Everyday knowledge for you
ประกันภัย
30/04/2024
นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทยคนใหม่ ตั้งเป้าเบี้ยรับปี’66 โต 4.5-5.5% แตะ 2.85-2.87 แสนล้านบาท หวังแรงหนุนการลงทุน ทั้งภาครัฐ-เอกชนมีมากขึ้น แถมคาดว่านักท่องเที่ยวทะลักครึ่งปีหลัง-เทรนด์รถอีวีบูม ชูแผนยุทธศาสตร์ “Quick Win” ขับเคลื่อนการทำงาน 4 เรื่องหลัก พร้อมผนึกสมาคมประกันชีวิตดันปลดล็อกลิมิตสิทธิลดหย่อนภาษีประกันสุขภาพเกิน 25,000 บาทนายสมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทิพยประกันภัย (TIP) ในฐานะนายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า สมาคมคาดการณ์แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจประกันวินาศภัยทั้งระบบในปี 2566 จะเติบโตกว่า GDP เล็กน้อยหรือมีอัตราเบี้ยรับรวมอยู่ที่ 285,000-287,700 ล้านบาท เติบโตระหว่าง 4.5-5.5% ต่อปี โดยพอร์ตเบี้ยประกันรถยนต์ จะโต 3.8-4.9% พอร์ตเบี้ยประกันภัยทรัพย์สินและอัคคีภัยโต 9-10% พอร์ตเบี้ยประกันสุขภาพโต 14-15% และพอร์ตเบี้ยประกันภัยทางทะเลและขนส่งโต 1-2%“คาดว่าจะได้แรงสนับสนุนจากการขยับเขยื้อนเรื่องของการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ หรือภาคเอกชนที่มีความชัดเจนมากขึ้น ในขณะเดียวกันจากการเปิดประเทศที่มากขึ้นจะเห็นการไหลเข้าของนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งยังไม่รวมนักท่องเที่ยวจีนที่จะไหลบ่าเข้ามาในครึ่งปีหลัง รวมไปถึงการเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) จะยิ่งทำให้ธุรกิจประกันรถยนต์มีแนวโน้มการเติบโตอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการประกันภัยยานยนต์ของสมาคมได้ศึกษาอย่างขะมักเขม้นเรื่องของการทำอัตราเบี้ยประกันภัยรถอีวีที่ถูกต้องและเหมาะสม”นอกจากนี้ หลังสถานการณ์โควิด-19 และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จะทำให้ประชาชนจำนวนมากเริ่มตระหนักรู้ถึงการทำประกันสุขภาพที่เพิ่มขึ้น จากช่องว่างสวัสดิการหรือความคุ้มครองที่มีอยู่ ซึ่งจะยิ่งสนับสนุนการเติบโตของประกันสุขภาพตามมาอีกด้วยสมพร สืบถวิลกุลสำหรับแผนยุทธศาสตร์ ภายใต้การบริหารของคณะกรรมการสมาคม ชุดปัจจุบัน ที่มีวาระทำงานในปี 2566-2568 ได้กำหนดแผนปฏิบัติการเร่งรัด (Quick Win) ในการขับเคลื่อนทิศทางการทำงานให้เป็นรูปธรรม ประกอบด้วย1. การควบรวมสำนักงานอัตราเบี้ยประกันวินาศภัย (IPRB) กับบริษัท ไทยอินชัวเรอร์ดาต้าเนท จำกัด (TID) เพื่อจัดตั้งเป็นหน่วยงานใหม่ขึ้นมาโดยขณะนี้ได้ว่าจ้างมืออาชีพเข้ามาศึกษาการควบรวม ถ่ายโอนพนักงาน กำหนดโครงสร้างและคุณสมบัติผู้นำองค์กร หลังจากนั้นจะมีการสรรหาบุคลากรต่อไป ซึ่งองค์กรนี้จะเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจประกันวินาศภัย ที่จะช่วยบริหารจัดการและรายงานข้อมูล การวิเคราะห์ต้นทุนความเสียหายของการประกันภัยต่าง ๆ และการวิเคราะห์เพื่อตรวจสอบการฉ้อฉลประกันภัย เป็นต้น2. ผลักดันให้เกิดการกำกับดูแลกันเอง และการเปิดเสรีธุรกิจประกันภัยในบางมิติ เช่น การเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นของตัวแทน/นายหน้า และอัตราเบี้ยประกันภัย นอกจากนี้จะขอให้บริษัทประกันวินาศภัยสามารถออกกรมธรรม์ได้โดยไม่ต้องใช้ระยะเวลานานเกินไปอีกด้วย โดยเรื่องนี้จะขอความเห็นชอบจากสำนักงาน คปภ.ต่อไป3. การทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจประกันวินาศภัย (regulatory guillotine) ซึ่งจากการสืบค้นพบว่า มี พ.ร.ก. ประกาศ/ระเบียบ/คำสั่ง อยู่ประมาณ 199 ฉบับ ที่ยังใช้อยู่ ในจำนวนนี้รวม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถอีก 51 ฉบับ ซึ่งตอนนี้ได้ว่าจ้าง baker mckinsey เข้ามาเป็นที่ปรึกษากฎหมายแล้วด้วย4. การควบคุมค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลของการประกันภัยสุขภาพที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งปัจจุบันที่ทำให้เบี้ยประกันสุขภาพค่อนข้างแพง เพราะต้นทุนของเบี้ยประกันสุขภาพส่วนใหญ่มาจากต้นทุนค่ารักษาพยาบาล ซึ่งประมาณ 95% เป็นการใช้บริการของโรงพยาบาลเอกชนเป็นหลัก ฉะนั้นสมาคมฯและ คปภ.จะต้องควบคุมมาตรฐานตรงนี้โดยเร็วที่สุดและร่วมทำงานกับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อให้โรงพยาบาลรัฐสามารถรองรับลูกค้าประกันได้ โดยทำสัญญาไม่ต้องสำรองจ่าย และเพื่อให้เกิดการกระตุ้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้รองรับลูกค้าเข้าโรงพยาบาลรัฐต่อไป“สมาคมฯและสมาคมประกันชีวิตไทย ยังร่วมมือผลักดันควบคุมค่าใช้จ่าย กำหนดเกณฑ์การรักษาพยาบาล พวกกลุ่มโรค common disease อาทิ ท้องเสีย จะมีข้อบ่งชี้อย่างไรในการจะแอดมิต เป็นต้น เพื่อสร้างมาตรฐานการทำงาน รวมไปถึงสมาคมฯเองได้จัดตั้งคณะแพทย์ที่ปรึกษาให้กับธุรกิจประกันวินาศภัยแล้วด้วย และสุดท้ายอยากผลักดันมาตรการลดหย่อนภาษีของประกันสุขภาพให้ปลดล็อกที่ลิมิตไว้ไม่เกิน 25,000 บาท เพื่อให้เกิดแรงจูงใจให้คนซื้อประกันสุขภาพมากขึ้น” นายสมพรกล่าวแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1346076#google_vignette
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
บทความโดย “จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์” ที่ปรึกษาการเงิน AFPTTM สมาคมนักวางแผนการเงินไทย วีนที่ 17 กรกฎาคม 2566 จะซื้อกองทุนรวม จะเอาแบบที่จ่ายปันผล หรือไม่จ่ายปันผลดี ? นี่เป็นคำถามในใจนักลงทุนมือใหม่ที่มักเกิดอาการรักพี่เสียดายน้อง เวลาเจอกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนคล้ายกัน แต่มีความแตกต่างกันคือ กองทุนแรกจ่ายเงินปันผล อีกกองทุนไม่จ่ายเงินปันผล แล้วแบบไหนกันแน่ที่เหมาะกับเรา ดังนั้นผู้เขียนขอชวนนักลงทุนมือใหม่มาทำความรู้จักกันดีกว่าว่า กองทุนจ่ายปันผลหรือไม่จ่ายปันผลแบบไหนเหมาะกับใคร เริ่มแรก สิ่งที่มือใหม่ต้องรู้ คือ ความแตกต่างของกองทุนรวมที่จ่ายปันผลและไม่จ่ายปันผล สำหรับกองทุนรวมที่จ่ายปันผล ก็คือ กองทุนรวมที่ระหว่างทางที่ลงทุนจะมีการจ่ายเงินปันผลออกมาให้ผู้ถือหน่วยลงทุน โดยแต่ละกองทุนก็จะระบุเอาไว้ในนโยบายว่า จะจ่ายกี่ครั้งต่อปี แปลว่า ถ้าเรานำเงินไปลงทุนผ่านกองทุนรวมประเภทนี้ ระหว่างทางที่ลงทุนไป เราก็มีโอกาสจะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบเงินปันผลกลับมา ส่วนผลตอบแทนจะมากหรือน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของกองทุนด้วย และผลตอบแทนที่เราจะได้อีกครั้งนอกเหนือจากเงินปันผลก็คือ ผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหน่วยลงทุนในช่วงที่เราขายหน่วยลงทุนออกไป ส่วนกองทุนรวมที่ไม่จ่ายปันผล ก็คือ กองทุนที่ระหว่างทางที่เราลงทุนจะไม่มีการจ่ายผลตอบแทนใด ๆ กลับมาให้ผู้ลงทุน เรามีโอกาสจะได้รับผลตอบแทนเพียงครั้งเดียว ก็คือส่วนต่างของราคาเมื่อเราขายหน่วยลงทุนออกไป แล้วมีกำไร ดูเผิน ๆ แบบนี้แล้ว บางคนอาจจะรู้สึกว่า กองทุนรวมที่จ่ายปันผลดีกว่าแน่นอน เพราะเราจะได้ผลตอบแทนกลับมาระหว่างทางที่ลงทุน ในขณะที่กองทุนที่ไม่จ่ายปันผลไม่มีตรงนี้ให้เรา แต่จริง ๆ แล้ว มีข้อสังเกตที่น่าสนใจที่เราต้องรู้เพิ่มเติม ก็คือ เงินปันผลที่เราได้มาระหว่างทางลงทุน ถือเป็นรายได้ที่ต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% ด้วย และโดยปกติแล้ว เวลาที่จ่ายเงินปันผลออกมา มูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ของกองทุนจะลดลง นึกภาพง่าย ๆ ก็คล้าย ๆ กับบริษัทที่ทำกำไรได้ดี แล้วแบ่งกำไรส่วนหนึ่งที่ได้มาจ่ายปันผล ก็จะทำให้กำไรที่หลงเหลืออยู่เพื่อเป็นเงินหมุนเวียนในธุรกิจลดลงไป ในขณะที่กองทุนรวมที่ไม่จ่ายเงินปันผล ไม่มีการเอากำไรที่ทำได้ออกมาจ่ายปันผล ก็จะสามารถนำกำไรส่วนเกินนี้ไปลงทุนต่อเพื่อเพิ่มโอกาสในการหาผลตอบแทนได้อีก เรียกง่าย ๆ ก็คือ เงินได้ทำงาน ต่อยอดเพิ่มมูลค่าให้เงินไปอีกรอบ ซึ่งนักลงทุนอย่างเราจะรู้สึกได้ถึงอานุภาพของมูลค่าเงินที่เติบโตก็ต่อเมื่อเราขายหน่วยลงทุนออกมาทีเดียวแล้วได้ส่วนต่างราคา ซึ่งเงินส่วนนี้ไม่ต้องนำไปเสียภาษีด้วย ก็แปลว่า ได้กลับคืนมาเต็มเม็ดเต็มหน่วยเลย ถึงตรงนี้ ขอให้นักลงทุนหันกลับมาดูสไตล์ของตัวเอง ว่าเหมาะกับกองทุนแบบไหน โดยเริ่มต้นที่เป้าหมายการเงินก่อนว่า เราจะลงทุนในกองทุนรวมนี้ไปเพื่อเป้าหมายอะไร หากเป็นเป้าหมายระยะยาวไปเลย ใช้เงินอีก 5-10 ปีข้างหน้า กองทุนรวมที่ไม่จ่ายปันผลอาจจะตรงกับความต้องการมากกว่า เพราะเราไม่ได้ต้องการนำเงินลงทุนออกมาใช้ระหว่างทาง แต่คาดหวังผลปลายทางอีกยาวไกลไปเลย แต่ถ้าเป็นการลงทุนที่อยากเห็นผลตอบแทนระหว่างทาง เพื่อให้มีกำลังใจ นำเงินปันผลที่ได้มา ไปลงทุนต่อในสินทรัพย์ที่อยากลงทุน หรือนำไปเป็นกระแสเงินสดใช้จ่ายในช่วงเวลานั้น โดยไม่จำเป็นต้องขายทำกำไรกองทุนออกมา กองทุนรวมที่จ่ายปันผล ก็อาจจะเป็นคำตอบที่ใช่มากกว่า อย่างไรก็ตาม ถ้าคิดจะลงทุนในกองทุนที่จ่ายปันผลเพื่อนำเงินไปลงทุนต่อ ก็อาจจะเหมาะกับคนลงทุนด้วยเงินก้อนใหญ่หน่อย เพราะถ้าลงทุนด้วยเงินจำนวนไม่มาก เงินปันผลที่ออกมาก็อาจจะน้อยมากเสียจนได้มาแล้วไม่รู้จะไปเริ่มต้นลงทุนใหม่ยังไง หรืออาจจะน้อยจนไม่ใส่ใจ และลืมเอาไปลงทุนต่อก็ได้ สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะเลือกลงทุนกองทุนรวมที่จ่ายปันผล หรือไม่จ่ายปันผล ก็ขึ้นอยู่ที่เป้าหมายการเงิน และความชอบส่วนตัวของตัวเอง แต่สิ่งที่สำคัญกว่าเลือกกองทุนก็คือ เลือกได้แล้ว อย่าลืมเริ่มต้นลงทุนด้วย เพราะสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้เราไปถึงเป้าหมายการเงินที่วางไว้ได้ตามเวลาที่ตั้งใจ ก็มาจากการเริ่มต้น “วันนี้” ไม่ผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย ๆ นั่นเอง แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1349589
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
30/04/2024
สมาคมประกันวินาศภัยไทย เทคแอคชั่นกรณีบริษัทต่างชาติขายประกันภัยในไทยโดยไม่มีใบอนุญาต หวั่นกระทบประชาชนวงกว้าง พร้อมแจ้งเตือนประชาชนควรตรวจสอบก่อนซื้อประกันภัยออนไลน์ คปภ.รุดคืบประสานหน่วยงานกำกับประกันภัยอังกฤษตรวจสอบหาตัวตนบริษัทดังกล่าวแล้ว พร้อมร่วมมือกองปราบสืบสาวคดีนี้ก่อนตั้งข้อหาดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีบริษัทประกันภัยต่างชาติขายประกันภัยสัตว์เลี้ยงผ่านช่องทางออนไลน์โดยไม่มีใบอนุญาตเป็นตัวแทนหรือนายหน้าประกันวินาศภัย โดยมีประชาชนจำนวนมากซื้อประกันภัยและได้รับความเดือดร้อนจากการเคลมประกันภัยดังกล่าว ตามที่ปรากฏเป็นข่าวและเป็นประเด็นเผยแพร่ทางสื่อโซเชียลมีเดียในช่วงที่ผ่านมาจากข้อมูลในเบื้องต้นพบว่าประเด็นเรื่องของบริษัทประกันภัยต่างชาติเข้ามาขายประกันภัยในประเทศไทยผ่านช่องทางออนไลน์ทั้งที่ไม่มีใบอนุญาตเป็นตัวแทนหรือนายหน้าประกันวินาศภัย ส่วนใหญ่จะเป็นการเสนอขายผ่านทางหน้าเว็บไซต์ที่มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ และมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ตอบโจทย์ตรงใจผู้บริโภค โดยบริษัทเหล่านี้ไม่มีใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจประกันภัยในประเทศไทย หรือไม่มีใบอนุญาตจากนายทะเบียนให้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนหรือนายหน้าประกันภัยแต่อย่างใด ซึ่งในระยะแรกกลุ่มเหล่านี้จะสร้างความน่าเชื่อถือโดยมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เอาประกันภัยตามที่ได้มีการยื่นเคลมประกันภัยเข้ามาอย่างครบถ้วน รวดเร็ว ต่อมาเมื่อมีการเคลมเข้ามาเป็นจำนวนมากทำให้การเคลมเกิดปัญหาและสร้างความเสียหายต่อผู้เอาประกันภัยและยังกระทบต่อภาพลักษณ์ของธุรกิจประกันภัยไทยเป็นอย่างมากจากกรณีดังกล่าวสมาคมฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจหรือเพิกเฉยต่อการกระทำในลักษณะเช่นนี้ และมองว่าเป็นปัญหาของอุตสาหกรรมประกันภัยที่ควรให้ความสำคัญและหยิบยกมาประเด็นเพื่อร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหา รวมถึงส่งสัญญาณเตือนเพื่อป้องกันหรือป้องปรามไม่ให้เกิดการกระทำในลักษณะดังกล่าวขึ้นอีกต่อไป โดยมุมมองของสมาคมฯ เราไม่ได้จำกัดว่าบริษัทต่างชาติไม่สามารถเข้ามาขายประกันภัยในประเทศไทยได้ แต่ต้องมาแบบถูกกฎหมายและผู้เอาประกันภัยต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยเช่นเดียวกันกับที่ซื้อผ่านบริษัทประกันภัยที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันภัยในประเทศไทยอย่างถูกต้อง และหากเกิดปัญหาผู้เอาประกันภัยต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิประโยชน์อย่างครบถ้วนและเป็นธรรม ที่สำคัญเราต้องการให้ประชาชนผู้เอาประกันภัยได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยที่ซื้อไปไม่ว่าจะซื้อจากช่องทางไหนก็ตามทั้งนี้ สมาคมฯ ได้มีการตั้งคณะทำงานที่จะมาศึกษาแนวทางในการแก้ปัญหาดังกล่าวให้ครอบคลุมทุกมิติ เพื่อให้ประชาชนได้รับความเป็นธรรมและถูกต้องตามกฎหมาย โดยได้เตรียมบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงาน คปภ. กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI เป็นต้น ในการหารือร่วมกันเพื่อให้เกิดการป้องกัน ป้องปรามบริษัทต่างชาติที่จะเข้ามาหาประโยชน์จากการหลอกขายประกันภัยในประเทศไทยโดยไม่มีใบอนุญาตอย่างถูกต้อง รวมถึงการสร้างความรู้ ความเข้าใจให้กับประชาชนในการเลือกซื้อประกันภัยผ่านอินเทอร์เน็ต หรือช่องทางออนไลน์ ควรศึกษาข้อมูลการทำประกันภัยให้ละเอียดรอบคอบก่อนการตัดสินใจซื้อ ดังนี้1. ซื้อประกันภัยผ่านบริษัทประกันภัยที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันภัยในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นบริษัทไทยหรือบริษัทต่างชาติที่จดทะเบียนและได้รับใบอนุญาตการประกอบธุรกิจประกันภัยในประเทศไทย เท่านั้น เพราะหากเกิดปัญหาเรื่องการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ผู้เอาประกันภัยสามารถดำเนินการเรียกร้องโดยได้รับการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายไทย2. ซื้อประกันภัยผ่านตัวแทนหรือนายหน้าประกันภัยที่ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงาน คปภ. และในการจ่ายเงินค่าเบี้ยประกันภัยให้ขอใบเสร็จรับเงินและกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อเป็นหลักฐานทุกครั้ง เพื่อช่วยให้ผู้เอาประกันภัยได้รับความคุ้มครองตามสัญญาประกันภัยอย่างครบถ้วน3. กรณีที่ตัวแทนหรือนายหน้าประกันภัยมีการกล่าวอ้างถึงบริษัทที่รับประกันภัย ให้ตรวจสอบกับบริษัทรับประกันภัยดังกล่าวว่าตัวแทนหรือนายหน้าฯ ที่ขายประกันภัยนั้นสังกัดหรือเป็นคู่สัญญากับทางบริษัทฯ ดังกล่าวจริงหรือไม่ โดยประชาชนสามารถตรวจสอบรายชื่อบริษัทประกันภัยที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันภัยในประเทศไทย ได้ที่เว็บไซต์กูรูประกันภัย (https://guruprakanphai.oic.or.th) หรือเว็บไซต์สมาคมประกันวินาศภัยไทย (www.tgia.org) ได้ตลอด 24 ชั่วโมงดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวย้ำว่า จากกรณีดังกล่าวนี้ สมาคมฯ ต้องการส่งสัญญาณเพื่อแจ้งเตือนให้ประชาชนใช้ความระมัดระวังในการตรวจสอบก่อนการซื้อประกันภัยผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อช่วยป้องกันความเสียหายจากการถูกหลอกลวง และมั่นใจได้ว่าท่านจะได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งสมาคมฯ เชื่อมั่นว่าการบูรณาการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างบรรทัดฐานในการเสนอขายประกันภัยโดยบริษัทต่างชาติให้กับประชาชนคนไทยนั้นมีความถูกต้องเป็นไปตามกฎหมายและที่สำคัญประชาชนผู้ที่ซื้อประกันภัยต้องได้รับความคุ้มครองอย่างครบถ้วนและเป็นธรรมในที่สุดข่าว BKI-ทิพยฯรับ60:40ประกันภัยก่อสร้างสะพานถล่มลาดกระบังจากกรณีการเกิดอุบัติเหตุโครงการทางยกระดับอ่อนนุช-ลาดกระบังทั้งตัวคานและเสาพังครืนลงมาจากความสูงประมาณ 20 เมตรเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 10 ก.ค.2566 และส่งผลให้ตัวคานและเสาทับรถที่สัญจรไปมาบริเวณถนนอ่อนนุช - ลาดกระบัง ซึ่งโครงการนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และมีคนงานได้รับบาดเจ็บ 8 ราย และเสียชีวิตเบื้องต้น 1 ราย โดยเหตุเกิดที่บริเวณหน้าห้างโลตัส สาขาลาดกระบังนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับโครงการทางยกระดับอ่อนนุช-ลาดกระบัง ก่อสร้างเป็นทางยกระดับคอนกรีตเสริมเหล็ก ความยาว 2,200 เมตร ขนาด 4 ช่องจราจร 2 ทิศทางในแนวเกาะกลางถนนลาดกระบัง ระยะทางรวม 3.9 กิโลเมตร มีจุดเริ่มต้นบริเวณสะพานข้ามคลองหนองคล้า ใกล้กับซอยลาดกระบัง 9/7 ยกระดับข้ามทางเข้าถนนฉลองกรุง สถาบันเทคโนโลยีเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ข้ามสะพานคลองหัวตะเข้ ตลาดหัวตะเข้ผ่านหน้าโรงพยาบาลลาดกระบัง เข้าแนวเกาะกลางถนนหลวงแพ่งผ่านวัดพลมานีย์ และมีทางลดลงไปสิ้นสุดโครงการที่บริเวณหน้าสำนักงาน กปน. สาขาสุวรรณภูมิ.ในเบื้องต้นมูลค่าโครงการอยู่ที่ 1,664 ล้านบาท โดยได้มีการทำประกันภัยระหว่างก่อสร้างไว้กับ 2 บริษัทประกันในลักษณะความคุ้มครองประกันภัยระหว่างก่อสร้าง โดยคุ้มครองตัวสะพาน ส่วนที่สองคุ้มครองชีวิตบุคคลภายนอกที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต และส่วนที่สามน่าจะคุ้มครองประกันภัยทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหาย โดยบริษัทกรุงเทพประกันภัยจำกัด(ฦมหาชน)เป็นลีดในการรับประกันภัยในสัดส่วน 60% และบริษัททิพยประกันภัย จำกัด(มหาชน)ร่วมรับประกันในสัดส่วน 40%รายงานคืบหน้าล่าสุดการดำเนินการของสำนักงานคปภ. แจ้งเข้ามาว่า ภายหลังจากตรวจสอบเบื้องต้น ไม่พบว่า บริษัทฯ ดังกล่าวมีใบอนุญาตเป็นตัวแทนหรือนายหน้าประกันวินาศภัย ในเบื้องต้น ทางสำนักงานคปภ.ได้ประสานไปยังหน่วยงานกำกับประกันภัยของประเทศอังกฤษ เพื่อสำนักงานคปภ.จะได้รู้สถานะว่า บริษัทที่ถูกนำชื่อมาอ้างถึงนั้นมีตัวตนหรือไม่ และเป็นบริษัทอะไรกันแน่ ขณะเดียวกันกำลังจะเข้าไปพูดคุยกับทางกองปราบ เพื่อหารือถึงแนวทางการสืบสวนสอบสวนร่วมกันเพื่อหาแง่มุมทางกฎหมายที่จะดำเนินคดีขั้นเด็ดขาด ก่อนที่จะตั้งข้อหาในการกระทำผิดต่อไป นอกเหนือไปจากประเด็นการเป็นนายหน้าประกันอนนไลน์ไม่ได้รับอนุญาตจากทางการแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับสยามรัฐออนไลน์https://siamrath.co.th/n/461422
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
บทความโดย “พรชัย พิพัฒนกุลวานิช” ที่ปรึกษาการเงิน AFPT™ สมาคมนักวางแผนการเงินไทย ในยุคที่สื่อออนไลน์เข้ามามีบทบาทกับชีวิตผู้คนมากขึ้น ข้อมูลของความสำเร็จ รวมไปถึงเทคนิค เคล็ดลับ การไปสู่จุดหมายปลายทางที่ตั้งใจไว้ก็มีให้เห็นแทบทุกวัน เช่นเดียวกับแวดวงการเงินที่ถูกเผยแพร่เกี่ยวกับเทคนิคการลงทุน ความสำเร็จ ทำให้กลายเป็นแรงบันดาลให้ผู้คนอยากเดินตามรอย อย่างไรก็ตาม มีบางครั้งที่ผู้คนตั้งเป้าหมายแต่ไม่สามารถไปถึงเป้าหมาย ทำให้หลายคนเลิกล้มความตั้งใจ ขณะที่อีกหลายคนพยายามมองหาเครื่องมือเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย แบ่งเงินสูตร 6 ขวดโหล ผู้เขียนขอนำการจัดการเงินตามหลัก 6 Jars Model ของ T.Harv Eker ที่จะแบ่งเงินออกเป็น 6 ขวดโหล ตามสัดส่วนที่แตกต่างกันและใช้จ่ายภายในสัดส่วนที่กำหนดไว้ในแต่ละช่อง ขวดโหลใบที่หนึ่ง ขอเรียกว่า โหลนี่หรือค่าใช้จ่ายฉัน ใช้สำหรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่าง ๆ เช่น ค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าบัตรเครดิต ค่าอาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น แบ่งเงินมาไว้ในขวดโหลใบนี้ 55% ของรายได้ ขวดโหลใบที่สอง Long–Term Saving for spending ขอเรียกว่า โหลนั่นสินะค่าใช้จ่ายที่รอเราอยู่ ใช้สำหรับการเก็บออมไว้สำหรับค่าใช้จ่ายครั้งใหญ่ ๆ ที่จะเกิดขึ้น เช่น การท่องเที่ยว เงินสำรองฉุกเฉิน (Rainy day fund) และค่าใช้จ่ายในการรักษาสุขภาพที่ไม่คาดคิด เป็นต้น แบ่งเงินมาไว้ในขวดโหลใบนี้ 10% ของรายได้ ขวดโหลใบที่สาม Play ขอเรียกว่า โหลดีต่อใจ ใช้จ่ายไปจะกลัวอะไรไม่ใช่เงินใครคือเงินเรา ใช้สำหรับการสปอยล์ตัวเองและครอบครัว หรือซื้อของที่ฟุ่มเฟือยที่ดีต่อใจ ใช้ให้หมดและใช้ได้อย่างสนุกสนาน แบ่งเงินมาไว้ในขวดโหลใบนี้ 10% ของรายได้ ขวดโหลใบที่สี่ Education ขอเรียกว่า โหลพัฒนาตน พัฒนาใจ พัฒนาอะไรก็ต้องใช้เงิน ใช้สำหรับการซื้อหนังสือเพิ่มความรู้ คอร์สเรียนพัฒนาตนเอง การโค้ชชิ่งหรือการมีครูฝึกเพื่อให้เก่งขึ้นและมีความรู้เพิ่มขึ้น แบ่งเงินมาไว้ในขวดโหลใบนี้ 10% ของรายได้ ขวดโหลใบที่ห้า Financial Freedom Account ขอเรียกว่า โหลอนาคตอยู่ไม่ไกล ค่อย ๆ ออมไป จะถึงเส้นชัยในวันหนึ่ง ใช้สำหรับการลงทุนในหุ้น กองทุนรวม อสังหารัมทรัพย์ และการลงทุนอื่น ๆ เพื่อเป้าอิสรภาพในด้านการเงิน แบ่งเงินมาไว้ในขวดโหลใบนี้ 10% ของรายได้ ขวดโหลใบที่หก Give ขอเรียกว่า โหลให้คืนสู่สังคมไป สุขใจจัง ใช้สำหรับการบริจาค การทำบุญต่าง ๆ แบ่งเงินมาไว้ในขวดโหลใบนี้ 10% ของรายได้ พอแบ่งเงินตามโหลทั้งหกใบก็ให้ใช้จ่ายไปตามนั้น ตามสัดส่วนที่กำหนดไว้ในแต่ละโหล และในระหว่างลงมือทำอาจมีคำถามกับตัวเอง เช่นจะถึงเป้าที่วางไว้หรือไม่ หากคำตอบว่า ไม่ใช่ ไม่น่าจะเป็นไปได้ บางครั้ง เราก็สามารถประยุกต์ใช้ทฤษฎีได้ เพิ่มลดบางส่วนได้ ไม่จำเป็นต้องตรงตามตัวทฤษฎีมาก ถ้าทำให้เรามีความสุขมากขึ้นหรือเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น เช่น การเพิ่มรายรับแล้วคงสัดส่วนไว้เท่าเดิม เช่น จากเดิมรายรับ 30,000 บาท แบ่งโหลที่หนึ่ง 16,500 บาท (55%) โหลที่สอง 3,000 บาท (10%) โหลที่สาม 3,000 บาท (10%) โหลที่สี่ 3,000 บาท (10%) โหลที่ห้า 3,000 บาท (10%) โหลที่หก 1,500 บาท (5%) ถ้าเราเพิ่มรายรับเป็น 40,000 บาท โหลที่หนึ่งจะได้เป็น 20,000 บาท โหลที่สอง 4,000 บาท โหลที่สาม 4,000 บาท โหลที่สี่ 4,000 บาท โหลที่ห้า 4,000 บาท และโหลที่หก 2,000 บาท ก็จะทำให้เข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น แต่ถ้าไม่รู้วิธีเพิ่มรายได้ การควบคุมค่าใช้จ่ายและการปรับเปลี่ยนสัดส่วนใหม่ ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เช่น จากเดิมตามทฤษฎีให้เก็บไว้สำหรับค่าใช้จ่าย 55% และออมเพื่ออิสรภาพทางการเงิน 10% แต่คิดว่าไม่พอ ก็อาจปรับให้เหมาะกับเป้าหมายหรือตัวเราจากแบ่งเพื่อค่าใช้จ่าย 55% เป็น 45% และนำ 10% ไปเพิ่มให้กับการออมเพื่อเป้าหมายอิสรภาพทางการเงิน 10% แทนจากเดิม 10% (ก็จะเพิ่มเป็น 20%) ซึ่งก็จะช่วยให้เราเข้าใกล้เป้าหมายได้เพิ่มอีกหนึ่งทาง ถึงแม้ “ออมอย่างไร ไม่ให้พลาดทุกเป้าหมายการเงิน” ไม่อาจสรุปได้ว่าวิธีการไหนที่ดีที่สุด ดังนั้นการลงมือทำอย่างต่อเนื่อง มีวินัย ปรับปรุงให้เหมาะกับตัวเอง ย่อมเป็นวิธีการที่ดีและสามารถทำให้ไปถึงเป้าหมายที่วางเอาไว้ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1344454
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/04/2024
กรุงเทพฯ, 14 กรกฎาคม 2566 - เอไอเอ ประเทศไทย ผู้นำด้านประกันชีวิตและสุขภาพ ยกทัพผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพที่ครอบคลุมความต้องการของทุกช่วงชีวิต พร้อมให้มากกว่าความคุ้มครอง ร่วมงานวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 22 เพื่อมุ่งสนับสนุนคนไทยให้เข้าถึงการบริการทางการแพทย์และการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่เอไอเอ มุ่งมั่นและเดินหน้าส่งมอบความคุ้มครองด้านสุขภาพ พร้อมบริการด้านสุขภาพที่ครบวงจรมาอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives - เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’ โดยงานวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 22 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-16 กรกฎาคม นี้ ณ ชั้น 1 ศูนย์การค้า เซ็นทรัล เวสต์เกต ในงานนี้ เอไอเอ ชูผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพ อาทิ "เอไอเอ เฮลธ์ เซฟเวอร์ (AIA Health Saver)” ที่มาในคอนเซ็ปต์ “คุ้มกว่าที่เคยเจอ เซฟเวอร์ทั่วไทย” ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายในราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้ ด้วยเบี้ยประกันภัยเริ่มต้นเพียง 575 บาทต่อเดือน[1] “เอไอเอ เฮลธ์ โซลูชันส์ (AIA Health Solutions)” ที่รวบรวมบริการเสริมด้านสุขภาพ เพื่อให้ลูกค้าได้รับการดูแลแบบครบวงจร ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเป็นลูกค้าของเอไอเอ ผ่านบริการและโครงการสุขภาพถึง 9 บริการ ครอบคลุมการดูแลด้านสุขภาพที่เหนือระดับ ตอบโจทย์ลูกค้าในทุกช่วงของชีวิต และผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด “เอไอเอ ไวทัลลิตี้ ยูนิต ลิงค์ (AIA Vitality Unit Linked)” ครั้งแรกที่เอไอเอ ผนึก 2 ผลิตภัณฑ์เรือธง “AIA Vitality” และ “AIA Unit Linked” เข้าไว้ด้วยกัน ให้ลูกค้าได้เลือกรับความคุ้มครองครบทั้งสุขภาพและโรคร้ายแรง พร้อมยังได้รับเงินคืนค่าการประกันภัยตลอดอายุกรมธรรม์สูงสุด 25%[2] เพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าได้วางแผนการเงินพร้อมวางแผนสุขภาพแบบครบวงจร เตรียมมาพบกับที่ปรึกษาทางด้านประกันชีวิตและการเงินมืออาชีพของเอไอเอ พร้อมเลือกแบบประกันที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ได้ภายในงานวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 22 วันที่ 15-16 กรกฎาคม นี้ พร้อมสนุกกับกิจกรรมตรวจวัดองค์ประกอบของร่างกายโดยเครื่อง BIA (Bioelectrical Impedance Analysis) และพิเศษสำหรับสมาชิกเอไอเอ ไวทัลลิตี้ รับคะแนนสูงสุด 1,500 คะแนน[3] จากตรวจค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ภายในงาน พร้อมเพลิดเพลินกับโปรโมชั่นสุดพิเศษ รวมทั้งของรางวัลสุด Exclusive จากเอไอเอเฉพาะภายในงานเท่านั้นหมายเหตุ: [1] คำนวณจากเบี้ยประกันภัยรายปี 6,900 บาท สำหรับเพศชายอายุ 21-25 ปี แผนความคุ้มครอง 200,000 บาท [2] ตามเงื่อนไขการจ่ายเงินคืนค่าการประกันภัย ณ วันครบรอบปีกรมธรรม์ที่ระบุในสัญญา [3] เงื่อนไขเป็นไปตามข้อกำหนดของ เอไอเอ ไวทัลลิตี้
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
30/04/2024
บอร์ด คปภ. เสนอรัฐมนตรีคลังเห็นชอบขึ้นเงินสมทบเข้ากองทุนประกันวินาศภัยเป็น 0.5% เพิ่มสภาพคล่องรองรับภาระชำระหนี้บริษัทที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตวันที่ 11 กรกฎาคม 2566 สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เผยแพร่ประกาศคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง กำหนดอัตรา หลักกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลาที่บริษัทต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนประกันวินาศภัย (ฉบับที่ …) พ.ศ. …เพื่อให้กองทุนประกันวินาศภัยบริหารจัดการทรัพย์สินและหนี้สินได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเห็นสมควรเพิ่มอัตราเงินที่บริษัทนำส่งเข้ากองทุนตามมาตรา 80/3 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 80/3 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ประกอบกับมติที่ประชุมคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ครั้งที่ ../2566 เมื่อวันที่ … พ.ศ. 2566 และด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในการกำหนดอัตราเงินที่บริษัทต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนประกันวินาศภัย คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย จึงออกประกาศไว้ดังนี้ • ให้บริษัทประกันวินาศภัยนำส่งเงินกองทุนปีละ 2 ครั้งดังนี้ 1.ครั้งที่หนึ่งให้บริษัทนำส่งภายในเดือน ม.ค. ในอัตรา 0.5% ของเบี้ยประกันภัยที่บริษัทได้รับในรอบเดือน ก.ค.-ธ.ค.ของปีที่ผ่านมา และ 2.ครั้งที่สองให้บริษัทนำส่งภายในเดือน ก.ค. ในอัตรา 0.5% ของเบี้ยประกันภัยที่บริษัทได้รับในรอบเดือน ม.ค.-มิ.ย. ของปีเดียวกัน • สำหรับการนำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนในเดือน ม.ค.ของปี 2567 ให้บริษัทนำส่งในอัตราดังนี้ 1.ในอัตรา 0.25% ของเบี้ยประกันภัยที่บริษัทได้รับในรอบเดือน ก.ค.-ก.ย. ของปี 2566 2.ในอัตรา 0.5% ของเบี้ยประกันภัยที่บริษัทได้รับในรอบเดือน ต.ค.-ธ.ค.ของปี 2566“เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้บริษัทประกันวินาศภัยบางแห่งถูกเพิกถอนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจประกันภัย ทำให้กองทุนประกันวินาศภัยต้องรับภาระการชำระหนี้ตามสัญญาประกันภัย รวมถึงมีหน้าที่เป็นผู้ชำระบัญชีให้กับบริษัทประกันวินาศภัยที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต ทำให้กองทุนประกันวินาศภัยมีปัญหาเรื่องฐานะการเงินโดยแนวทางช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับกองทุนประกันวินาศภัย โดยปรับขึ้นอัตราเงินสมทบกองทุนประกันวินาศภัย ตามมาตรา 80/3 แห่ง พ.ร.บ.ประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 จากอัตรา 0.25% เป็น 0.50% ซึ่งได้กำหนดให้บริษัทนำส่งเข้ากองทุนตามอัตราที่คณะกรรมการ คปภ.กำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีคลัง อัตราดังกล่าวต้องไม่เกิน 0.50% ของเบี้ยประกันภัยที่บริษัทได้รับในรอบระยะเวลา 6 เดือนก่อนหน้างวดที่ต้องนำส่งเงินเข้ากองทุน”แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1345148
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
“ภารตะ เชน” ชายอินเดียขอทานที่รวยที่สุดในโลก เห็นรายได้ต่อเดือนทำอึ้ง แถมเป็นเจ้าของคอนโดอีก2ห้อง ส่งลูกจนเรียนจบ เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานเรื่องราวขอทานที่รวยที่สุดในโลก ชื่อว่า ภารตะ เชน ซึ่งเขาอาศัยอยู่ที่มุมไบ โดยเขาเป็นเจ้าของทรัพย์สินมูลค่าหลายล้านรูปีต่อปี และเป็นเจ้าของแฟลตในมุมไบและร้านค้าให้เช่าอีก 2 แห่ง โดยรายได้สุทธิของนายเชนต่อปีคาดว่าสูงถึง 7.5 ล้านรูปีหรือราว 3.2 ล้านบาท ซึ่งขัดกับรายได้ต่อเดือนของพนักงานประจำอีกด้วยซ้ำ ตามรายงานของ Economic Times เผยว่า นายภารตะ เชน ขอทานที่รวยที่สุดในโลก ไม่ได้เรียนหนังสือเป็นทางการ เพราะขัดสนเรื่องเงิน ปัจจุบันเขาแต่งงานแล้ว มีภรรยา 1 คน มีลูกชาย 2 คน และอาศัยร่วมกับพี่ชาย และ พ่อ โดยอาชีพขอทานนี้ทำให้เขามีรายได้ 25000 – 32000 บาทต่อเดือนภาพประกอบ อย่างไรก็ตาม นายเชนได้นำเงินที่ได้มาไปลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยเขามีแฟลตขนาด 2 ห้องนอนในมุมไบ ราคา 5.2 แสนบาท และเป็นเจ้าของร้านค้าให้เช่า 2 ห้อง ในเมืองธาน ชานเมืองมุมไบ ปล่อยให้คนเช่ารวม 12,800 บาทต่อเดือน ขณะที่ นายเชนได้ตระเวณขอทานตาม สถานีรถไฟปลายทางฉัตรปตีศิวาจี อาซัด ไมดาน สนามกีฬาเมืองมุมไบ แม้เชนจะร่ำรวยแต่เขาก็ยังคงยึดอาชีพขอทาน โดยปัจจุบัน นายเชนอาศัยในอพาร์ทเมนต์ 1 ห้องนอนแบบดูเพล็กซ์ กับครอบครัวของเขา ลูกได้เข้าเรียนในโรงเรียนคอนแวนต์และสำเร็จการศึกษาแล้ว ส่วนสมาชิกในครอบครัวคนอื่น ๆ เปิดร้านขายเครื่องเขียน และครอบครัวได้ขอร้องให้เขาหยุดขอทาน แต่เชนไม่หยุดยังยึดอาชีพขอทานต่อไปภาพประกอบ ทั้งนี้ ภารตะ เชน พบเห็นเขาขอทานได้ตามท้องถนนในเมืองมุมไบ คำว่า ‘ขอทาน’ มักกระตุ้นความคิดของหลายคน ให้นึกถึงความยากจน สวมเสื้อผ้าขาดวิ่น และมีผม รุงรัง ร่างกายมอมแมม แต่หลายคนก็มาเอาดีทางด้านขอทาน มิติใหม่ขอทานได้เริ่มขึ้นภาพประกอบแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับข่าวสดออนไลน์https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_7758082
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/04/2024
กรุงเทพฯ, 13 กรกฎาคม 2566 – กลุ่มบริษัทเอไอเอ (“เอไอเอ” หรือ “บริษัท”; รหัสหลักทรัพย์: 1299) มีความภูมิใจที่จะประกาศว่าเอไอเอเป็นบริษัทที่มีจำนวนสมาชิกสโมสรล้านเหรียญโต๊ะกลม (MDRT) มากที่สุดในโลกเป็นประวัติการณ์ ต่อเนื่องกันเป็นปีที่ 9นายหลี่ หยวน ชยอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทเอไอเอ กล่าวว่า “ผมรู้สึก ภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่เอไอเอ ได้บรรลุเป้าหมายในการขึ้นเป็นบริษัทที่มีสมาชิก MDRT มากที่สุดในโลกอีกครั้ง ความสำเร็จในครั้งนี้ถือเป็นประวัติการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงคุณภาพของตัวแทนเอไอเอระดับ Premier Advisor รวมถึงผู้บริหารหน่วยตัวแทนระดับโลก ซึ่งถือเป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้ช่องทางตัวแทนของเราไม่มีคู่แข่งที่ทัดเทียมได้ในตลาด ความได้เปรียบในการแข่งขันนี้เราใช้เวลาสร้างมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ และเป็นหนึ่งในหลายเหตุผลที่ทำให้เอไอเอแตกต่างเหนือคู่แข่ง เพื่อการเติบโตที่แข็งแกร่งในอนาคต”นายแจ็คกี้ ชาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารประจำภูมิภาคและประธานเจ้าหน้าที่บริหารช่องทางการขาย กลุ่มบริษัทเอไอเอ กล่าวว่า “ผมรู้สึกยินดีที่เอไอเอได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ติดต่อกันมาเป็นเวลา 9 ปี ซึ่งที่เอไอเอ เรามีการจัดฝึกอบรมตามมาตรฐานผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรม อีกทั้งเรามีการพัฒนา และมอบโอกาสการเติบโตในสายอาชีพให้กับตัวแทนมืออาชีพของเรา โดยความสำเร็จนี้สะท้อนถึงความเป็นเลิศของตัวแทนเอไอเอ ทั้งนี้ เราจะยังคงลงทุนกับการสร้างและพัฒนาตัวแทน ผู้ซึ่งมีส่วนสำคัญในการนำพาความสามารถของเอไอเอไปช่วยสนับสนุนให้ผู้คนนับหลายล้านคนในเอเชียมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา Healthier, Longer, Better Lives” สโมสรล้านเหรียญโต๊ะกลม (MDRT) ได้รับการยอมรับว่าเป็น Premier Association of Financial Professionals® หรือสมาคมด้านมาตรฐานความเป็นเลิศของธุรกิจประกันชีวิตและบริการทางการเงิน โดยสมาชิก MDRT จะถูกกำหนดขั้นต่ำของเบี้ยประกันภัย ค่าคอมมิชชัน และรายได้ ตลอดจนสามารถแสดงให้เห็นถึงความรู้ทางวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง มีจรรยาบรรณที่เข้มงวด และมีการบริการลูกค้าที่โดดเด่น หมายเหตุ: *ข้อมูล MDRT 2023 ณ วันที่ 13 กรกฎาคม 2566 จาก www.mdrt.org
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
30/04/2024
คปภ. ยกร่างประกาศกระทรวงการคลัง ลดเงินสมทบบริษัทกลาง 3 ปี จากระดับ 12.25% เหลือแค่ 6% ของเบี้ย พ.ร.บ.ที่ได้รับแต่ละไตรมาส ตั้งแต่เดือน ต.ค. 66-ก.ย. 69 เพื่อช่วยบรรเทาธุรกิจประกัน หลังอ่วมจ่ายเคลมโควิดวันที่ 10 กรกฎาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2566 สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้เผยแพร่ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงินสมทบเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด (ฉบับที่…) พ.ศ. …ตามที่กระทรวงการคลังได้ออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงินสมทบเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด ลงวันที่ 26 เมษายน 2553 ซึ่งกำหนดอัตราเงินสมทบไว้เป็นอัตรา 12.25% เพื่อให้ภาระค่าใช้จ่ายของบริษัทประกันวินาศภัยลดลง อันเป็นการช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพและศักยภาพของบริษัทประกันวินาศภัย ประกอบกับประมาณการฐานะการเงินของบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด ยังคงมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนในระดับที่สูงกว่าที่กฎหมายกำหนดเป็นจำนวนมาก ซึ่งเพียงพอต่อการดำเนินการตามภารกิจที่กฎหมายกำหนดโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 และมาตรา 10 ทวิ วรรคเจ็ด แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2550 ประกอบมาตรา 3 (3) แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย พ.ศ. 2550 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้แก้ไขเพิ่มเติม– ให้บริษัทประกันภัยจ่ายเงินสมทบให้แก่บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด ภายใน 30 วัน นับแต่วันสิ้นรอบ 3 เดือน ในอัตราดังต่อไปนี้– สำหรับการจ่ายเงินสมทบรอบเดือน ต.ค. 2566 ถึงรอบเดือน ก.ย. 2569 ให้นำส่งในอัตรา 6% ของเบี้ยประกันภัยที่ได้รับจากผู้เอาประกันภัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535– สำหรับการจ่ายเงินสมทบรอบเดือน ต.ค. 2569 เป็นต้นไป ให้นำส่งในอัตรา 12.25% ของเบี้ยประกันภัยที่ได้รับจากผู้เอาประกันภัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535“การคำนวณเบี้ยประกันภัยที่ได้รับจากผู้เอาประกันภัยตามวรรคหนึ่ง ให้ใช้เกณฑ์สิทธิ โดยให้นำเบี้ยประกันภัยที่เกิดขึ้นในรอบ 3 เดือนใดแม้ว่าจะยังไม่ได้รับชำระในรอบ 3 เดือนนั้นมารวมคำนวณเป็นเบี้ยประกันภัยของรอบ 3 เดือนนั้น”แหล่งที่ที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1344610#google_vignette
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/04/2024
กรุงเทพฯ 7 กรกฎาคม 2566 - ALive Powered by AIA (เอ ไลฟ์ พาวเวอร์ บาย เอไอเอ) แอปพลิเคชันครบวงจรด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ฉลองความสำเร็จก้าวสำคัญหลังมีผู้ใช้งานเกิน 1 ล้านคนเมื่อต้นเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา ตอกย้ำความพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้า โดยใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมให้ผู้ใช้งานทุกคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา 'Healthier, Longer, Better Lives' ALive ได้รับการพัฒนาขึ้นด้วยความมุ่งมั่นอย่างตั้งใจของ เอไอเอ เวลเนส เพื่อเติมเต็มชีวิตของผู้ใช้งานในด้านต่างๆ อย่างรอบด้าน ทั้งเรื่องสุขภาพ ความมั่นคงทางการเงิน และครอบครัว เจตนารมณ์นี้สอดคล้องกับพันธกิจ “AIA One Billion” ที่มุ่งสนับสนุนให้ผู้คนกว่าพันล้านคนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นภายในปี พ.ศ. 2573 โดยกลุ่มบริษัทเอไอเอได้ริเริ่มภารกิจเพื่อส่งเสริมให้เราสามารถไปถึงจุดมุ่งหมายในการเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคน เพื่อมีส่วนช่วยสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกชีวิตในสังคมของเรา นับตั้งแต่เริ่มให้บริการ ALive ได้พัฒนาและผสานเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในปัจจุบันเพื่อขับเคลื่อนชีวิตของผู้คนในด้านต่างๆ ผ่านการออกแบบหน้าจอแอปพลิเคชันที่ใช้งานง่าย มีเนื้อหาที่หลากหลายตรงกับความสนใจของผู้ใช้งานในปัจจุบัน ซึ่งครอบคลุมประเด็นด้านการบริหารและจัดการอารมณ์ สุขภาพร่างกาย จิตใจ ความมั่นคงทางการเงิน การงานและอาชีพ การวางแผนทางการเงิน ไลฟ์สไตล์ การพัฒนาตนเอง และการดูแลความสัมพันธ์นายจุฑาภัทร เหล่าธรรมทัศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนา ดิจิทัล โซลูชันส์ แอนด์ ดีไซน์ เอไอเอ เวลเนส กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่แอปพลิเคชัน ALive Powered by AIA ได้บรรลุอีกก้าวสำคัญโดยมีผู้ใช้งานถึงหนึ่งล้านคน ความสำเร็จครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราในการยกระดับชีวิตของผู้คนทั่วประเทศไทย เราขอขอบคุณผู้ใช้งานแอปพลิเคชัน ALive จากใจ ที่ให้ความไว้วางใจและสนับสนุนเป็นอย่างดี ความสำเร็จในครั้งนี้เป็นข้อพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นทุ่มเทของทีมงานเบื้องหลังทุกคน ซึ่งอนาคตต่อไปจากนี้เราพร้อมที่จะเดินหน้าขยายการให้บริการและปรับปรุงพัฒนาแอปพลิเคชันด้านโซลูชันเพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีครอบคลุมรอบด้านเพื่อผู้ใช้งานทุกคน ตลอดจนเดินหน้าส่งเสริมให้คนไทยทั่วประเทศบรรลุเป้าหมายการมีสุขภาพที่แข็งแรงและมีชีวิตที่ดีขึ้น” ALive คือแอปพลิเคชันครบวงจรสำหรับทุกคนในสังคม ตั้งแต่กลุ่มที่เพิ่งก้าวเข้าสู่วัยทำงานไปจนถึงวัยสร้างครอบครัว ภายในแอปพลิเคชันมีฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์มากมายอย่าง ปรึกษาแพทย์ออนไลน์ (Telemed) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์แบบออนไลน์โดยไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล คำนวณแคลอรี่ (Calories Tracker)* ช่วยตรวจสอบปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับในแต่ละวันพร้อมรับคำแนะนำในการทานอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี กิจกรรมไลฟ์ (ALive Show) อัปเดตข้อมูลล่าสุดจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพร่างกายและสุขภาพใจผ่านรูปแบบวิดีโอ พร้อมกับฟีเจอร์ สกู๊ป (Scoop) ที่นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพในรูปแบบคลิปวิดีโอที่ผู้ใช้งานสามารถดูและแชร์ต่อได้ คอมมิวนิตี (Community) สร้างแพลตฟอร์มให้ผู้ใช้งานมีส่วนร่วมในการสนทนาเกี่ยวกับหัวข้อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว, สุขภาพ, ความรัก, อาชีพ และการเงิน และยังมีฟีเจอร์ สิทธิพิเศษ (Rewards) ที่มอบสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีแก่ผู้ใช้งาน นอกจากนี้ ความสำเร็จของ ALive ยังพิสูจน์ได้จากรางวัลมากมายที่ได้รับ อาทิ รางวัลชนะเลิศในสาขา Connected Ecosystems & Marketplace ในงานประกาศรางวัล EFMA-Accenture Innovation in Insurance Awards เมื่อปี 2565 รางวัลสุดยอดการสร้างประสบการณ์แก่ลูกค้าแห่งโลกอนาคต “Best in Future of Customer Experience” จากเวที IDC DX Summit & Future Enterprise Awards ในปี 2565 ระดับภูมิภาคอาเซียน และรางวัล Parent's Choice หรือสุดยอดผลิตภัณฑ์ในดวงใจของคุณพ่อคุณแม่ ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Health App for Family ในงาน theAsianparent Awards สองปีซ้อน (2564-2565) และเมื่อไม่นานมานี้ ALive เพิ่งคว้ารางวัล Model Insurer Awards อันทรงเกียรติจาก Celent ในสาขา “Customer Experience Transformation” ประจำปี 2566 แอปพลิเคชัน ALive Powered by AIA พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้วบนระบบปฏิบัติการ iOS และ Android สำหรับลูกค้าทั่วไปสามารถสมัครใช้บริการและสนุกไปกับฟีเจอร์ต่างๆ ได้เช่นกัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ALive Powered by AIA
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
10/06/2024
13/06/2024
26/06/2024
14/08/2024
30/04/2024