Everyday knowledge for you
ห้องแสดงนิทรรศการ
29/04/2024
ไปวัดเดียวเหมือนได้ชมนิทรรศการจิตรกรรมร่วมสมัยถึง 3 งาน สร้างสรรค์โดย ‘ศิลปิน’กลุ่มจิตอาสาฟ้าประทาน ผู้น้อมนำงานศิลปะถวายเป็นพุทธบูชาเร็วกว่านี้มีอีกไหม งานอาสาวาดจิตรกรรมฝาผนัง 1 โบสถ์ 2 วิหาร 3 วันเสร็จ ที่ วัดโพธิ์คอย จ.สุพรรณบุรีอีกหนึ่งสถิติที่น่าจดจำของ ศิลปินกลุ่มจิตอาสาฟ้าประทาน หลังจากฝากฝีมือไว้ในโบสถ์วัดท้ายเกาะใหญ่ จ.ปทุมธานี ที่ใช้เวลาวาด 3 วันเสร็จ มาถึง วัดโพธิ์คอย จ.สุพรรณบุรี ครั้งนี้ใช้เวลาเท่าเดิม แต่เพิ่มจาก 1 โบสถ์ คือ 2 วิหาร ผลลัพธ์เป็นที่น่าติดตามภาพจิตรกรรมภายในวิหารพระนอน วัดโพธิ์คอยศิลปินกลุ่มจิตอาสาฟ้าประทาน เป็นการรวมตัวของรุ่นพี่รุ่นน้องคณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ ม.ศิลปากร นำโดย อลงกรณ์ หล่อวัฒนา, ห่มสวรรค์ อู่ม่านทรัพย์ และ ธีรวัฒน์ นุชเจริญผล แต่ละคนก็ชักชวนเพื่อนๆ ที่มีจิตศรัทธาในการทำงานศิลปะเป็นพุทธบูชามาร่วมงานกันโดยมีผลงานฝากไว้ที่วัดท้ายเกาะใหญ่ จ.ปทุมธานี วัดพิกุลโสคัณธ์ วัดบางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา และ วัดโพธิ์คอย จ.สุพรรณบุรีศิลปินกลุ่มจิตอาสาฟ้าประทาน กับผลงานจิตรกรรมในโบสถ์วัดท้ายเกาะใหญ่ จ.ปทุมธานีจิตรกรรมฝาผนังที่วัดพิกุลโสคัณธ์ จ.พระนครศรีอยุธยาจิตรกรรมฝาผนังที่วัดบางบาล จ.พระนครศรีอยุธยาความน่าสนใจ คือ พวกเขาจะใช้เวลาทำงานแต่ละวัดให้แล้วเสร็จภายในเวลา 3 วัน โดย 3 วัดได้แก่ วัดท้ายเกาะใหญ่ วัดพิกุลโสคัณธ์ วัดบางบาล จะวาดเพียงโบสถ์ หรือ วิหาร แห่งเดียว ยกเว้นวัดโพธิ์คอยนับว่ามีความพิเศษ เนื่องจากได้รับมอบหมายให้ลงมือวาดโบสถ์ และวิหาร 2 หลัง ในคราวเดียวกันศิลปินกลุ่มจิตอาสาฟ้าประทาน นำโดย อลงกรณ์ หล่อวัฒนา ห่มสวรรค์ อู่ม่านทรัพย์ และ ธีรวัฒน์ นุชเจริญผลจากเดิมที่มี อลงกรณ์ หล่อวัฒนา เป็นแกนหลักในการวางโครงเรื่องและภาพ ตลอดจนวางแผนแบ่งงานว่าใครมีหน้าที่วาดเส้น ลงสีอะไร ตรงไหนอย่างเป็นระบบ ครั้งนี้ใช้ระบบการทำงานเหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมศิลปินหลักขึ้นมา โดยมี ห่มสวรรค์ อู่ม่านทรัพย์ รับผิดชอบในการออกแบบสร้างสรรค์วิหารพุทธบำเพ็ญธีรวัฒน์ นุชเจริญผล ดูแลวิหารพระนอน ส่วนอลงกรณ์รับหน้าที่วาดภาพจิตรกรรมบริเวณหน้าบันและโบสถ์ โดยทั้งหมดมีทีมจิตรกรอาสาที่มากันด้วยใจร่วมสนับสนุนและเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยทำให้งานแล้วเสร็จได้ภายใน 3 วันสมดังความตั้งใจ“สาเหตุหลักที่ทำให้งานเสร็จไวเป็นเพราะพี่อลงกรณ์กับพี่ห่มสวรรค์เป็นคนที่มีความลึกซึ้งในพุทธศิลป์ ผลงานของแต่ละคนก็เกี่ยวกับพุทธศาสนา ปริศนาธรรมอยู่แล้ว งานจิตรกรรมฝาผนังจึงเหมือนเป็นงานที่เขาทำอยู่เป็นประจำมีความเชี่ยวชาญทำให้งานเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว” ธีรวัฒน์ นุชเจริญผล บอกกับเราพร้อมเล่าถึงการทำงานในวิหารพระนอนหลังได้รับการซ่อมแซมอาคารแล้วเสร็จว่าภาพเทวดา บุคคลและสรรพสัตว์ มาร่วมส่งเสด็จพระพุทธเจ้าสู่นิพพาน“วิหารเดิมไม่เคยมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง มีเพียงพระนอนปางปรินิพพาน ผมจึงใช้สีน้ำเงินเป็นสื่อถึงความเงียบสงบ ขณะเดียวกันก็มีต้นโพธิ์ที่โน้มกิ่งลงมาเพื่อเป็นร่มเงาให้แก่พระพุทธองค์ขณะดับขันธ์ปรินิพพานในภาพจะมีทั้งบุคคลและสัตว์ทั้งหลายที่พากันมาส่งเสด็จสู่นิพพาน โดยผนังตรงข้ามของพระนอนจะวาดภาพพระศรีอารยเมตไตรยพระพุทธเจ้าองค์ถัดไปมารออยู่”จิตรกรรมสีสันสดใสภายในวิหารพุทธบำเพ็ญ แสดงภาพ 'โพธิ์ไหว' หลังพระประธานจากวิหารพระนอนขนาดเล็กที่ถ่ายทอดความรู้สึกสงบ มาสู่ วิหารพุทธบำเพ็ญ ที่มีความสูง 10 เมตร ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางบำเพ็ญทุกรกิริยา ที่แต่งแต้มด้วยสีสันสุดสดใส สีสะท้อนแสงเหล่านี้มีความหมายที่ ห่มสวรรค์ อู่ม่านทรัพย์ ต้องการปรับเปลี่ยนความมืด ความรู้สึกหดหู่ของวิหารหลังเดิมให้กลายเป็นความสดใส พระอินทร์เล่นพิณ 3 สายในขณะเดียวกันก็ใช้ศิลปะร่วมสมัยถ่ายทอดเรื่องราวพุทธประวัติขณะพระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา โดยวาดรูปพระอินทร์ขณะเล่นพิณ 3 สายไว้ที่ผนังฝั่งตรงข้ามพระพุทธรูป เพื่อเตือนสติในการเลือกเดินสายกลาง ดั่งสายพิณที่ตึงหรือหย่อนเกินไปก็ไม่ดี ส่วนผนังด้านข้างเป็นภาพเทพชุมนุมที่เปรียบเสมือนกำลังใจที่จะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นโดยเบื้องหลังพระประธานมีภาพวาด “โพธิ์ไหว” ซึ่งศิลปินต้องการสื่อถึงความรู้สึกอ่อนไหวของพระพุทธองค์กระทั่งมาพบปริศนาธรรมจากการบรรเลงพิณ 3 สายของพระอินทร์ นับเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวด้วยรูปทรงของสีและเส้นที่น่าตื่นตาไม่น้อยเลยทีเดียวภาพปริศนาธรรมภายในโบสถ์ปฏิจจสมุปบาทส่วนพระอุโบสถ อลงกรณ์ หล่อวัฒนา ยังคงใช้เส้นและสี ดำกับขาว เป็นสื่อที่นำเสนอปริศนาธรรมว่าด้วยเรื่องของ ปฏิจจสมุปบาท อันเกี่ยวเนื่องจากโมหะ โลภะ โทสะ “ลายเส้นจะมีทั้งรูปบุคคลแขนขายาว เท้าใหญ่ มือใหญ่ เราต้องการสื่อถึงกายสังขาร เท้าใหญ่ หมายถึงการเดินทาง มือใหญ่สื่อถึงการกระทำ บางคนเดินทางเยอะ ทำงานเยอะ แต่ไม่พบความสำเร็จ อาจเป็นเพราะขาดความคิด พิจารณา เราจึงวาดรูปดวงตาไว้ในมือแทนความหมายว่า การที่เราลงมือทำนั้น เกิดจากการดูและสังเกต สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราเข้าใจธรรมะมากยิ่งขึ้น” ศิลปินเจ้าของผลงานแนวจิตวิญญาณเชิงสัญลักษณ์กล่าวจิตรกรรมฝาผนังที่โบสถ์มีการแทรกลายเส้นของศิลปินรุ่นใหม่ Soul Crazy หนึ่งใน 'กลุ่มศิลปินจิตอาสาฟ้าประทาน' ที่เข้ามาร่วมสร้างสรรค์งานบุญในครั้งนี้วัดโพธิ์คอย เป็นวัดเก่าที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปีพ.ศ.2363 ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้าง หากมีการผูกเรื่องให้เข้ากับนิทานพื้นบ้านเรื่องขุนช้างขุนแผน โดยนำตอนที่นางพิมพิลาไลยปลูกต้นโพธิ์เสี่ยงทายคอยการกลับมาของขุนแผนในคราวที่ยกทัพไปตีเมืองเชียงทอง ต้นโพธิ์ที่ปลูกไว้จึงได้ชื่อว่า “โพธิ์คอย”ในปี 2565 กลุ่มจิตศรัทธา นำโดย มิตรชัย ภักตร์เจริญ นักธุรกิจเจ้าของร้านอาหารและที่พักริมแม่น้ำเจ้าพระยา ได้อาสามาซ่อมแซมโบสถ์และวิหารที่ทรุดโทรมให้กลับมาใช้งานได้อย่างมั่นคงปลอดภัย พร้อมกับได้ชักชวนเพื่อนร่วมรุ่น ม.ศิลปากร อลงกรณ์ หล่อวัฒนา ศิลปินร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงระดับแนวหน้าของไทย และศิลปินรุ่นน้องมาร่วมกันสร้างสรรค์ภาพจิตรกรรมฝาผนังเพื่อน้อมเป็นพุทธบูชา“งานนี้ไม่มีค่าตัวใดๆ ทุกคนมาทำกันด้วยใจศรัทธา ระหว่างทำงานไปก็อิ่มใจกลับถึงบ้านก็สบายใจ บุญเกิดแล้วตรงนั้น เราเชื่อว่าสิ่งที่เราทำมันยิ่งใหญ่ มันมีประโยชน์ต่อคนในยุคถัดไป ภาพจิตรกรรมฝาผนังสมัยเก่าเปรียบเสมือนครูที่สอนให้เราได้เรียนรู้ จนในวันที่เรามีฝีมือพอที่จะถ่ายทอดให้คนรุ่นต่อไปได้ เราจึงสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมฝาผนังที่วัดแห่งนี้ด้วยพลังแห่งความศรัทธา”ธีรวัฒน์ นุชเจริญผล กล่าวทิ้งท้ายพร้อมฝากเชิญชวนผู้สนใจเข้าชมจิตรกรรมฝาผนังร่วมสมัย 1 โบสถ์ 2 วิหาร 3 สไตล์ ที่บ่งบอกความเป็นศิลปินในพ.ศ.ปัจจุบันวัดโพธิ์คอย • ที่ตั้ง : ต.ท่าระหัด อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี • โทร : 0 3552 2959แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1110468
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
29/04/2024
กะตะกรุ๊ปฯ เปิดตัว รีสอร์ทไลฟ์สไตล์แห่งใหม่ พร้อมจุดชมวิวพื้นกระจกสูงและยาวที่สุดในไทย ชมทิวทัศน์หลักล้านของ “เสม็ดนางชี” แลนด์มาร์กดังระดับโลกของพังงา“กะตะกรุ๊ป รีสอร์ท ประเทศไทย” (Kata Group Resorts Thailand) พลิกโฉมแบรนด์ “บียอนด์” (Beyond) ภายใต้แนวคิด “Colors of Beyond” สร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัวโรงแรมแห่งใหม่ “บียอนด์ สกายวอล์ค นางชี” (Beyond Skywalk Nangshi) ที่มาพร้อม ‘บียอนด์ สกายวอล์ค’ (Beyond Skywalk) ทางเดินพื้นกระจกลอยฟ้าที่สูงและยาวที่สุดในประเทศไทย แลนมาร์กท่องเที่ยวแห่งใหม่โอบล้อมด้วยทิวทัศน์ที่ไม่มีใครเทียบได้ของทะเลอันดามันและภูเขาเสม็ดนางชีอันตระการตา“บียอนด์ สกายวอล์ค นางชี” รีสอร์ทขนาด 57 ห้อง ตั้งอยู่ในจังหวัดพังงา จุดหมายปลายทางที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่แสวงหาประสบการณ์อันน่าจดจำ ที่เหมาะกับทุกงบประมาณและทุกไลฟ์สไตล์ห้องพักแต่ละห้องได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันเพื่อมอบความสะดวกสบายและมีสไตล์ท่ามกลางธรรมชาติอุดมสมบูรณ์และเงียบสงบ มีให้เลือกทั้ง เต็นท์วิวทะเล (Seaview Tent) เต็นท์กลางป่า (Forest Tent) ขนาด 23 ตารางเมตร ที่สามารถตื่นขึ้นมาแล้วพบกับวิวพระอาทิตย์ขึ้นเหนือทะเลแบบพาโนราม่าหรือขุนเขาเขียวขจี พาวิลเลี่ยนวิวทะเล (Seaview Pavilion) ห้องพักขนาด 30-31 ตารางเมตร ตั้งอยู่ในอาคาร 2 ชั้น สัมผัสประสบการณ์ความหรูหราเหนือระดับที่มองเห็นความงามของวิวเสม็ดนางชีอย่างชัดเจนค้นพบการพักผ่อนสุดพิเศษที่นำเสนอการผสมผสานที่สมบูรณ์แบบของตัวเลือกที่พักแบบ วิลล่า (Villa) และ พูลวิลล่า (Pool Villa) ที่มีสระว่ายน้ำส่วนตัวหรือจากุชชี่ มีขนาดตั้งแต่ 1 ห้องนอน ไปจนถึง 2 ห้องนอน แต่ละหลังมีลักษณะโดดเด่น มาพร้อมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและวิวเสม็ดนางชีที่สวยงามแบบอันซีนนอกจากนี้ ยังมีร้านอาหาร “Horizon” เปิดให้บริการตลอดทั้งวัน เสิร์ฟอาหารเลิศรสพร้อมทิวทัศน์อันตระการตา “Skywalk Café” คาเฟ่บรรยากาศสบายๆ สำหรับการพักผ่อนและเพลิดเพลินกับกาแฟหรือชาสักแก้ว ต่อด้วยการแหวกว่ายรับความสดชื่นใน “สระว่ายน้ำ” ที่ตั้งอยู่บนชั้น 4 ของอาคาร Upper Lobby สูดอากาศบริสุทธิ์และดื่มด่ำกับทัศนียภาพอันงดงามขณะว่ายน้ำ หรือสนุกกับการพายเรือแคนู สำรวจป่าชายเลน นั่งเรือหางยาวไปยังเกาะใกล้เคียง อาทิ เกาะเจมส์บอนด์ เกาะห้อง เกาะพนัก เกาะปันหยี หรือหมู่บ้านยิปซีไฮไลท์คือ ‘บียอนด์ สกายวอล์ค’ (Beyond Skywalk) ทางเดินพื้นกระจกลอยฟ้าที่สูงและยาวที่สุดในประเทศไทย ที่เชื้อเชิญนักเดินทางให้มาดื่มด่ำไปกับความมหัศจรรย์ของวิวหลักล้านสุดอันซีนที่ไม่เหมือนใคร ด้วยความยาว 180 เมตร สูงจากระดับน้ำทะเล 80 เมตร กระจกสามชั้นหนา 30 มิลลิเมตร สามารถรองรับน้ำหนักได้มากถึง 500 กิโลกรัมต่อตารางเมตร จิบเครื่องดื่มและเพลิดเพลินไปกับวิวหลักล้านสุดอันซีน ตั้งแต่โมงยามของพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก และแสงเรืองรองของทางช้างเผือกเหนือทะเลอันดามันราคาเข้าชมพร้อมเครดิตอาหารและเครื่องดื่ม สำหรับผู้ใหญ่ ราคา 500 บาท นักเรียน/เด็ก ราคา 300 บาท และเด็กเล็กเข้าชมฟรี (ราคานี้เป็นช่วงเปิดตัว หมดเขต 29 กุมภาพันธ์นี้)ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://facebook.com/BeyondSkywalkNangshiแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000010224
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
29/04/2024
พ่อแม่หลายคนบ่นให้ผมฟังว่า ลูกชายหรือลูกสาวไม่คิดจะแต่งงาน และลูกที่แต่งงานแล้ว ก็ไม่คิดจะมีลูก ซึ่งคนรุ่นใหม่ของเราที่คิดแบบนี้ ดูเหมือนจะมีมากขึ้นเรื่อยๆครับ ผมก็เลยไปดูแนวโน้มที่ประเทศอื่นๆ ว่าเป็นเช่นใด เริ่มจากประเทศญี่ปุ่น ผมได้อ่านรายงานล่าสุดที่ออกมาเมื่อเดือนมกราคม 2567 นี้เองว่า ในบรรดาหนุ่มสาวโสดที่นั่น วัย 20-40 ปี ซึ่งเป็นวัยที่น่าจะมีคู่ครองแล้ว แต่กลับมี มากถึง 34.1% ที่ตอบว่า “ไม่เคยมีแฟนเลย” แต่คนที่ไม่เคยมีแฟนเลย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ไม่ว่าอายุเท่าใดก็ตาม ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีโอกาสแต่งงานนะครับ เพราะเวลากามเทพแผลงศร มักไม่ดูวัยหรือเหตุผลใดๆซะด้วย ก็เลยต้องถามหนุ่มสาวญี่ปุ่น ที่อยู่ในวัยเจริญพันธ์ทั้งหมด ซึ่งรวมทั้งคนที่มีแฟนหรือยังไม่มีแฟน ว่า “ในอนาคตเขาหรือเธอ จะแต่งงานไหม” ปรากฏว่า 1 ใน 4 คน หรือ 25.6% ตอบว่า “ไม่เคยคิดจะแต่งงาน” ทำให้ภาพยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีก ว่าแนวโน้มจะเป็นเช่นใด ส่วนเหตุผลที่ไม่คิดจะแต่งงานนั้น ชายหนุ่มที่ปฏิเสธการแต่งงาน มีถึง 42.5% ที่ให้เหตุผลว่า ”มันจะเป็นภาระทางการเงิน“ ในขณะที่ หญิงสาวที่ไม่คิดจะแต่งงาน มีมากถึง 40.5% ที่ตอบว่า ”มันจะทำให้เสียอิสรภาพในการใช้ชีวิต“ สรุปว่าคนเกิดก็น้อยลง คนไม่เคยมีแฟนก็มากขึ้น และคนที่ไม่คิดจะแต่งงานก็มีถึง 1 ใน 4 คน แล้วอย่างนี้ อนาคตอีก 10-20 ปีข้างหน้า จะเป็นเช่นใดหนอ เป็นภาพที่ท้าทาย ต่อนโยบายของรัฐอย่างแน่นอน จากญี่ปุ่น ผมมองไปที่เกาหลี และพบว่าเมื่อ 15 ปีก่อน สตรีเกาหลีวัย 20-30 ปี มีจำนวนมากกว่าครึ่งหนึ่ง คือ 52.9% ที่มองว่า “การแต่งงานเป็นสิ่งที่ดี” แต่ขณะนี้คนที่ตอบอย่างนี้ เหลือเพียง 27.5% เท่านั้นเอง ส่วนทำไมจึงไม่เห็นว่าการแต่งงานเป็นสิ่งที่ดีนั้น ไม่ปรากฏในรายงานครับ แต่นี่ก็เป็นเหตุผลที่ยืนยันว่า ทำไมพวกเขาจึงไม่คิดที่จะแต่งงาน แต่ ชายและหญิงเกาหลี ที่อายุเกิน 60 ปี กลับมองว่า “การแต่งงานเป็นสิ่งที่ดี” และมีจำนวนมากถึง 74.9% และ 68.7% ตามลำดับ แสดงว่าโลกทัศน์และวิธีคิดของคนต่างวัยในเรื่องนี้ แตกต่างกันมากจริงๆ ผมไปดูที่จีนบ้าง ประเทศที่เคยใช้นโยบายห้ามมีลูกเกิน 1 คน และควบคุมแบบนี้อย่างเคร่งครัด มานานหลายทศวรรษแล้ว แต่กลับ เปลี่ยนนโยบายให้มีลูกได้ 2 คน เมื่อปี 2016 และในปี 2021 ก็เพิ่มให้เป็น 3 คน ถือว่าเป็นการเปลี่ยนนโยบายรวดเร็วมาก รวมทั้งยังส่งเสริมด้วยการให้สิทธิพิเศษต่างๆอีกด้วย เรามาดูซิว่าได้ผลเพียงใด คำตอบสั้นๆคือไม่ได้ผลครับ อัตราการมีบุตรของผู้หญิงจีนหนึ่งคน ในปี 2020 อยู่ที่ 1.28 คน แล้วลงลงเหลือ 1.08 คนในปี 2022 และปัจจุบันเหลือเพียง 1.0 คน เท่านั้นเอง ซึ่งถ้าจีนจะรักษาระดับประชากรไว้ได้ ตัวเลขนี้จะต้องเป็น 2.1 คน พอไปดูเรื่องการแต่งงานที่จีน ก็พบว่าสัดส่วน “จำนวนคู่แต่งงาน ต่อประชากร 1,000 คน” ของจีนนั้น เคยต่ำสุดเพียง 6.1 คู่ต่อประชากร 1,000 คน เมื่อปี 2002 แล้วกลับสูงขึ้นเรื่อยๆทุกปี จนถึง 9.9 คู่ เมื่อปี 2013 ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเทรนด์ที่ดี แต่ที่ไหนได้ 10 ปีที่ผ่านมา ตัวเลขคู่แต่งงานของจีนต่อประชากร 1,000 คน กลับลดลงทุกปี จาก 9.9 คู่ เหลือ 9 คู่ 8, 7, 6 และ 5 คู่ ตามลำดับ จนเมื่อปี 2022 เหลือเพียง 4.8 คู่เท่านั้นเอง สรุปว่าจีนก็พบปัญหาเดียวกับหลายๆประเทศ ส่วนของไทยเรานั้น เท่าที่ผมหาสถิติมาได้ พบว่า ปี 2016-2018 มีการจดทะเบียนสมรส ใกล้เคียงกัน คือปีละประมาณ 300,000 คู่ แต่ปี 2019-2021 กลับลดลงมาต่อเนื่อง ต่ำสุดที่ 240,000 คู่ แล้วก็ตีกลับเป็น 300,000 คู่อีกครั้งเมื่อปี 2022 แปลว่า 5-6 ปีที่ผ่านมา อัตราการแต่งงานของไทยเรา ยังทรงๆ แต่อาจมีแนวโน้มทรุดลงก็เป็นได้ เพราะคนรุ่นใหม่ของเรา คงมีแนวคิดที่เปลี่ยนแปลงไปคล้ายกับประเทศอื่นๆ ข้อมูลทั้งหมด ทำให้เห็นว่านี่คือความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน และน่าเป็นห่วงยิ่ง เมื่อคนวัยทำงานในวันนี้ ต้องแบกภาระทางการเงิน เพื่อดูแลคนวัยเบบี้บูมและรุ่นอื่นๆที่ตามมา และอีก 20-30 ปี ข้างหน้า เมื่อคนทำงานวันนี้เข้าสู่วัยเกษียณ และคนรุ่นต่อไปที่จะเข้ามารับภาระต่อ ก็ลดน้อยลงไปอีก จะเป็นปัญหาใหญ่โตสำหรับรัฐบาลในวันข้างหน้า แต่เรารอช้าไม่ได้เพราะต้องทำอะไรตั้งแต่รัฐบาลวันนี้ครับ ส่วนค่านิยมที่เปลี่ยนไปในเรื่องการแต่งงานนั้น ผมว่าเราลองดูกันอีกสักปี เพราะนี่ก็จะถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ อยู่แล้ว ไปลุ้นกันวันนั้น ที่เขตบางรัก ดีไหมครับ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/blogs/finance/investment/1111271
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
29/04/2024
บางกอก คุนสตาเล่อ ประเดิมการเปิดตัวพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ด้วยนิทรรศการ Nine Plus Five Works ผลงานศิลปะร่วมสมัยของ มิเชล โอแดร์ (Michel Auder) ศิลปินระดับตำนาน ผู้สร้างสรรค์วิดีโออาร์ตชื่อดังแห่งยุค 60 จัดแสดงผลงานครั้งแรกใน Southeast Asiaบางกอก คุนสตาเล่อ (Bangkok Kunsthalle) พื้นที่จัดแสดงงานศิลปะแห่งใหม่ในย่านเยาวราช กรุงเทพฯ ก่อตั้งโดย มาริษา เจียรวนนท์ เมื่อต้นปี 2567 เพื่อเป็นศูนย์กลางในการจัดนิทรรศการ เสวนา และการแลกเปลี่ยนบทสนทนาระหว่างผู้คนในวงการศิลปะร่วมสมัยในประเทศไทย รวมถึงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เปิดตัวนิทรรศการแรกแห่งปีด้วย Nine Plus Five Works ผลงานของ มิเชล โอแดร์ (Michel Auder) นักสร้างภาพยนตร์ผู้สร้างสรรค์ผลงานเชิงทดลอง และผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะแนว วิดีโออาร์ต ตั้งแต่ยุค 60 เป็นต้นมาสเตฟาโน ราโบลลี แพนเซรา ภัณฑารักษ์, พรรณวลัย อินทราพิเชฐ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดองค์กร ซัมซุง, มาริษา เจียรวนนท์ ผู้ก่อตั้งบางกอก คุนสตาเล่อ, มิเชล โอแดร์ ศิลปินเจ้าของผลงาน Nine Plus Five Worksสเตฟาโน ราโบลลี แพนเซรา (Stefano Rabolli Pansera) เป็นภัณฑารักษ์ บางกอก คุนสตาเล่อ กล่าวว่า มิเชล โอแดร์ เกิดที่ฝรั่งเศส ปัจจุบันพำนักและทำงานในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ขณะนี้อายุ 79 ปีเป็นศิลปินที่มีความโดดเด่นในด้านการสังเกตเชิงจินตภาพ มีความศรัทธา แน่วแน่และจริงใจในความรู้สึกและแนวคิดในการสร้างสรรค์ผลงานแต่ละยุคสมัย ผลงานภาพยนตร์ของเขาสามารถเรียกได้ว่า เป็นทั้งการสะท้อนภาพที่เสมือนจริงและมีไวยากรณ์ที่ลึกซึ้งราวกับบทกวีได้เช่นกันหนึ่งในเครื่องมือสร้างงานศิลปะที่สำคัญของโอแดร์คือ ‘กล้องวิดีโอแบบพกพา’ ทำให้เขามีโอกาสได้เก็บบันทึกภาพชีวิตส่วนตัวของเขาได้อย่างใกล้ชิดผลงานของเขามักเป็นการทำงานผสานกันระหว่างความเป็นศิลปะ สารคดี และเรื่องราวส่วนตัว ราวกับเป็นการเขียนไดอารีหรือบันทึกความฝันโอแดร์มีชื่อเสียงจากงานวิดีโออาร์ตเชิงทดลองที่ไม่บอกเล่าเรียงตามลำดับเวลา รวมถึงผลงานภาพยนตร์ที่ไม่ได้บอกเล่าเรื่องราวตามขนบทั่วไป ถือเป็นการแหกขนบธรรมเนียมการเล่าเรื่องในวิดีโออาร์ตและภาพยนตร์แห่งยุคสมัยคอนเซปต์นิทรรศการ Nine Plus Five Worksนิทรรศการ “Nine Plus Five Works” ของมิเชล โอแดร์ผลงานของ มิเชล โอแดร์ ที่นำมาจัดแสดงใน บางกอก คุนสตาเล่อ ใช้ชื่อนิทรรศการว่า Nine Plus Five Works จัดแบ่งรูปแบบการนำเสนอออกเป็น 2 ประเด็น • กลุ่มแรก ประกอบด้วยผลงาน 5 ชิ้น เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมชาติด้วยการสร้างสรรค์อันซับซ้อน เนื่องจากธรรมชาติเป็นอนาคตของเราทุกคน ซึ่งมีความสำคัญ • กลุ่มที่สอง ประกอบด้วยผลงาน 9 ชิ้น บอกเล่าพัฒนาการของโอแดร์ ผ่านการผสมผสานผลงานในประเภทต่าง ๆ เป็นการรวบรวมบันทึกเหตุการณ์ การเดินทาง ไดอารี วิดีโอพอร์เทรต รวมถึงวีดีโอเชิงทดลอง ที่โอแดร์ถ่ายทอดได้ลุ่มลึกราวกับบทกลอน และคอลเลคชั่นผลงานส่วนตัวที่โอแดร์ใช้เทคนิคการตัดต่อ การถ่าย และการบอกเล่าอย่างหลากหลายภัณฑารักษ์กล่าวด้วยว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ มิเชล โอแดร์ จัดแสดงผลงานของเขาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นิทรรศการครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจาก 'ซัมซุง' ในการยกระดับประสบการณ์การรับชมศิลปะที่เหนือชั้น ผ่านเทคโนโลยีนวัตกรรมจอภาพระดับโลก Samsung Neo QLED 8K รุ่นใหม่ล่าสุด ให้ผู้ชมสามารถเพลิดเพลินกับประสบการณ์การดื่มด่ำงานศิลปะผ่านหน้าจอแบบไร้ขีดจำกัดDomaine de la Nature วิดีโออาร์ตกับภาพวาดดั้งเดิมของตึกผลงานที่โอแดร์นำมาแสดง อาทิ Domaine de la Nature วิดีโออาร์ตที่ร้อยเรียงเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมชาติ โดยโอแดร์ตัดต่อจากการนำฟุตเทจที่เก็บไว้จากการใช้เวลาตระเวนถ่ายภาพธรรมชาติในสถานที่ต่างๆ นาน 4 ปี เลือกใช้ฉากที่แพนกล้องนานเป็นพิเศษ และตัดต่อโดยใช้วิธีการเล่าที่เนิบช้า พอตัดต่อเสร็จก็นำผลงานนี้เดินทางมาประเทศไทยทันที“เป็นช่วงเวลาที่มหัศจรรย์ ภาพวาดชิ้นนี้อยู่ในอาคารนี้อยู่แล้ว” ภัณฑารักษ์กล่าวพร้อมกับชี้ให้ชมภาพวาดสภาพป่าที่เต็มไปด้วยสัตว์ป่ามากมายบนผนังในอาคาร บางกอก คุนสตาเล่อ“พอมาเห็น (ภาพวาดดังกล่าว) ศิลปินก็เลือกที่จะนำงานวิดีโออาร์ตธรรมชาติมาจัดแสดงในพื้นที่นี้ทันที เปรียบเสมือนการนำเสนอธรรมชาติในธรรมชาติ” ภัณฑารักษ์ กล่าวจุดนั่งชมวิดีโออาร์ตชุด I’am So Jealous of Birds II (2554)ผลงานที่เปรียบเสมือน ‘วิดีโอกลอนไฮกุ’ ได้แก่ I’am So Jealous of Birds II (2554) เป็นวิดีโอที่จับภาพท่าทางการเคลื่อนไหวของฝูงนกในนครนิวยอร์กที่เหินบินไปมาในนครใหญ่ แม้อยู่ในมหานครที่เต็มไปด้วยตึกสูงและการแข่งขัน แต่นกเหล่านี้กลับให้ความรู้สึกถึงการมีอิสระและเสรีภาพวิดีโออาร์ตชุด Gemalde (2554 แก้ไขปี 2562)วิดีโออาร์ตชุด Gemalde (2554 แก้ไขปี 2562) เป็นงานถ่ายภาพพอร์เทรตรูปปั้น ภาพวาด ซึ่งจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ ภาพใบหน้าแสดงภาวะอารมณ์ต่างๆ เช่น โกรธ กลัว รัก ปรารถนา เป็นอารมณ์ตามธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ภัณฑารักษ์กล่าวว่า เวลาเราชมงานชิ้นนี้จึงเหมือนได้เผชิญหน้าใบหน้าซึ่งมีอารมณ์หลากหลาย เป็นความตั้งใจของศิลปินผลงานจากการเป็น ‘ศิลปินในพำนัก’ผลงานส่วนหนึ่งใน นิทรรศการ Nine Plus Five Works ยังสร้างสรรค์ขึ้นจากการที่ มิเชล โอแดร์ เป็น Artist in Residence หรือ ‘ศิลปินในพำนัก’ ซึ่งสนับสนุนโดย บางกอก คุนสตาเล่อ เป็นอีกหนึ่งความพิเศษของนิทรรศการครั้งนี้‘ศิลปินในพำนัก’ หมายถึงโครงการที่ให้เวลาศิลปินมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองๆ หนึ่ง แล้วสร้างสรรค์ผลงานขึ้นใหม่ที่ได้รับจากประสบการณ์ในการพำนักโอแดร์สร้างสรรค์ผลงานใหม่จำนวน 2 ชิ้น จากการเข้ามาเป็น Artist in Residence ในไทยเป็นเวลา 2 เดือนวิดีโออาร์ต Flowers of Thailand (2023)ภาพจากวิดีโออาร์ต Flowers of Thailand (2023) ดอกไม้ที่กลายเป็นเรื่องของรูปทรงผลงานชิ้นแรกคือ Flowers of Thailand (2023) โอแดร์ได้ถ่ายทอดท่วงทำนองแห่งกรุงเทพฯ เป็นผลงานวิดีโออาร์ตแบบศิลปะจัดวาง โดยใช้ ‘จอภาพ’ ระดับ 4K จำนวน 2 จอ วางเรียงเคียงกัน จอภาพทั้งสองจอเล่นภาพจากวิดีโอชุดเดียวกัน แต่เปิดไม่พร้อมกัน ให้ความรู้สึกคล้ายกับการเขียนจดหมายที่เชื่อมโยงถึงกันระหว่างรูปร่างและสีสัน “โดยส่วนตัวโอแดร์เป็นคนชอบดอกไม้ เขาเลือกใช้เทคนิคซูมอินเข้าไปมากๆ จนภาพที่ได้มีความเป็นแอ็บสแตรกต์ จนไม่เหลือความเป็นดอกไม้ กลายเป็นเรื่องของสีสันและรูปทรงที่เขาสนใจ เขาใช้เวลาช่วงที่เป็นศิลปินในพำนักถ่ายดอกไม้ไทยที่เขาชอบ” ภัณฑารักษ์กล่าวถึงผลงาน Flowers of Thailand (2023)ภาพจากวิดีโออาร์ต Yaowarat (2023)ผลงานอีก 1 ชิ้นคือ Yaowarat (2023) พรรณาภาพชีวิตประจำวันบนท้องถนนของกรุงเทพฯ การเคลื่อนไหวที่ลื่นไหล สอดคล้อง แต่ไม่ได้นัดหมายของผู้คนและสินค้าหลายคนได้ชมงาน Yaowarat (2023) แล้วอาจสงสัย วิดีโอที่บันทึกการทำงานขนของส่งของหน้าตึกแถวแห่งหนึ่งในเยาวราช ผลงานชิ้นนี้มีความน่าสนใจตรงไหน เดินไปตรงไหนในเยาวราชก็มักเห็นภาพเช่นนี้ทอม ธีระฉัตร โพธิสิทธิ์ ช่างภาพมือรางวัลระดับนานาชาติ ให้ความเห็นกับ ‘กรุงเทพธุรกิจ’ ถึงผลงานของ มิเชล โอแดร์ มาจนถึง Yaowarat (2023) ว่า“จริงๆ งานของศิลปินรุ่นใหญ่ทุกคนมีส่วนสำคัญในการที่เราใช้เป็นการอ้างอิงในการศึกษาพัฒนาตัวเอง และดูว่าวิธีการทำงานของศิลปินแต่ละคนกว่าจะผ่านจุดไหนมาบ้าง มีการฝึกฝนอย่างไร การก้าวผ่านแต่ละขั้นเป็นอย่างไร มีการทำงานอย่างไรให้ประสบความสำเร็จแต่งานของมิเชลโอแดร์มีความแตกต่าง เช่นงานที่พูดถึงเรื่อง Voyage to The Center of The Telephone Lines (1993) ในยุคนั้นการที่จะเอาภาพวิวทิวทัศน์มาเชื่อมโยงกับเสียงการสนทนาทางโทรศัพท์มือถือนิรนาม คนยุคนี้อาจดูเป็นเรื่องปกติ เพราะเราใช้เสียงในการทำวิดีโอติ๊กต้อก แต่ในยุคนั้นค่อนข้างที่จะเป็นที่ถกเถียง คนอาจจะไม่ได้สัมผัสสิ่งนี้ แต่เราศึกษางานของเขาแล้วดูในบริบทประเด็นสังคม ผมรู้สึกว่าเขากล้ามาก”ในหลายๆ งาน เช่นงานเยาวราช เราเห็นแล้วมันพิเศษตรงไหน ใครๆ ก็ถ่ายได้ แต่เราไม่เคยถ่าย เพราะเขาเห็นสิ่งพิเศษที่อยู่ในโซนนี้ แต่สิ่งนี้ต้องศึกษาดูว่าพิเศษอย่างไรจากประสบการณ์ของตัวเรา ผมว่างานศิลปะทุกชิ้นต้องใช้ประสบการณ์ที่เรามี ความรู้ที่เรามี เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงกับงาน”มิเชล โอแดร์ กับภัณฑารักษ์ ด้านหลังคือวิดีโออาร์ต Yaowarat (2023)มิเชล โอแดร์ กล่าวถึงวิดีโออาร์ต Yaowarat (2023)ขณะที่โอแดร์กล่าวถึงงานชิ้นนี้ว่า สิ่งที่เขาชอบที่สุดของงานชิ้นนี้เหมือนทุกอย่างกำลังเกิดความโกลาหล แต่ไม่มีเสียง ไม่มีการตะโกนโวยวาย ทุกคนรู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร ณ เวลานั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวัน ทุกคนเหมือนเป็นเครื่องจักรทำไปตามหน้าที่ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมชม นิทรรศการ “Nine Plus Five Works” ของ มิเชล โอแดร์ ได้ตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม - 11 กุมภาพันธ์ 2567 ณ บางกอก คุนสตาเล่อ เลขที่ 599 ถนนไมตรีจิตต์ แขวงป้อมปราบ กรุงเทพฯ เปิดตั้งแต่เวลา 12.00 - 20.00 น.ภาพ : กอบภัค พรหมเรขาแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิรhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1111325
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
29/04/2024
หมดเวลา “ปีนภูเขาไฟฟูจิ” ฟรี! สำหรับนักปีนเขาที่หวังจะขึ้นไปพิชิตภูเขาไฟฟูจิแห่งประเทศญี่ปุ่น เมื่อทางการญี่ปุ่นเตรียมพิจารณาให้ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม 2,000 เยน (ประมาณ 477.75 บาท) เริ่มตั้งแต่ ก.ค. ปีนี้สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า นายโคทาโร นางาซากิ ผู้ว่าราชการจังหวัดยามานาชิ กำลังดำเนินการเรื่องค่าธรรมเนียม สำหรับเส้นทางที่นักท่องเที่ยวใช้กันมากที่สุดบนภูเขาฟูจิ เพื่อลดความแออัด และเพื่อใช้เป็นเงินทุนสำหรับมาตรการด้านความปลอดภัยรายได้จะถูกนำมาใช้เพื่อดำเนินมาตรการป้องกัน "การเดินขึ้นและลงโดยไม่หยุดพัก" หรือที่เรียกว่า bullet climbing เพราะสำหรับการปีนภูเขาไฟฟูจิ ในแนวทางปฏิบัติที่ไม่ปลอดภัยนั้น คือ การที่นักปีนเขาพยายามขึ้นไปถึงยอดเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าแบบรวดเดียวโดยไม่ต้องนอนค้างคืนบนภูเขา นอกจากนี้ รายได้จะนำมาใช้สร้างที่พักในกรณีที่ภูเขาไฟฟูจิเกิดการปะทุโดยค่าธรรมเนียมล่าสุดในแผนการนี้ จะเป็นค่าธรรมเนียมใหม่ที่แยกต่างหากจาก 1,000 เยน (ประมาณ 240 บาท) ที่นักปีนเขาภูเขาไฟฟูจิถูกขอให้จ่ายเพื่อสนับสนุนการบำรุงรักษาภูเขาอย่างไรก็ดี สำหรับจังหวัดชิซูโอกะ ซึ่งมีเส้นทางปีนเขาจำนวน 3 เส้นทาง ยังไม่มีแผนที่จะเก็บค่าธรรมเนียมอื่นใดนอกเหนือจากที่เรียกเก็บในปัจจุบันเพื่อวัตถุประสงค์ในการอนุรักษ์สำหรับภูเขาไฟฟูจิที่ปกคลุมด้วยหิมะอันโด่งดัง จะเปิดให้นักปีนเขาขึ้นไปพิชิตได้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงกันยายน ซึ่งดึงดูดผู้คนนับแสนที่มักจะเดินขึ้นตลอดทั้งคืนเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่นั่นทำให้มีนักปีนเขาบางรายที่ปีนป่ายในเวลากลางคืนแล้วประสบกับภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติ จนต้องถูกนำตัวกลับไปที่สถานีปฐมพยาบาล รวมทั้งเมื่อปีที่แล้วมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1 รายขณะที่ปีนเขาอยู่ในระดับความสูง 3,776 เมตรแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000010458
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
29/04/2024
เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นางสาวญดา วงศ์ทองคำ รองผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารสิทธิพิเศษและกิจกรรมลูกค้า ร่วมกับ สโมสรฟุตบอลท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ จัดกิจกรรม AIA Tottenham Hotspurs Football Elite Camp 2024 ซึ่งได้คัดเลือกเยาวชนนักฟุตบอลโครงการช้างเผือก โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี รวม 26 คน พาไปเก็บตัวเพื่อฝึกฝนทักษะการเป็นนักฟุตบอลมืออาชีพ ในรูปแบบ Spurs Way ณ ศูนย์กีฬา Maraleina Sport Resort เกาะสมุย จังหวัดสุราษฏร์ธานี ระหว่างวันที่ 14-19 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา โดยมีโค้ชผู้ฝึกสอนมืออาชีพ (Global Football Development Manager) จากทีมท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ อย่าง โค้ชชานอน โมโลนี และ โค้ชทีเก้น เบอลิ่ง เป็นผู้ฝึกสอนหลักในกิจกรรม Football Elite Camp ครั้งนี้สำหรับเยาวชนช้างเผือกทั้ง 26 คนได้มีโอกาสเรียนรู้ทักษะต่าง ๆ ในการพัฒนาสู่การเป็นนักฟุตบอลมืออาชีพแบบเชิงลึก อาทิ โภชนาการอาหารที่ถูกต้องสำหรับนักกีฬา การปฏิบัติตัวเป็นนักฟุตบอลมืออาชีพ 24 ชั่วโมง ฝึกทักษะการเล่นฟุตบอลแบบระบบทีม กรณีศึกษาในด้านความสำเร็จและความล้มเหลวจากนักฟุตบอลระดับโลก รวมถึงจำลองการแถลงข่าว เพื่อฟูมฟักให้เยาวชนได้มีความมั่นใจในตัวเอง รวมถึงมีการสร้างบทบาทสมมติเพื่อให้เยาวชนได้ทดลองเป็นบุคคลสำคัญ อย่างกัปตันทีม เพื่อตอบคำถามเชิงกลยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการเล่นในสนาม สภาพอากาศมีผลต่อการเล่นของทีมหรือไม่ ใครเป็นผู้เล่นตัวจริงในเกมครั้งนี้ เพื่อวางแนวทางสู่การเป็นนักฟุตบอลมืออาชีพให้กับเยาวชนที่ได้เข้าร่วมกิจกรรม ทั้งนี้ เอไอเอ ในฐานะผู้สนับสนุนหลักสโมสรท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ จัดกิจกรรม AIA Tottenham Hotspurs Football Elite Camp เพื่อช่วยสานฝันให้เยาวชนที่มีศักยภาพสูงในด้านกีฬาฟุตบอล ได้มีโอกาสพัฒนาทักษะ และนำความรู้และประสบการณ์จากการฝึกนี้ ไปต่อยอดเพื่อสร้างอาชีพ อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนโอกาสให้กับเยาวชนที่มีคุณภาพเหล่านี้ ในการเข้าถึงนักเตะและโค้ชมืออาชีพจากสโมสรท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ พันธมิตรหลักของเอไอเออีกด้วย เพื่อตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเอไอเอ ในการส่งเสริมและผลักดันให้เยาวชนและคนไทย มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ภาษี
29/04/2024
เปิดเงื่อนไข หากยื่นภาษี 2567 ล่าช้าไม่ทันตามที่กำหนด-ไม่ได้ยื่นภาษี ต้องทำอย่างไร กรมสรรพากรมีบทลงโทษอะไรบ้าง วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามที่กรมสรรพากรเปิดให้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. โดยผู้ยื่นแบบเอกสารหรือกระดาษผ่านสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาทุกแห่งใกล้บ้าน ยื่นได้ถึงสิ้นเดือน มี.ค. ส่วนการยื่นภาษีออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร www.rd.go.th ให้ถึงวันที่ 9 เม.ย. 2567 สำหรับประชาชนที่มีหน้าที่ต้องยื่นแบบและยังไม่ได้ยื่น อาจด้วยการติดภารกิจหรือหลงลืม หรือมีเหตุที่ทำให้ไม่สามารถยื่นภาษีได้ทันเวลา ทางกรมสรรพากรก็ได้เปิดโอกาสให้แก้ตัว พร้อมกับบทลงโทษโดยการเสียค่าปรับ ซึ่งมีรายละเอียดอย่างไร สรุปมาให้ดังนี้ ยื่นภาษีไม่ทันทำอย่างไร บุคคลธรรมดาที่มีหน้าที่ในการยื่นแบบภาษีเงินได้ แต่ยื่นไม่ทันเวลาที่กำหนด จะต้องไปยื่นด้วยตนเองอีกครั้งที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา โดยจะต้องเตรียมเอกสารประกอบไปด้วย ดังนี้ • แบบฟอร์ม ภ.ง.ด.91 หรือ ภ.ง.ด.90 • หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) • เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการลดหย่อนภาษี เช่น หนังสือรับรองการจ่ายเบี้ยประกันชีวิต หนังสือรับรองการจ่ายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ฯลฯ • เอกสารยืนยันสิทธิค่าลดหย่อนบิดามารดา (ใบ ล.ย. 03) นอกจากเตรียมเอกสารเพื่อยื่นภาษีแล้ว จะต้องเตรียมเงินเพื่อชำระเงินภาษี และเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือน หรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระ รวมทั้งค่าปรับตามกฎหมายสรรพากร ดังนี้ ยื่นเกินกำหนดปรับ 2,000 บาท กรมสรรพากร ระบุว่า เตือนเรื่องค่าปรับกรณียื่นแบบเมื่อพ้นกำหนดเวลา ดังนี้ บุคคลธรรมดาที่ไม่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90/91 • ต้องระวางโทษค่าปรับไม่เกิน 2,000 บาท ตามมาตรา 35 แห่งประมวลรัษฎากร แต่สามารถขอลดค่าปรับได้ ทั้งนี้ หากไม่มีเงินภาษีต้องชำระ ให้ชำระเพียงค่าปรับอย่างเดียว สำหรับผู้ที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90/91 เพิ่มเติมภายหลังกำหนดเวลาการยื่นแบบ มีเงื่อนไขการชำระเงินและเสียค่าปรับดังนี้ • กรณีมีเงินภาษีต้องชำระ ให้ชำระเงินภาษี พร้อมเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือน หรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระ โดยไม่ต้องเสียค่าปรับ • กรณีไม่มีเงินภาษีต้องชำระ ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มและค่าปรับ จงใจไม่ยื่นแบบ มีโทษปรับ-เสียเงินเพิ่ม หากตั้งใจละเลยไม่ยื่นแบบภาษีเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร มีโทษปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ และเสียเบี้ยปรับ 2 เท่าของภาษีที่ต้องชำระ รวมถึงต้องเสียเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระ ตั้งแต่วันพ้นกำหนดเวลาการยื่นรายการจนถึงวันชำระภาษี โดยเศษของเดือนให้นับเป็น 1 เดือน จงใจแจ้งข้อความ-แสดงหลักฐานเท็จ ฉ้อโกง กรณีที่ผู้มีรายได้ได้ยื่นแบบภาษี และจงใจแจ้งข้อความเท็จ หรือแสดงหลักฐานเท็จ หรือฉ้อโกง เพื่อหลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษี จะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือนถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000 บาท ถึง 200,000 บาท และเสียเบี้ยปรับ 2 เท่าของภาษีที่ต้องชำระ ทั้งนี้ ต้องเสียเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระ ตั้งแต่วันพ้นกำหนดเวลาการยื่นรายการจนถึงวันชำระภาษี โดยเศษของเดือนให้นับเป็น 1 เดือน แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1493295
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
29/04/2024
แบ่งปันข้อมูลและข้อดีของการทำประกันชีวิต นอกจากประโยชน์ในด้านความคุ้มครองชีวิตแล้ว ยังมีประโยชน์อะไรอีกบ้าง ติดตามอ่านได้จากบทความนี้การซื้อ ประกันชีวิต ในปัจจุบัน ถือเป็นหนึ่งในแนวทางการวางแผนชีวิตและการเตรียมความพร้อม เป็นการสร้างหลักประกันให้กับชีวิตของตัวเอง ครอบครัว รวมไปถึงคนที่เรารัก อย่างที่ทราบกันดีว่าในชีวิตของคนเรานั้น มีความเปลี่ยนแปลงและเหตุการณ์ไม่คาดคิด มีความเสี่ยงเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ การซื้อประกันชีวิต จึงเป็นทางเลือกสำหรับใครหลายๆ คน แต่ก็ยังมีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อยที่กำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับประกันชีวิต ทาง SE Life อาคเนย์ประกันชีวิต จึงแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับความคุ้มค่าของการซื้อประกันที่หลายๆ คนอาจยังไม่รู้ประกันชีวิตคืออะไร?ประกันชีวิต คือเครื่องมือหรือตัวช่วยในการบริหารความเสี่ยงที่จะทำให้ผู้เอาประกันหรือผู้ซื้อประกันชีวิต สามารถที่จะรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด บริษัทประกัน จะเป็นผู้ที่เข้ามารับความเสี่ยงแทนด้วยการจ่ายเงินชดเชย โดยจำนวนเงินชดเชยที่ว่านั้น ขึ้นอยู่กับยอดที่ระบุเอาไว้ในกรมธรรม์ บริษัทประกันจะทำการจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้เอาประกันหรือผู้รับผลประโยชน์ตามที่ระบุเอาไว้ในสัญญา ข้อดีของการซื้อประกันชีวิตสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ อาจจะรู้สึกว่าการทำ ประกันชีวิต หรือการซื้อประกันชีวิต เป็นเรื่องที่ไกลตัว แต่รู้หรือไม่ว่านอกเหนือจากประโยชน์ในด้านของการคุ้มครองชีวิตแล้ว ประกันชีวิตยังมีข้อดีและมีประโยชน์อีกมาก โดยมีรายละเอียดดังนี้1. ประโยชน์ในด้านความคุ้มครองอย่างที่ทราบกันดีว่าในการทำประกันชีวิตนั้น ประโยชน์ทางด้านของความคุ้มครอง ถือเป็นประโยชน์ที่ต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ตามที่ได้มีการกล่าวไปในข้างต้นแล้วว่าเหตุการณ์ไม่คาดคิดสามารถเกิดขึ้นได้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วย การเกิดอุบัติเหตุ รวมไปถึงกรณีการเสียชีวิต หากมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเหล่านี้เกิดขึ้น ประกันชีวิตจะเข้ามาช่วยในส่วนของค่ารักษาพยาบาล ชดเชยรายได้ หากผู้เอาประกันเสียชีวิต ทายาทหรือผู้รับผลประโยชน์ จะได้รับเงินชดเชยตามที่มีการระบุเอาไว้ในสัญญา2. ประโยชน์ในการออมเงินการซื้อประกันชีวิต นอกเหนือจากความคุ้มครองที่จะได้รับแล้ว ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ยังสามารถเป็นแนวทางที่จะช่วยในเรื่องของ การออม สร้างวินัยให้กับผู้เอาประกันได้จากการจ่ายค่าเบี้ยประกันตามแผนที่เลือก เป็นการวางแผนการเงินในระยะยาวที่มีความปลอดภัย ความเสี่ยงต่ำ และได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า เมื่อครบสัญญาผู้เอาประกันจะได้เงินก้อนนำไปเป็นมรดกให้แก่ลูกหลาน หรือนำไปเป็นทุนในการใช้ชีวิตเมื่อถึงวัยเกษียณโดยที่ไม่ต้องเป็นภาระของลูกหลาน3. ประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีการทำ ประกันชีวิต สามารถนำเอาเบี้ยประกันชีวิตมาใช้ประโยชน์ในด้านของการ ลดหย่อนภาษี ได้ สำหรับผู้ที่มีรายได้และเป็นผู้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในทุกปี การเลือกทำประกันชีวิตเพื่อนำเอามาลดหย่อนภาษี ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะนอกจากจะได้รับความคุ้มครองจากประกันที่เลือกแล้ว ยังจ่ายภาษีถูกลงอีกด้วย สิทธิในการลดหย่อนภาษี เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร ผู้ซื้อประกันควรมีความเข้าใจเงื่อนไขต่างๆ ก่อนการตัดสินใจซื้อประกัน เพราะไม่ใช่ทุกประกันที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ 4. ประโยชน์ในด้านการลงทุนประกันชีวิต ถือเป็นหนึ่งในการลงทุนระยะยาวรูปแบบหนึ่ง ที่เรียกได้ว่าเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำแต่มีผลตอบแทนคุ้มค่า เมื่อเทียบกับหลายๆ การลงทุนแล้ว การลงทุนกับประกันชีวิตนับได้ว่าเป็นการลงทุนที่มีความมั่นคงและความปลอดภัย สามารถที่จะแบ่งชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือนหรือรายปี สะสมตามแผนที่เลือก โดย บริษัทประกัน จะนำเงินสะสมไปลงทุนต่อยอดในกิจการที่มั่นคง และนำไปลงทุนในหลักทรัพย์ของรัฐบาล ผู้เอาประกันจะได้รับผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญไม่จำเป็นต้องมีเงินก้อนก็สามารถลงทุนกับประกันชีวิตได้สรุปบทความทั้งหมดนี้คือข้อดีและความคุ้มค่าที่จะได้รับจากการซื้อ ประกันชีวิต สำหรับผู้ที่กำลังวางแผนการใช้ชีวิตหรือวางแผนอนาคตเพื่อสร้างหลักประกันและความมั่นคงให้กับชีวิตของตัวเอง ครอบครัว หรือคนรัก สามารถเลือกซื้อประกันชีวิตที่เหมาะสมได้ โดยเงื่อนไขความคุ้มครองประกันชีวิตจะมีด้วยกันหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับการเลือกซื้อของผู้ที่ต้องการเอาประกัน ไม่ว่าจะเป็น ประกันคุ้มครองชีวิต ประกันสุขภาพ ประกันออมทรัพย์ หรือประกันบำนาญ หากเลือกรูปแบบประกันภัยที่ตอบโจทย์ ตรงกับความต้องการในการใช้ชีวิต การซื้อประกันย่อมถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/news/corporate-moves/1104357
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
29/04/2024
จากโซงโขดง ดอกกระทุ่ม ผมปีก มหาดไทย จนผ่านเข้าสู่ยุคนางสาวไทย ทรงเพชรา (เชาวราษฎร์) หรือทรงฟาราห์ คนไทยเปลี่ยนลุคของตนเองตามยุคสมัย และตามอิทธิพลของโลกนิทรรศการ “Once Upon A Hair – กาลครั้งหนึ่งของผม” จะพาคุณย้อนไปสู่ความสวยงาม ความประณีต ศักยภาพของศิลปกรรมและศิลปินไทย ที่สามารถรังสรรค์ผลงานโดยนำความเชื่อและวัฒนธรรมเข้ามาผสมผสานได้อย่างงดงาม ไม่ว่าจะเป็นงานเกี่ยวกับเส้นผม ทรงผม ศิราภรณ์ หรือเครื่องประดับผม ทั้งแบบไทยดั้งเดิมและร่วมสมัย ตลอดจนพัฒนาการของทรงผม และการประกอบอาชีพเกี่ยวกับผมของไทยที่เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ด้านแฟชั่นทรงผมของไทย รวมไปถึงอุตสาหกรรมด้านอื่น ๆ ที่สอดคล้องและสัมพันธ์ไปกับทรงผม อาทิ ผลิตภัณฑ์สำหรับทรงผม เครื่องประดับทรงผมและศีรษะ เป็นต้นที่สามารถยกระดับ เพื่อนำไปเผยแพร่และยกระดับศิลปกรรมไทยผ่านเรื่องราวของเส้นผมสู่ระดับสากล“รศ.ดร.น้ำฝน ไล่สัตรูไกล” นักออกแบบที่ทำงานผสมผสานทั้งศิลปะ สิ่งทอ แฟชั่น และผู้จัดงานนิทรรศการ “Once Upon A Hair – กาลครั้งหนึ่งของผม” กล่าวว่า ภายในห้องนิทรรศการผู้เข้าชมจะได้พบกับการจัดแสดงอัตลักษณ์ความเป็นไทย การเปลี่ยนแปลงทางสังคม แนวคิด และความเชื่อที่ถ่ายทอดผ่าน ‘ทรงผม’ ตามความเชื่อที่แตกต่างกันตามยุคสมัย นอกจากนี้ ยังมีการแสดงเกี่ยวกับพัฒนาการ การประกอบสัมมาชีพเกี่ยวกับผมของไทยซึ่งในปัจจุบันสามารถที่จะพัฒนาไปอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ด้านแฟชั่นทรงผมและด้านอื่น ๆที่เกี่ยวข้องได้ รวมถึงผลงานการต่อยอดศิลปกรรมไทยที่เป็นงานศิลปะร่วมสมัย ซึ่งสอดแทรกแนวคิดและค่านิยมผ่านการตีความของศิลปิน”สำหรับ ไฮไลต์ของนิทรรศการ ประกอบด้วย :- งานวิกทรงผมโบราณ จากสถาบันชลาชล และช่างทำผมมืออาชีพ- รัดเกล้าเปลว หนึ่งในศิราภรณ์สำหรับแสดงในนาฏศิลป์ไทย จาก มูลนิธินาฏยศาลา หุ่นละครเล็ก- งานศิลปะร่วมสมัยที่ผ่านการตีความความงามและสุนทรียะจากทรงผม โดยศิลปินแถวหน้าของได้แก่ ศาสตราจารย์ปรีชา เถาทอง ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์, สกุล อินทกุล, ชลิต นาคพะวัน, ชัยชน สวันตรัจฉ์, วิทวัน จันทร, ระพี ลีละสิริ, ทิพยพงษ์ ภูษณะพงษ์, และ อิ่มหทัย สุวัฒนศิลป์งานนิทรรศการนี้เพื่อเป็นต้นแบบสำหรับจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ศิลปกรรมแห่งชาติ และนำเสนออัตลักษณ์ความเป็นไทยที่ถ่ายทอดผ่านทางทรงผม รวมไปถึงความเชื่อที่แตกต่างกันตามยุคสมัย นอกจากนี้ยังมีการแสดงเกี่ยวกับพัฒนาการทรงผมและการประกอบอาชีพเกี่ยวกับผมของไทย และผลงานการต่อยอดศิลปกรรมไทยที่ออกมาเป็นงานศิลปะร่วมสมัยที่สอดแทรกแนวคิด และค่านิยมผ่านการตีความของศิลปินนิทรรศการ Once Upon A Hair – กาลครั้งหนึ่งของผม ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย วิทยสถานด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์แห่งประเทศไทย (ธัชชา) และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ จัดแสดงระหว่างวันที่ 27 มกราคม ถึง 4 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ เซ็นทรัล ดิ ออริจินัล สโตร์ (Central – The Original Store) ถนนเจริญกรุง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม คุณปิ่นปัก ปฐมภควันต์ โทรศัพท์ 081-4274998แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/celebonline/detail/9670000008295
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
29/04/2024
ว่ากันว่ายิ่งเดินทางบ่อยจะยิ่งจัดกระเป๋าได้อย่างเชี่ยวชาญ แต่สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่มีทักษะในการจัดกระเป๋า โดยเฉพาะความกังวลเวลาต้องจัดกระเป๋าสำหรับถือติดตัวขึ้นเครื่องซึ่งมีการจำกัดน้ำหนักอยู่ที่ 7 กิโลกรัมต่อคน ทำให้เวลาจัดกระเป๋าจะเกิดความกังวล ต่อไปนี้สบายใจหายห่วง เพราะเรามีวิธีจัดกระเป๋าไม่ให้น้ำหนักเกิน 7 กิโลกรัมดังต่อไปนี้วิธีจัดกระเป๋าไม่ให้น้ำหนักเกิน 7 กิโลกรัมขั้นตอนที่ 1: เลือกคู่หูของคุณเริ่มต้นด้วยอุปกรณ์ที่เหมาะสม เลือกกระเป๋าเดินทางหรือเป้สะพายหลังน้ำหนักเบาไม่เกิน 7 กิโลกรัม เน้นความเรียบง่าย ทนทาน และแบ่งช่องเก็บของเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอย สำหรับทริปสั้นๆ กระเป๋าเป้สะพายหลังขนาดเล็กน้ำหนักไม่เกิน 3 กิโลกรัมเป็นเพื่อนคู่ใจของคุณขั้นตอนที่ 2: เลือกเฉพาะสิ่งจำเป็นเท่านั้นทำรายการแบ่งออกตามความจำเป็น เสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัว เทคโนโลยี และเอกสารการเดินทาง จำไว้ว่าความอเนกประสงค์เป็นสิ่งสำคัญ เลือกเสื้อผ้าที่จับคู่กันได้ แพ็คของใช้ส่วนตัวขนาดพกพา และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอเนกประสงค์ ทิ้งสิ่งใดๆ ที่คุณมักคิดว่าจะเผื่อไว้ใช้ไป จำไว้ว่าคุณสามารถซื้อได้จากที่นั่นขั้นตอนที่ 3: ชั่งน้ำหนักลงทุนกับเครื่องชั่งน้ำหนักกระเป๋าเดินทางแบบพกพา ชั่งน้ำหนักแต่ละรายการก่อนแพ็ค ตั้งเป้าน้ำหนักรวมไม่เกิน 7 กิโลกรัมสำหรับกระเป๋าถือของคุณ รวมถึงกระเป๋าเป้สะพายหลังขั้นตอนที่ 4: ตัดส่วนเกินใจร้ายกับสิ่งของที่ไม่จำเป็น คุณสามารถยืมหรือเช่าสิ่งของที่ปลายทางได้หรือไม่ เช่นดาวน์โหลดหนังสือเสียงแทนหนังสือ ทิ้งของหนักๆ และให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายและการใช้งานจริงเคล็ดลับพิเศษ: เทคนิคแพคอย่างชาญฉลาด ม้วนเสื้อผ้า ใช้ประโยชน์จากกล่องจัดระเบียบ และสวมเสื้อผ้าชิ้นใหญ่ที่สุดเช่น รองเท้าและแจ็คเก็ตบนเครื่องบินแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1446719/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
02/08/2024
30/04/2024
30/04/2024
17/12/2024
18/10/2024