คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ห้องแสดงนิทรรศการ

ขยายพื้นที่ศิลปะสู่โซนกรุงเทพฯ ตะวันออก หอศิลปกรุงเทพฯ เปิด “BACC pop•up” แห่งแรกในประเทศไทย!

29/04/2024

ชาวศรีนครินทร์อาร์ตต่อไม่แผ่ว หลังจากที่ ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ ได้กลายเป็นพิกัดลับสุดท็อปฟอร์มของเทศกาล Bangkok Design Week 2024 (BKKDW2024) ที่ผ่านมาไปแล้ว ล่าสุด BACC หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ร่วมกับ MMAD - MunMun Art Destination (แมด - มันมัน อาร์ต เดสทิเนชั่น) คอมมูนิตี้อาร์ตแห่งใหม่โซนกรุงเทพตะวันออก ภายใน มันมัน ศรีนครินทร์ เปิด “BACC pop•up” แห่งแรกในประเทศไทย! ยกนิทรรศการที่คัดสรรมาแล้วจาก BACC มาให้ชาวกรุงเทพฯ ตะวันออก ได้เข้าถึงศิลปะแบบไม่จำกัดรูปแบบ ไม่จำกัดสถานที่ สร้างแรงบันดาลใจ จุดประกายความคิดสร้างสรรค์ ตอบโจทย์เทรนด์และไลฟ์สไตล์ของผู้รักงานศิลปะฉัตรวิชัย พรหมทัตตเวที รองประธานกรรมการมูลนิธิหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “หอศิลปกรุงเทพฯ เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเพิ่มพื้นที่ทางศิลปวัฒนธรรม ที่ควรจะมีจำนวนและที่ตั้งใกล้ชิดกับประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ให้มากขึ้น โดยไม่จำเป็นจะต้องตั้งอยู่ใจกลางเมืองเพียงแห่งเดียวเท่านั้น จึงริเริ่ม BACC pop•up แห่งแรกในประเทศไทย ที่ MMAD มันมัน ศรีนครินทร์ เป็นโครงการเปิดพื้นที่ศิลปะสู่ประชาชน เพื่อสร้างพื้นที่ทางศิลปะให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้คนทางด้านตะวันออกของกรุงเทพมหานคร พร้อมเพิ่มโอกาสการเรียนรู้ด้านศิลปวัฒนธรรมที่หลากหลาย เกื้อหนุนบรรยากาศในการแลกเปลี่ยนระหว่างคนทำงานศิลปะ ผู้ชมงาน และชุมชนโดยรอบ พื้นที่ทางศิลปวัฒนธรรมแห่งใหม่นี้จะเป็นพื้นที่ช่วยสร้างคนดูและบ่มเพาะนิสัยรักศิลปะ เพื่อทำให้การชมงานศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ของผู้คนทุกรุ่น ทุกวัย”ดร.จักรพล จันทวิมล ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารการตลาด บริษัท ซีคอน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า “งาน Bangkok Design Week 2024 ที่ผ่านมา ทำให้เห็นว่า ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ และ MMAD – MunMun Art Destination (แมด - มันมัน อาร์ต เดสทิเนชั่น) ได้กลายเป็นแลนด์มาร์คใหม่ทางด้านศิลปะที่ติดเทรนด์ และได้รับความสนใจจากผู้คนเป็นอย่างมาก จึงทำให้เราเดินหน้าสานต่อคอมมูนิตี้อาร์ตเพื่อชาวกรุงเทพตะวันออกต่อไม่หยุด ซึ่ง BACC pop•up ตอบโจทย์เป็นอย่างมาก เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงศิลปะแบบไม่จำกัดรูปแบบ ไม่จำกัดสถานที่ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สนุกๆ ในแบบของตัวเอง พร้อมแต่งแต้มสร้างสรรค์แรงบันดาลใจ ให้ชีวิตมีสีสันมากยิ่งขึ้น ด้วยศิลปะหลากหลายแขนง เปลี่ยนศูนย์การค้าให้กลายเป็นพื้นที่แห่งความคิดสร้างสรรค์ พร้อมประสบการณ์ที่แปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร”สำหรับนิทรรศการภายใน BACC pop•up เป็นการยกนิทรรศการจาก BACC มาให้ชาวกรุงเทพตะวันออกได้สัมผัสภายใต้มาตรฐานงานเดียวกัน เพิ่มโอกาสในการชมงานศิลปะหลากรูปแบบ และร่วมกิจกรรมศิลปะได้ตลอดทั้งปี ซึ่งจะประกอบไปด้วย 4 ห้องแสดงงาน พร้อมจัดแสดงหมุนเวียนทุกเดือน รวมกว่า 69 นิทรรศการ ตลอดปี 2567GALLERY 1ขับเคลื่อนให้ประชาชนเข้าใจคุณค่าและความหลากหลายของศิลปวัฒนธรรม ผ่านงานนิทรรศการ กิจกรรมศิลปะ กิจกรรมการศึกษา และเป็นพื้นที่เชื่อมโยงกลุ่มเครือข่ายและพันธมิตรทางศิลปวัฒนธรรมในแขนงต่าง ๆGALLERY 2พื้นที่รองรับนิทรรศการที่นําเสนอโดยหน่วยงาน องค์กร สถาบัน หรือบุคคลทั่วไป คัดเลือกจาก นิทรรศการที่จัดแสดงอยู่บริเวณผนังโค้งช้ัน 3, 4, 5 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครGALLERY 3พื้นที่สร้างสรรค์สําหรับทุกคน รองรับกิจกรรมและนิทรรศการศิลปะ นําเสนอโดยกลุ่มคนรุ่นใหม่ ด้วยแนวทางและเทคนิคในการจัดแสดงที่หลากหลายGALLERY 4พื้นที่แห่งใหม่รองรับนิทรรศการจากโครงการ People's Gallery เพื่อขยายพื้นที่แสดงออกทางศิลปะวัฒนธรรมร่วมสมัยหลากหลายสาขา สําหรับศิลปินหน้าใหม่ที่มีไฟอยากแสดงออก เป็นพื้นที่จัดแสดงผลงานศิลปะ จัดการแสดง และกิจกรรมด้านศิลปะอื่นๆนอกจากนี้ ภายใน BACC pop•up ยังมี Art Playground สนามเด็กเล่นเพื่อการเรียนรู้ศิลปะและวัฒนธรรม โดยการออกแบบกิจกรรมและโปรแกรมศิลปะและวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่เน้นการมีส่วนร่วม และเปิดโอกาสให้เกิดการจินตนาการอย่างอิสระไปพร้อมๆ กับการเรียนรู้ทางศิลปะ ผ่านการเชื่อมโยงผลงานศิลปะเข้ากับผู้คน พื้นที่ และความสัมพันธ์รอบ ๆ ตัวเรา แวะมาปลุกความอาร์ต ตามหาแรงบันดาลใจกันได้ที่ BACC pop•up ที่ MMAD - MunMun Art Destination ชั้น 2 และ 3 มันมัน ศรีนครินทร์ อัพเดทแวดวงศิลปะเพิ่มเติมกันได้ที่ Facebook: MMAD - MunMun Art Destination และ Facebook: MunMunแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/celebonline/detail/9670000017786

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

ความงดงามในฤดูหนาว “อุทยานแห่งชาติอาลา-อาชา” คีร์กีซสถาน

29/04/2024

หลังจากที่คนไทย รู้จัก “คีร์กีซสถาน” ในฐานะทีมฟุตบอลคู่แข่งที่ทีมชาติไทยเอาชนะไปได้ในศึกเอเชียนคัพ เมื่อเดือนที่แล้ว ในด้านการท่องเที่ยว ประเทศแห่งนี้ก็นับว่ามีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่งดงามตามสภาพของภูมิประเทศ-ภูมิอากาศแบบประเทศแถบเอเชียกลางภาพ: สำนักข่าวซินหัวโดยล่าสุด สำนักข่าวซินหัวสื่อทางการของจีน เผยภาพอันน่าหลงใหลของทิวทัศน์ธรรมชาติสบายตายามฤดูหนาว ปลายเดือนกุมภาพันธ์ในเขต “อุทยานแห่งชาติอาลา-อาชา” (Ala-Archa National Park) ย่านชานเมืองกรุงบิชเคก เมืองหลวงของคีร์กีซสถานภาพ: สำนักข่าวซินหัวสำหรับ “อุทยานแห่งชาติอาลา-อาชา” เป็นอุทยานฯ ที่ก่อตั้งทางการเมื่อปี ค.ศ. 1976 อยู่ห่างจากกรุงบิชเคก ออกไปเพียงประมาณ 35 กิโลเมตรเท่านั้น ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 165 ตารางกิโลเมตร และมีระดับความสูงตั้งแต่ 1,500 เมตรไปจนถึงสูงสุด 4,895 เมตร ซึ่งเป็นยอดเขาเซเมนอฟ-เทียน-ชานสกี (Semenov-Tian-Shansky) ยอดเขาที่สูงที่สุดในเทือกเขาคีร์กีซอาลาทูภาพ: สำนักข่าวซินหัวภายในอุทยานมีธารน้ำแข็งมากกว่า 20 แห่ง มียอดเขาประมาณ 50 ยอด และมีแม่น้ำสายเล็กสองสาย ได้แก่ Adygene และ Ak-Sai ซึ่งต้นกำเนิดมาจากน้ำที่ธารน้ำแข็งละลายภาพ: สำนักข่าวซินหัวแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000017447

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย จัดงาน AIA Nobel Laureates Luncheon Talk Series ในหัวข้อ “A Financial Approach to Climate Risk” โดยศาสตราจารย์โรเบิร์ต เอนเกิล เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ปี 2546

29/04/2024

กรุงเทพฯ, 29 กุมภาพันธ์ 2567 - เอไอเอ ประเทศไทย เดินหน้าจัดงาน AIA Nobel Laureates Luncheon Talk Series ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน Japan-ASEAN Bridges Event Series ร่วมกับ The International Peace Foundation ในหัวข้อ “A Financial Approach to Climate Risk” โดยศาสตราจารย์โรเบิร์ต เอนเกิล เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ปี 2546 ซึ่งได้ค้นพบโมเดล Autoregressive Conditional Heteroskedasticity (ARCH) ที่นำมาใช้วิเคราะห์ความผันผวนของดัชนีหลักทรัพย์ รวมไปถึงการคิดค้น "แผนป้องกันความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ" (Climate Hedge Portfolios) ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงระยะยาวที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการดำรงชีวิตของทุกคน เพื่อต่อยอดความมุ่งมั่นของเอไอเอ ที่ต้องการสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพชีวิตและสุขภาพการเงินที่มั่นคงอย่างยั่งยืน ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’ ร่วมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิและนักวิชาการจากหลากหลายสถาบันที่เข้าร่วมรับฟังการบรรยายในครั้งนี้ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 ณ ห้องบอลรูม โรงแรมสุโขทัย กรุงเทพนายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “เอไอเอ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้จัดงานอันทรงคุณค่าอย่าง AIA Nobel Laureates Luncheon Talk Series เป็นครั้งที่ 2 ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำถึงเป้าหมายของเราที่ต้องการสร้างการมีส่วนร่วมกับสังคมและผู้คนอย่างน้อยหนึ่งพันล้านคนให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นภายในปี 2573 แน่นอนว่าปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate change ได้กลายเป็นหนึ่งในความเสี่ยงหลักที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนและเศรษฐกิจโลก ในฐานะที่เอไอเอเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับหนึ่ง ที่นอกจากจะมอบความคุ้มครองด้านชีวิตและสุขภาพแล้ว เรายังเป็นองค์กรที่มุ่งมั่นด้าน ESG มาอย่างต่อเนื่องผ่านการลงทุนในหุ้น พันธบัตร และอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมกันนั้นเรายังตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 เพื่อแสดงถึงความเป็นผู้นำด้าน ESG ในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก ตลอดจนทำให้เอไอเอสามารถดูแลลูกค้า ชุมชน และสังคม รวมถึงประเทศชาติได้อย่างยั่งยืนผมเชื่อว่าการบรรยายพิเศษจากศาสตราจารย์โรเบิร์ต เอนเกิล เจ้าของรางวัลโนเบลในสาขาเศรษฐศาสตร์ในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับทุก ๆ องค์กรในการเดินหน้าส่งเสริมความร่วมมือระดับประเทศ เพื่อจัดการกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่สืบเนื่องมาจากสภาพภูมิอากาศ ยิ่งไปกว่านั้น เอไอเอมีความมุ่งหวังที่จะนำพาอุตสาหกรรมด้านการเงินและการประกันภัยให้มีความพร้อมมากขึ้นในการจัดการกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและความเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและในอนาคต”ส่วนหนึ่งจากการบรรยายของ ศาสตราจารย์โรเบิร์ต เอนเกิล เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ปี 2546 ได้อธิบายถึงความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านกายภาพ (Physical Risks) รวมไปถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายการเปลี่ยนแปลงเพื่อแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ (Transition Risks) และนัยสำคัญที่เกี่ยวข้องต่อการจัดการหลักทรัพย์ ธนาคาร การประกันภัย และข้อกำหนดต่าง ๆ รวมไปถึงความตกลงปารีส (Paris Agreement) ในเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ที่ยังถือเป็นแนวทางที่องค์กรต่าง ๆ ต้องศึกษาเพื่อหาความร่วมมือระดับโลกในการจัดการกับปัญหาทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ“การเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศเป็นหนึ่งในตัวอย่างของความเสี่ยงระยะยาว (Long Run Risk) ที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก จึงเป็นเรื่องที่ภาครัฐและเอกชนต้องหาทางออกเพื่อจัดการกับปัญหานี้ ซึ่งการใช้ "แผนป้องกันความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ" (Climate Hedge Portfolios) ถือเป็นเครื่องมือเพื่อป้องกันความเสี่ยง รวมไปถึงการประเมินหุ้นและผลตอบแทนจากการลงทุนอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ดี โมเดล Autoregressive Conditional Heteroskedasticity (ARCH) ยังสามารถนำมาใช้วิเคราะห์ความผันผวนของดัชนีหลักทรัพย์ และประเมินความเสี่ยงด้านการเงินและหลักทรัพย์ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์นำไปใช้เป็นเครื่องมือเพื่อคาดการณ์ราคาหุ้นและตัวแปรทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ศาสตราจารย์โรเบิร์ต เอนเกิล กล่าวสำหรับงาน AIA Nobel Laureates Luncheon Talk Series ครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ Living to 100  ที่เอไอเอมุ่งตอกย้ำถึงการวางแผนด้านการเงินและสุขภาพระยะยาวเพื่อสร้างความมั่นคงในช่วงสุดท้ายของชีวิต  ด้วยนวัตกรรมทางการเงินที่ตอบโจทย์เป้าหมายของลูกค้าเฉพาะบุคคล ส่งเสริมให้คนไทยมีอนาคตที่มั่นคงอย่างยั่งยืน ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’ โดยสามารถศึกษาข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.aia.co.th/th/campaigns/living-to-100/family

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

หากต้องจากไป จะส่งต่อทรัพย์สินอย่างไร ไม่ให้ตกหล่น ?

29/02/2024

บทความโดย "นิราวัลย์ ธรรมศิริเจริญ"  นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทย วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2567 สมมุติว่าวันนี้เราเผลอหลับไป แล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ทรัพย์สินต่าง ๆ ที่เราสร้างและสะสมมา เช่น เงินสด ที่ดิน ธุรกิจ หุ้น เครื่องประดับ ของสะสม ฯลฯ จะตกไปอยู่กับใคร ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนผ่านจากทรัพย์สินไปเป็นมรดก มักจะมีบางส่วนที่หายไป เช่น ค่าใช้จ่ายในการถ่ายโอนทรัพย์สิน หากทรัพย์มรดกนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี ก็ต้องชำระภาษีก่อนที่จะส่งต่อให้กับผู้รับพินัยกรรมหรือทายาท ทั้งยังอาจจะก่อให้เกิดความขัดแย้งในครอบครัว เกิดความล่าช้า และทรัพย์สินอาจไม่ได้ถูกส่งต่อไปยังบุคคลที่เหมาะสม หรือไม่เป็นไปตามความต้องการของเจ้าของทรัพย์สิน หากไม่มีการวางแผนที่ดี การตกทอดของมรดก การตกทอดของมรดก ไม่ใช่มีเพียงแต่ทรัพย์สิน แต่ยังรวมถึงหนี้สินด้วย หากเจ้ามรดกมีหนี้สิน ก็ต้องนำหนี้สินมาหักออกจากทรัพย์สิน แล้วจึงส่งต่อให้กับผู้รับพินัยกรรม หรือทายาทโดยธรรมตามลำดับ หากเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิต โดยไม่มีพินัยกรรม หรือไม่ได้มีการเตรียมการใด ๆ ทรัพย์มรดกจะตกทอดไปยังทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิรับมรดก ซึ่งมี 6 ลำดับดังนี้ (ป.พ.พ. 1629) 1.ผู้สืบสันดาน (บุตร หลาน เหลน) 2.บิดา มารดา 3.พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 4.พี่น้องร่วมบิดาหรือมารดาเดียวกัน 5.ปู่ ย่า ตา ยาย 6.ลุง ป้า น้า อา การรับมรดกจะเป็นไปตามลำดับก่อนหลัง ทายาทที่อยู่ลำดับถัดมาจะมีสิทธิได้รับมรดกต่อเมื่อไม่มีทายาทลำดับก่อนหน้า ตามหลัก “ญาติสนิทตัดญาติห่าง” ยกเว้นทายาทลำดับ 1 จะไม่ตัดทายาทลำดับที่ 2 แต่ถ้าเจ้ามรดกไม่เหลือใคร ทรัพย์มรดกจะตกเป็นของแผ่นดิน กรณีเจ้ามรดกมีคู่สมรส จะมีการแบ่งแยกทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส เป็นสินส่วนตัว และสินสมรส โดยคู่สมรสจะได้รับส่วนแบ่ง 50% ของสินสมรสไปก่อน ส่วนแบ่งอีก 50% ของสินสมรส และสินส่วนตัวของเจ้ามรดก จะถือเป็นมรดกที่จะส่งต่อให้ผู้รับพินัยกรรม หรือทายาทตามลำดับ กรณีไม่มีทายาทเหลืออยู่เลย คู่สมรสจะได้รับมรดกทั้งหมด (ป.พ.พ. 1635) โชคดีที่วันนี้เราได้ตื่นมาอีกครั้ง ถ้าเราไม่ต้องการให้ทรัพย์สินตกหล่น หรือตกไปยังคนที่ไม่ต้องการ ไม่อยากให้คนในครอบครัวทะเลาะกัน เรากำหนดได้ว่าจะให้ทรัพย์สินต่าง ๆ ไปอยู่กับใคร โดยการวางแผนการจัดการทรัพย์สิน หรือวางแผนมรดกไว้ล่วงหน้า การจัดการทรัพย์สิน แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ 1. การจัดการทรัพย์สินขณะมีชีวิต : เจ้าของทรัพย์สินโอนหรือให้สิทธิในการใช้ทรัพย์สินของตนแก่บุคคลอื่น ในขณะที่ยังมีชีวิต 2. การจัดการมรดก : เจ้าของทรัพย์สินทำพินัยกรรมเพื่อจัดการทรัพย์สิน (มรดก) ของตน โดยให้มีผลหลังจากตนเสียชีวิตแล้ว กรณีที่มีพินัยกรรม กฎหมายให้แบ่งทรัพย์ที่กำหนดในพินัยกรรมให้ผู้รับพินัยกรรมก่อน หากมีทรัพย์ที่ไม่ได้ระบุไว้ในพินัยกรรม จะแบ่งให้ทายาทโดยธรรมตามกฎหมาย การจัดการทรัพย์สินขณะมีชีวิต สามารถทำได้หลายรูปแบบ ดังนี้ 1. การกระจายทรัพย์สินให้สมาชิกครอบครัว ซึ่งทำได้หลายวิธี เช่น    •  การโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินต่าง ๆ    •  การให้สิทธิในการใช้หรือหาประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ เช่น สิทธิอาศัย : ให้สิทธิพักอาศัยในโรงเรือน สิทธิเหนือพื้นดิน : ให้สิทธิปลูกสร้างอสังหาริมทรัพย์บนที่ดิน สิทธิเก็บกิน : ให้สิทธิในการใช้ ครอบครอง และถือเอาประโยชน์โดยไม่จำกัด 2. การจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งเพื่อถือครองทรัพย์สิน เช่น บริษัทโฮลดิ้งที่ถือครองเงินทุน (Equity Holding Company) หรือบริษัทโฮลดิ้งที่ถือครองตัวทรัพย์สิน (Asset Holding Company) ซึ่งเป็นการแยกทรัพย์สินของครอบครัวออกจากกิจการของครอบครัว เพื่อป้องกันมิให้เจ้าหนี้ของบริษัทที่ประกอบกิจการบังคับชำระหนี้เอากับทรัพย์สินของครอบครัว ในขณะเดียวกัน หากสมาชิกครอบครัวก่อหนี้ส่วนตัว เจ้าหนี้ของสมาชิกครอบครัวก็ไม่สามารถเรียกร้องให้บริษัทที่ดำเนินกิจการของครอบครัวชำระหนี้ส่วนตัวของสมาชิกครอบครัวได้เช่นกัน และสามารถสร้างกฎระเบียบการบริหารจัดการทรัพย์สินผ่านข้อบังคับของบริษัทโฮลดิ้งได้ และอาจจะได้ประโยชน์ทางภาษีตามประมวลรัษฎากรด้วย 3. บริหารทรัพย์สินโดยใช้ธรรมนูญครอบครัว ธรรมนูญครอบครัว คือเอกสารที่ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติของสมาชิกครอบครัว ซึ่งกำหนดหลักในการดำเนินชีวิต การประกอบธุรกิจ และการปฏิบัติตนต่อสมาชิกครอบครัวคนอื่น ๆ และบุคคลภายนอก ธรรมนูญครอบครัวจึงเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยกำหนดให้สมาชิกในครอบครัวปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับรูปแบบการจัดการทรัพย์สินที่เลือกไว้ได้ ขั้นตอนการวางแผนมรดก 1. รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน เช่น เงินฝากธนาคาร ตราสารหนี้ ตราสารทุน เงินลงทุนในกองทุนหรือหลักทรัพย์ เอกสารแสดงสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ กรมธรรม์ประกันชีวิต และทรัพย์สินอื่น ๆ พร้อมระบุประเภท ชนิด และจำนวน รวมทั้งหนี้สิน ภาระผูกพันต่าง ๆ 2. รวบรวมข้อมูลส่วนตัว เช่น บัญชีเครือญาติและผู้ที่อยู่ในความดูแล อาชีพ รายละเอียดของกิจการและโครงสร้างการถือหุ้น 3. เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียระหว่างการจัดการทรัพย์สินขณะมีชีวิตและการจัดการมรดก โดยคำนึงถึงข้อพิจารณาทางกฎหมาย ข้อพิจารณาทางภาษี และข้อพิจารณาอื่น ๆ    •  ข้อพิจารณาทางกฎหมาย การจัดการทรัพย์สินขณะมีชีวิต จะใช้สัญญาเป็นเครื่องมือจัดการ ที่จะมีผลบังคับทันที ซึ่งหากสัญญาเกิดสมบูรณ์แล้วจะแก้ไข เปลี่ยนแปลงได้ยาก การจัดการมรดก จะใช้พินัยกรรมเป็นเครื่องมือในการจัดการ และเกิดผลบังคับเมื่อเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิต ซึ่งแก้ไขได้ตลอดเวลาในขณะที่เจ้าของทรัพย์สินยังมีชีวิตอยู่ ข้อพิจารณาทางภาษี กรณีมีการให้หรือโอนทรัพย์สินในขณะที่ยังมีชีวิต ให้แก่บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส ส่วนที่เกิน 20 ล้านบาทต่อปี หรือโอนให้บุคคลอื่น เกิน 10 ล้านบาทต่อปี ผู้รับโอนทรัพย์สิน จะต้องเสียภาษีการรับให้ (Gift Tax) 5% กรณีมีการโอนมรดกหลังจากเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิต หากผู้รับโอนเป็นบุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส จะต้องเสียภาษีการรับมรดก (Inheritance Tax) 5% หรือหากผู้รับโอนเป็นบุคคลอื่น จะต้องเสียภาษีการรับมรดก 10% ของทรัพย์สินส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท    •  ข้อพิจารณาอื่น ๆ ผลกระทบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสมาชิกครอบครัว หากมีการจัดการขณะมีชีวิต เจ้าของทรัพย์สินสามารถเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยได้ แต่หากมีผลกระทบหลังจากเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิตไปแล้ว ทายาทจะต้องตกลงกันเอง ผลกระทบเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินต่อไปในอนาคต หากผู้รับโอนยังเป็นผู้เยาว์ จะทำให้การจัดการทรัพย์สินยุ่งยาก เพราะการจัดการบางอย่างต้องขออนุญาตจากศาล ณ วันนี้ ในขณะที่เรายังมีชีวิต เราสามารถเลือกได้ว่า ภาพฝันที่อยากให้เกิดขึ้นหลังจากที่เราจากไปเป็นอย่างไร ทรัพย์สินที่สร้างและสะสมมา ทำอย่างไรให้ไม่ตกหล่น และส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นได้ตามความต้องการ หากมีการวางแผนมรดก และส่งต่อทรัพย์สินอย่างเป็นระบบ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1508964

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

ประกันค่าชดเชยรายวัน รู้อะไรไม่สู้ รู้ว่าสำคัญ

29/02/2024

บทความโดย "ธนภัทร จินดาหลวง" ที่ปรึกษาการเงิน AFPTTM สมาคมนักวางแผนการเงินไทยวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 “ยังไม่รับดีกว่า“ “พี่ทำไปแล้ว ไม่ค่อยได้นอนโรงพยาบาล” “ลืมซื้อเพิ่ม” ประโยคตัวอย่างที่หลาย ๆ คน บอกปัดเมื่อต้องซื้อประกัน แต่เมื่อเกิดเหตุและต้องนอน โรงพยาบาล อาจจะบอกว่า “รู้งี้ ซื้อประกันดีกว่า”การเข้ารักษาที่โรงพยาบาล ไม่ว่าจะเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บหรือเกิดจากอุบัติเหตุ ทำให้สูญเสียโอกาสต่าง ๆ ขาดรายได้จากการทำงาน ซึ่งหากเป็นมนุษย์เงินเดือนอาจจะยังไม่กระทบมากนัก แต่สำหรับอาชีพอิสระหรือฟรีแลนซ์ อาชีพค้าขาย หรือได้รับค่าจ้างรายวัน ถ้าไม่ได้ทำงานก็อาจทำให้รายได้หดหายคำนิยาม สัญญาเพิ่มเติมค่าชดเชยรายวัน (HB : HOSPITAL BENEFIT) บางบริษัทประกัน ใช้คำว่าสัญญาเพิ่มเติมค่าชดเชยรายได้ สัญญาเพิ่มเติมวงเงินแน่นอน โดยหลักคือ จะคุ้มครองในกรณีที่ผู้เอาประกันภัย เข้ารับการรักษาพยาบาลในฐานะผู้ป่วยใน หรือเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาล เกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป โดยสามารถเคลมค่าสินไหมทดแทนตามทุนประกันที่ทำไว้ คูณกับจำนวนวันที่นอนรักษาตัวในโรงพยาบาล เช่นทำประกันค่าชดเชยรายวัน วันละ 3,000 บาท นอนรักษาตัวเป็นเวลา 5 วันเคลมได้ = 15,000 บาททำประกันค่าชดเชยรายวัน วันละ 5,000 บาท นอนรักษาตัวเป็นเวลา 10 วันเคลมได้ = 50,000 บาทโดยแต่ละบริษัทจะมีเพดานกำหนดจำนวนวันสูงสุด ที่สามารถเคลมได้ต่อครั้งต่อโรค แตกต่างกันไป เช่น 180 วัน หรือ 365 วัน เป็นต้นหลายคนที่มีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล เช่น สิทธิบัตรทอง สิทธิประกันสังคม สิทธิข้าราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ อาจคิดว่ามีสิทธิรักษาเพียงพอแล้ว จึงไม่ได้ทำประกันค่าชดเชยรายวัน เพราะเชื่อว่ามีโอกาสน้อยที่จะป่วยจนถึงขั้นนอนโรงพยาบาล หรือหากป่วยก็ไม่น่าจะนอนโรงพยาบาลนาน เกิน 1 หรือ 2 วัน จึงไม่ส่งผลกระทบกับรายได้มากนักอย่างไรก็ตาม ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์กับตัวเองจนต้องเข้ารักษาที่โรงพยาบาล หรือหากป่วยด้วยโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ หรือประสบอุบัติเหตุ ต้องนอนรักษาในโรงพยาบาลนาน ๆ ซึ่งส่งผลกระทบกับฐานะทางการเงินของตัวเองและครอบครัวได้กระนั้นก็ดี ถึงแม้จะไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลที่จะเกิดขึ้น เพราะมีประกันสุขภาพค่ารักษาพยาบาลที่เพียงพอ แต่อย่าลืมว่าภาระค่าใช้จ่ายส่วนอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่รักษาตัวในโรงพยาบาลเช่น ค่าผ่อนรถ ค่าผ่อนบ้าน ค่าบัตรเครดิต ค่าเดินทางของญาติที่มาเฝ้าไข้ ค่ากิน ค่าเช่าร้าน ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าจ้างคนเฝ้าไข้ เป็นต้น หากต้องรักษาตัวนานขึ้นก็มีความเสี่ยงทางการเงินมากขึ้น อาจต้องหยิบยืม กู้สินเชื่อ หรือขายทรัพย์สินก็เป็นได้การวางแผนทุนประกันค่าชดเชยรายวันที่เหมาะสมคำนวณจากค่าใช้จ่ายจำเป็น เพื่อให้เพียงพอต่อสถานการณ์จริง หากวันใดวันหนึ่งเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา จนต้องนอนโรงพยาบาล เช่นมีค่าใช้จ่าย = 30,000 บาทต่อเดือน เฉลี่ยวันละ 1,000 บาท ก็ควรที่จะทำประกันค่าชดเชยรายวัน ด้วยทุนประกันอย่างน้อยวันละ 1,000 บาทขึ้นไปซึ่งหากเป็นเสาหลักของครอบครัว หรือเสาหลักของกิจการ ทำธุรกิจส่วนตัว มีภาระค่าใช้จ่าย = 100,000 บาทต่อเดือน เฉลี่ยวันละ 3 พันกว่าบาท ก็ควรวางแผนทำทุนประกันค่าชดเชย อย่างน้อยวันละ 3,000 บาทขึ้นไป เป็นต้นตัวอย่าง เบี้ยประกันสัญญาเพิ่มเติม ค่าชดเชยรายวันเพศชาย อายุ 30 ปี ทุนประกันค่าชดเชยวันละ 3,000 บาท เบี้ยประกัน เดือนละ = 432 บาทเพศชาย อายุ 40 ปี ทุนประกันค่าชดเชยวันละ 3,000 บาท เบี้ยประกัน เดือนละ = 486 บาทเพศชาย อายุ 50 ปี ทุนประกันค่าชดเชยวันละ 3,000 บาท เบี้ยประกัน เดือนละ = 567 บาทเพศหญิง อายุ 30 ปี ทุนประกันค่าชดเชยวันละ 3,000 บาท เบี้ยประกัน เดือนละ = 432 บาทเพศหญิง อายุ 40 ปี ทุนประกันค่าชดเชยวันละ 3,000 บาท เบี้ยประกัน เดือนละ = 486 บาทเพศหญิง อายุ 50 ปี ทุนประกันค่าชดเชยวันละ 3,000 บาท เบี้ยประกัน เดือนละ = 567 บาทเบี้ยประกันข้างต้น สามารถวางแผนทำเป็นโหมดราย 3 เดือน 6 เดือน หรือรายปีได้สาเหตุที่ไม่ได้ซื้อประกันชดเชยรายได้เอาไว้ให้เพียงพอมาจากเหตุผลประกันค่าชดเชยรายวันจะเป็นสัญญาเพิ่มเติมที่ซื้อแนบกับประกันชีวิต ซึ่งเป็นสัญญาหลัก เมื่อไม่ได้คิดจะทำประกันชีวิตหรือไม่ได้รับการนำเสนอจากตัวแทน จึงไม่ทราบว่ามีประกันแบบนี้ด้วยซึ่งในปัจจุบัน บางบริษัทประกัน มีประกันค่าชดเชยรายวันขายโดยเฉพาะ โดยไม่ต้องซื้อประกันชีวิตก่อน อีกสาเหตุหนึ่งมองว่า เบี้ยประกันที่ชำระจะเป็นเบี้ยสูญเปล่า ยังไม่เห็นความจำเป็น หรือบางคนทำประกันนี้ แต่อาจจะทำทุนประกันที่น้อยกว่าความเหมาะสมที่แท้จริง เพราะเสียดายเบี้ยประกันเงื่อนไขการพิจารณารับประกันของแต่ละบริษัทประกัน ก็จะแตกต่างกันไป เช่น บางบริษัทมีเพดานกำหนดซื้อค่าชดเชยรายวันสูงสุดตามทุนประกันชีวิต (สัญญาหลัก) บางบริษัทดูรายได้ของผู้ขอเอาประกัน หากทำทุนประกันต่อวันที่สูง เช่น ทำแผนค่าชดเชยรายวัน วันละ 10,000 บาท ว่าสอดคล้องกับรายได้หรือไม่ซึ่งในอดีต มีกรณีศึกษาการฉ้อฉลเอาประกัน โดยทำประกันค่าชดเชยรายวันสูง ๆ หรือทำหลายบริษัท มีการเคลมสินไหมครั้งหนึ่งหลายแสนบาท หรือป่วยเล็กน้อยแล้วขอนอนโรงพยาบาล โดยไม่มีความจำเป็นทางการแพทย์ ทำให้หลายบริษัทประกัน พิจารณารับประกันที่เข้มงวดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพและประวัติการรักษาในอดีต หรือข้อมูลทางการเงินของผู้ขอเอาประกันภัย เป็นต้นมาถึงตรงนี้ หลายคนเห็นความสำคัญและสนใจอยากจะทำประกัน แต่กังวลเรื่องสุขภาพว่าจะทำได้หรือไม่ หรือจะต้องตรวจสุขภาพหรือเปล่า ควรติดต่อสอบถามตัวแทนประกัน หรือที่ปรึกษาทางการเงินมืออาชีพ เพื่อให้คำแนะนำและวางแผนประกันที่เหมาะสม เพราะบางกรณีอาจไม่อยู่ในเกณฑ์ หรืออายุเกินเกณฑ์ที่บริษัทประกันกำหนดเอาไว้ดังนั้น หากตอนนี้สุขภาพแข็งแรง อายุยังอยู่ในเกณฑ์รับพิจารณา จึงไม่ควรรีรอให้สายเกินไปที่จะวางแผนทำประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ประกันโรคร้ายแรง รวมถึงประกันค่าชดเชยรายวัน เพื่อตัวเอง และคนที่เรารักแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1509919

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

สุดปัง! เทศกาลดอกไม้ปาร์คนายเลิศ

29/04/2024

กลับมาสร้างสีสันยิ่งใหญ่ตระการตาอีกครั้ง เมื่อ สมาคมปาร์คนายเลิศ เตรียมจัด “งานดอกไม้ปาร์คนายเลิศ ครั้งที่ 35” งานแสดงศิลปะและดอกไม้สุดยิ่งใหญ่ โดยปีนี้จัดภายใต้คอนเซปต์ “Blossoming Culinary Art” ที่จะโชว์ศิลปะการตกแต่งดอกไม้ เมล็ดธัญพืช และพรรณไม้ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากศาสตร์และศิลป์ของการประกอบอาหาร ซึ่งได้มีการจัดงานแถลงข่าว ที่เดอะ กลาสเฮาส์ ปาร์คนายเลิศ เมื่อเร็วๆนี้แม่งานคนสำคัญ ณพาภรณ์ โพธิรัตนังกูร อุปนายกสมาคมปาร์คนายเลิศ กล่าวว่า งานนี้ได้จัดเป็นครั้งที่ 35 แล้ว โดยเริ่มตั้งแต่คุณยาย-ท่าน ผู้หญิงเลอศักดิ์ สมบัติศิริ ที่รักต้นไม้รักธรรมชาติ และท่านเห็นว่าคนไทยเก่งมีความสามารถนำธรรมชาติมาเป็นศิลปะได้ เลยสร้างเวทีให้คนไทยได้โชว์ฝีมือให้คนทั่วโลกได้เห็น โดยปีนี้เราจะมีพรมดอกไม้และเมล็ดธัญพืชขนาดใหญ่กว่า 500 ตร.ม. ออกแบบและสร้างสรรค์โดย “ศักดิ์ชัย กาย”นอกจากนี้ ยังมีปราสาทขี้ผึ้งเมืองสกลนคร ที่อยากให้ทุกคนมาชมของจริง และทุกๆพื้นที่ของงานจะปกคลุมไปด้วยดอกไม้ พร้อมทั้งยังเป็นเวทีที่โชว์ความสามารถของคนรุ่นใหม่ อย่างนักศึกษาศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะจัดแสดงนิทรรศการแฟชั่นชุดเสื้อผ้าที่ทำจากวัตถุดิบในการปรุงอาหาร ส่วนโรงเรียนการเรือน มหาวิทยาลัยสวนดุสิต จะโชว์ศิลปะการแกะสลักผักผลไม้ที่จะนำมาผสมผสานกับงานทำขนม เป็นต้น โดยรายได้จากการจัดงานหลังจากหักค่าใช้จ่าย จะนำไปบริจาคสมทบทุนให้กับศูนย์โปรตอนสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย เพื่อการรักษาโรคมะเร็งสมองในผู้ป่วยเด็กด้วยอนุภาคโปรตอน ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพสูง และเกิดผลข้างเคียงน้อยสำหรับงานดอกไม้ปาร์คนายเลิศ ครั้งที่ 35 จะมีกิจกรรม 5 โซน ได้แก่ Flowers x Art พบงานศิลป์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากดอกไม้นานาพันธุ์ผลงานปากะศิลป์ จัดแสดงทั่วพื้นที่ของปาร์คนายเลิศ อาทิ พรมดอกไม้และเมล็ดธัญพืชขนาดใหญ่ ฯลฯ Flowers x Exhibition ชมงานศิลปะสุดสร้างสรรค์ของนักศึกษาและกิจกรรมการประกวดบอนสีหลากหลายพันธุ์ Flowers x Market ช็อปปิ้งสินค้า งานศิลปะและอาหาร Flowers x Taste ชิมอาหารจากดอกไม้ในบรรยากาศงดงาม และ Flowers x Play พบกิจกรรมเวิร์กช็อปสำหรับทุกวัยและกิจกรรมเด็ก โดยงานนี้จะจัดในวันที่ 28-31 มีนาคม เวลา 09.00-21.00 น. ณ ปาร์คนายเลิศ ซอยสมคิด ถนนเพลินจิต ราคาบัตรเข้าชม 150 บาท เด็ก นักศึกษาและผู้พิการ ราคา 100 บาท.แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.sanook.com/travel/1446771/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

ทำไมหน้าต่างเครื่องบินเป็นทรงกลม และรูเล็กๆ บนหน้าต่างคืออะไร มีไว้ทำไม

29/02/2024

การมองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบินขณะเดินทางนั้นช่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ยิ่งถ้าคุณไม่ใช่นักบินหรือพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน คงไม่ได้เห็นภาพมุมสูงของก้อนเมฆ ภูเขา หรือเมืองต่างๆ ทุกวันอย่างแน่นอน เคยคิดถึงแรงดันที่กระทำกับบานหน้าต่างบานบางนั้น ที่คั่นระหว่างคุณกับท้องฟ้าอันกว้างใหญ่นั่นหรือไม่?โชคดีที่วิศวกรผู้ออกแบบเครื่องบินคำนึงถึงคำถามเกี่ยวกับฟิสิกส์เหล่านั้นทั้งหมด เพื่อให้เครื่องบินเป็นรูปแบบการขนส่งที่ปลอดภัยมาก นั่นคือเหตุผลที่คุณอาจสังเกตเห็นรูเล็กๆ บนหน้าต่างเครื่องบินทุกบาน รูนี้เรียกว่า "รูระบายแรงดัน" (bleed hole) เป็นองค์ประกอบสำคัญในโครงสร้างหน้าต่าง เพราะช่วยควบคุมแรงดันอากาศความดันอากาศและปริมาณออกซิเจนในอากาศที่ลดลงตามระดับความสูงเมื่อเราเดินทางขึ้นไปบนที่สูง ความดันอากาศและปริมาณออกซิเจนในอากาศจะลดลงตามไปด้วย สภาพแวดล้อมที่มีความดันอากาศต่ำและออกซิเจนจำกัดนั้นไม่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเครื่องบินจึงต้องมีระบบปรับความดันอากาศ เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมภายในห้องโดยสารให้เหมาะสมต่อการหายใจและความสะดวกสบายของผู้โดยสารหน้าต่างของเครื่องบินจึงได้รับการออกแบบเป็นทรงกลมเพราะแรงดันจะกระจายตัวได้สม่ำเสมอมากกว่ารูปทรงอื่น นอกจากนี้ยังมีรูระบายอากาศเป็นรูเล็กๆ เพื่อให้ช่วยลดแรงดันที่กระทำต่อหน้าต่าง ช่วยทำให้อากาศไหลเวียนระหว่างภายในและภายนอกเครื่องบินทำได้ดี รูระบายอากาศ นอกจากช่วยปรับสมดุลความดันอากาศ ยังช่วยระบายความชื้นระหว่างชั้นหน้าต่าง ป้องกันไม่ให้เกิดฝ้าหรือเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณถ่ายรูปบนเครื่องบิน อย่าลืมขอบคุณรูระบายอากาศเล็กๆ นี้ ที่ช่วยให้หน้าต่างใสแจ่มและมั่นใจในความปลอดภัยของคุณแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1446771/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

ทำไมคนรุ่นใหม่อยู่ยากขึ้นเรื่อยๆๆ

28/02/2024

อย่าประมาทนะครับ มันลามมาใกล้ตัวเราขึ้นเรื่อยๆแล้วครับ  ตอนนี้คนที่ทำอาชีพ Maketing หลักทรัพย์ หรือผู้แนะนำการลงทุนตาม broker ต่างๆ บางคนโดนให้ออก บางคนโดนลดเงินเดือน เหตุเพราะ มี Robot trade / internet trade เข้ามา คือโบรคที่ใช้คอมพิวเตอร์ซื้อขายเข้ามาเเทนที่คนทำงาน ยอดปริมาณซื้อขายด้วยคอมพิวเตอร์ ตอนนี้มีปริมาณมากกว่า50% เเละจะมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่ทำงานก็ค่อยๆโดนปลด โดนลดเงินเดือนกันไป โบรคที่ใช้คอมพิวเตอร์ก็จะโต ก้าวหน้าขึ้น ทุกโบรคต้องเปลี่ยนไปใช้คอมซื้อขาย พนักงานจะอยู่ยากมาก เขาจะค่อยๆบีบ ลดคน ให้ไปขายกองทุน ขายประกัน ทุกคนต้องหาทางเลือกไว้ด้วยนะครับ "มันมาเเน่" หลากหลายอาชีพที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้ามาทดแทนแรงงานคนได้ ให้ค่อยๆหาอาชีพเสริมไว้ สำรองไว้ครับ พวกอายุสัก 30-45 ยังต้องสู้ต่อ เพราะยังมี “อนาคต” รออยู่ ค่อยๆศึกษาเพิ่ม หาอาชีพสำรอง ต้องเป็นอาชีพที่ คอมพิวเตอร์มาเเทนที่ไม่ได้ ที่เห็นชัดๆและง่าย คือ “ทำของกินขาย” มันเป็น "อมต" เพราะทุกคนต้องกิน  อย่างที่บ้านอยุธยา เเต่เดิม คนรวยสุดคือ 1. โรงน้ำแข็ง ตอนนี้เลิกหมด เพราะทุกคนมีตู้เย็น 2. โรงเลื่อย ตอนนี้เลิกหมด เพราะป่าหมด 3. เอเย่น เหล้า บุหรี่ เครื่องดื่มชูกำลัง ตอนนี้ยังดีอยู่ เพราะเป็นของกิน 4. ร้านขายของชำ อยู่ได้ เพราะเป็นของกินของใช้ 5. โรงงานที่ทำของกิน อยู่ได้ ไม่กระทบ ทุกๆห้างตอนนี้ ปรับพื้นที่เปลี่ยนเป็นโซนอาหารเยอะมาก โซนอื่นๆแทบจะไม่มีคนเดิน ถ้าเป็นป๊าที่เรียนหนังสือปานกลาง กีฬาก็เล่นได้ปานกลาง ทุกอย่างปานกลาง “มีดีที่มีลูกอึด ขยัน อดทน” - ขายป่อเปี๊ยะ เเบบร้านแถวประตูน้ำ ร้านรถเข็นเล็กๆแต่มีคนเข้าคิวรอเยอะตลอดเวลา - ที่สีลม มีร้านขายข้าวพองเคลือบน้ำตาล ขายได้วันละหลายหมื่นบาท - เเถวสะพานเหลืองมีร้านขายขนม น้ำเต้าหู้ มีคนเข้าคิวรอเยอะ - คนตกงานมาขายหมูปิ้งก็อาจจะรวยได้ เอาสักอย่าง อะไรก็ได้ แต่ต้องทำให้ดี ให้อร่อยกว่าเขา ทำส่ง online ได้ ถือไปกินที่บ้านได้และสามารถขยายใหญ่ต่อได้ มันใกล้ตัวเรามากขึ้นเรื่อยๆครับ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ stock2morrowhttps://stock2morrow.com/article/5884

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เบี้ยประกันชีวิต “พลิกบวก” พ้นบ่วง “ซึมยาว” ย้อนหลัง 5 ปี

29/04/2024

ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อัตราการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นภาพติดลบ แต่ปี 2566 ที่ผ่านมาพลิกกลับมาเติบโตได้แล้วปี’66 เบี้ยประกันชีวิตพลิกบวกโดย “สาระ ล่ำซำ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต (MTL) ในฐานะนายกสมาคมประกันชีวิตไทย (TLAA) เปิดเผยว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา ภาพรวมเบี้ยประกันชีวิตพลิกกลับมาเติบโตได้ 3.61% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) หรือมีเบี้ยรับรวม 633,445 ล้านบาท ซึ่งเติบโตสูงกว่า GDP จากที่นับตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมาส่วนใหญ่แล้วจะเป็นภาพติดลบ (ปี 2562 เบี้ยรับรวม -2.63% ปี 2563 อยู่ที่ -1.75% และปี 2565 อยู่ที่ -0.45%) เนื่องจากมีผลกระทบในหลายมิติ โดยเฉพาะเรื่องภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่มีผลกระทบต่อเส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve) ปรับตัวลงมาตลอด ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจประกันชีวิตเน้นขายประกันสะสมทรัพย์เป็นหลัก ซึ่งมีความละเอียดอ่อนกับ Yield Curve เป็นอย่างมาก“การจะบังคับใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ (TFRS17) ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2568 เป็นต้นไป ทำให้บริษัทประกันชีวิตต้องมีการเตรียมตัวบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอให้มีความเหมาะสม โดยการออกกรมธรรม์แต่ละครั้ง จะต้องแมตชิ่งกับการลงทุนได้ หมายความว่าต้องมองถึงผลรวมของกำไรที่คาดว่าจะได้รับตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งถึงวันสิ้นสุดสัญญาของกรมธรรม์ (VoNB) เป็นสำคัญ ไม่ใช่เฉพาะการมองแค่เรื่องยอดขายเท่านั้น”นอกจากนี้ ความต้องการของคนไทยที่เปลี่ยนแปลงไป ตั้งแต่ก่อนโควิดเป็นต้นมา โดยหันมาให้ความสำคัญกับการวางแผนความคุ้มครองสุขภาพเพิ่มมากขึ้น บริษัทประกันเองจึงพยายามหันมาพัฒนาแบบประกันคุ้มครองชีวิต สุขภาพ และโรคร้ายแรง มากขึ้นด้วยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ซึ่งเป็นสินค้าที่ไม่อ่อนไหวกับภาวะดอกเบี้ย แต่ขนาดเบี้ยจะเล็กกว่าประกันสะสมทรัพย์ 8-10 เท่า ทำให้เบี้ยติดลบประกอบกับตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา บริษัทประกันชีวิตขายกรมธรรม์สัญญาระยะสั้น เช่น ชำระเบี้ย 1-3 ปี และสัญญาระยะกลาง เช่น ชำระเบี้ย 7 ปี, 10 ปี ค่อนข้างมาก ทำให้มีกรมธรรม์ครบกำหนดสัญญาสิ้นสุด (Maturity) และกรมธรรม์ที่ชำระเบี้ยครบแล้วแต่ยังมีความคุ้มครองอยู่ (Paid-up) อยู่ค่อนข้างมาก ทำให้พอร์ตเบี้ยประกันปีต่ออายุปรับตัวลดลง ซึ่งอาจทำให้ถูกมองว่าคนยกเลิกต่ออายุสัญญา แต่จริง ๆ แล้วมาจากเรื่อง Paid-up เป็นหลักเบี้ยสุขภาพทะลุแสนล้านทั้งนี้ บริษัทประกันชีวิต 10 อันดับแรก มีมาร์เก็ตแชร์รวมกัน 92.47% แยกเป็นเบี้ยปีต่ออายุ 454,975 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.06% และเบี้ยรับรายใหม่ 178,470 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.06% ซึ่งเบี้ยส่วนนี้มาจากเบี้ยรับปีแรก 112,377 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.83% และเบี้ยซิงเกิลพรีเมี่ยม 66,093 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.18%โดยพอร์ตประกันสะสมทรัพย์ เติบโต 2.93% ยังเป็นพอร์ตที่มีมาร์เก็ตแชร์ใหญ่ที่สุด 44.23% ซึ่งหันมาขายแบบชนิดแบ่งผลกำไรให้แก่ผู้เอาประกัน (Participating Policy) เพื่อความยั่งยืน ตามมาด้วยสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพและโรคร้ายแรง ที่มีเบี้ยรับรวม 109,786 ล้านบาท เติบโต 5.93% มีมาร์เก็ตแชร์ 17.33%ซึ่งพอร์ตนี้ค่อนข้างมีความท้าทายในการรับมืออัตราเงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาล และการเคลมป่วยเล็กน้อยทั่วไป (Simple Diseases) ที่มีอัตราส่วนการเคลมค่อนข้างสูงอยู่พอสมควร แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าปี 2567 จะยังคงเติบโตในระดับดับเบิลดิจิตส่วนประกันสินเชื่อ (Mortgage) ติดลบ 0.95% ล้อตามธุรกรรมของภาคธนาคารที่เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ และประกันชีวิตควบการลงทุน (ยูนิตลิงก์-ยูนิเวอร์แซลไลฟ์) ติดลบ 7.69% ตามภาวะตลาดทุนที่มีความผันผวนปี 2567 คาดเบี้ยโต 2-4%สำหรับปี 2567 “นายกสมาคมประกันชีวิตไทย” กล่าวว่า ประมาณการเบี้ยรับรวมเติบโต 2-4% หรือเบี้ย 6.46-6.58 แสนล้านบาท โดยมีปัจจัยหนุนจากภาวะเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มดีขึ้น และโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังคงแข็งแกร่ง มีเรื่องเทรนด์สุขภาพ สังคมผู้สูงวัย และการใช้เทคโนโลยีทั้งกระบวนขายประกันที่ง่ายและสะดวก“แต่อาจจะมีความท้าทายอยู่บ้างทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่อาจจะชะลอตัว การเติบโตไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ มีความผันผวนของตลาดทุนไทยที่มีความต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยลดลงซึ่งอาจกระทบต่อรายได้จากการลงทุนของบริษัทประกันชีวิต รวมถึงอาจมีความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์”MTL ตั้งเป้าเบี้ยใหม่โต 20%“สาระ” กล่าวต่อว่า สำหรับเป้าหมายของเมืองไทยประกันชีวิต คาดปีนี้จะมีเบี้ยรับรายใหม่เติบโต 20% โดยมีแผนขยายพอร์ตประกันชีวิตรวมกับพอร์ตประกันสุขภาพและโรคร้ายแรง ให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 70% จากปีที่แล้วอยู่ที่ 60% ของพอร์ตโฟลิโอรวมส่วนการบริหารพอร์ตลงทุน 6 แสนล้านบาท ปีนี้จะรักษาผลตอบแทนให้ใกล้เคียงปีที่แล้ว 3.5-4% ยังคงมุ่งเน้นการลงทุนผ่านตราสารหนี้เป็นหลัก อาจจะลงทุนเพิ่มในกรีนบอนด์ และ ESG Bond รวมถึงจะมีความชัดเจนการลงทุนคลินิกเฉพาะทาง และร่วมลงทุนในสถานดูแลผู้สูงอายุ (Nursing Home)BLA ชู 3 ปี เบี้ยปีแรกหมื่นล้านฟาก “โชน โสภณพนิช” กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต (BLA) กล่าวว่า บริษัทวางเป้าอย่างท้าทายใน 3 ปีจากนี้ (ปี 2567-2569) จะมีเบี้ยรับปีแรกแตะ 10,000 ล้านบาท โดยช่องทางตัวแทนตั้งเป้าเติบโตปีละ 15% ต่อเนื่อง 5 ปี พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับช่องทางโมบายแบงกิ้งของธนาคารกรุงเทพ (BBL) เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยยังเน้นขายสินค้าประกันสะสมทรัพย์เป็นหลัก เน้นเจาะลูกค้า 2 เซ็กเมนต์คือ เริ่มซื้อประกันฉบับแรก และซื้อประกันเพื่อลดหย่อนภาษีหรือสะสมความมั่งคั่ง“ปีที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรสุทธิ 2,548 ล้านบาท มีมูลค่าปัจจุบันของกรมธรรม์ที่ขายไปแล้วทั้งหมด (Embedded Value) อยู่ที่ 67,871 ล้านบาท มีมูลค่ากรมธรรม์ใหม่ที่เพิ่งขายออกไป (VNB) 2,759 ล้านบาท และมีผลตอบแทนจากการลงทุน 3.75% จากพอร์ตสินทรัพย์ 3.2 แสนล้านบาท โดยบอร์ดได้อนุมัติจ่ายปันผล 0.20 บาท/หุ้น จากกำไรสะสม ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 7 พ.ค. 2567”แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1509016

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

นิทรรศการงานศิลป์นักสารคดีคนดัง

29/04/2024

West Eden ภูมิใจนำเสนอนิทรรศการ “Apopheniac” จัดแสดงผลงานชุดใหม่ของ เซดริก อาร์โนลด์ ศิลปินชาวอังกฤษ-ฝรั่งเศส ที่ได้เริ่มต้นอาชีพในฐานะนักสารคดีครั้งแรกในเมืองเบลฟาสต์และกรุงลอนดอน ก่อนที่เขาจะย้ายไปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี พ.ศ.2544 โดยเขาได้ทำงานร่วมกับนิตยสารอย่าง Time Magazine, Sunday Times, HBO, Washington Post และอื่นๆอีกมากมายนิทรรศการ “Apopheniac” ถูกปรับแต่งจากคำว่า “Apopheniac” ที่อธิบายถึงแนวโน้มของการเชื่อมโยงรูปแบบจากสิ่งที่ไม่มีความเกี่ยวพันกันหรือสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไร้แบบแผน ไม่ว่าจะเป็นจากวัตถุหรือความคิด ในขณะที่มนุษย์ต้องการอธิบายความหมายและบอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆในชีวิต เรากลับหลอมรวมช่วงเวลาที่ไม่สัมพันธ์กันขึ้นมา โดยความต้องการเหล่านี้ได้ส่งผลต่อเส้นแบ่งระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงและโลกของจินตนาการให้ดูพร่ามัวภายในนิทรรศการแสดงผลงานชิ้นเด่นทั้งหมด 2 ชิ้น ได้แก่ ผลงานชื่อ Inadvertent Icon (2020) และ Apopheniac V (2023) ที่ถูกนับว่าเป็นผลงานที่แสดงความเคารพต่อปรมาจารย์จิตรกรในอดีต นิทรรศการนี้ได้เดินตามรอยการแสดงที่น่ายกย่องจากที่ได้ปรากฏในงาน Avignon (Maison Jean Vilar) ในปี พ.ศ.2565, งาน Paris (Biennale de l’image Tangible) ในปี พ.ศ.2566 และงาน Río de Janeiro Museu de Arte Moderna (Dobra film festival) ในปี พ.ศ.2566 นิทรรศการนี้จัดแสดงที่ West Eden Gallery สุขุมวิท 31 วันนี้ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2567.แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2765925

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

คลังความรู้อื่นๆ

เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมเปิดตัวโครงการรณรงค์ความปลอดภัยทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ประจำปี 2567 โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)

29/04/2024

เอไอเอ ประเทศไทย คว้ารางวัลสุดยอดองค์กรส่งเสริมสุขภาวะทางจิต Thai Mind Awards 2025 ต้นแบบการส่งเสริมสุขภาพใจพนักงาน พร้อมติดโผ 5 บริษัทที่น่าทำงานด้วยมากที่สุดในไทย ปี 2024 จาก "Best Places to Work"

07/02/2025

เปิด 5 เรื่องควรรู้ ก่อนลงทุนกองทุนรวม

06/09/2024

บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) ได้รับการจัดอันดับ Mercer FundWatch Rating ระดับ 4 ดาว จากกองทุน AIA Thai Equity และ ESG Rating ระดับ ESG3 สะท้อนการบริหารจัดการลงทุนเชิงรุกและการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม

30/04/2024

“เขาสายรุ้งตานเสีย” ธรณีวิทยาสุดตระการตาแห่งมณฑลกานซู่

29/10/2024


X