คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ข่าวการเงิน

Gen z มีต้นทุนชีวิตสูงขึ้น เป็น ‘หนี้’ เพื่อเติมเต็มชีวิตในยุคค่าครองชีพแพง

21/11/2024

Gen z มีต้นทุนชีวิตสูงขึ้น เพราะ ‘เงินเฟ้อ’ ฐานรายได้ต่ำกว่าเมื่อ 10 ปีก่อน สวนทางค่าครองชีพพุ่ง ค่าเรียน-ค่าที่อยู่อาศัยแพง จนเปลี่ยนวิธีการใช้เงินยอมเป็น ‘หนี้’ ติดกับดัก ‘ดอกเบี้ย’ เพื่อเติมเต็มชีวิตคนรุ่นใหม่ ทั้ง “Gen Z” และ “มิลเลนเนียล” กำลังเผชิญกับปัญหาหนี้สินมหาศาล  พร้อมกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ “ต้นทุนชีวิต” หรือค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นค่าที่อยู่อาศัย ค่าศึกษา หรือแม้แต่ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตประจำวัน ทำให้การเริ่มต้นชีวิตวัยผู้ใหญ่เป็นเรื่องยากกว่าที่เคย โดยเฉพาะวัยที่กำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญของชีวิต เช่น การซื้อบ้านหลังแรก หรือการสร้างครอบครัว  •  Gen Z ติดกับดัก ‘ดอกเบี้ย’  ข้อมูลจาก TransUnion เผยให้เห็นว่าคนรุ่น Gen Z วัย 22-24 ปี กำลังเผชิญกับปัญหาหนี้สินและอัตราการผิดนัดชำระหนี้ที่รุนแรงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ โดยมีทั้งหนี้บัตรเครดิต สินเชื่อบ้าน และสินเชื่อนักศึกษาที่สูงกว่ากลุ่ม Gen Z ในช่วงวัยเดียวกันเมื่อ 10 ปีก่อน  ยิ่งไปกว่านั้น ยอดคงเหลือในบัตรเครดิตเฉลี่ยของกลุ่มนี้ก็พุ่งสูงขึ้นถึง 26% เมื่อเทียบกับกลุ่ม Gen Y ในอดีต ส่งผลให้ภาระหนี้สินของ Gen Z ในปัจจุบันหนักอึ้งกว่าเดิมมาก เนื่องจากอัตรา “ดอกเบี้ย” ของบัตรเครดิตพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์คนรุ่น Gen Z มีหนี้บัตรเครดิตเร็วกว่าคนรุ่นอื่นๆ เพราะมีรายได้น้อยและมีเงินออมน้อย จึงหันมาใช้การกู้ยืมสินเชื่อเพื่อเติมเต็มชีวิต ในความเป็นจริง คนรุ่นใหม่ยังมีโอกาสที่จะฟื้นฟูสถานะทางการเงิน แต่อย่าลืมว่าภาระหนี้สินที่แบกรับอยู่ในปัจจุบันอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตในระยะยาวอย่างมาก McClary จาก NFCC ได้กล่าวว่าการกู้เงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงจะขัดขวางการเก็บเงินไว้ใช้ในอนาคต นั่นหมายความว่า แม้จะสามารถแก้ไขปัญหาหนี้สินในปัจจุบันได้ แต่ผลกระทบที่ตามมา เช่น ประวัติเครดิตที่เสียหาย หรือเข้าถึงสินเชื่อยากขึ้น  •  ฐานเงินเดือนต่ำ สวนทางต้นทุนชีวิตพุ่งสูงขึ้น  ข้อมูลจาก TransUnion เผยให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 22-24 ปี มีรายได้เฉลี่ยต่ำกว่าคนรุ่นก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเปรียบเทียบกับคนรุ่นมิลเลนเนียลในวัยเดียวกัน พบว่าคนรุ่นใหม่มีรายได้น้อยกว่าถึง 6,359 ดอลลาร์ หรือ 12.26%  เมื่อปรับอัตราเงินเฟ้อแล้ว แสดงให้เห็นถึงความท้าทายทางการเงินที่คนรุ่นใหม่ต้องเผชิญในการเริ่มต้นชีวิตการทำงานด้วยรายได้ที่จำกัดและเงินออมที่น้อยกว่า คนทำงานรุ่นใหม่จึงหันมาพึ่งพาสินเชื่อเพื่อมาเติมเต็มช่องว่างทางการเงินที่ขาดหายไป ส่งผลให้หลายคนโดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z มีหนี้บัตรเครดิตตั้งแต่อายุยังน้อยคนรุ่นใหม่กำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักในการหาที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเลือกเช่าหรือซื้อก็ตาม ค่าครองชีพที่สูงขึ้นโดยเฉพาะค่าเช่าที่พุ่งทะยานถึง 30% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทำให้การมีที่พักอาศัยที่สะดวกสบายและตรงตามความต้องการเป็นเรื่องยากขึ้นมาก ในขณะที่รายได้เพิ่มขึ้นเพียง 20% ทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างรายได้และค่าใช้จ่ายในการอยู่อาศัยอย่างเห็นได้ชัดข้อมูลจาก StreetEasy เผยให้เห็นว่าค่าใช้จ่ายในการเช่าอพาร์ตเมนต์ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กำลังกัดกินรายได้ของคนทำงาน ทำให้พวกเขามีเงินออมน้อยลงและส่งผลกระทบต่อเป้าหมายทางการเงินระยะยาว เช่น การซื้อบ้านหรือการออมเงินเพื่อเกษียณอายุ การที่ค่าเช่าสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้คนทำงานต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น และมีเงินเหลือเก็บน้อยลง ทำให้การบรรลุเป้าหมายทางการเงินอื่นๆ เป็นไปได้ยากขึ้นราคาบ้านในสหรัฐพุ่งสูงขึ้นถึง 40% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พร้อมกับอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมเพื่อซื้อบ้านเพิ่มขึ้นอย่างมาก สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้บ้านราคาไม่แพงหายากยิ่งขึ้น ซึ่งระดับบ้านราคาเหมาะกับผู้ที่มีรายได้ปานกลางส่วนใหญ่สามารถจ่ายได้  ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันกลายเป็นตลาดที่เข้าถึงได้ยากที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ส่งผลให้ครัวเรือนอเมริกันกว่า 3 ใน 4 ไม่สามารถซื้อบ้านราคาปานกลางได้  •  จบพร้อม ‘หนี้’ปริญญาตรีเคยถูกมองว่าเป็นบัตรผ่านสู่โอกาสที่ดีกว่าในชีวิตการทำงาน แต่ในปัจจุบันสถานการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เพราะค่าเล่าเรียนที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปริญญาตรีกลายเป็นภาระทางการเงินที่หนักอึ้งสำหรับหลายคน ส่งผลให้ประโยชน์ที่เคยได้รับจากการมีปริญญาตรี ไม่ว่าจะเป็นการได้งานที่ดีหรือเงินเดือนสูง เริ่มไม่คุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายที่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายในการศึกษาในระดับอุดมศึกษาในสหรัฐพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้นกว่า 68% ปัจจุบัน ค่าเล่าเรียนเฉลี่ยต่อปีสำหรับมหาวิทยาลัยรัฐอยู่ที่ 24,920 ดอลลาร์  หรือราว 8.6 แสนล้านบาท  หากรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดตลอด 4 ปี การศึกษาระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยชั้นนำอาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึงเกือบ 400,000 ดอลลาร์ ราว 13 ล้านบาทค่าเล่าเรียนที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้นักศึกษามากขึ้นต้องพึ่งพาเงินกู้เพื่อศึกษาต่อ  โดยเฉลี่ยแล้ว นักศึกษาชาวอเมริกันที่จบการศึกษาจะมีหนี้สินจากการศึกษาประมาณ 37,850 ดอลลาร์ หรือ 1.3 ล้านบาท ส่งผลให้เกือบครึ่งหนึ่งของบัณฑิตจากทั้งมหาวิทยาลัยรัฐและเอกชนจบการศึกษาพร้อมกับภาระหนี้สินนี้ และข้อมูลจาก Education Data Initiative เผยให้เห็นว่าปัจจุบันมีชาวอเมริกันกว่า 42 ล้านคนกำลังแบกรับภาระหนี้สินจากเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาจากรัฐบาลกลาง  •  Gen z เปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจกลุ่มวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาวอายุ 18-29 ปี ในสหรัฐตอนนี้มีจำนวนหนี้สินรวมกันสูงถึง 1.12 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 41 ล้านล้านบาท แม้จะเป็นสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับหนี้สินทั้งหมดของประเทศ แต่ถือเป็นหนี้ก้อนแรกของคนหนุ่มสาวที่ต้องแบกรับในช่วงเริ่มต้นชีวิตการทำงาน ทำให้ต้องกังวลและไม่มั่นใจในอนาคตทางการเงิน อาจจะต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อชำระหนี้ และเลี่ยงการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น นำไปสู่วินัยทางการเงินที่เปลี่ยนไป “เก็บออม” มากกว่าใช้จ่าย หรือ ลงทุนพฤติกรรมการใช้จ่ายที่เปลี่ยนไปอาจนำไปสู่การลดลงของกำลังซื้อและส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐในระยะยาว มาร์ซี่ เมอร์ริแมน จาก EY ได้ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของคนรุ่น Gen Z ที่มีต่อแนวคิดเรื่องการใช้ชีวิต โดยเฉพาะเรื่องการซื้อบ้าน การบริโภค และการมีครอบครัว ซึ่งแตกต่างจากคนรุ่นก่อนอย่างมาก ตัวอย่างเช่น การเลื่อนการซื้อบ้านออกไป หรือการเลือกเช่าที่อยู่อาศัยที่มีความยืดหยุ่นมากกว่า ทำให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมที่เคยมีอยู่ต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน ธุรกิจใดที่สามารถเข้าใจและตอบสนองต่อความต้องการและพฤติกรรมของ Gen Z ได้เป็นอย่างดี จะสามารถเติบโตและประสบความสำเร็จได้ในอนาคตมิเชล ราเนอรี ฝ่ายวิจัยบริการทางการเงินของ TransUnion ได้เปิดเผยถึงความจริงที่น่าตกใจว่า คนรุ่นใหม่ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็น “คนรุ่นใหม่ที่ร่ำรวย” กำลังเผชิญกับปัญหาทางการเงินที่คาดไม่ถึงในช่วงเวลาสำคัญของชีวิตที่ควรจะได้เริ่มต้นสร้างฐานะที่มั่นคง  •  จะซื้อจนกว่าจะหมดแรง !หลังจากช่วงเวลาที่ทุกคนต้องประหยัดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ผู้บริโภคส่วนใหญ่หันมาลดค่าใช้จ่าย แต่กลุ่ม Gen Z กลับมีพฤติกรรมที่แตกต่างออกไป พวกเขายังคงรักษาพฤติกรรมการใช้จ่ายที่สูงเหมือนเดิม หรืออาจสูงขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำแม้ค่าครองชีพจะสูงขึ้น แต่พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคกลับมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ ในขณะที่คนรุ่นก่อน ๆ มีแนวโน้มที่จะลดการจับจ่ายใช้สอยในร้านค้าปลีก กลุ่มมิลเลนเนียลและเจนซีกลับเพิ่มการใช้จ่ายสูงขึ้นถึง 32% และ 17% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับปี 2018 พวกเขายินดีที่จะใช้จ่ายเงินกับสิ่งที่ตนเองต้องการ ไม่ว่าจะเป็นของฟุ่มเฟือย เช่น ตั๋วคอนเสิร์ต หรือทริปท่องเที่ยว หรือแม้แต่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ อย่างเครื่องดื่มจากร้านกาแฟชื่อดังพฤติกรรมการใช้จ่ายของคนรุ่นมิลเลนเนียลและเจนซีกลับเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเจนซีที่ใช้บัตรเครดิตเกินวงเงินหรือชำระล่าช้าสูงถึง 1 ใน 7 คน ตามข้อมูลจากธนาคารกลางนิวยอร์ก แม้จะมีวงเงินเครดิตที่จำกัดกว่ารุ่นก่อน แต่คนหนุ่มสาวกลุ่มนี้กลับใช้วงเงินที่มีอยู่อย่างเต็มที่ ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อรายได้ของคนวัย 20 ปีเพิ่มขึ้นจาก 12% ในปี 2013 เป็น 16% ในปี 2023 ตามข้อมูลของ TransUnion ซึ่งบ่งชี้ว่าแทนที่จะลดการใช้จ่าย พวกเขากลับหันไปพึ่งพาหนี้สินรูปแบบใหม่เพื่อสนองความต้องการในการบริโภคมากขึ้นอ้างอิง Bloombergแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/world/1153920

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

สุขภาพ

สาววัย 17 ช็อก เป็นมะเร็งปากมดลูก แม่คิดว่าลูกเกเร ด่ากลาง รพ. ก่อนหมอเฉลยสาเหตุ

21/11/2024

เด็กสาววัย 17 เป็นมะเร็งปากมดลูก แม่คิดว่าลูกสาวออกนอกลู่ ด่ากลางลั่น รพ. กระทั่งหมอบอกความจริงที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้หลายคนเข้าใจผิดว่า การไม่เคยมีเพศสัมพันธ์จะทำให้ปลอดภัยจากไวรัส HPV และมะเร็งปากมดลูก แต่ในความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้นเลยเมื่อไม่นานมานี้ มีเรื่องราวที่สะเทือนใจของเด็กสาววัย 17 ปีชื่อ 'เสี่ยวเหมย' นักเรียนมัธยมหญิงในเมืองหนานจิง มณฑลเจียงซู ประเทศจีน เธอพบว่าตนเองป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะที่ 3 ทั้งที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อนอาการของเสี่ยวเหมยเริ่มต้นด้วยอาการปวดในอุ้งเชิงกรานเรื้อรัง มีประจำเดือนบ่อยถึง 3-4 ครั้งต่อเดือน และปวดท้องประจำเดือนรุนแรงจนลามไปถึงเอว ครอบครัวของเธอคิดว่าเป็นเพียงปัญหาประจำเดือนที่ผิดปกติหรืออาการเมื่อยล้าจากการเรียนหนักแต่ผลการวินิจฉัยจากแพทย์กลับเผยว่า เธอเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะที่ 3 ซึ่งก้อนเนื้อร้ายได้ลุกลามไปยังเนื้อเยื่อใกล้เคียง รวมถึงบริเวณอุ้งเชิงกราน ต่อมน้ำเหลือง และกดทับกระเพาะปัสสาวะและลำไส้ใหญ่ สร้างความตกใจและกังวลใจให้กับครอบครัวอย่างมากที่โรงพยาบาล แม่ของเสี่ยวเหมยระเบิดอารมณ์และตำหนิเธอเสียงดัง ด้วยความเชื่อว่าเธอประพฤติตัวไม่เหมาะสมและมีพฤติกรรมไม่ดีจนทำให้เกิดโรคร้ายนี้ เสี่ยวเหมยร้องไห้ออกมา พร้อมยืนยันว่า ชีวิตเธอมีแค่การเรียน อยู่แต่ในหอพักหญิง และกลับบ้านในวันหยุดสุดสัปดาห์ ไม่เคยมีแฟนและไม่เคยมีเพศสัมพันธ์เลยแพทย์ได้อธิบายว่า สาเหตุที่ทำให้เสี่ยวเหมยป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูกคือการติดเชื้อไวรัส HPV ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้แม้ในวัยเยาว์ และแม้ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อนก็ตามแพทย์เตือนถึงเส้นทางการติดเชื้อไวรัส HPV ที่นอกเหนือจากการมีเพศสัมพันธ์จากกรณีของเสี่ยวเหมย ศาสตราจารย์เฉียว โหย่วหลิน หัวหน้าภาควิชาสูตินรีเวช โรงพยาบาลประชาชนแห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ประเทศจีน ระบุว่า นี่ไม่ใช่กรณีที่เกิดขึ้นได้ยากศาสตราจารย์เฉียว อธิบายว่า ไวรัส HPV (Human Papillomavirus) เป็นกลุ่มไวรัสในตระกูล Papillomaviridae ซึ่งมีมากกว่า 200 สายพันธุ์ โดยบางสายพันธุ์ทำให้เกิดหูดตามผิวหนังหรือบริเวณอวัยวะเพศ ในขณะที่บางสายพันธุ์เชื่อมโยงกับการเกิดมะเร็ง เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องปากและลำคอ รวมถึงมะเร็งองคชาตและช่องคลอด สายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงในการทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกคือ HPV-16 และ HPV-18พร้อมเน้นย้ำว่า แม้ไวรัส HPV จะแพร่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์เป็นหลัก แต่ก็ไม่ใช่เส้นทางเดียว มันสามารถแพร่ผ่านการสัมผัสผิวหนังโดยตรง เช่น การกอด การจูบ หรือการสัมผัสบริเวณที่มีแผล และยังอาจแพร่ผ่านการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น ผ้าขนหนู แปรงสีฟัน หรือเสื้อผ้า รวมถึงการถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกระหว่างการคลอดอีกทั้งแม้จะเกิดขึ้นไม่บ่อย แต่ไวรัสนี้ยังสามารถแพร่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่สะอาด เช่น สระว่ายน้ำสาธารณะหรือห้องอาบน้ำสาธารณะนอกจากนี้ การติดเชื้อ HPV ไม่ได้หมายความว่าจะพัฒนาเป็นมะเร็งปากมดลูกในทันที กระบวนการจากการติดเชื้อจนถึงการเกิดมะเร็งอาจใช้เวลานานถึง 10-20 ปี กรณีของเสี่ยวเหมย แม้จะยังไม่ทราบสาเหตุการติดเชื้อที่แน่ชัด แต่พบว่าเธอติดเชื้อ HPV มาหลายปีแล้ว และมีความเสียหายก่อนเกิดมะเร็งที่ไม่ได้รับการสังเกต จนกระทั่งพบว่าก้อนเนื้อร้ายได้ลุกลาม การตัดมดลูกก็ไม่สามารถรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกต่อไปจากเรื่องราวของเสี่ยวเหมย ศาสตราจารย์เฉียวได้เตือนให้ตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพระบบสืบพันธุ์ โดยเฉพาะในผู้หญิง การป้องกันการติดเชื้อ HPV ควรรวมถึงการดำเนินชีวิตอย่างมีสุขภาพดี การเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน การดูแลสุขอนามัยในบริเวณจุดซ่อนเร้นอย่างถูกต้อง มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย และการฉีดวัคซีนป้องกัน HPVแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/news/9651338/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

เจาะลึกไฮไลท์งานศิลปะใน “DRIVEN” นิทรรศการและงานประมูลจาก The Art Auction Center

20/11/2024

สตาร์ทขุมพลังแรงขับเคลื่อนกับ “DRIVEN” นิทรรศการและการประมูลงานศิลปะจาก The Art Auction Centerเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับประสบการณ์สุดพิเศษในนิทรรศการและการประมูลผลงานศิลปะ “DRIVEN” โดย The Art Auction Center บริษัทประมูลศิลปะอันดับหนึ่งของไทย พบกับงานศิลปะทรงคุณค่าจากศิลปินชั้นนำของวงการจำนวน 133 ชิ้น ที่คุณจะได้ชื่นชมอย่างใกล้ชิดพร้อมนำชิ้นที่ใช่กลับไปเติมเต็มคอลเลคชั่นส่วนตัวพิเศษสุด! ผู้ร่วมงานจะได้สัมผัสกับสุดยอดยนตรกรรม โดย 911 Assistant ศูนย์บริการ Porsche ระดับแนวหน้าของประเทศ ได้นำรถหรูรุ่นพิเศษที่แสดงถึงดีไซน์อันประณีตและสมรรถนะที่เป็นเลิศมาจัดแสดงเคียงข้างกับงานศิลปะ“การจัดแสดงศิลปะและยนตรกรรมคู่กันในนิทรรศการ “DRIVEN” เป็นการผสมผสานที่แม้จะดูแตกต่าง แต่สามารถเชื่อมโยงกันได้อย่างลงตัว ด้วยต่างมีพลังดึงดูดใจในแบบของตัวเอง และสัมพันธ์กันด้วยความตั้งใจ ความประณีต และแรงบันดาลใจจากผู้สร้างในโอกาสนี้ ผู้ชมจะได้สัมผัสประสบการณ์ที่หลากหลาย ทั้งในแง่ของศิลปะและเทคโนโลยี ซึ่งช่วยสร้างแรงบันดาลใจและเปิดโลกทัศน์ใหม่ ๆ กับการได้พบค้นความงดงามที่ขยายขอบเขตออกไปมากกว่าผลงานศิลปะ และยังช่วยให้เราได้สัมผัสถึง 'แรงขับเคลื่อน' ซึ่งเป็นหัวใจของทั้งสองโลก” พิริยะ วัชจิตพันธ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง The Art Auction Center  กล่าวถึงความน่าสนใจของงานด้วยว่า ในการจุดเครื่องยนต์แห่งชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในงานศิลปะหรือยนตรกรรม ต่างล้วนเริ่มต้นด้วยประกายไฟ แรงขับที่ผลักดันเราไปข้างหน้าให้มุ่งสู่จุดหมายปลายทาง...’“DRIVEN” เปรียบดั่งพาหนะชั้นเยี่ยมที่จะนำพาทุกคนพุ่งทะยานไปสัมผัสประกายไฟแห่งพลังและจิตวิญญาณของศิลปินงานนี้นับเป็นโอกาสทองของทุกคนที่จะได้สัมผัสผลงานศิลปะชั้นเยี่ยมซึ่งหาชมได้ยากและร่วมการประมูลซึ่งจะเปิดโอกาสให้คุณได้ค้นหาและเป็นเจ้าของชิ้นงานซึ่งสะท้อนตัวตนอันเป็นเอกลักษณ์เจาะลึกไฮไลท์งานศิลปะใน “DRIVEN”ประเทือง เอมเจริญ “UNIVERSAL LOVERS / คู่รักจักรวาล” (ปี 2537) สีน้ำมันบนผ้าใบ‘ผลงานชิ้นนี้ถูกตีพิมพ์ในหนังสือ "จิตวิญญาณศิลปะ" เอกภพกว้างใหญ่มีถัดไปไร้สิ้นสุด ชั่วขณะที่ดวงดาวนับล้านกำลังสูญสลายแตกตับ บ้างระเบิดเพื่อก่อเกิดสายธารดาราใหม่ ท่ามกลางความอ้างว้างที่สสารกระจัดกระจายวุ่นวาย พลังของจักรวาลก็ดึงดูดเข้าหา นำพาคู่รักโคจรมาพบกัน ประเทือง ถ่ายทอดความงามของปรากฏการณ์นามธรรมนั้น ด้วยคู่สีจัดจ้าน รายละเอียดเส้นสายบรรจงขับเน้นพลังของดาวฤกษ์ที่ปลดปล่อยสู่กันและกัน หากเปรียบเป็นเส้นทางนับพันปีแสง ชีวิตมนุษย์นั้นยืนยาวเพียงแสงดาวตกที่คาดผ่านฟ้า แต่ในช่วงเวลาเพียงพริบตานั้น ความรักของเราได้พบพาน’ถวัลย์ ดัชนี “FISHING BOAT / ตังเก” (ปี 2510) สีน้ำมันบนผ้าใบ‘เส้นสายที่ชับซ้อนทรงพลังและสีโทนฟ้าสุขุมถ่ายทอดความเงียบสงบและความลึกลับของท้องทะเล ภาพกึ่งนามธรรมของเรือที่แสดงอยู่บนฉากหลังของสีเขียวและฟ้าตัดสลับกันอย่างนุ่มนวลอัดแน่นไปด้วยอารมณ์ การเล่นแสงและเงา ที่จับเอาจังหวะการเคลื่อนไหวของระลอกคลื่น ปาดป้ายด้วยเกรียงเรียงตัวสอดประสานในรูปร่างเรขาคณิตสไตล์คิวบิสก์ ผลงานชิ้นสำคัญนี้ถูกแขวนประตับ ณ ห้องอาหารขององค์กร JUSMAGTHAI ในช่วงระหว่างสงครามเวียดนาม นับเป็นผลงานหายากที่ได้รับอิทธิพลตะวันตกอย่างชัดเจน ในยุคที่ ถวัลย์ เพิ่งสำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ’ดำรง วงศ์อุปราช “GOLDEN MOUNT / ภูเขาทอง” (ปี 2504) สีน้ำมันบนแผ่นไม้‘ผลงานหายากชิ้นสำคัญของ ตำรง ที่ส่องประกายตังเพชรเม็ดงามชิ้นนี้ สร้างสรรค์ขึ้นในยุคที่ศิลปินชนะรางวัล ศิลปกรรมแห่งชาติ ภาพนี้สะท้อนรายละเอียดอันประณีต ผ่านองค์ประกอบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพื้นผิวลวดลายขัดสานของไม้ ลายแผ่นกระดานของฝาผนัง และพื้นผิววัสดุมุงหลังคา ที่ถูกวาดอย่างพิถีพิถันคงความสมจริง นำเสนอภาพภูเขาทอง ความงามของสถาปัตยกรรมบ้านเรือนและวิถีชีวิตอย่างไทยที่กลั่นผ่านห้วงความคิดของศิลปิน อาศัย มุมมองนำเสนอในแนวตั้งแบบศิลปะสมัยใหม่ สะท้อนความเชื่อมโยงของชีวิตและศรัทธาทางศาสนาที่ถูกรวมเข้าไว้ด้วยกัน’ถวัลย์ ดัชนี “ปลา” (ปี 2510) หมึกบนกระดาษ‘ห้วงเวลาสำคัญในชีวิตของถวัลย์ ดัชนี ที่ส่งผลต่อรูปแบบงานอันโด่งดังมากมาย คือช่วงที่ได้ไปศึกษาต่อ ณ กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์โดยได้รับทุนค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายพอประทังชีวิต แต่ก็ไม่สามารถกินอยู่หรูหรา การจะได้ลิ้มลองอาหารจานโตในภัตตาคารจึงเป็นไต้เพียงสิ่งเพ้อฝันแต่ด้วยต้นทุนฝีมือ จึงสามารถวาดโลกจากจินตนาการให้ออกมาเป็นภาพ สองมือแบแผ่ออกประหนึ่งแสดงตนว่าเป็นผู้ได้แหะเนื้อเถือหนังปลาบนจานให้เหลือเพียงกระดูก’ชาติชาย ปุยเปีย “UNTITLED” (ปี 2556) สีน้ำมันบนผ้าใบ‘ธรรมชาติ เวลา ฤดูกาลผันผ่าน ชีวิตมนุษย์เวียนวน ก่อกำเนิดบุรุษบรรจบแล้วดับหาย ชาติชาย ปุยเปีย ถ่ายทอดความสันโดษ การแสวงหาและตระหนัก รู้ของจิตภาวะภายใน สะท้อนความคิดและอารมณ์ในใจ แสดงความสงบออกผ่านสีหน้าและการใช้สีในงาน เหล่าผีเสื้อบินตอมดอมดม แทนสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงและเติบโตในมนุษย์ การเข้าใจ โอบรับและกลับคืนสู่สามัญนำมนุษย์หวนคืนสู่ธุลีดิน’จักรพันธุ์ โปษยกฤต “พระพุทธมหาปารมีนุภาพพิสุทธิ์อนุตตรสังคามวิชัย” (ปี 2553) “สมเด็จพระพุทธเมตตามหาบพิตร” (ปี 2557) “พระพุทธมหาวชิราวุธานุสรณ์” (ปี 2556) เรซิน‘พรสวรรค์ที่ครอบคลุมศิลปะแทบทุกแขนงของ จักรพันธุ์ เป็นที่ประจักษ์ต่อวงการศิลปะไทยปัจจุบันอย่างไร้ข้อกังขา ทั้งยังได้รับความไว้วางใจให้เป็น ผู้ออกแบบและตรวจการปั้นหล่อพระพุทธรูปในโอกาสสำคัญ 1) พระพุทธมหาปารมีนุภาพพิสุทธิ์อนุตตรสังคามวิชัย พระพุทธรูปปางมารวิชัย ออกแบบขึ้นเพื่อเป็นพระประธานในการแสดงหุ่นกระบอก เรื่อง "ตะเลงพ่าย" 2) สมเด็จพระพุทธเมตตามหาบพิตร พระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบบนฐานบัวออกแบบขึ้นในโอกาสพิเศษ ครบรอบ 80 ปีแห่งการสถาปนาคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 3) พระพุทธมหาวชิราวุธานุสรณ์ พระพุทธรูปปางสมาธิ ออกแบบขึ้นเนื่องในโอกาส 100 ปี โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย’มือบอญ “WHAAM!” (ปี 2565) สีอะคริลิก, สีกวอช, และสเปรย์เพ้นท์บนผ้าลินินผลงานชิ้นนี้ถูกจัดแสดงในนิทรรศการเดี่ยว "WHAAM!" ที่ Black Book Gallery เมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2565 ‘ผลงานชิ้นนี้วิพากษ์ศิลปะแนวป๊อปอาร์ตได้อย่างแยบยลในรูปแบบการ์ตูนคอมิกที่ดูสนุกสนาน ด้วยกองทัพนกน้อยแสนน่ารักทำหน้าที่เป็นกบฏทางปรัชญา ตั้งคำถามต่อแนวคิดการสร้างสรรค์ศิลปะร่วมสมัยในยุคแห่งการชื่นชมทางวัฒนธรรม การพิสูจน์ทราบแหล่งที่มาของความคิดในผลงานที่ใคร ๆ ก็เข้าถึงได้ หรือนี่จะเป็นเพียงการยืมมืออัตถิภาวนิยมเข้ามายกระดับภาพลักษณ์สิทธิบริโภคนิยม ติดป้ายให้เป็นศิลปะชั้นสูง แทนที่ข้อเท็จจริงด้วยความเชื่อศรัทธาสร้าง ความจริง อันบิดเมือนขึ้นมา มือบอญ อ้างอิงไอคอนของกระแสป๊อปอาร์ตลงในผลงาน ทั้งด้วยความยกย่องและตั้งคำถามไปพร้อมกัน’ทองไมย์ เทพราม “WHERE DID WE COME FROM? WHY WERE WE BORN? WHERE ARE WE GOING?” (ปี 2565) สีอะคริลิกและดินสอบนผ้าลินิน‘ผลงานจิตรกรรมร่วมสมัยขนาดใหญ่ของ ทองไมย์ นำเสนอการตั้งคำตามใคร่ครวญถึงชีวิต การเดินทางของตัวละครสรรพสัตว์ เอกลักษณ์การใช้สีสัน สดใส จัดจ้าน การแรเงาที่สร้างมิติรูปร่างให้ชัดเจนปรากฏในผลงาน อีกทั้งการนำหลักคิดทางพระพุทธศาสนาเป็นหัวใจในการสื่อสาร กล่าวถึงชีวิตที่ดำเนินไปตามวิถี เมื่อมีผู้ตื่นรู้และมีปัญญาเป็นแสงแห่งความรู้แจ้งนำทาง ย่อมมีผู้คนที่หลงย่ำเดินอยู่ในความมืด แต่เมื่อใดที่พวกเขาเลือกถอดผ้าผูกนั้นออก ตาของพวกเขาก็จะไม่มืดบอดอีกต่อไป’ก้องกาน - กันตภณ เมธีกุล “SHADE OF SUMMER” (ปี 2562) สีอะคริลิกบนผ้าใบ‘อดีต ปัจจุบัน และกาลข้างหน้าเป็นสายธารที่เชื่อมต่อกันมายาวนาน ก่อนที่มนุษย์จะรู้จักกับเวลา และจะดำเนินต่อไปเช่นนี้ แม้กาลอวสานจะมาถึง ในโลกที่หมุนอยู่ภายใต้กรอบของสังคมกดดันให้ชีวิตต้องดิ้นรนแข่งขัน แต่กฎของเวลาคือผู้กำหนดที่แท้จริง เพราะมนุษย์นั้นมีอดีตเป็นความทรงจำ ความจริงคือ ปัจจุบัน และความหวังอยู่ในอนาคต ก้องกาน นำเสนอแนวคิดด้วยลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์และสีสันของท้องฟ้าที่อบอุ่นใจ ผ่านตัวละครหญิงสาวที่พบเห็นได้ไม่บ่อยในงานของเขา’ประยูร อุลุชาฎะ “BOY/เด็กชาย” (ปี 2539) สีพาสเทลบนกระดาษ‘ปลายพู่กันจุดแต้มสีสันด้วยเทคนิค Pointillism (เทคนิคการสร้างสรรค์จิตรกรรมที่ใช้จุดเล็ก ๆ ต่างสีกันผสานอย่างกลมกลืน) สร้างมิติการรับรู้ภาพ ผ่านระยะต่าง ๆ ผสานความเป็นอิมเพรสชันนิสม์เข้ากับนามธรรมอย่างงดงาม ช่วยเสริมความเข้มข้นทางอารมณ์ให้กับภาพ พื้นหลังที่ดูเคลื่อนไหวอย่างเลือนรางราวกับภาพในความฝัน ระยิบระยับได้ด้วยแสงกระจัดกระจาย ผ่านปริซึม มีภาพเด็กชายแทนความเป็นจริงที่ทั้งเป็นส่วนหนึ่งแต่ก็แบ่งแยกออกจากโลกรอบตัว สะท้อนถึงความไร้เตียงสาของขวบปีที่เรื่องราวของ ชีวิตยังรอการเข้าใจ’ประหยัด พงษ์ดำ “LOY KRATONG (River Goddess Worship Ceremony) ลอยกระทง”กิตติ นารอด “LONDON BRIDGES”ทวี นันทขว้าง “BIRD OF PARADISE”ประเทือง เอมเจริญ “Natural Phenomenon / ปรากฎการณ์ธรรมชาติ”นอกจากนี้ยังมีผลงานศิลปะอันโดดเด่นจากศิลปินชั้นนำที่สะท้อนเอกลักษณ์และมุมมองเฉพาะตัว ที่น่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็น สมโภชน์  อุปอินทร์ กับงาน “TRIO”, ประเทือง เอมเจริญ “Natural Phenomenon / ปรากฎการณ์ธรรมชาติ”, กิตติ นารอด “LONDON BRIDGES”, ประหยัด พงษ์ดำ “LOY KRATONG (River Goddess Worship Ceremony) ลอยกระทง”, ทวี นันทขว้าง “BIRD OF PARADISE” ฯลฯสมโภชน์ อุปอินทร์ กับงาน “TRIO”ทุกผลงานเปี่ยมไปด้วยความหมายและเรื่องราวที่น่าค้นหา รอให้ผู้ชมได้มาสัมผัสและสำรวจอย่างใกล้ชิด“DRIVEN”  •  นิทรรศการ “DRIVEN” เปิดให้ชมระหว่างวันที่ 21-24 พฤศจิกายน 2567 เวลา 11.00 – 19.00 น. ที่ ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก, RCB Artery (ชั้น 1) และ ห้อง RCB Galleria 4 (ชั้น 2)  •  และการประมูลผลงาน จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน 2567 เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป ที่ ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อกแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.sanook.com/travel/1450059/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

กรมชลประทาน ชวนเช็กอินเขื่อนภาคเหนือ ฟินรับหน้าหนาว

20/11/2024

ปักหมุดไว้เลย! "กรมชลประทาน" ชวนเช็กอิน 3 เขื่อนภาคเหนือ สัมผัสธรรมชาติ สูดอากาศบริสุทธิ์ และดื่มด่ำกับวิวสวย ๆ ริมเขื่อน ท่ามกลางบรรยากาศสุดฟินในช่วงปลายปีนี้ใครกำลังมองหา ที่เที่ยวหน้าหนาว ทาง "กรมชลประทาน" ชวนเช็กอิน 3 เขื่อนภาคเหนือ ที่อยากไปให้ฟินในช่วง ฤดูหนาว ปลายปี ส่วนจะมีที่ไหนบ้าง ไปดูกัน  •  เขื่อนแม่สรวย อ.แม่สรวย จ.เชียงราย แหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจของชาวแม่สรวย รับลมชมวิวธรรมชาติ ต้นไม้ ท้องฟ้า ภูเขา แม่น้ำ พร้อมบริการร้านอาหารและร้านกาแฟ ครบจบในที่เดียว โดยเขื่อนแห่งนี้สามารถส่งน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคและการเกษตรในฤดูแล้งให้กับพื้นที่ชลประทานโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่ลาวได้เกือบหนึ่งแสนไร่ ปัจจุบันมีปริมาณเก็บกักน้ำรวมประมาณ 65 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 90 ของความจุอ่างฯ  •  เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ จุดเช็กอินกลางหุบเขาที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจไปกับบรรยากาศธรรมชาติ สวย สงบ อันซีนไปกับวิวพระอาทิตย์ตกดินสุดโรแมนติก ถูกใจสายธรรมชาติ โดยเขื่อนแห่งนี้เป็นเขื่อนขนาดใหญ่ มีความจุอยู่ที่ 265 ล้าน ลบ.ม. ส่งน้ำสนับสนุนพื้นที่ท้ายอ่างเก็บน้ำและพื้นที่การเกษตรได้กว่า 180,000 ไร่ เรียกได้ว่าเป็นที่มาแห่งความอุดมสมบูรณ์ของชาวแม่แตง  •  เขื่อนแม่กวงอุดมธารา อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ แหล่งท่องเที่ยวห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่เพียง 30 นาที ไฮไลต์สำคัญคือ "สะพานแขวนเชื่อมใจ" ที่สามารถเดินถ่ายรูปพร้อมชมวิวเขื่อนที่รายล้อมด้วยขุนเขาแบบ 360 องศา หรือจะตั้งแคมป์ รับลมหนาว ก็ได้ฟีลเต็มสิบ ปัจจุบันมีปริมาณน้ำประมาณ 209 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 80 ของความจุอ่างฯ ส่งน้ำสนับสนุนให้กับพื้นที่ท้ายน้ำได้อย่างเพียงพอตลอดทั้งปีในช่วงฤดูหนาวปลายปีนี้ กรมชลประทาน จึงขอเชิญชวนประชาชนและนักท่องเที่ยว แวะมาสัมผัสความสวยงามของ เขื่อนภาคเหนือ ท่ามกลางธรรมชาติและบรรยากาศสุดฟินแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/corporate-moves/lifestyle/travel/1151833

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย คว้ารางวัลดีเด่นด้านกิจการเพื่อสังคม จากแคมเปญสภาหอการค้าอเมริกัน(AMCHAM Corporate Social Impact Award) ระดับ Platinum เป็นปีที่ 13 ติดต่อกันจากโครงการ “เอไอเอ แชร์ริ่ง อะ ไลฟ์” ครั้งที่ 11

20/11/2024

เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ เป็นตัวแทนรับรางวัล “บริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมดีเด่น ประจำปี 2567” หรือ “2024 AMCHAM Corporate Social Impact Award 2024” ระดับ Platinum จากความสำเร็จของโครงการ “เอไอเอ แชร์ริ่ง อะ ไลฟ์” (AIA Sharing A Life) ครั้งที่ 11 หรือวันทำดีร่วมกันของชาวเอไอเอ ซึ่งรางวัลดังกล่าวจัดขึ้นโดยสภาหอการค้าอเมริกันแห่งประเทศไทย (The American Chamber of Commerce in Thailand: AMCHAM) ในงานได้รับเกียรติจาก นายโรเบิร์ต โกเดค เอกอัครราชทูตประจำสถานทูตอเมริกาในประเทศไทย และนาย Simon Denye, AMCHAM Board Governor เป็นประธานมอบรางวัลในพิธี ณ โรงแรม อวานี พลัส ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ สำหรับโครงการ “เอไอเอ แชร์ริ่ง อะ ไลฟ์” ครั้งที่ 11 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “For Better Health” ด้วยการมอบบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ให้แก่ประชาชนและผู้ด้อยโอกาสโดยไม่มีค่าใช้จ่ายจำนวนทั้งสิ้น 10,000 เข็ม ใน 11 แห่งทั่วประเทศ โดยได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรชั้นนำ ได้แก่ โรงพยาบาลในเครือ BDMS และซาโนฟี่ บริษัทชั้นนำด้านสุขภาพระดับโลก และแรงสนับสนุนจากเพื่อนพนักงาน พลังตัวแทน รวมถึงประชาชนในชุมชนต่าง ๆ ในการขับเคลื่อนกิจกรรมในครั้งนี้จนประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยมสำหรับรางวัล “บริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมดีเด่น” หรือ AMCHAM Corporate Social Impact Award 2024 นี้ นับเป็นรางวัลอันทรงคุณค่า ซึ่งเอไอเอ ประเทศไทย ได้รับติดต่อกันต่อเนื่องมาเป็นเวลา 13 ปี จากการเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโดยยึดหลัก ESG โดยมุ่งรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และบรรษัทภิบาล มาตลอดระยะเวลากว่า 86 ปีในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ตลอดจนยังมีการส่งเสริมด้านกิจกรรมเพื่อตอบแทนสังคมไทยมาอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำในด้านการดูแลสุขภาพเพื่อสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจ AIA One Billion ที่เอไอเอมุ่งสนับสนุนผู้คนกว่าหนึ่งพันล้านคนทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ภายในปี 2573

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

เปิดสเต็ปค้นหาเงิน 3 ก้อน “เกษียณสุข” Gen Z – Gen Y ลืมให้ความสำคัญ

19/11/2024

บทความโดย "กชจุฑา เพียรวนิช" นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทยคำว่าเกษียณอาจฟังดูไกลตัวสำหรับคน GEN Z (เกิด พ.ศ.2540-2565) หรือ GEN Y (เกิด พ.ศ. 2523-2540)  แต่อาจใกล้ตัวสำหรับคน GEN X (เกิด พ.ศ. 2508-2522) จนหลาย ๆ คนลืมให้ความสำคัญในการวางแผนเกษียณเกษียณไม่จำเป็นต้องเป็นคนแก่หรือคนอายุ 60 ปี แต่จริง ๆ แล้ว การเกษียณ หมายถึง “วันที่คุณเป็นอิสระ” อิสระจากความกังวลเรื่องเงิน อิสระจากการทำงานประจำ อิสระที่จะเลือกใช้ชีวิตในแบบที่คุณต้องการ อิสระในการเลือกมีช่วงเวลาดีดีให้กับครอบครัวและเพื่อนดังนั้นถ้าคุณมองเรื่องอิสระที่จะควบคุมชีวิตตัวเองได้ คุณควรเริ่มวางแผนเกษียณตั้งแต่ตอนนี้ เพราะการวางแผนเกษียณต้องใช้เวลาใช้ความสม่ำเสมอในการเก็บเงินและลงทุนอย่างถูกต้อง เพื่อสร้างกระแสเงินสดหรือรายได้ในอนาคตให้กับคุณคุณสามารถเริ่มวางแผนเกษียณด้วยหลักการง่าย ๆ ที่คุณสามารถจัดสรรเงินได้เอง ด้วยวิธีหาเงิน 3 ก้อน คือ อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต  •  ก้อนที่ 1: เงินในอดีตคือเงินเก็บที่ผ่านมารวบรวมเงินออม เงินลงทุน ทรัพย์สินทั้งหมดที่คุณมี เช่น เงินฝากธนาคาร กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หุ้น หุ้นกู้ กองทุนรวม สลากออมสิน ทองคำ บ้าน ที่ดิน เป็นต้น เพื่อเตรียมไปคำนวณเงินในอนาคตสำหรับเกษียณ  •  ก้อนที่ 2: เงินในอนาคตคือเงินก้อนที่ใช้หลังเกษียณตอบคำถามตัวเอง 3 ข้อนี้ให้ได้ก่อน1. ต้องการเกษียณ (อิสระ) อายุเท่าไร2. คุณอยากมีเงินใช้หลังเกษียณต่อเดือนเท่าไร? และ3. อายุที่คุณคาดว่าจะจากโลกนี้ไปการประเมินเงินใช้หลังเกษียณมี 2 วิธี 1. ประเมินจากรายได้ในปัจจุบัน หรือ 2. ประเมินจากค่าใช้จ่าย แต่อย่างไรก็ตามถ้าคุณอายุน้อยหรืออยู่ในวัย GEN Z  การใช้รายได้ในปัจจุบันประเมินอาจไม่สมเหตุสมผล เพราะไม่รู้ว่าในอนาคตอีกยาวไกล รายได้เพิ่มมากขึ้นน้อยลง ดังนั้นผู้เขียนแนะนำให้คาดการณ์เงินใช้หลังเกษียณ จากระดับค่าใช้จ่ายในปัจจุบันจะเหมาะสมกว่าประเมินจากค่าใช้จ่ายจำเป็น เช่น อาหาร เดินทาง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าซ่อมรถ ซ่อมบ้าน และประกันสุขภาพ เป็นต้น รวมกับค่าใช้จ่ายผันแปร เช่น ค่าช็อปปิง ท่องเที่ยว หรือค่าใช้จ่ายตามไลฟ์สไตล์ของคุณ เป็นต้น  •  ก้อนที่ 3: เงินปัจจุบันคือ ความสามารถในการเก็บออมจากรายได้ของคุณในปัจจุบันเงินที่คุณสามารถแบ่งมาวางแผนเกษียณอย่างน้อย 15% ของรายได้ก่อนเสียภาษี เพื่อให้ถึงเป้าหมายตามก้อนที่ 2ตัวอย่าง คุณโฟกัส สาวโสดอายุ 40 ปี ทำธุรกิจส่วนตัวรายได้เฉลี่ยประมาณ 120,000 บาทต่อเดือน ค่าใช้จ่ายปัจจุบัน70,000 บาทต่อเดือน คุณโฟกัสต้องเกษียณอายุตอน 55 ปี และต้องการมีเงินใช้หลังเกษียณเดือนละ 50,000 บาทจนถึงอายุ 90 ปี   •  เริ่มต้นหาเงินก้อนที่ 1: เงินเก็บในอดีต คุณโฟกัส มีเงินเก็บฉุกเฉิน 600,000 บาท เงินเก็บในกองทุนรวมและสลากออมสิน 1,500,000 บาท  •  ก้อนที่ 2: เงินก้อนที่ใช้หลังเกษียณ คำนวณหาเงินก้อนที่ต้องมี ณ วันเกษียณ ปัจจุบันอายุ 40 ปี เกษียณ 55 ปี มีเวลาเก็บเงิน 15 ปี รายได้ที่ต้องการ 50,000 บาท/เดือนหรือ 600,000 บาท/ปี และใช้เงินก้อนนี้เป็นเวลา 35 ปี (อายุ 55 – 90 ปี)คำนวณหารายได้หลังเกษียณเงินก้อนที่คุณโฟกัสต้องมี ณ อายุ 55 ปี คือ 600,000 บาท x 35 ปี = 21 ล้านบาท เงินก้อนนี้ไม่ได้คำนวณเงินเฟ้อเข้าไปด้วย ถ้าคำนวณเงินเฟ้อที่ 3% ต่อปี จำนวนเงินที่โฟกัสต้องเก็บเท่ากับ 27,771,992 บาท  •  ก้อนที่ 3: เงินปัจจุบันใช้สำหรับวางแผนเกษียณคุณโฟกัสคำนวณเงินเกษียณที่ต้องมีคือ 21 ล้านบาท ต้องวางแผนเก็บเงินให้ได้ตามนี้ ลำดับแรกดูเงินที่เตรียมเก็บไว้อยู่แล้ว เงินก้อนที่ 1 = 1,500,000 บาท (ไม่รวมเงินฉุกเฉิน) นำเงิน 1.5 ล้านบาทไปลงทุนในกองทุนได้รับผลตอบแทนเฉลี่ย 5% ต่อปี ลงทุนเป็นเวลา 15 ปี เงินลงทุนเติบโตเท่ากับ 3.1 ล้านโดยประมาณดังนั้นเงินที่ต้องคำนวณเก็บเพิ่ม = เงินก้อนที่ 2 (อนาคต) – เงินก้อนที่ 1(อดีต)= 21 ล้านบาท หัก 3.1 ล้านบาท  เท่ากับประมาณ 17.8 ล้านบาท(ขอประมาณตัวเลขกลมๆ ที่ 18 ล้านบาท เพื่อง่ายต่อการคำนวณ)ดังนั้นคุณโฟกัสต้องเก็บเงินเพิ่มปีละ 1ล้าน 2 แสนบาทโดยประมาณหรือ เดือนละ 100,000 บาท เป็นเวลา 15 ปี (อายุ 40-55 ปี) เพื่อจะมีเงินก้อนเกษียณ 18 ล้านบาท จากตัวเลขเก็บเงิน 100,000 บาท/เดือน (เท่ากับ 83% ของรายได้) เป็นตัวเลขที่สูงเกินกว่าที่คุณโฟกัสจะสามารถเก็บออมได้ คุณโฟกัสสามารถปรับเปลี่ยนแผนเกษียณใหม่ ได้ 3 ทางเลือก คือ1. เลื่อนอายุเกษียณออกไป หรือ2. นำเงินเก็บไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนเพิ่มมากกว่าเดิม3. เลื่อนอายุเกษียณออกไปและหาผลตอบแทนการลงทุนเพิ่มด้วย  •  ทางเลือก 1: เลื่อนอายุเกษียณจาก 55 ปีเป็น 60 ปี  เงินก้อนที่ต้องใช้หลังเกษียณ เท่ากับ 600,000 x 30 = 18,000,000 บาทหักเงินออมที่มี (1,500,000 บาทลงทุน 5% ต่อปี ระยะเวลา 20 ปี) เท่ากับ 3.9 ล้านบาทเหลือเงินที่ต้องออมเพิ่ม เท่ากับประมาณ 14 ล้านบาท ดังนั้นคุณโฟกัสต้องเก็บเงินเพิ่มประมาณ 7 แสนบาท/ปี หรือเดือนละ58,416 บาท เป็นเวลา 20 ปี (อายุ 40-60 ปี) เพื่อจะมีเงินก้อนเกษียณ 14,020,054 บาท  •  ทางเลือก 2: เกษียณอายุ 55 ปีเหมือนเดิม แต่ต้องนำเงินเก็บไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนเพิ่มเงินออมที่ต้องเก็บเพิ่ม 18 ล้านบาท เก็บเงินเป็นเวลา 15 ปี (อายุ 40-55 ปี) นำเงินออมไปลงทุนได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7% ต่อปี คุณโฟกัสจะต้องเก็บเงินปีละประมาณ  6 แสนบาท/ปี หรือเดือนละ 55,786 บาทจะเห็นว่ายิ่งหาผลตอบแทนจากการลงทุนได้มากขึ้น จะทำให้เก็บเงินต่อเดือนน้อยลง ในทางตรงกันข้ามถ้าหาผลตอบแทนได้น้อยก็ต้องเก็บเงินต่อเดือนมากขึ้น  •  ทางเลือกที่ 3: เลื่อนอายุเกษียณเป็น 60 ปีและนำเงินเก็บไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนเพิ่มเงินออมที่ต้องเก็บเพิ่มประมาณ 14 ล้านบาท เก็บเงินเป็นเวลา 20 ปี (อายุ 40-60 ปี) นำเงินออมไปลงทุนได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7% ต่อปี คุณโฟกัสจะต้องเก็บเงิน ปีละสามแสนบาทโดยประมาณ หรือเดือนละ 26,634 บาทจากแผนเกษียณของนางสาวโฟกัสจะทำให้คุณพบว่าปัจจัยสำคัญในการวางแผนเกษียณมี 3 อย่างคือ1. จำนวณเงินเก็บรายเดือนหรือรายปี (เงินต้น)2. ระยะเวลาการลงทุน3. ผลตอบแทนจากการลงทุนปัจจัยทั้ง 3 มีผลต่อเงินก้อนสำหรับการเกษียณทั้งสิ้น เช่น ถ้าจำนวนเงินเก็บเท่ากัน การลงทุนระยะเวลานานกว่าและหาผลตอบแทนได้มากกว่าเงินเติบโตมากกว่า  หรือ ระยะเวลาลงทุนเท่ากัน จำนวนเงินเก็บและผลตอบแทนสูงจะทำให้เงินเติบโตมากกว่า เป็นต้นดังนั้นไม่ว่าตอนนี้คุณจะอายุเท่าไหร่ ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการเริ่มต้นวางแผนเกษียณ ขอให้คุณเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้เพราะความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้เสมอในชีวิต ไม่แน่ว่า งานที่คุณทำวันนี้อาจจะหายไปในวันพรุ่งนี้หรือคุณอาจเจ็บป่วยกะทันหัน ดังนั้นวางแผนเกษียณตามที่คุณต้องการ ดีกว่าเกษียณด้วยความจำเป็นเพราะมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดบังคับให้คุณต้องเกษียณแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1688538

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

พี่ (ว่า) ดี...คู่ซี้ “ประกันชีวิต” !!!

19/11/2024

“โห  โชคดีมากเลยนะพี่ ที่รอดมาได้” “คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองนะพี่” “ถือว่าฟาดเคราะห์ไปนะครับ” ฯลฯหลากหลายประโยคที่ให้กำลังใจผู้ป่วย ผู้ซึ่งเพิ่งผ่านพ้นวิกฤติรุนแรงในชีวิต ไม่ว่าจากอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วย แม้โชคดีที่รอดชีวิตมาได้ แต่อาจโชคร้ายที่ต้องกลายเป็นบุคคลทุพพลภาพ และใช้ชีวิตไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป  ลองจินตนาการดูว่า หากต้องอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ จะรับมืออย่างไร เช่น การจัดสรรผู้ที่มาดูแลผู้ป่วย ค่าใช้จ่ายต่างๆ ซึ่งประเด็นเหล่านี้หลายคนอาจไม่เคยนึกถึง เพราะดูเหมือนเป็นเรื่องที่ไกลตัว“หลายท่านที่ทำ ‘ประกันชีวิต’ จดจำได้แต่เพียงว่ามีทุนประกันชีวิตเท่าไหร่ แต่ไม่คุ้นกับสัญญาเพิ่มเติมประกันทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ดังนั้น หากเปิดกรมธรรม์ แล้วพบสัญญาแนบท้ายกรมธรรม์นี้ อาจจะเป็นความหวังดีของตัวแทนขาย ที่แนบสัญญานี้เพิ่มเข้าไป เนื่องจากเบี้ยประกันไม่สูงมากนักหรือบางแบบประกัน แถมสัญญาเพิ่มเติมนี้ฟรีด้วย โดยสัญญาเพิ่มเติมต่างๆ ที่แนบกับประกันชีวิต จะเป็นสัญญาปีต่อปี สามารถแจ้งยกเลิกสัญญาเพิ่มเติมในภายหลังได้” “ทุพพลภาพ” อ่านว่า ทุบ-พน-ละ-พาบ ตามความหมายในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554  หมายถึง หย่อนกำลังความสามารถที่จะประกอบการงานได้ตามปรกติ“ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง” คือ ไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปรกติอย่างสิ้นเชิง“ประกันภัยทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง” หรือ “TPD” (Total Permanent Disability) เป็นสัญญาประกันภัยเพิ่มเติม (Rider) ที่สามารถซื้อแนบกับสัญญาประกันชีวิต  ซึ่งผู้เอาประกันจะซื้อเพิ่มเติม หรือไม่ก็ได้โดยบริษัทประกันจะจ่ายเงินตามจำนวนเงินเอาประกันของสัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง  ให้แก่ผู้เอาประกันภัย แยกเป็น 2 กรณี คือ1. กรณีผู้เอาประกันภัยตกเป็นบุคคลทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง อันเป็นผลมาจากการบาดเจ็บหรือการเจ็บป่วย ซึ่งการบาดเจ็บหรือการเจ็บป่วยนั้น ทำให้ผู้เอาประกันภัย ไม่สามารถประกอบหน้าที่การงานในอาชีพใดๆ ได้โดยสิ้นเชิง และการทุพพลภาพนั้นต้องเป็นต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่า 180 วัน นับตั้งแต่วันที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นบุคคลทุพพลภาพ และการบาดเจ็บหรือการเจ็บป่วยนั้น ไม่สามารถรักษาให้หายเป็นปกติและทำให้ผู้เอาประกันภัย ไม่สามารถประกอบหน้าที่การงานในอาชีพใดๆ ได้โดยสิ้นเชิงตลอดไป2. กรณีผู้เอาประกันภัยสูญเสียอวัยวะ ตามเงื่อนไข ดังต่อไปนี้1. สูญเสียสายตาทั้งสองข้าง และไม่สามารถรักษาให้หายเป็นปกติได้2. สูญเสียมือ สองข้าง หรือ เท้าสองข้าง หรือ มือหนึ่งข้างและ เท้าหนึ่งข้าง โดยการตัดออกตั้งแต่ข้อมือหรือข้อเท้า3. สูญเสียสายตา หนึ่งข้าง และไม่สามารถรักษาให้หายเป็นปกติได้ และสูญเสียมือหรือเท้า ข้างหนึ่ง โดยการตัดออกตั้งแต่ข้อมือหรือข้อเท้า (ที่มา: บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต)ตัวอย่าง นายเอ  ทำประกันชีวิตด้วยทุนประกัน  2 ล้านบาท และซื้อสัญญาเพิ่มเติมทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ด้วยทุนประกัน 2 ล้านบาท ต่อมานายเอ ประสบอุบัติเหตุ จนต้องสูญเสียมือทั้งสองข้างตั้งแต่ข้อมือ สามารถเคลมสินไหม ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงได้ 2 ล้านบาทนาย บี  ทำประกันชีวิตด้วยทุนประกัน 1 ล้านบาท ซื้อประกันภัยโรคร้ายแรง 2 ล้านบาท ซื้อสัญญาเพิ่มเติมทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 1 ล้านบาท ต่อมานายบีตรวจพบว่าเป็นมะเร็งที่สมอง ระยะรุนแรง และได้ทำการผ่าตัดแล้ว แต่ผลจากการผ่าตัด ทำให้ต้องเป็น อัมพาต นอนติดเตียง เป็นระยะเวลาเกิน 180 วัน    “กรณีของนายบี เคลมสินไหมโรคร้ายแรงได้ 2 ล้านบาท และต่อมา เคลมสินไหมทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงได้อีก 1 ล้านบาทสัญญาเพิ่มเติมโรคร้ายแรงและ สัญญาเพิ่มเติมทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ทั้งสองสัญญาเป็นอันยุติความคุ้มครอง ไม่ต้องชำระเบี้ยต่ออายุประกันอีกต่อไป เหลือเพียงเบี้ยประกันชีวิต ที่คนในครอบครัว ชำระเบี้ยต่ออายุประกันชีวิต หากนายบีเสียชีวิตในเวลาต่อมา สามารถเคลมสินไหมเสียชีวิตได้ 1 ล้านบาท”(หากซื้อสัญญาเพิ่มเติม ยกเว้นเบี้ยประกันชีวิต (WP; wave premium) ก็ไม่ต้องชำระเบี้ยประกันชีวิต)จะเห็นได้ว่า กรณีเจ็บป่วยหรือประสบอุบัติเหตุ ถ้าโชคดีที่ไม่เสียชีวิต แต่หากโชคร้าย ที่ต้องกลายเป็นบุคคลทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  ต้องพึ่งพาบุคคลในครอบครัวช่วยเหลือดูแล หรือบางครอบครัว ต้องจ้างบุคคลภายนอกมาดูแล มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ซึ่งค่าใช้จ่ายนี้ จะดำเนินต่อไปจนกว่าจะเสียชีวิตกันเลยทีเดียว หากมีโอกาสได้ตัดสินใจทำประกันชีวิตแล้ว แนะนำว่า ควรซื้อสัญญาเพิ่มเติมทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงแนบเข้าไปด้วย ซึ่งเบี้ยประกันภัยทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง (TPD) นั้นไม่ได้สูงมากนัก (ที่มา: บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต)ดังตัวอย่างต่อไปนี้เพศชาย อายุ 25 ปี เบี้ยประกันทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ทุนประกัน 2 ล้านบาท =960 บาทต่อปีเพศชาย อายุ 35 ปี  เบี้ยประกันทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ทุนประกัน 2 ล้านบาท = 960 บาทต่อปีเพศชาย อายุ 45 ปี  เบี้ยประกันทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ทุนประกัน 2 ล้านบาท =1,280 บาทต่อปีเพศชาย อายุ 55 ปี เบี้ยประกันทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ทุนประกัน  2 ล้านบาท =2,400 บาทต่อปีเพศหญิง อายุ 25 ปี เบี้ยประกันทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ทุนประกัน 2 ล้านบาท =260 บาทต่อปีเพศหญิง อายุ 35 ปี เบี้ยประกันทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ทุนประกัน  2 ล้านบาท = 360 บาทต่อปีเพศหญิง อายุ 45 ปี เบี้ยประกันทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ทุนประกัน  2 ล้านบาท =640 บาทต่อปีเพศหญิง อายุ 55 ปี เบี้ยประกันทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ทุนประกัน 2 ล้านบาท =1,540 บาทต่อปีสำหรับ “ความคุ้มครอง” และ “ข้อยกเว้นความคุ้มครอง” ของแต่ละบริษัทประกันก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกัน ซึ่งสามารถศึกษารายละเอียดก่อนทำประกัน กับ “นักวางแผนประกันชีวิต” ได้ ดังนั้น หากมีโอกาส “วางแผนทำประกันชีวิต” อย่าลืมเพิ่มสัญญาเพิ่มเติม “ประกันภัยทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง” (TPD) ด้วยแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ wealthythaihttps://www.wealthythai.com/en/updates/wealth-management/wealth-ez/23469

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

ชวนชมนิทรรศการภาพวาด “BAILEMOS" ผสานวัฒนธรรมไทยและโคลอมเบีย

19/11/2024

หากชื่นชอบศิลปะภาพวาดและการผสานวัฒนธรรม ไม่ควรพลาดงานนิทรรศการ “BAILEMOS" จากฝีมือการสร้างสรรค์ของ David Rodriguez (เดวิด โรดริเกซ) ศิลปินลูกครึ่งโคลอมเบีย-ฝรั่งเศส ซึ่งจัดโดยสถานเอกอัครราชทูตโคลอมเบียประจำประเทศไทย ร่วมกับกลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ เพื่อสานสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมระหว่างประเทศไทยและโคลอมเบีย ผ่านภาพเขียนที่เต็มไปด้วยการผสมผสานทางวัฒนธรรม ตั้งแต่วันนี้ถึง 24 พฤศจิกายน 2567 ณ Art Exhibition Space ชั้น 5 สยามดิสคัฟเวอรี่ ดิเอ็กซ์พลอราทอเรียมนิทรรศการ BAILEMOS เป็นโปรเจกต์งานศิลปะของศิลปินชื่อดัง David Rodriguez ที่มีความโดดเด่นในเรื่องของการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ผ่านผลงานภาพวาดที่สะท้อนถึงเรื่องราวของการผสมผสานความรุ่มรวยของวัฒนธรรมไทยเข้ากับวัฒนธรรมโคลอมเบียDavid Rodriguez (เดวิด โรดริเกซ) ศิลปินลูกครึ่งโคลอมเบีย-ฝรั่งเศสโดยการนำความงดงามของนาฏศิลป์ไทย อย่างรำไทย และโขน มาผสมผสานกับการเต้นรำอันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของโคลอมเบีย ออกมาเป็นผลงานภาพวาดล่าสุดที่นำมาจัดแสดงเป็นครั้งแรก ที่สะท้อนผ่านการสร้างสรรค์ที่ศิลปินสะท้อนให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวอย่างมีจังหวะของการร่ายรำนั้นไม่แตกต่างจากลายเส้นของภาพวาดบนผืนผ้าใบที่ต่างทิ้งร่องรอยของสีสันและรูปทรงอันสดใสไว้เบื้องหลัง เมื่อลายเส้นและรูปทรงหลอมรวมกันคือจังหวะของการเต้นรำ โดยมีองค์ประกอบที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม และที่สุดแล้ว BAILEMOS คือการเคลื่อนไหวอย่างรื่นเริง เป็นการแสดงออกที่เต็มไปด้วยพลังแห่งความมีชีวิตชีวาของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม และประสบการณ์ของศิลปินนอกจากนั้นยังมีผลงานภาพวาดอันเป็นผลงานศิลปะที่นำพาให้ David ได้เดินทางไปจัดแสดงนิทรรศการมาแล้วทั่วโลก ซึ่งเป็นผลงานที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขันและความอยากรู้อยากเห็นที่นำไปสู่การตั้งคำถามเชิงลึกเกี่ยวกับการสำรวจตนเองและการแสดงตัวตนของมนุษย์ภายในงานเปิด David ยังได้โชว์ Live Painting ยกสตูดิโอจัดแสดงการวาดภาพผสมผสานทางวัฒนธรรมสุดพิเศษให้แขกที่มาร่วมงานได้ชมอย่างใกล้ชิด ร่วมสัมผัสประสบการณ์การถ่ายทอดเรื่องราวที่เต็มไปด้วยการผสมผสานความงดงามทางวัฒนธรรมของไทยและโคลอมเบียด้วยผลงานภาพวาดอันทรงคุณค่าในงานนิทรรศการ BAILEMOS ได้ในวันที่ 14-24 พฤศจิกายน 2567 ณ Art Exhibition Space ชั้น 5 สยามดิสคัฟเวอรี่ ดิเอ็กซ์พลอราทอเรียมแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2826238

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

ฝูงนกฟลามิงโกแห่งทะเลสาบ “ลาร์นาคา” ไซปรัส

19/11/2024

ทะเลสาบลาร์นาคา หรือ ลาร์นากา (Larnaka, Larnaca) เป็นทะเลสาบน้ำเค็มขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในประเทศไซปรัส ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองลาร์นาคา ครอบคลุมพื้นที่ราว 2.2 ตารางกิโลเมตรภาพ: สำนักข่าวซินหัวความสำคัญของทะเลแห่งนี้ ได้รับการประกาศให้เป็นพื้นที่คุ้มครองภายใต้กฎหมายไซปรัสเพื่อการคุ้มครองและการจัดการธรรมชาติและสัตว์ป่า และภายใต้คำสั่งที่อยู่อาศัยของยุโรป ในปี ค.ศ. 1997ทะเลสาบลาร์นาคา จึงนับเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่สำคัญอีกแห่งของยุโรป เป็นหนึ่งในแหล่งที่อยู่อาศัยสำหรับนกน้ำ นานาชนิดภาพ: สำนักข่าวซินหัวในช่วงฤดูหนาว ทะเลสาบจะเต็มไปด้วยน้ำและเป็นที่อยู่อาศัยของบรรดานกอพยพ รวมถึง “นกฟลามิงโก” จำนวนหลายพันตัวที่จะมาอาศัยอยู่ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคม พร้อมด้วยเป็ดป่าและนกน้ำชายฝั่งอื่นๆภาพ: สำนักข่าวซินหัวองค์ประกอบพื้นฐานที่สุดของห่วงโซ่อาหารในระบบนิเวศของทะเลสาบ คือ กุ้งน้ำเค็มขนาดเล็ก ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก จนกระทั่งเมื่อนกฟลามิงโกและนกน้ำอื่นๆ ไม่สามารถหากุ้งเจอได้ พวกมันจะอพยพและเดินทางต่อไปยังทะเลสาบแห่งอื่นแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000110371

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

การทำงาน

ผลสำรวจเผย Gen Z น่ารำคาญที่สุดในที่ทำงาน แต่ก็คิดสร้างสรรค์กว่ารุ่นก่อน

19/11/2024

  •  เพื่อนร่วมงาน 29% มองชาว Gen Z เป็นคนที่น่ารำคาญที่สุดในการทำงาน โดย 3 อันดับแรกของลักษณะที่น่ารำคาญของวัยทำงานรุ่นนี้คือ ขาดจรรยาบรรณ พฤติกรรมขี้บ่น และการเรียกร้องสิทธิ  •  แต่ไม่ใช่ผู้ใหญ่ทุกคนที่มองวัยทำงานรุ่นใหม่เป็นแบบนั้น มีคนออกมาโต้แย้งว่า คนรุ่นใหม่ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป พวกเขาไม่ใช่คนเกียจคร้าน แต่มีวิสัยทัศน์มากกว่ารุ่นก่อนๆ  •  โดยทั่วไปแล้ว คนรุ่นก่อนๆ มักจะมีแนวโน้มที่จะทำมากกว่าที่เจ้านายคาดหวังไว้ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความเหนื่อยล้าก็ตาม แต่คนรุ่น Gen Z ไม่ยอมทำงานหนักเกินไปทำไมวัยทำงานคนรุ่นใหม่มักถูกมองว่าแปลกประหลาดในที่ทำงาน โดยที่ผ่านมามีการศึกษาวิจัยและผลสำรวจจำนวนไม่น้อยที่ชี้ว่า Gen Z ซึ่งมีอายุระหว่าง 18-27 ปี (ในปี 2024) นั้น มักจะใช้วิธีสื่อสาร วิธีทำงานที่ต่างออกไป หรือแม้แต่นำพาวัฒนธรรมแปลกๆ มาสู่ที่ทำงาน ล่าสุดมีรายงานจาก New York Post อ้างถึงผลสำรวจอีกชิ้นหนึ่งของ LLC.org (ผู้ให้บริการดูแลโครงสร้างทางธุรกิจในสหรัฐฯ) ที่สำรวจเกี่ยวกับลักษณะของวัยทำงานชาว Gen Z เช่นกัน โดยเผยผลสำรวจพบว่า เพื่อนร่วมงาน 29% มองชาว Gen Z เป็นคนที่น่ารำคาญที่สุดในการทำงาน ทั้งนี้ นักวิจัยจาก LLC.org ระบุด้วยว่า 3 อันดับแรกของลักษณะที่น่ารำคาญของวัยทำงานรุ่นนี้ก็คือ การขาดจรรยาบรรณในการทำงาน พฤติกรรมขี้บ่น และการเรียกร้องสิทธิตลอดเวลายิ่งไปกว่านั้น วัยทำงานคนรุ่นใหม่ยังจัดอยู่ในกลุ่มคนที่ “มีประสิทธิผลการทำงานน้อยที่สุด” เมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมงานในกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนียล (Gen Y), Gen X , Baby Boomerแซม เทย์เลอร์ (Sam Taylor) ผู้เชี่ยวชาญของ LLC.org กล่าวในแถลงการณ์ว่า “คนทุกเจเนอเรชันต่างก็มีนิสัยและทัศนคติที่แตกต่างกันไปในสถานที่ทำงาน แต่สำหรับคนรุ่น Gen Z ความหงุดหงิดบ่อยๆ ของพวกเขา ดูเหมือนจะมาจากแนวทางการรักษาสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงาน รูปแบบการสื่อสาร และความรู้สึกว่าตนมีสิทธิ์ในสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ”  •  พฤติกรรมของวัยทำงานคนรุ่นใหม่ ที่คนรุ่นก่อนไม่เข้าใจ-มองว่าแปลก  วัยทำงานชาว Gen Z เป็นกลุ่มเด็กจบใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ไม่กี่ปี พวกเขามักจะได้รับผลกระทบจากที่ทำงาน เช่น ความเครียด ความเหนื่อยหน่าย เนื่องจากแนวทางการทำงานที่แปลกใหม่ของพวกเขา อาจเข้ากันไม่ได้กับวัฒนธรรมองค์กรส่วนใหญ่ พวกเขาตกเป็นเป้าล้อเลียนในหลายๆ กรณี ยกตัวอย่างเช่น มีเด็กจบใหม่หลายคนที่พาพ่อแม่ไปสัมภาษณ์งานด้วย (เพื่อขอการสนับสนุน), พวกเขาขอออกจากงานก่อนเวลาเมื่อทำภารกิจทั้งหมดเสร็จแล้ว, พวกเขาอยากได้ความยืดหยุ่นในการทำงาน, พวกเขามีทัศนคติที่ไม่ใส่ใจ, ขาดประสบการณ์ในโลกแห่งความเป็นจริง ฯลฯ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้คนรุ่นก่อนๆ บางคนมองว่าพวกเขาขี้เกียจ บริษัทบางแห่งถึงขั้นไล่พวกเขาออกจากงานแต่ไม่ใช่ผู้ใหญ่ทุกคนที่มองวัยทำงานรุ่นใหม่เป็นแบบนั้น มีคนเจนอื่นๆ ที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับ Gen Z หลายคนออกมาโต้แย้งว่า คนรุ่นใหม่ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป ยกตัวอย่างเช่น แซม ฮาร์ต (Sam Hart) คอนเทนต์ครีเอเตอร์ด้านโลกการทำงานและองค์กร รุ่น Gen Y ยืนกรานว่า เพื่อนร่วมงานของเธอกลุ่มคนรุ่นใหม่ ไม่ใช่คนเกียจคร้าน พวกเขามีวิสัยทัศน์มากกว่าเพื่อนร่วมงานรุ่นก่อนๆ แต่วัฒนธรรมการทำงานบางอย่างผลักให้พวกเขาไม่เข้ากับตลาดงาน “คนรุ่น Gen Z มีสิ่งสวยงามในตัว พวกเขาไม่ได้มีจรรยาบรรณในการทำงานที่แย่เสมอไป แต่เนื่องจากคนรุ่นนี้เกิดมาในยุคเศรษฐกิจตกต่ำและต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในชีวิตประจำวัน คนหนุ่มสาวเหล่านี้จึงเรียนรู้ว่าไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการดูแลตัวเอง” เธออธิบาย  •  คนรุ่นก่อนทำงานหนักเกินไปในสายตาชาว Gen Zฮาร์ต ได้เปรียบเทียบวิธีคิดของคนรุ่น Gen Z กับกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนียล กลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 28-42 ปี ที่มุ่งมั่นทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักจะมีแนวโน้มที่จะทำมากกว่าที่เจ้านายคาดหวังไว้ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความเหนื่อยล้าก็ตาม “โลกการทำงานของยุคก่อน มันเป็นสถานที่ที่บ้าคลั่งที่สุดจริงๆ” ฮาร์ตกล่าว เอริก้า เบิร์กเก็ตต์ (Erica Burkett) วัย 27 ปี เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เธอเล่าว่า การที่ผู้ใหญ่หลายคนมองว่าคนรุ่นใหม่ขี้เกียจนั้นไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง แทนที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงทัศนคติที่แปลกประหลาด แต่คนรุ่นใหม่ควรได้รับการเคารพในแง่ของการแสวงหาชีวิตที่มีสุขภาพดี นอกเหนือจากการตรากตรำทำงานเพื่อเงินเพียงอย่างเดียว “เราไม่ได้ผูกมัดชีวิตของเราทั้งหมดไว้กับงานประจำ ที่นายจ้างไม่สนใจว่าเราจะอยู่หรือตาย คนรุ่นใหม่หลายคนก็ทำงานหนัก แถมมีความคิดสร้างสรรค์ในการทำงานมากกว่าคนรุ่นก่อนๆ ซึ่งเป็นพวกคลั่งงานที่ทำงานหนักเกินไป คนรุ่นใหม่เพียงแค่พยายามก้าวออกจากกรอบชีวิตแบบนั้น” เธอ อธิบาย  •  Gen Z เติบโตมาในโลกที่ต่างออกไป ไม่แปลกที่พวกเขามองโลกการทำงานเป็นอีกแบบเทย์เลอร์ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในโลกธุรกิจ มองตรงกันและบอกว่า วัยทำงานคนรุ่นใหม่เติบโตมาโดยเห็นคนรุ่นเก่าหมดไฟในการทำงาน ไม่แปลกที่พวกเขาจะต่อต้านความคิดแบบนั้น คนรุ่น Gen Z เติบโตมาในโลกที่แตกต่างออกไป และพวกเขากำลังนำค่านิยมและความคาดหวังใหม่ๆ มาสู่ที่ทำงาน ซึ่งทุกฝ่ายควรปรับตัวเข้าหากันหนึ่งในวิธีที่จะช่วยสร้างความกลมกลืนระหว่าง “วิถีการทำงานยุคใหม่” และ “วัฒนธรรมการทำงานดั้งเดิม” ให้ได้นั้น เทย์เลอร์แนะนำว่า นายจ้างต้องส่งเสริมให้เกิดการสนทนาเชิงบวกระหว่างพนักงานด้วยกัน รวมไปถึงการสนทนาที่น่ารำคาญด้วย ซึ่งทุกกลุ่มอายุต้องอดทนและพยายามเข้าใจกัน เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและส่งเสริมการเข้าใจกันให้มากขึ้นแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/1153078

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X