวัลพิเศษ Market Leader Brand Award หมวดธนาคารและบริการทางการเงิน ในกลุ่มประกันชีวิต มาครองได้อีกด้วย ซึ่งทั้ง 4 รางวัลถือเป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จรวมถึงแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความตั้งใจของเอไอเอ ที่ได้ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาสู่ปีที่ 86 ด้วยความมุ่งมั่นที่ต้องการดูแลคนไทยตลอดทุกช่วงของชีวิตผ่านผลิตภัณฑ์และการบริการที่ครบวงจร ทั้งด้านสุขภาพกาย สุขภาพใจ และสุขภาพทางการเงิน พร้อมส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่ยอดเยี่ยมแก่ลูกค้า เพื่อคงความเป็นอันดับหนึ่งในธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพของประเทศไทยได้อย่างมั่นคงตลอดไป ตอกย้ำถึงคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’ โดยงานมอบรางวัลดังกล่าวจัดขึ้น ณ โรงแรมพูลแมน คิงเพาเวอร์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

อายุน้อย “ฝึกมีเงินร้อยล้าน” ออมก่อนรวยกว่าไม่เกินจริง

28/03/2024

บทความโดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth วันที่ 28 มีนาคม 2567 นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จิตตะ เวลธ์ จำกัด เปิดเผยผ่านบทความว่า เราคงคุ้นกับวลี ‘ออมก่อน รวยกว่า’ ที่เป็นแคมเปญกระตุ้นการออม การลงทุน และการสร้างวินัยทางการเงินให้กับคนไทยมาอย่างยาวนนาน ในช่วงหลัง ๆ ดูเหมือนจะมีวลีใหม่ ๆ เข้ามาหักล้างความเชื่อนี้ ตามสภาพสังคม เศรษฐกิจ และไลฟ์ไสตล์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป อย่างเช่น เงินเก็บ.. เก็บไว้ในใจ, คนที่เก็บเงินได้เยอะ.. เค้าเก็บกันแถวไหน หรือ เงินเดือนน้อยนิด.. ชีวิตร้อยล้าน สำหรับคนในวางการลงทุนอย่างผม เชื่ออย่างสนิทใจเลยครับว่า ‘ออมก่อน รวยกว่า’ เป็นเรื่องที่จริงแท้แน่นอน Loud Budgeting เทรนด์ใหม่ปี 2024 เมื่อต้นปีที่ผ่านมา วงการแฟชั่นมีประเด็น Viral เกิดขึ้น เมื่อ TikToker อย่าง Lukas Battle ได้ออกมาแชร์เทรนด์ ‘Loud Budgeting’ ซึ่งเป็นกระแสใหม่มาแรง อธิบายแบบง่าย ๆ คือ ‘การอวดประหยัดแทนการอวยรวย’ โดยไม่จำเป็นต้องซื้อเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า หรือเครื่องประดับหรูหราราคาแพง ถือเป็นการ ‘เปลี่ยนทิศ’ วงการแฟชั่นจากเดิมที่เน้นสร้างภาพลักษณ์เพื่อความดูดี ดูแพง โดยเฉพาะบนสังคมออนไลน์ และในอีกมุมหนึ่ง Loud Budgeting ยังเหมือนการแข่งกันเก็บเงิน รู้จักคุณค่าของเงิน หรือการใช้เงินอย่างคุ้มค่าที่สุด พลิกจากช่วง 1-2 ปีก่อนหน้า ที่เทรนด์ Quiet Luxury เป็นกระแสมาแรงในวงการแฟชั่น ซึ่งแสดงถึงความหรูหราแบบไม่กระโตกกระตาก แต่ภาคใต้ความเงียบนั้นคือแบรนด์เนมทั้งตัว ที่ราคาสูงลิบลิ่ว Loud Budgeting เป็นการประกาศความประหยัดด้วยความภาคภูมิใจ แสดงความมัธยัสถ์อย่างมีชั้นเชิง ซึ่งหลายคนมองว่ากระแส Loud Budgeting มีที่มาจากสภาพเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง คนจึงหันมาให้ความสำคัญกับการใช้เงินอย่างคุ้มค่า ด้วยการเลือกใช้สินค้าที่เรียบง่าย คงทน โดยไม่ต้องเน้นยี่ห้อดัง และถึงแม้ว่า Loud Budgeting ไม่ได้ทำให้คุณรวยขึ้นมาในทันที แต่คนที่ใช้เงินอย่างคุ้มค่ามีโอกาสสร้างความมั่งคั่งทางการเงินได้มากกว่าในระยะยาว กระแส Loud Budgeting ไม่เพียงกลายเป็น Viral ในวงการแฟชั่นเท่านั้น แต่ถูกเชื่อมโยงมาถึงวงการเศรษฐกิจ การเงิน และการลงทุนอีกด้วย โดยมีกระแสคอมเมนท์ในสังคมออนไลน์ในวงกว้างว่า คนในยุค Gen Z และ Millennials ที่มีวิถีอยู่ในโลกโซเชียลมีเดีย ต้องการสร้างภาพลักษ์ที่ดูดี เน้นการใช้จ่ายเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองในวันนี้ มากกว่าการเก็บออมและลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคต อย่างไรก็ตาม คนรุ่นใหม่ที่เริ่มทำงานในช่วงโควิดหรือหลังโควิด ก็อาจได้รับแรงกดดันจากสภาพสังคมและเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น จากค่าครองชีพที่สูงขึ้นทำให้ต้องแบกรับค่าใช้จ่าย ๆ ต่าง ๆ มากขึ้น ดังนั้น ‘การเปย์’ เพื่อสร้างความสุขให้กับชีวิตในตอนนี้เลย จึงให้ความสำคัญกับการออมและการลงทุนในระยะยาวน้อยลง ยิ่งการออมเพื่อเกษียณยิ่งเป็นเรื่องไกลตัวเหมือนอยู่ดาวอังคาร หลายประเทศจึงประสบกับปัญหาการออม รวมทั้งประเทศไทยเราเองที่อัตราการออมถือว่าอยู่ในระดับน่าเป็นห่วงทีเดียวครับ แก่ก่อนรวย เพราะอคติการออม จริง ๆ แล้ว คนไทยส่วนใหญ่มีรายได้และสามารถออมได้ แต่ไม่ออม จนเกิดคำถามว่า เป็นเพราะอะไร ? ซึ่งทางสถบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ TDRI ได้ทำวิจัยเรื่องนี้และพบว่า ‘อคติเชิงพฤติกรรม’ 7 ข้อ เป็นเหตุผลที่ทำให้คนไทยบางส่วนไม่ออมเงิน และไม่มีเงินเก็บ บางพฤติกรรมอาจตรงกับใครหลาย ๆ คนก็ได้นะครับ มาดูกันว่าทั้ง 7 อคติ มีอะไรกันบ้าง 1. อคติชอบปัจจุบัน (Present bias) คือ การที่ผู้คนให้น้ำหนักความสำคัญกับความสุขและผลตอบแทนที่ได้รับในปัจจุบันมากกว่าในอนาคต เช่น คนที่มีอ้างเหตุผลเข้าข้างตัวเองเพื่อไม่ออม หรือผลัดวันที่จะตั้งใจเก็บเงินไปเรื่อย ๆ โดยนำเงินใช้จ่ายเพื่อซื้อความสุขในวันนี้ ณ ตอนนี้แทน และคนประเภทนี้ก็จะมีปัญหาในการควบคุมตนเอง (Self-control problem) แม้จะรู้ว่าดีกว่าการออมจะเป็นหลักประกันชั้นดีให้กับชีวิตหลังเกษียณก็ตาม 2. อคติยึดติดสภาวะเดิม (Status quo bias) คือ การที่ผู้คนพึงพอใจกับสภาวะปัจจุบันมากกว่าจะเปลี่ยนไปลองทำสิ่งใหม่ที่จะแม้จะให้ผลประโยชน์มากกว่า เช่น เลือกที่จะออมในรูปแบบที่คุ้นเคยอย่างฝากธนาคาร มากกว่าที่จะลองออมในหุ้นหรือพันธบัตรที่มีคุณภาพดี ความเสี่ยงไม่สูง แต่ให้ผลตอบแทนกว่าเงินฝากธนาคารมาก 3. อคติโลกแคบ (Narrow framing) คือ การมองทางเลือกที่ต้องพิจารณาในชีวิตเป็นกลุ่มย่อย ๆ แยกออกจากกัน หรือเพียงเฉพาะในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ทำให้ผู้คนตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ด้อยกว่าเมื่อพิจารณาทุกทางเลือกหรือช่วงเวลาพร้อมกัน เช่น มองว่าการออมในปัจจุบันเป็นไปเพื่อบริหารรายรับ-รายจ่ายระยะสั้น หรือเก็บเงินซื้อของราคาแพง โดยมองการออมเพื่อการเกษียณเป็นเรื่องของอนาคตที่ยังไม่ต้องรีบคิดพร้อมกันตอนนี้ 4. อคติกลัวสูญเสียเกินเหตุ (Loss aversion) คือ ความสูญเสียจากสถานะปัจจุบันมีผลกระทบต่อจิตใจทางลบมากกว่าที่จะมีความสุขจากการได้รับผลตอบแทนที่มีขนาดเท่ากัน เช่น การมองว่าการออมเป็นการสูญเสียรายได้ที่จะนำมาบริโภค จึงเลือกที่จะออมน้อยกว่าที่ควรจะเป็น 5. อคติละเลยอัตราทบต้น (Exponential growth bias) คือ การไม่เข้าใจพลังของดอกเบี้ยทบต้น ซึ่งแปลงเงินออมให้มีมูลค่ามากขึ้นทวีคูณได้ หากมีการออมอย่างต่อเนื่องยาวนานและไม่ถอนเงินต้นออก เช่น คนที่ไม่รีบออมเพื่อการเกษียณตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะประเมินผลตอบแทนจากการออมต่ำเกินไป โดยมองว่าผลตอบแทนเป็นเส้นตรงไม่ใช่ทวีคูณ จึงไม่เข้าใจว่าออมเร็วขึ้นและต่อเนื่องเพียงไม่กี่ปีก็ทำให้มีเงินให้ถอนใช้ยามเกษียณเพิ่มขึ้นมาก โดยพลังของดอกเบี้ยทบต้นอาจมาในรูปอื่นที่ไม่ใช่เงินฝากเท่านั้น เช่น การลงลงทุนในหุ้น หรือในอสังหาริมทรัพย์ 6. แรงกดดันจากผู้คนในกลุ่ม (Peer pressure) คือ อิทธิพลทางสังคมจากคนในกลุ่มเดียวกันทั้งเชิงบวกและลบ ทำให้มีพฤติกรรมคล้อยตาม เช่น การใช้จ่ายฟุ่มเฟือยตามเพื่อน หรือตามสังคมโซเชียล เพื่อให้เป็นที่ยอมรับ และนี่คือศัตรูตัวร้ายที่ทำให้ความสามารถในการออมลดลง 7. การมองโลกในแง่ดีเกินไป (Overoptimism) คือ มีความมั่นใจจนล้น (Overconfidence) ทำให้เกิดความชะล่าใจในการออมเงิน เช่น คิดว่าเมื่อตนเองเกษียณไป อาจไม่โชคร้ายและเผชิญเหตุไม่คาดฝัน เช่น เจ็บป่วยหนักหรือป่วยเรื้อรัง และต้องเสียค่ารักษาพยาบาลจำนวนมาก ทำให้ไม่เห็นความสำคัญกับการเตรียมพร้อมทางการเงินเพื่อการเกษียณ และมีการออมน้อยกว่าที่ควร จากการสำรวจของ TDRI ยังพบอีกว่า คนมากกว่า 70% จะมีรายได้มากกว่ารายจ่าย ขณะที่มากกว่า 37% มีการออมไม่ถึง 10% ของรายได้ต่อเดือน นอกจากนี้ส่วนมากเป็นการออมโดยการฝากธนาคาร และเก็บเป็นเงินสดไว้กับตัว โดยคิดถึงการออมผ่านการลงทุนในหุ้น พันธบัตร และกองทุนรวมที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าในลำดับรอง เงินไม่พอใช้จนต้องยืดเวลาเกษียณ เมื่อพูดถึงคำว่า ‘ออมก่อน รวยกว่า’ สำหรับประเทศไทยคำที่มักจะถูกพูดตามมาเสมอนั่นก็คือ ‘แก่ก่อนรวย’ เพราะประเทศไทยได้ย่างก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างแท้จริง แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ คนไทยจำนวนมากยังไม่มีเงินออมสำหรับวัยเกษียณ หรือแม้แต่คนที่อยู่ในวัยทำงาน มีเงินเข้าทุกเดือน หลายคนก็ยังไม่มีเงินเก็บ ไม่มีการลงทุน ไม่มีการวางแผนทางการเงิน หรืออาจซ้ำร้ายยิ่งกว่าคือไม่มีวินัยทางการเงิน จนรายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย คงเป็นที่ทราบกันดีนะครับว่า ผู้สูงอายุในบ้านเราจำนวนมากมีปัญหาเงินออมไม่เพียงพอ ทำให้หลายคนที่ถึงวัยเกษียณแล้วยังต้องทำงานต่อ เพราะจำเป็นต้องหาเงินเพื่อดูแลตัวเองต่อไป หรือบางคนยังมีภาระที่ต้องดูแลครอบครัวอีกด้วย ขณะที่หลายครอบครัวซึ่งมีสมาชิกในวัยทำงานอยู่แล้ว ก็มีแนวโน้มที่เงินออมไม่พอสำหรับเกษียณเช่นกัน เรียกได้ว่าส่งต่อความ ‘แก่ก่อนรวย’ กันรุ่นต่อรุ่นไปเลยครับ จากการสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย 2564 พบว่า มีผู้สูงอายุเพียง 4.9% ที่ประเมินว่าตนเองมีรายได้เหลือเก็บ และยังมีผู้สูงอายุถึง 34.7% ที่ยังคงทำงานอยู่ โดยเป็นผู้สูงอายุที่ทำงานโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหารายได้เลี้ยงตัวเองหรือครอบครัวสูงถึง 44.6% อีกทั้งสัดส่วนของผู้สูงอายุจากประชากรทั้งหมดยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปีอีกด้วย จากการเข้าสู่สังคมสูงวัยของประเทศไทย นอกจากนี้ การประเมินสถานการณ์การออมของครัวเรือนไทยตามระดับรายได้ พบว่า กลุ่มรายได้ต่ำสุด มีรายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายตลอดการทำงาน และกลุ่มรายได้ต่ำรองลงมาไม่มีเงินออมสำหรับการเกษียณ เพราะมีรายได้ใกล้เคียงกับค่าใช้จ่ายตลอดในช่วงที่ยังทำงานอยู่ ส่วนกลุ่มรายได้ที่เหลือมีเงินออมหลังการเกษียณ แต่ไม่เพียงพอที่จะบริโภคจนสิ้นอายุขัย จึงเป็นภาพสะท้อนว่า สถานการณ์การออมเพื่อการเกษียณของคนไทยค่อนข้างน่าเป็นห่วง จากการศึกษาของ Yusof และ Sabri พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการออมเพื่อการเกษียณมีอยู่ด้วยกันหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยเชิงเศรษฐศาสตร์ เช่น รายได้ ค่าใช้จ่าย การถือครองสินทรัพย์ หรือปัจจัยเชิงสังคม เช่น ระดับการศึกษา เพศ อายุ หรือแม้แต่เชื้อชาติ รวมไปถึงปัจจัยเชิงจิตวิทยา โดยเฉพาะจิตวิทยาเชิงพฤติกรรม (Behavioral psychology) ซึ่งกล่าวถึงการมีอคติเชิงพฤติกรรม (Behavioral bias) ที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจต่าง ๆ ของคนได้นั่นเอง วันนี้คือฤกษ์ที่ดีในการ (เริ่ม) ออม หากเริ่มวางแผนทางการเงินตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ หรือง่ายที่สุดคือตั้งแต่เริ่มวัยทำงานเมื่อหารายได้ให้กับตัวเองได้แล้ว ก็ควรเริ่มวางแผนและปฏิบัติตามแผนการเงินทันที เพราะในช่วงวัยที่ยังไม่มีภาระหรือความรับผิดชอบมากนัก จะช่วยให้เราบริหารการเงินของตัวเองได้ง่ายยิ่งขึ้น เมื่อมีรายได้เข้ามาแล้ว ต้องจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ และเหลือเป็นเงินออม เงินลงทุนเท่าไหร่ เพราะนี่คือการสร้างวินัยเพื่อนำไปสู่ความมั่งคั่ง และอิสรภาพทางการเงินได้เร็วชึ้น สำหรับคนรุ่นใหม่การใช้ก่อนออม น่าจะเป็นพฤติกรรมทางการเงินปกติที่กลายเป็นวิถีไปแล้ว แต่พฤติกรรมเหล่านี้ก็สามารถปรับเปลี่ยนกันได้นะครับ ซึ่งผมมีตัวอย่างการออมเพื่อปูทางสู่ความมั่งคั่งในระยะยาว โดยเริ่มเก็บเงินด้วยการออมก่อนใช้ 10% ของรายรับ เช่น ถ้ามีรายได้ 30,000 บาทต่อเดือน หักเป็นออมเงิน 10% ก็คือ เดือนละ 3,000 บาทนั่นเองครับ ส่วนที่เหลือค่อยจัดสรรสำหรับการใช้จ่าย นอกจากนี้ ควรมีการทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายให้เป็นนิสัย ซึ่งเป็นการเช็กพฤติกรรมการใช้จ่ายเพื่อตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป และสำหรับมือใหม่หัดออม ควรเริ่มต้นด้วยการกำหนดเป้าหมายทางการเงินในระยะสั้นลง หรือเป็นเป้าหมายที่เล็กลง เพื่อไม่ให้เป้าหมายนั้นยากลำบากจนเกินไป เป็นการสร้างกำลังใจและแรงบันดาลใจให้กับตัวเองในการเดินสู่เป้าหมายด้วยความสบาย ๆ มากขึ้น เช่น จากตั้งเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ว่าจะมีเงิน 1 ล้านบาทในอีก 5 ปีข้างหน้า ลองปรับมาเป็นเก็บเงินให้ได้ 15,000 บาทใน 1 เดือน เมื่อสามารถบรรลุในเป้าหมายเล็ก ๆ ในระยะสั้น ๆ ได้ ก็จะเป็นการสร้างพื้นฐานสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ขึ้นได้ การเริ่มต้นออมและลงทุนตั้งแต่อายุน้อย ๆ คุณยังจะได้พบกับพลังแห่งดอกเบี้ยทบต้นอีกด้วย เพราะเมื่อกาลเวลาผ่านไปผลตอบแทนจากการออมหรือการลงทุนของคุณจะงอกงามจนน่าอัศจรรย์เลยทีเดียว นอกจากนี้การออมด้วยวิธี DCA จะเป็นอีกเครื่องมือที่ช่วยให้คุณออมได้ต่อเนื่อง และสร้างวินัยในการออมและการลงทุนให้คุณได้อีกด้วย นวัตกรรมการเงินช่วยการออม แม้ Jitta จะเริ่มต้นธุรกิจในฐานะ Startup เล็ก ๆ ที่นำเทคโนโลยีการเงินหรือ Fintech มาขับเคลื่อน แต่ตลอดการดำเนินธุรกิจในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา เรามุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะการสร้างนวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ เพื่อช่วยให้คนไทยเข้าถึงการลงทุนที่ง่ายและสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า ภายใต้ Mission ‘ช่วยนักลงทุนสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า ด้วยวิธีการที่ง่ายกว่า’ จึงพัฒนาเทคโนโลยี AI มาช่วยให้ผู้ลงทุนรายย่อยเข้าถึงสินทรัพย์ลงทุนระดับโลกได้ เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น รวมทั้งยังมีส่วนช่วยเพิ่มพูนทักษะและความรู้ทางการเงินให้กับคนไทย ให้มีสุขภาพทางการเงินที่แข็งแรงขึ้น เราได้พัฒนาและเรียนรู้อย่างต่อเนื่องจากการวิเคราะห์ข้อมูลหุ้นทั่วโลก รวมถึงพอร์ตการลงทุนที่เราได้บริหารจัดการมากว่า 6 ปี เราพบข้อจำกัดในการออมและการลงทุนของคนไทยที่ผมคิดว่าสามารถนำเทคโนโลยีพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ให้เป็นเครื่องมือที่จะช่วยแก้วิกฤตด้านการเงินส่วนบุคคลของคนไทย และสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวได้ ด้วยการพัฒนา Jitta Card ขึ้นมาเพื่อช่วยแก้ปัญหาด้านพฤติกรรมการใช้จ่ายเงินก่อนออมและไม่สามารถเริ่มต้นมีเงินเก็บเงินออมเพื่อลงทุนได้ โดย Jitta Card จะช่วยให้จัดสรรเงินที่เหลือจากการใช้จ่ายไปสู่การออมเงิน หรือลงทุนได้แบบง่าย ๆ จนแทบไม่รู้ตัวว่ากำลังบริหารเงินให้กับตัวเองอยู่ ภายใต้การพัฒนา Ecosystem ทางการเงิน Jitta Card จะช่วยส่งเสริมวินัยทางการเงินแบบครบวงจร ทั้งจ่าย-ออม-ลงทุน ด้วยการใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติ ผ่านกระบวนการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่จะทำให้คนไทยมีเงินเก็บได้จริง ซึ่งการมีเงินออมจะเป็นพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแรงและนำไปสู่จุดเริ่มต้นการลงทุนได้อย่างเป็นรูปธรรม ควบคู่ไปกับการส่งเสริมความรู้การเงินและหลักการลงทุนระยะยาวที่จะช่วยให้นักลงทุนสามารถบริหารจัดการพอร์ตลงทุนได้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยง เพื่อสร้างผลตอบแทนได้อย่างยั่งยืน ทุกการใช้จ่ายระบบจะเก็บเงินทอน (Round up) ไว้ในกระเป๋าเงินออมให้โดยอัตโนมัติ รวมถึงมีโบนัสเงินออมหรือ Cashback จากการช็อปออนไลน์กับร้านค้าที่เป็นพันธมิตรมากมาย ซึ่งเงินออมทั้งหมดจะถูกส่งต่อไปยังกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth ที่ผู้ใช้ได้เลือกนโยบายการลงทุนไว้ เป็นการจัดการเงินในชีวิตประจำวันที่ไม่ต้องฝืน ทำได้ทันที สร้างวินัยการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ มีพอร์ตการลงทุนที่เติบโตในระยะยาวตั้งแต่เยาว์วัย เพื่อเป้าหมายสูงสุดให้คนไทยมีสุขภาพทางการเงินที่ดีขึ้นในอนาคต โดย Jitta Card (Beta) เปิดให้ทดสอบใช้งานแล้ว หากคุณสนใจสามารถลงทะเบียนรับสิทธิสมัครใช้งานเป็นกลุ่มแรก ๆ ได้ที่ jittacard.com ในยุคสมัยนี้ คนรุ่นใหม่อาจจะไม่ได้ถูกปลูกฝังเรื่องการออมตั้งแต่อายุยังน้อย ต่างจากการช็อปออนไลน์ที่สามารถทำได้อย่างคล่องแคล่วบนมือถือ จนบางครั้งบางคนจะรู่สึกว่าการเริ่มต้นออมเงินมีความยุ่งยาก ไม่คุ้นชิน และต้องใช้ความอดทนและมีวินัยอย่างยิ่ง แต่ไม่แน่นะครับ เมื่อคุณได้ลองใช้ Jitta Card และได้เห็นพลังแห่งการออมและการลงทุน คุณจะหลงเข้าไปสู่กระแส Loud Budgeting ได้อย่างง่ายดาย เพราะทุกครั้งที่คุณใช้จ่าย คุณยังได้ ‘อวดประหยัด’ จากเงินออมหลังการใช้จ่ายเสียอีก แต่ไม่ว่าคุณจะต้องการเกาะกระแสนี้หรือไม่ แค่เพียงได้ใช้จ่ายและมีเงินออม ผมเชื่อว่าเท่านี้ก็จะช่วยลดความรู้สึกฝืนใจที่จะเริ่มต้นเก็บออมไปได้ เมื่อการออมไม่ใช่เรื่องยุ่งยากไม่ต้องใช้ความอดทน และมีวินัยของตัวเองเพราะมีเทคโนโลยีมาช่วยให้คุณลงทุนได้ตั้งแต่วันนี้แล้ว เด็ก ๆ ในยุคดิจิทัล เรียกได้ว่ามีทักษะด้านเทคโนโลยีที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เพียงใช้ทักษะของตัวเองมองหาเครื่องไม้เครื่องมือมาช่วยลดความยุ่งยากของตัวเองก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายและมีให้เลือกมากมาย ส่วนผมก็สัญญาว่าจะเดินหน้าพัฒนาเครื่องไม้เครื่องมือใหม่ ๆ ออกมาเพื่อเป็นตัวช่วย และสนับสนุนให้การออมและลงทุนของคุณเป็นเรื่องง่าย และสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้จริงครับ หากคุณมองเห็นความจำเป็นที่จะต้องออมตั้งแต่วันนี้ และยินดีก้าวข้ามอคติทางการเงินต่าง ๆ ไปเพื่อไปสู่ฝัน ปั้นพอร์ตร้อยล้านได้ การมีเป้าหมายชัด และเลือกเส้นทางที่เป็นไปได้จริง เดินหน้าอย่างมุ่งมั่น ผมก็เชื่อว่าความสำเร็จอยู่ไม่ไกลแน่นอนครับ ขอให้มีความสุขในทุกจังหวะการลงทุนที่คุณสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่วันนี้เลยครับ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1531231

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

คลังความรู้อื่นๆ

ชวนชมนิทรรศการ "ศิลปกรรมของสมาคมศิลปินทัศนศิลป์นานาชาติแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 17"

18/06/2024

เปิดตัวนิทรรศการดนตรีสุดสร้างสรรค์ เมื่อ “One Bangkok Retail” ร่วมกับ “Cat Radio” จัดนิทรรศการ “SONIC VOYAGE A Journey of Rhythmic Flair” นำเสนอวิวัฒนาการของเสียงเพลง จากยุคอนาล็อกสู่ยุคดิจิทัล ที่จะพาทุกคนดื่มด่ำไปกับสีสันความสนุกของโลกดนตรี

26/11/2024

หาดแดง ภูมิทัศน์สีแดงอันงดงาม แลนด์มาร์กแห่งเหลียวหนิง

27/09/2024

“งบจำกัด” กับการเลือก “ประกันชีวิต” แบบเบี้ยต่ำทุนสูง

30/04/2024

กลุ่มบริษัทเอไอเอ ครองอันดับ 1 บริษัทที่มีสมาชิกสโมสรล้านเหรียญโต๊ะกลม (MDRT) มากที่สุดในโลกต่อเนื่องเป็นปีที่ 9

30/04/2024


X