คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ประกันชีวิต

4 เรื่องน่ารู้ของประกันชีวิต

30/04/2024

จากบทความก่อนๆ เราได้ทราบถึงว่าประกันชีวิตเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สามารถนำมาวางแผนการเงินในด้านต่างๆ ได้หลากหลาย ทราบถึงประกันชีวิตว่ามีกี่แบบ แต่ละแบบมีข้อจำกัดอย่างไรเหมาะกับใครบ้าง  และในบทความนี้เราจะพาไปเจาะลึกเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับประกันชีวิตว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่น่าสนใจ ซึ่งหลายๆ คนอาจไม่เคยรู้มาก่อน1.ประกันชีวิตสามารถลดหย่อนภาษีได้หรือไม่มีเงื่อนไขอย่างไรเบี้ยประกันชีวิตที่เราจ่ายไปแต่ละปีนั้นสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้โดยมีรายละเอียดดังนี้  •  ประกันชีวิตแบบทั่วไปนอกเหนือจากแบบบำนาญซึ่งได้แก่ แบบตลอดชีพ, แบบสะสมทรัพย์, แบบชั่วระยะเวลา, ประกันชีวิตควบการลงทุน (เบี้ยเฉพาะในส่วนคุ้มครองชีวิตไม่รวมเบี้ยส่วนการลงทุน)สามารถนำเบี้ยประกันมาลดหย่อนภาษีรวมกันได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี ในกรณีที่กรมธรรม์มีความคุ้มครองชีวิตตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป  •  ประกันชีวิตแบบบำนาญเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ สามารถนำมาลดหย่อนได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้หรือ 200,000 บาทแล้วแต่ว่าจำนวนใดจะน้อยกว่าให้เลือกจำนวนนั้น โดยมีเงื่อนไขเพิ่มเติมดังนี้1. ในกรณีที่ใช้สิทธิประกันชีวิตแบบทั่วไปยังไม่ถึง 100,000 บาท สามารถใช้สิทธิประกันแบบบำนาญให้ครอบคลุมทั้งประกันชีวิตแบบทั่วไปและประกันชีวิตแบบบำนาญรวมกันได้สูงสุดถึง 300,000 บาท2. ค่าลดหย่อนเบี้ยประกันแบบบำนาญ เมื่อนำไปรวมกับกองทุน SSF, กองทุน RMF, กบข./กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ/กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน, กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท  •  ประกันสุขภาพเบี้ยประกันสุขภาพตนเองสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 25,000 บาท แต่เมื่อนำมารวมกับประกันชีวิตแบบทั่วไปนอกเหนือจากแบบบำนาญแล้วลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท2. มีปัญหาด้านสุขภาพสามารถทำประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพได้ไหม หลายๆท่านมีข้อสงสัยว่าถ้ามีปัญหาด้านสุขภาพ, มีโรคประจำตัว หรือเคยผ่าตัดมาก่อน จะสามารถทำประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพได้ไหม ถ้าได้จะมีเงื่อนไขอะไรบ้าง โดยแบ่งเป็นประกันชีวิตและประกันสุขภาพตามรายละเอียดดังนี้ประกันชีวิตถ้ามีปัญหาด้านสุขภาพ, มีโรคประจำตัว หรือเคยผ่าตัดมาก่อน บริษัทประกันจะมีหลักการพิจารณา 3 ข้อพิจารณาโดยฝ่ายพิจารณาการรับประกันของแต่ละบริษัท ดังนี้– รับทำประกันชีวิตโดยชำระเบี้ยตามอัตราปกติในกรณีที่บริษัทประกันพิจารณาแล้วว่าโรคที่เราเป็นหรือเคยเป็น ไม่มีผลกับความเสี่ยงในการเสียชีวิตของเราที่เพิ่มขึ้น เช่นเคยผ่าตัดมาหลายปีและหายเป็นปกติแล้วบริษัทจะพิจารณาว่าเราเป็นบุคคลที่ไม่มีความเสี่ยงว่าจะเสียชีวิตจากปัญหาสุขภาพ ก็จะคิดเบี้ยเท่ากับอัตราปกติ– รับทำประกันชีวิตโดยชำระเบี้ยเพิ่มจากอัตราปกติในกรณีที่บริษัทประกันพิจารณาแล้วว่าปัญหาด้านสุขภาพของเรา, โรคที่เราเป็นหรือเคยเป็น มีผลกับความเสี่ยงในการเสียชีวิตของเราที่เพิ่มขึ้น เช่น มีน้ำหนักมากหรือน้อยกว่ามาตรฐานที่กำหนด บริษัทจะพิจารณาว่าเราเป็นบุคคลที่มีความเสี่ยงว่าจะเสียชีวิตจากปัญหาสุขภาพ ก็อาจจะรับทำประกันแต่พิจารณาเพิ่มเบี้ยจากอัตราปกติ-ไม่รับทำประกันชีวิตในกรณีที่บริษัทประกันพิจารณาแล้วว่าปัญหาด้านสุขภาพของเรา, โรคที่เราเป็นหรือเคยเป็น มีผลกับความเสี่ยงในการเสียชีวิตของเราแบบมีความเสี่ยงสูงเช่น ทำประกันชีวิตเมื่อทราบว่าเป็นโรคมะเร็ง บริษัทจะพิจารณาไม่รับทำประกันชีวิตเลย ประกันสุขภาพ– รับทำประกันสุขภาพโดยชำระเบี้ยตามอัตราปกติในกรณีที่บริษัทประกันพิจารณาแล้วว่าสุขภาพของเราปัจจุบันไม่มีความเสี่ยงเป็นโรคแล้ว บริษัทจะพิจารณาว่าเราเป็นบุคคลที่สุขภาพแข็งแรง ก็จะคิดเบี้ยเท่ากับอัตราปกติ– รับทำประกันสุขภาพโดยชำระเบี้ยเพิ่มจากอัตราปกติในกรณีที่บริษัทประกันพิจารณาแล้วว่าสุขภาพของเราปัจจุบันมีความเสี่ยงเป็นโรค เช่น มีนำหนักมากกว่าหรือน้อยกว่ามาตรฐาน บริษัทจะพิจารณาว่าเราเป็นบุคคลที่อาจจะมีความเสี่ยงที่จะมีปัญหาด้านสุขภาพมากกว่าคนปกติ ก็อาจจะรับทำประกันสุขภาพแต่จะพิจารณาเพิ่มเบี้ยจากอัตราปกติ– รับทำประกันสุขภาพโดยยกเว้นโรคที่เป็นอยู่หรือเคยเป็นในกรณีที่บริษัทประกันพิจารณาหรือมีการตรวจสุขภาพแล้วพบว่าสุขภาพของเราปัจจุบันมีโรคประจำตัวหรือเคยมีประวัติการรักษา ทางบริษัทประกันอาจพิจารณารับประกันสุขภาพแต่ยกเว้นไม่คุ้มครองโรคที่เป็นอยู่หรือเคยมีประวัติการรักษาและในบางกรณีอาจมีเพิ่มเบี้ยประกันจากปกติด้วย– ไม่รับทำประกันสุขภาพในกรณีที่บริษัทประกันพิจารณาหรือมีการตรวจสุขภาพแล้วพบว่าว่าสุขภาพของเราปัจจุบันมีโรคประจำตัวหรือเคยมีประวัติการรักษาที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคสูง ทางบริษัทประกันอาจพิจารณาไม่รับทำประกันสุขภาพเลยก็ได้3. ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ต่างจากการฝากเงินในธนาคารไหม อะไรดีกว่ากันหลายๆท่านเวลาไปธนาคารหรือเวลาคุยกับตัวแทนอาจจะเคยโดนชักชวนให้ทำประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ โดยมีคำโฆษณาว่าออมเงินไว้กับเราได้ผลตอบแทนมากกว่าธนาคารนะ ลดหย่อนภาษีได้ด้วย จึงเกิดคำถามว่าประกันแบบสะสมทรัพย์ดีกว่าฝากเงินในธนาคารจริงหรือ คำตอบคือ ไม่มีอะไรดีกว่ากัน เพียงแต่เราจะใช้วางแผนการเงินในเรื่องใดเท่านั้นเอง แต่ละอย่างมีข้อดีข้อเสียต่างๆกันไป ดังนี้  •  ฝากเงินในธนาคารข้อดีสภาพคล่องสูง ในกรณีถ้าเราต้องการใช้เงินด่วนเราสามารถถอนออกมาได้เลยข้อเสียดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนน้อย, ลดหย่อนภาษีไม่ได้, ผลตอบแทนที่เป็นดอกเบี้ยต้องเสียภาษี, ไม่มีความคุ้มครองชีวิต  •  ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ข้อดีผลตอบแทนเมื่อครบระยะสัญญาสูงกว่าฝากเงิน, ลดหย่อนภาษีได้, ผลตอบแทนไม่ต้องเสียภาษี, มีความคุ้มครองชีวิตข้อเสียสภาพคล่องต่ำ ถ้าเรามีความจำเป็นต้องใช้เงินก่อนครบสัญญาต้องรอเวลาเวนคืนกรมธรรม์ 1-2 สัปดาห์กว่าจะได้เงินและอาจขาดทุนเงินต้นได้โดยสรุปคือ เงินฝากเหมาะสำหรับใช้วางแผนการเงินระยะสั้น (ไม่ถึง 1 ปี) เช่นเก็บเงินไปเที่ยวต่างประเทศปีหน้า หรือใช้เป็นเงินสำรองฉุกเฉินโดยทั่วไปควรมีสำรองไว้ใช้จ่ายในการดำรงชีวิต 3-6 เดือน เผื่อไว้ในกรณีที่เราขาดรายได้เช่นโดนออกจากงานกะทันหัน เวลา 3-6 เดือนจะเป็นเวลาที่เราสามารถหางานใหม่หรือหาช่องทางรายได้ใหม่ๆได้ ในขณะที่ประกันแบบสะสมทรัพย์เป็นการฝึกการออมของเราโดยต้องส่งเบี้ยทุกปีจนครบสัญญาแถมมีความคุ้มครอง เหมาะสำหรับการวางแผนการเงินระยะยาว (อย่างน้อยเท่ากับระยะเวลาคุ้มครอง)ดังนั้นเราควรแบ่งเงินสดไว้ใช้ในยามฉุกเฉินและวางแผนการเงินระยะสั้นก่อน จากนั้นถ้ามีเงินเหลือและเราประเมินตัวเองแล้วว่าเราสามารถจ่ายเบี้ยประกันได้ทุกปีก็สามารถแบ่งเงินมาทำประกันสะสมทรัพย์ได้4. ยกเลิกประกันชีวิตก่อนครบสัญญาได้ไหมการยกเลิกสัญญาประกันชีวิตก่อนครบสัญญาสามารถทำได้ 3 วิธีดังนี้คือ  •  เวนคืนกรมธรรม์โดยจะได้รับเงินก้อนตามตารางมูลค่ากรมธรรม์ ซึ่งอาจจะได้น้อยกว่าเบี้ยที่จ่ายไป แล้วสัญญาเป็นอันสิ้นสุด  •  การใช้มูลค่าเงินสำเร็จเป็นการหยุดจ่ายเบี้ยโดยมีความคุ้มครองตามระยะเวลาเดิมแต่ทุนประกันหรือความคุ้มครองลดลง ตามตารางมูลค่ากรมธรรม์  •  การใช้การขยายระยะเวลาเป็นการหยุดจ่ายเบี้ยโดยมีทุนประกันหรือความคุ้มครองเท่าเดิมแต่ระยะเวลาความคุ้มครองลดลง ตามตารางมูลค่ากรมธรรม์โดยสรุปคือไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกแบบไหนเราก็จะเสียผลประโยชน์ที่เราพึงได้จากกรมธรรม์รวมถึงอาจขาดทุนเบี้ยที่เราจ่ายไปด้วย ดังนั้นก่อนจะทำประกันทุกครั้งทุกกรมธรรม์ควรศึกษาข้อมูลและความพร้อมในการจ่ายเบี้ยให้ดีๆก่อนการตัดสินใจทำจากเรื่องน่ารู้ของประกันชีวิตทั้ง 4 ข้อดังที่กล่าวมาเป็นเรื่องที่ผู้ที่จะทำประกันทุกคนควรรู้เพื่อนำไปประกอบการตัดสินใจเป็นข้อมูลเพิ่มเติมในการเลือกซื้อประกันชีวิตได้ ก่อนการซื้อประกันทุกครั้งควรศึกษาข้อมูลให้ดีเพื่อที่จะให้ประกันชีวิตทุกกรมธรรม์ที่เราซื้อตอบโจทย์ความต้องการและแผนทางการเงินของเราได้แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับnoonhttps://www.noon.in.th/blog/4-fact-about-life-insurance/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

ผลสำรวจเผย คน Gen Y วัยเดอะแบก กังวลและแบกไว้มากสุด คือการเป็นเสาหลักของครอบครัว

30/04/2024

หลายคนกำลังได้ยินถึงกลุ่มคนวัย “เดอะ แบก” ซึ่งคือกลุ่มคน Gen Y หรือกลุ่มมิลเลนเนียล ที่มีช่วงอายุระหว่าง 26-40 ปี หรืออาจมากกว่านั้น เป็นกลุ่มประชากรที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนทุกมิติของสังคม เพราะอยู่ในวัยทำงาน มีครอบครัว ซึ่งต้องแบกรับภาระหน้าที่และความรับผิดชอบในด้านต่าง ๆ เป็นกลุ่มคนที่อยู่ตรงกลางระหว่างเจนเนอเรชั่นของพ่อแม่และเจนเนอเรชั่นของลูกและคนรุ่นใหม่ เชื่อว่าผู้อ่านหลายคนคงสงสัยว่าพวกเขา (หรือพวกเรา) แบกอะไรเอาไว้หนักหนาภายใต้บทบาทของการเป็น “เดอะแบก” โพลเผย “แบกครอบครัว” ไว้หนักสุด ผลสำรวจความคิดเห็นมหาชนออนไลน์บนโพล LINE TODAY* ในหัวข้อ “คนวัยเดอะแบก วัยที่ต้องแบกรับภาระรอบตัว คุณกำลังกังวลและแบกอะไรเอาไว้หนักที่สุด?” พบว่า อันดับหนึ่ง 30.17% แบกการเป็นเสาหลักของบ้านที่ต้องดูแลครอบครัว รองลงมา 21.23% แบกความกลัวที่ใช้ชีวิตได้ไม่เต็มที่แถมเงินไม่พอ และ 15.64% แบกภาระหนี้สินอันหนักอึ้ง ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนชัดถึงความรับผิดชอบของคนวัยเดอะแบก นอกจากนี้ยังกังวลเรื่องการเติบโตในหน้าที่การงาน ความคาดหวังจากคนรอบข้าง ความสัมพันธ์เพื่อนและคนรัก สามารถเชื่อมโยงไปอีกผลสำรวจจาก The American Institute of Stress ในปี 2565 ที่เผยว่าเป็น 76% ของกลุ่มคนวัยทำงานออกมายอมรับว่าความเครียดจากการทำงานส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ส่วนตัวภาระรอบด้าน แต่ก็ไม่ทิ้งความสัมพันธ์รอบตัว ขณะเดียวกันคนวัย “เดอะแบก” ในวันนี้กำลังให้ความสำคัญในเรื่องการสื่อสาร เพื่อรักษาสัมพันธ์กับคนในครอบครัวและเพื่อนฝูง จากข้อมูลสถิติการใช้โซเชียลมีเดียของ TrueList ระบุว่า Gen Y กว่า 61% ใช้แอปสื่อสารและโซเชียลมีเดียเพื่อติดต่อสื่อสารกับสมาชิกในครอบครัวและเพื่อน โดยในปีที่ผ่านมามีการใช้งานเพิ่มขึ้นกว่า 63% และมีการคาดการณ์ว่าอีกสามปีข้างหน้าจะเติบโตขึ้นอีกกว่า 46% และนอกจากนี้ Gen Y กว่า 72% ยังมองว่าแอปสื่อสารและโซเชียลมีเดียมีส่วนสำคัญมากในชีวิต เป็นสัดส่วนที่มากที่สุดเมื่อเทียบกับคนในวัยอื่น ๆ สะท้อนอีกนัยหนึ่งให้เห็นถึงความพยายามในการเชื่อมต่อกับสังคมและกระชับความสัมพันธ์กับผู้คนขณะที่ต้องแบกรับภาระต่าง ๆ ในชีวิตจนความสัมพันธ์ในโลกออฟไลน์ต้องห่างเหินกัน วัยเดอะแบกกับสิ่งที่มองหาเพื่อสร้างสมดุลให้กับชีวิต อาจไม่ใช่แค่ความก้าวหน้าและความมั่นคงเพียงอย่างเดียวที่เดอะแบกกำลังมองหา ขณะเดียวกันก็ยังมองหาความสมดุลที่เกิดจาก ความยืดหยุ่น การเรียนรู้ที่จะยอมผ่อนปรนเมื่อตัวเองกำลังตึงเครียดมากเกินไป ซึ่งเกิดขึ้นได้จากตัวเองและสิ่งแวดล้อมก่อนจะกระทบกับเรื่องอื่นในชีวิต การสนับสนุน ไม่มีอะไรดีไปกว่าความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจจากครอบครัวและคนใกล้ชิด ซึ่งจะทำให้การแบกที่ว่าหนักนั้นเบาลงได้ และการสื่อสาร ที่สม่ำเสมอไม่ว่าจะเป็นจากเดอะแบกไปยังคนรอบตัวหรือคนรอบตัวไปยังเดอะแบกเพื่อลดความห่างเหินที่อาจจะนำไปสู่ช่องว่างในความสัมพันธ์และยังสามารถกระชับความสัมพันธ์อีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างสมดุลให้เดอะแบกไม่รู้สึกว่ากำลังแบกหนักเกินไป *ผลสำรวจบนโพล LINE TODAY จากจำนวนผู้ร่วมโหวต 179 คน แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับโพสต์ workpointtoday http://https//workpointtoday.com/gen-y-bear-the-burden/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย มอบรางวัลผู้ชนะจากกิจกรรม “Share your precious memory with AIA” ฉลองครบรอบ 85 ปี รวมมูลค่ารางวัลกว่า 472,000 บาท

30/05/2023

กรุงเทพฯ, 30 พฤษภาคม 2566 - เอไอเอ ประเทศไทย มอบรางวัลผู้ชนะจากกิจกรรม “Share your precious memory with AIA” ชวนทุกคนร่วมแชร์ความประทับใจที่ได้รับจากเอไอเอ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “85 ปี เอไอเอ ประเทศไทย ดูแลคุณและคนที่คุณรักตลอดไป” รวมมูลค่ารางวัลทั้งสิ้นกว่า 472,000 บาท อาทิ ทองคำหนัก 2 สลึง มูลค่า 15,500 บาท* จำนวน 10 รางวัล บัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์จากสเวนเซ่นส์ มูลค่า 500 บาท จำนวน 100 รางวัล และ มูลค่า 300 บาท อีก 890 รางวัล โดยได้รับเกียรติจาก นายเอกรัตน์ ฐิติมั่น (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด เอไอเอ ประเทศไทย และนางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ เอไอเอ ประเทศไทย เป็นตัวแทนในการมอบรางวัล แก่ผู้ชนะเลิศที่มีเรื่องราวโดนใจคณะกรรมการมากที่สุด ซึ่งได้รับรางวัลเป็นทองคำหนัก 2 สลึง จำนวน 10 รางวัล ณ เอไอเอ ประเทศไทย สำนักงานใหญ่ นายเอกรัตน์ ฐิติมั่น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “ในนามของเอไอเอ ประเทศไทย ขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ร่วมสนุกกับกิจกรรมในครั้งนี้ ซึ่งกิจกรรมที่เราจัดขึ้นนั้นนอกจากจะเป็นการเฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 85 ปี ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของชาวเอไอเอ ที่ได้ดูแลคนไทยมากว่า 8 ทศวรรษ ยังถือเป็นการแทนคำขอบคุณทุกท่านที่ไว้วางใจและมอบความเชื่อมั่นให้เอไอเอดูแลชีวิตและสุขภาพ ซึ่งนับเป็นเป้าหมายสำคัญของเราที่ต้องการสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น รวมทั้งพร้อมอยู่เคียงข้างและดูแลทุกคนเสมือนเป็นคนในครอบครัว ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives - เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’ หมายเหตุ: *ทองคำหนัก 2 สลึง มูลค่าประมาณ 15,500 บาท ผู้ที่ได้รับรางวัลจะต้องเป็นผู้ชำระภาษีหัก ณ ที่จ่าย 5% ของมูลค่าของรางวัลเป็นเงินประมาณ 775 บาท (คำนวณจากราคาทองคำ ณ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 ทั้งนี้ ราคาทองคำอาจมีการปรับเปลี่ยนขึ้นอยู่กับราคาตลาด ณ วันที่ซื้อ) **คำตัดสินของคณะกรรมการถือเป็นที่สิ้นสุด

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ฉลองชัย ทีมฟุตบอลไทยคว้าแชมป์ AIA Championship 2023 การแข่งขันฟุตบอลระดับภูมิภาค ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

30/04/2024

เอไอเอ ประเทศไทย นำทัพนักเตะลัดฟ้าคว้าชัยชนะรอบชิงชนะเลิศในรายการ ‘เอไอเอ แชมป์เปี้ยนชิพ 2023’ (AIA Championship 2023) ณ สนามฝึกซ้อม สโมสรฟุตบอลท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งจัดแข่งเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2023 ที่ผ่านมา โดยสามารถคว้าแชมป์มาครองได้ทั้งประเภททีมฟุตบอลชาย ได้แก่ ทีม Forward United ซึ่งเป็นการฟอร์มทีมพลังตัวแทนเอไอเอ ประเทศไทย และสามารถคว้าแชมป์เป็นสมัยที่ 2 มาครองได้สำเร็จ พร้อมรางวัล Man of the Match ด้านทีมฟุตบอลหญิง ได้แก่ ทีมสมาคมฟุตบอลจังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นการฟอร์มทีมจากพันธมิตรของเอไอเอ โดยสามารถคว้าชัยระดับนานาชาติได้เป็นครั้งแรก พร้อมรางวัล Women of the Match อีกทั้งยังทำลายสถิติในการทำประตูได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ รวมทั้งสิ้นถึง 29 ลูก ถือเป็นการ Break the Record ยิงประตูได้สูงสุด 8 ลูกต่อ 1 เกม โดยความสำเร็จในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรง ความมุมานะ และความสามัคคีของทัพนักฟุตบอลไทย ซึ่งเอไอเอ พร้อมสนับสนุนทุกโอกาส เพื่อให้เหล่านักเตะได้พัฒนาศักยภาพ และความสามารถด้านกีฬาในระดับโลกต่อไป​ทั้งนี้ ‘เอไอเอ แชมป์เปี้ยนชิพ 2023’ (AIA Championship 2023) เป็นการแข่งขันฟุตบอลระดับภูมิภาคที่จัดในกลุ่มบริษัทเอไอเอ โดยมีทีมฟุตบอลจากประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง อินโดนีเซีย เกาหลี เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย เข้าร่วมการแข่งขัน เพื่อมุ่งสร้างแรงบันดาลใจในการเริ่มต้นดูแลสุขภาพ พร้อมส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดี ตอกย้ำคำมั่นสัญญาของเอไอเอ “Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น”

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

หนี้นอกระบบ อยากกู้ ต้องรู้ทันหนี้

30/04/2024

คอลัมน์ : แบงก์ชาติชวนคุย ผู้เขียน : ชญาวดี ชัยอนันต์  โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย สวัสดีผู้อ่านทุกท่านค่ะ เชื่อว่าผู้อ่านทุกท่านอาจเคยเป็นหนี้หรือกำลังเป็นหนี้อยู่ ถ้ามีคนไทยเดินมา 3 คน อย่างน้อย 1 ใน 3 คนนี้จะมีหนี้ และกว่าครึ่งหนึ่งของคนกลุ่มนี้มีหนี้มากกว่า 1 แสนบาท โดยข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้ว่า ตั้งแต่ปี 2563 หนี้ครัวเรือนของไทยมีสัดส่วนต่อจีดีพีสูงกว่า 80% มาต่อเนื่อง โดยในปี 2565 มีสัดส่วนถึง 87% เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนโควิด-19 ถึง 7% สะท้อนว่ารายได้ทั้งหมดของประเทศ จะเหลือสำหรับใช้จ่ายน้อยลง เพราะต้องรับภาระหนี้สูงขึ้น และอาจกระทบกับความมั่นคงทางการเงินของครัวเรือนไทยจำนวนมาก แต่ตัวเลขหนี้ที่เราพูดถึงกันอยู่ เป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็งที่โผล่พ้นน้ำมาเท่านั้น สิ่งที่อยู่ใต้ผิวน้ำขนาดจะใหญ่กว่าหลายเท่า เพราะส่วนใหญ่จะเป็น “หนี้นอกระบบ” ที่อยากชวนคุยวันนี้ค่ะ ขึ้นชื่อว่า “หนี้นอกระบบ” หลายคนคงนึกถึงแก๊งทวงหนี้สุดโหดที่เคยเห็นจากในหนัง แต่ที่จริงหนี้นอกระบบก็คือ การกู้ยืมเงินที่ไม่ผ่านระบบสถาบันการเงิน หรือผู้ให้กู้ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเงินกู้ตามกฎหมาย จึงไม่อยู่ภายใต้การกำกับของหน่วยงานภาครัฐใด ๆ ดังนั้น แค่ขอยืมเงินจากเพื่อนก็นับเป็นหนี้นอกระบบแล้ว ซึ่งเมื่อเป็นแบบนี้ทำให้ยากที่จะเห็นข้อมูลหนี้นอกระบบ เช่น ผู้ให้กู้เป็นใคร มีจำนวนมากแค่ไหน และแหล่งของเงินที่ให้กู้มาจากที่ใด (ขาว หรือ เทา ๆ) จากการศึกษาของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ในปี 2565 พบว่า มากกว่า 40% ของครัวเรือนที่ไปสำรวจมีหนี้นอกระบบ โดยส่วนใหญ่กู้จากนายทุนทั้งในและนอกพื้นที่จังหวัดที่สำรวจ กลุ่มเป้าหมายของเจ้าหนี้นอกระบบคือใครบ้าง ? แล้วทำไมจึงได้รับความนิยม ? คนคิดโฆษณาให้กู้หนี้นอกระบบ มักใช้คำได้ตรงใจกลุ่มลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น “เงินด่วน” “ได้เงินไว” “ไม่ตรวจประวัติ” “ไม่ต้องยื่นเอกสาร” ซึ่งคีย์เวิร์ดเหล่านี้ตอบโจทย์ผู้กู้กลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่ต้องการใช้เงินเร่งด่วน เช่น ค่ารักษาพยาบาล นำไปลงทุนประกอบอาชีพ ต้องการเงินไม่มากเพื่อนำไปหมุนช่วงสั้น ๆ จึงไม่อยากเสียเวลาเตรียมเอกสาร กลุ่มที่มีข้อจำกัดในการกู้เงินจากผู้ให้บริการในระบบ เช่น ไม่มีงานประจำ จึงทำให้ไม่มีข้อมูลประวัติทางการเงินอย่างกลุ่มฟรีแลนซ์และพ่อค้าแม่ค้า หรือเคยเป็นหนี้เสียมาก่อน รวมถึงกลุ่มที่กู้ในระบบจนเต็มวงเงินแล้ว ซึ่งกลุ่มเหล่านี้หลายครั้งก็มีความจำเป็นจริง ๆ แต่อยากให้ลองมาดูความเสี่ยงที่มักเห็นกันสำหรับการกู้หนี้นอกระบบ เพื่อให้บริหารจัดการได้ดีขึ้น หากต้องกลายเป็นลูกหนี้นอกระบบขึ้นมา “ดอกเบี้ยแอบแฝง” โฆษณาชักชวนอาจบอกว่าดอกเบี้ยต่ำเพียง 1% ซึ่งจริง ๆ แล้ว เป็นดอกเบี้ยแบบคงที่ “รายวัน” ซึ่งคิดแล้วจะเท่ากับ 365% ต่อปี สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในระบบที่เพดานอยู่ไม่เกิน 33% ต่อปี แถมในระบบส่วนใหญ่ยังเป็นอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกด้วย หากเจอดอกเบี้ยแอบแฝงแบบนี้ ลูกหนี้อาจจ่ายได้แค่ดอกเบี้ย ขณะที่เงินต้นไม่ลดลงเลย เพราะดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายจริงในแต่ละปีสูงมากกว่าเงินต้นด้วยซ้ำ แถมบางแห่งยังคิดดอกเบี้ยแบบ “ดอกลอย” ที่แสนอันตรายและยิ่งซ้ำเติมลูกหนี้มากขึ้นไปอีก เพราะการกู้แบบนี้ลูกหนี้จะปิดหนี้ได้ก็ต่อเมื่อมีเงินต้นมาจ่ายคืนทั้งจำนวนในครั้งเดียว ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ยาก ทำให้ต้องจ่ายแต่ดอกเบี้ยไปเรื่อย ๆ “สัญญาที่ไม่ชัดเจนและอาจไม่เป็นธรรม” เพราะไม่มีหน่วยงานกำกับดูแล การเจรจาต่อรองเพื่อประนีประนอมก็ทำได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีความเสี่ยงที่จะถูกทวงหนี้โหด ข่มขู่ หรือถูกทำร้ายร่างกาย ซึ่งแม้ลูกหนี้จะได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 แต่เราคงไม่อยากพบ “ติดกับดักหนี้ไม่จบสิ้นจากการกู้หนี้มาโปะหนี้” เมื่อดอกเบี้ยสูงและสัญญาไม่เป็นธรรม ลูกหนี้หลายรายที่จ่ายไม่ไหวจนเกิดการผิดนัดชำระหนี้ จึงใช้วิธีกู้หนี้ใหม่จากเจ้าหนี้อีกรายเพื่อเอาไปจ่ายหนี้เดิม วนไปแบบนี้จนทำให้หนี้สินล้นพ้นตัว และติดอยู่ในวงจรของหนี้นอกระบบแบบหาทางออกไม่ได้ ถ้าจำเป็นต้องกู้หนี้นอกระบบจริง ๆ ควรทำอย่างไร ? อย่างแรก คือ หากู้จากคนรู้จักก่อน เช่น เพื่อน ญาติ ที่พร้อม เพื่อให้เจรจาง่ายขึ้น สอง คือ เทียบดอกเบี้ยระหว่างเจ้าหนี้แต่ละรายให้ได้ต่ำที่สุด สาม คือ กู้ในจำนวนเงินที่จำเป็นต้องใช้จริง ๆ เท่านั้น ให้นึกอยู่เสมอว่าหนี้นอกระบบแพงมาก และเมื่อกู้แล้วควร “ปิดหนี้ให้ไวที่สุด” ก่อนอื่นเอาหนี้ทุกก้อนมาดู หนี้ก้อนไหนใกล้หมด ปิดจบก้อนนั้นก่อน เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ ก้อนไหนดอกเบี้ยสูง ลองหาทางที่จะลดดอกเบี้ย ไม่ว่าจะเป็นเจรจากับเจ้าหนี้หรือกู้เงินจากแหล่งที่ดอกเบี้ยต่ำกว่ามาปิดหนี้ ถ้ากู้จากสถาบันการเงินได้ จะได้สัญญาที่เป็นธรรมขึ้นด้วย ซึ่งสถาบันการเงินหลายแห่งเริ่มให้บริการนี้ เพื่อช่วยให้ลูกหนี้กลับเข้ามาอยู่ในระบบ ผู้สนใจลอง โทร.มาสอบถามที่ ธปท. โทร.1213 หรือหากต้องการขอคำปรึกษา หรือร้องเรียนเรื่องหนี้นอกระบบ ก็สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (กระทรวงการคลัง) โทร.1359 หรือศูนย์ดำรงธรรม (กระทรวงมหาดไทย) โทร.1567 ที่สำคัญต้องพยายามลดรายจ่าย หารายได้เพิ่มเติม หรือตัดใจขายทรัพย์สินที่ไม่ได้ใช้ เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ และไม่ต้องกลับไปกู้ใหม่ เพื่อให้หลุดจากวงจรหนี้นอกระบบได้อย่างยั่งยืน สุดท้าย “วินัยทางการเงิน” เป็นหัวใจสำคัญ ต้องวางแผนการใช้จ่าย และออมเงินไว้เพื่อให้พร้อมรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เพราะ สมการการเงินที่ถูกต้องคือ รายได้-เงินออม=รายจ่าย การมี “อิสรภาพทางการเงิน” จึงไม่ได้แปลว่าต้องรวยล้นฟ้า แต่มีอิสระที่จะใช้จ่ายเงินที่เราหามา เก็บออม ลงทุน โดยไม่ต้องมีพันธนาการจากหนี้สินใด ๆ การไม่มีหนี้ ก็นับเป็นลาภอันประเสริฐเช่นกันค่ะ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์ http://https//www.prachachat.net/finance/news-1296342

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

อาชีพไหน AI ไม่แย่ง

30/04/2024

จิตต์สุภา ฉิน ประเด็นเรื่อง AI จะมาแย่งงานมนุษย์ไหม แย่งงานประเภทไหนบ้าง เป็นเรื่องที่พูดคุยถกเถียงกันมาหลายปีจนฉันเชื่อว่าหลายๆ คนก็คงรู้สึกเบื่อหรือด้านชาไปแล้ว แต่ไหนๆ ปีนี้ก็ดูเป็นปีที่ความนิยม AI พุ่งแรงมากที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา เพราะ AI ทำให้เราเริ่มรู้ตัวแล้วว่ามันอยู่ใกล้เราแค่ไหน AI ได้แสดงให้เห็นถึงความเก่งกาจของมันแบบที่เราไม่สามารถปิดหูปิดตาไม่รู้ไม่ชี้ได้อีกต่อไป ดังนั้น จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่เราจะต้องมาสำรวจกันอีกสักครั้งว่าอาชีพหรืองานในแบบที่เราทำกันอยู่ทุกวันนี้จะเปลี่ยนไปยังไงบ้าง รายงานจาก Goldman Sachs ที่ตีพิมพ์ในเดือนมีนาคม 2023 คาดประมาณว่า AI ที่สามารถสร้างเนื้อหาหรือคอนเทนต์ได้จะสามารถทำงานแทนมนุษย์ได้มากถึง 1 ใน 4 ของงานทั้งหมดที่มนุษย์ทำอยู่ในตอนนี้ งานกว่า 300 ล้านตำแหน่งในยุโรปและสหรัฐอาจถูกยกให้ระบบอัตโนมัติรับไปทำแทน ความน่ากลัวก็คือ มันอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นกับใครคนใดคนหนึ่งเป็นคนๆ ไป แต่อาจจะเป็นการเปลี่ยนใหม่แบบยกระบบและเกิดขึ้นพร้อมๆ กันอย่างกะทันหันด้วย ในที่สุดก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมทั้งหมด เรื่องดีๆ ก็ยังพอมีอยู่บ้าง ตรงที่ AI ไม่สามารถทำงานแทนมนุษย์ไปได้เสียหมดทุกประเภท ดังนั้น แทนที่เราจะไปโฟกัสว่าอาชีพไหนจะถูกแทนที่บ้าง วันนี้เราลองเปลี่ยนโฟกัสใหม่แล้วไปดูว่าอาชีพหรือทักษะไหนบ้างล่ะที่ AI ยังห่างชั้นจากเรานัก BBC บอกว่ามีหมวดหมู่อาชีพอยู่ 3 หมวดหมู่ที่มนุษย์น่าจะยังเก็บรักษาไว้ได้ หมวดหมู่แรกก็คือ อาชีพที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ “ที่แท้จริ” อาชีพที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์อาชีพแรกๆ ที่เราก็มักจะนึกออกทันทีก็คืออาชีพอย่างเช่น นักวาดภาพ ศิลปิน จิตรกร หรือกราฟิกดีไซเนอร์ ซึ่งแม้จะเป็นอาชีพที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์แต่กลับไม่ถูกรวมอยู่ในหมวดหมู่นี้ และดีไม่ดีอาจจะเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ถูกแย่งงานอีกต่างหาก สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเราได้เห็นกันมาแล้วว่า AI สามารถสร้างภาพขึ้นมาได้แล้วทุกแบบ ทุกสไตล์ และยังทำได้ภายในเวลาอันน้อยนิด การสั่งงานให้ AI วาดภาพที่ต้องการให้ก็ง่ายดายเพียงแค่ป้อนคำสั่งเป็นข้อความเข้าไปเท่านั้น ถ้าเช่นนั้นแล้ว อาชีพที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์แบบไหนกันล่ะที่จะอยู่รอดปลอดภัยได้ BBC บอกว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์ประเภทอื่นค่ะ ตัวอย่างเช่น การใช้ความคิดสร้างสรรค์ในอาชีพที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ การแพทย์หรือกฎหมาย อาชีพที่จะต้องคิดค้นกลยุทธ์ทางกฎหมายหรือทางธุรกิจแบบใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน ในแง่มุมนี้อาชีพไหนก็ตามที่คนทำอาชีพใส่ความคิดสร้างสรรค์เข้าไปในงาน สร้างสิ่งใหม่ คิดไอเดียใหม่ ไม่ทำซ้ำของเดิม ก็จะถูกควบรวมอยู่ในหมวดหมู่แรก ความคิดสร้างสรรค์จะช่วยปกป้องคุ้มครองให้ยังมีงานทำต่อไปได้อีกยาวๆ หมวดหมู่ที่สองคือ งานใดๆ ก็ตามที่ต้องอาศัยความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างบุคคล อย่างเช่น พยาบาล ที่ปรึกษาบริษัท และนักข่าวสืบสวน เป็นต้น หมวดหมู่ที่สองครอบคลุมอาชีพใดๆ ก็ตามที่คนประกอบอาชีพต้องใช้ทักษะในการทำความเข้าใจมนุษย์อย่างลึกซึ้ง มีปฏิสัมพันธ์ที่มีคุณค่าและความหมายระหว่างมนุษย์ด้วยกัน นี่ไม่ใช่ทักษะที่ AI สามารถลอกเลียนและเรียนรู้ได้ง่ายๆ มาถึงอาชีพปลอดภัยหมวดหมู่ที่สามคือ อาชีพใดๆ ก็ตามที่ต้องการความคล่องแคล่ว คล่องตัว แก้ปัญหาเฉพาะหน้าภายใต้สถานการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ อาชีพอย่างช่างประปา ช่างไฟ ช่างเชื่อม ซึ่งสถานการณ์หน้างานแตกต่างกันออกไปทุกครั้งจึงถูกรวมเข้าไปในหมวดหมู่นี้ ฉันเองก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าจะพัฒนาหุ่นยนต์ให้ทำหน้าที่แทนช่างต่างๆ ที่ยกตัวอย่างมาได้มันจะต้องเป็นแบบไหนถ้าไม่ใช่หุ่นยนต์เก่งๆ ที่เราเห็นในหนังไซ-ไฟ ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริงเรายังไม่สามารถพัฒนาหุ่นยนต์ที่เก่งกาจแบบนั้นขึ้นมาได้ ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าไม่อยากให้เราย่ามใจว่าหากอาชีพของเราเข้าข่ายหมวดหมู่ใดหมวดหมู่หนึ่งแล้วจะไม่มีทางถูก AI แย่งงานได้เลย เพราะความเป็นจริงก็คือเกือบทุกอาชีพไม่ว่าจะในแวดวงไหนก็ตามจะต้องถูกระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีเข้ามาแย่งงาน “บางอย่าง” ไป อาจจะไม่ได้แย่งไปทั้งอาชีพ แต่มันจะแบ่งภาระหน้าที่บางอย่างของเราไปทำ อย่างอาชีพหมอที่ทุกวันนี้ AI สามารถตรวจจับวินิจฉัยโรคต่างๆ ซึ่งรวมถึงมะเร็งบางอย่างได้แม่นยำยิ่งกว่ามนุษย์ AI ก็จะแย่งหน้าที่ในการตรวจจับนั้นไป แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะเข้าไปตรวจคนไข้ พูดคุยกับคนไข้ หรือสั่งจ่ายยารักษาคนไข้แทน อาชีพหมอจะยังคงมีอยู่แต่หน้าที่ในการวินิจฉัยว่าคนไข้เป็นมะเร็งหรือไม่อาจถูกถ่ายโอนไปให้ AI ที่แม่นยำกว่าทำแทน สิ่งที่เราต้องปรับตัวอาจจะไม่ใช่การเสิร์ชหางานใหม่ก่อนที่งานจะถูก AI แย่งไปทำ แต่เป็นการหาวิธีในการพัฒนาทักษะของมนุษย์ให้โดดเด่นขึ้นและปรับตัวให้ทำงานไปพร้อมๆ กับ AI ได้ ตัวอย่างหนึ่งที่มักจะถูกหยิบยกมาพูดถึงคือพนักงานธนาคารหรือเทลเลอร์ที่ครั้งหนึ่งรับหน้าที่นับเงินเป็นปึกๆ ให้ได้รวดเร็วและแม่นยำ เมื่อแมชชีนเข้ามารับหน้าที่การนับเงินไปทำแทนและทำได้เร็วกว่าชนิดที่มนุษย์ไม่ต้องคาดฝันว่าจะแข่งด้วย อาชีพพนักงานธนาคารก็ยังไม่ได้หายไปไหน ความเปลี่ยนแปลงก็คือพนักงานธนาคารไม่ต้องนับเงินเป็นปึกเองแล้วแต่หันไปสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและไปเสนอขายผลิตภัณฑ์กับบริการใหม่ๆ แทน เราอาจจะเข้าใจกันว่าอาชีพใช้แรงงานจะเป็นอาชีพที่ถูก AI แทนที่ได้ง่ายๆ แต่อันที่จริงแล้วอาชีพพนักงานออฟฟิศก็เสี่ยงไม่แตกต่างกัน แถมในบางกรณีอาจจะเสี่ยงกว่าด้วยเพราะการพัฒนาระบบอัตโนมัติมาแทนที่อาชีพใช้แรงงานหลายอย่างนั้นทำได้ยากกว่า ถ้าดูจากประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมา เทคโนโลยีก็ได้ทำให้อาชีพบางอาชีพของมนุษย์หายไปมาแล้วไม่น้อย แต่มนุษย์ก็สามารถปรับตัวและผ่านมันมาได้ทุกครั้ง สำหรับครั้งนี้ข้อคิดสำคัญก็คือ การต้องสำรวจอาชีพตัวเองและหาแง่มุมที่ AI ทดแทนไม่ได้ แล้วพัฒนาจุดนั้นให้แข็งแรงขึ้นเพื่อให้เรายังเก็บงานของเราเอาไว้ได้ต่อไป จนถึงวันที่มันเก่งขึ้นกว่านี้มากหรือมีเทคโนโลยีใหม่เข้ามาก็ค่อยมาประเมินสถานการณ์กันอีกที แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับมติชนสุดสัปดาห์https://www.matichonweekly.com/column/article_673330?fbclid=IwAR1PbPIMTzUUKLAp_QI2UPAkxFgoMfxdsVE52hbx7tjVoqDzPaqiohaIPgY

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

หรือต้องล้มกระดาน!? พบหนี้สินโลกพุ่งเกือบสูงสุดตลอดกาล ท่ามกลางกังวลวิกฤตการเงิน

30/04/2024

มาตรวัดหนี้สินทั่วโลกเพิ่มขึ้นในไตรมาสแรก แตะระดับเกือบ 305 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เกือบสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากข้อมูลของสถาบันการเงินระหว่างประเทศ (Institute of International Finance) ท่ามกลางความกังวลที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งอาจโหมกระพือความยุ่งเหยิงด้านการเงินโลก สถาบันการเงินระหว่างประเทศ เปิดเผยในวันพุธ (17 พ.ค.) ว่า หนี้สินโลกเพิ่มขึ้นจากช่วงปลายปี 2022 ราว 8.3 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ สู่ระดับ 304.9 ล้านล้านดอลลาร์ สูงที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปีก่อน และเป็นไตรมาสที่สูงที่สุดเป็นอันดับ 2 นับตั้งแต่มีการบันทึกมา "หนี้โลกในตอนนี้สูงกว่าระดับช่วงก่อนหน้าโรคระบาดใหญ่ 45 ล้านล้านดอลลาร์ และคาดหมายว่ามันจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว" สถาบันการเงินระหว่างประเทศระบุในรายงานรายไตรมาส Global Debt Monitor หลังจากหนี้สินโลกดีดตัวขึ้นอย่างมาก พีกสุดเกือบ 360% ในปี 2021 อัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อผลผลิตทรงตัวอยู่ที่ระดับเหนือกว่าช่วงก่อนหน้าโรคระบาดใหญ่ราว 335% ประชากรที่มีอายุสูงขึ้นและต้นทุนด้านสาธารณสุขที่เพิ่มขึ้นยังคงกดดันให้รัฐบาลชาติเดินหน้าใช้จ่ายมือเติบ ในขณะที่ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ก็เป็นอีกปัจจัยที่ถูกคาดหมายว่าจะผลักดันให้มีการยกระดับการใช้จ่ายด้านป้องกันประเทศเพิ่มมากขึ้นในระยะกลาง" สถาบันการเงินระหว่างประเทศเขียนในถ้อยแถลง รายงานฉบับนี้ยังชี้ด้วยว่าสถานการณ์หนี้สินในปัจจุบันยังเป็นผลกระทบจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วในปีที่แล้ว ที่มีต่องบดุลของธนาคารบางแห่ง "แม้ว่าธนาคารต่างๆ ที่พังครืนเมื่อเร็วๆ นี้ ดูเหมือนมีลักษณะเฉพาะมากกว่าความล้มเหลวอย่างเป็นระบบ แต่ความกังวลเกี่ยวกับการลุกลาม กระตุ้นให้มีการถอนเงินฝากเป็นจำนวนมากออกจากบรรดาธนาคารระดับภูมิภาคหลายแห่งของสหรัฐฯ" สถาบันการเงินระหว่างประเทศแสดงความกังวลว่าแนวทางปฏิบัติคุมเข้มการปล่อยกู้ในหมู่ธนาคารขนาดเล็กอาจจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจบางส่วนและครัวเรือนหนักหน่วงกว่าเดิม "เนื่องจากบทบาทกลางของบรรดาธนาคารท้องถิ่นสหรัฐฯ ในแง่ของการเป็นตัวกลางสินเชื่อ ความกังวลเกี่ยวกับสถานะทางสภาพคล่องของพวกเขาอาจก่อให้เกิดการหดตัวอย่างรุนแรงในการปล่อยกู้แก่บางภาคส่วน" ในรายงานของสถาบันการเงินระหว่างประเทศ เผยให้เห็นว่า 75% ของตลาดเกิดใหม่ต่างพบเห็นระดับหนี้สินในรูปแบบของดอลลาร์เพิ่มขึ้นในไตรมาสแรก ซึ่งตัวเลขรวมทั้งหมดแตะระดับเหนือกว่า 100 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก โดยที่จีน เม็กซิโก บราซิล อินเดีย และตุรกีมีหนี้สินเพิ่มขึ้นมากที่สุด (ที่มา : รอยเตอร์/เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์) แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/around/detail/9660000045949

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

นายกสมาคมประกันภัย ดันเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น

30/04/2024

นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทยคนใหม่ กางแผนทำงานช่วงวาระ 2 ปี ตั้งเป้าผลักดัน “ธุรกิจกำกับดูแลตัวเอง” ชง “เปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น” แก้ปมบริษัทหัวหมอแอบซ่อนค่าใช้จ่าย รวมถึงเสนอให้สมาคมกำกับการออก “กรมธรรม์ file & use” เอง พร้อมอาสาสร้างระบบ IBS เป็นฐานข้อมูลภาคธุรกิจประกันนายสมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทิพยประกันภัย ในฐานะนายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในฐานะที่ตนเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งนายกสมาคมคนใหม่ มีวาระ 2 ปี (2566-2568)ขณะนี้กำลังให้ทีมจัดทำแผนการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ เพื่อนำเสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) โดยแนวทางเบื้องต้นต้องการผลักดันให้ธุรกิจประกันสามารถกำกับดูแลกันเองได้ (self-regulation)ซึ่งสิ่งที่ต้องดำเนินการ คือ 1. เปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น ภายใต้การกำกับดูแลของสมาคม ส่วนสำนักงาน คปภ.ก็จะกำกับดูแลอีกที อย่างไรก็ดี แต่ละบริษัทประกันวินาศภัยจะต้องเปิดเผยรายละเอียดค่าคอมมิชชั่นออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนยกตัวอย่างเช่น ค่าคอมมิชชั่นประกันรถยนต์ที่ คปภ.กำหนดให้จ่ายได้ไม่เกิน 18% แต่หากบริษัทประกันรายใดอยากจ่ายค่าคอมมิชชั่นสูง ๆ เช่น 25% ก็จ่ายได้ แต่ต้องอธิบายได้ว่า ธุรกิจจะอยู่รอดได้อย่างไร ไม่ใช่หลับหูหลับตาจ่ายค่าคอมมิชชั่น แล้วบริษัทเจ๊ง ทำให้ประชาชนผู้เอาประกันเดือดร้อน“นี่คือตัวอย่างของ self-regulation ซึ่งสมาคมสามารถเข้าไปมอนิเตอร์บริษัทสมาชิกได้ ว่าใครทำอะไรที่ผิดหูผิดตามากเกินไป หรือเป็นการทำลายกันเองภายในธุรกิจ โดยแนวทางนี้จะทำให้ไม่ต้องแอบซ่อนค่าใช้จ่าย เพราะตอนนี้ คปภ.กำหนดให้จ่ายค่าคอมมิชชั่น 18% แต่บางบริษัทแอบจ่ายกัน 22-25%”2. สมาคมสามารถกำกับดูแลการออกกรมธรรม์ประกันภัยแบบอัตโนมัติ (file & use) ได้เอง เพื่อทำให้เป็น file & use อย่างแท้จริง หมายความว่า เมื่อมีโอกาสหรือเทรนด์ใหม่ ๆ เกิดขึ้น บริษัทประกันสามารถจะออกกรมธรรม์มาดูแลในเรื่องนั้นได้โดยเร็วแต่ทั้งนี้ ทุกบริษัทประกันจะต้องคำนวณอัตราเบี้ยประกัน ความเสี่ยง ค่าใช้จ่าย และผลกำไรขาดทุน ออกมาให้เห็นชัดเจน หลังจากนั้นจัดส่งข้อมูลให้ คปภ.พิจารณาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ได้เลย แต่หาก คปภ.พบว่าไม่เป็นธรรมก็บังคับให้ย้อนกลับมาใช้รูปแบบที่เป็นธรรมกับผู้บริโภคได้ อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้จะลิมิตทำได้เฉพาะบางกลุ่มประเภทการประกันภัยเท่านั้นสมพร สืบถวิลกุล“คาดว่าเรื่องการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นและการดูแลการออกกรมธรรม์แบบ file & use น่าจะเป็นเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการภายในปี 2566 เพราะยุคปัจจุบันต้องปล่อยให้สมาคม หรือภาคธุรกิจดูแลกันเองได้ระดับหนึ่งแล้ว”นายสมพรกล่าวอีกว่า สมาคมและธุรกิจประกันภัย ยังต้องการผลักดันโครงการพัฒนาฐานข้อมูลด้านการประกันวินาศภัย (Insurance Bureau System) เพื่อให้ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง โดยสมาคมอาสาช่วยสร้างระบบ IBS แม้ว่ามีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นก็ยินดี เพื่อพัฒนฐานข้อมูลให้เอามาใช้ประโยชน์ได้จริงด้านแหล่งข่าวจากสำนักงาน คปภ. กล่าวว่า เกณฑ์การจ่ายค่าคอมมิชชั่น หรือการออกกรมธรรม์แบบ file & use ตามหลักการสามารถแก้ไขได้ เพราะเป็นประกาศ คปภ. ไม่ใช่พระราชบัญญัติแต่หากจะเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นโดยไม่ควบคุม คงจะต้องสร้างกลไกป้องกันไม่ให้มีการจ่ายค่าใช้จ่ายโอเวอร์เกินไป เพราะจะกระทบต่อธุรกิจ ความคุ้มครอง หรือความมั่นคงของบริษัทได้“คปภ.ไม่ได้ติดขัดจะผ่อนปรนเรื่องพวกนี้ แต่ต้องคุยเรื่องกลไกก่อน และต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตบางอย่าง ส่วนเรื่อง file & use ถ้ากำกับเองได้ก็ดีต่อภาคธุรกิจอยู่แล้ว เพราะบริษัทประกันสร้างแบบกรมธรรม์ใหม่ออกมา ก็ขายได้เลยแต่ปัญหา คือตอนนี้กรมธรรม์ที่ออกไปแล้ว บางเรื่องยังต้องตีความ เกิดการฟ้องร้อง ว่าสัญญาไม่เป็นธรรม ดังนั้น ดีกับธุรกิจแต่จะดีกับประชาชนหรือไม่ ยังตอบยาก คือปกติเราพยายามทำอยู่แล้ว ลักษณะที่เป็นเงื่อนไขมาตรฐาน เช่น ยื่นขอออกกรมธรรม์ประกันสุขภาพ ถ้าอยู่ในกรอบมาตรฐานนี้ออกขายได้เลยแต่ถ้าเป็นโปรดักต์ใหม่ ๆ เลย จะบอกว่าเป็นกรมธรรม์แบบ file & use ทั้งหมดคงไม่ได้ ต้องลองจินตนาการว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้น อาจจะเสียหายกว่ากรมธรรม์ประกันโควิดก็ได้”แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ส่วนเรื่อง IBS ในเบื้องต้นหากภาคธุรกิจเห็นด้วยทั้งหมด คปภ.คงไม่ขัดข้อง ทำได้เลย แต่ถ้าสั่งให้ คปภ.ส่งข้อมูลให้สมาคมคงทำไม่ได้ ตอนนี้ต้องหารือสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) ก่อน เพื่อคงต้องเลือกว่าจะส่งคืนข้อมูลอะไรให้ได้บ้างด้วยแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1297117

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

ไขข้อข้องใจ ลงทุนแบบ DCA กับ Market Timing ในยุคที่ตลาดผันผวน แบบไหนดีกว่า?

30/04/2024

การซื้อแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน หรือ DCA (Dollar-cost averaging) ในสินทรัพย์ต่างๆ ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน เพราะเป็นการเข้าซื้อแบบแบ่งเป็นงวด โดยไม่สนใจความเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ที่เลือกลงทุน ทำให้สามารถกำจัดอารมณ์และความเสี่ยงของราคาจากความผันผวนของภาวะตลาดได้ และยังสามารถสร้างวินัยทางการเงิน เพื่อมี #การเงินดีชีวิตดี ในอนาคตได้อีกด้วย ปัจจุบัน มีหลายบริษัทหลักทรัพย์ให้บริการหักบัญชีอัตโนมัติ เพื่อ DCA ในหุ้น ทำให้นักลงทุนมีความสะดวกในการสะสมหุ้นที่ต้นทุนถัวเฉลี่ยได้ทุกสภาวะตลาด ซึ่งการลงทุนในหุ้นมีโอกาสได้ผลตอบแทนหรือขาดทุนจากส่วนต่างราคา แต่ก็ยังมีโอกาสได้รับเงินปันผลจากหุ้นของบริษัทที่เข้าไปลงทุนด้วย อย่างไรก็ดี ทุกการลงทุนมีความเสี่ยงที่จะ “ขาดทุน” นักลงทุนจะต้องศึกษาทำความเข้าใจทุกครั้งก่อนการลงทุน ในยุคที่นักลงทุนมีโอกาสทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง ผ่านผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ โดยใช้ “Market Timing” ทำให้การสร้างความมั่งคั่งผ่านการ DCA ในสินทรัพย์ มีความน่าสนใจน้อยลงหรือไม่ วันนี้ #ThairathMoney จะพาไปหาคำตอบกัน คุณศิริพร สุวรรณการ Senior Managing Director, Financial Advisory Head Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ปีนี้ภาพรวมของตลาดตราสารหนี้โลกและตลาดหุ้นทั่วโลก จะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ถือว่าเป็นปีที่ค่อนข้างยากสำหรับการลงทุน เนื่องจากยังมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะในตลาดหุ้นโลก เพราะฉะนั้นแนะนำนักลงทุนให้เน้นการลงทุนแบบสม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยให้สามารถลดความเสี่ยงจากความผันผวนได้ ขณะเดียวกัน มองว่ากลยุทธ์การลงทุนแบบ “Stay Away” หรือการลงทุนในตลาดตลอดเวลา ดีกว่าการใช้ “Market Timing” หรือการจับจังหวะของตลาด เนื่องจากเราไม่อาจทราบได้เลยว่า ช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนนั้น ช่วงไหนเป็นช่วงที่ปรับตัวขึ้นสูงที่สุด หรือปรับตัวต่ำที่สุด จากสถิติที่ผ่านมา พบว่าทุกครั้งที่มีการลงทุนโดยการจับจังหวะของตลาด มักมีผลตอบแทนเฉลี่ยต่ำกว่าการลงทุนแบบสม่ำเสมอ เพราะฉะนั้นในช่วงที่ตลาดผันผวนแบบนี้ การลงทุนแบบสม่ำเสมอจะมีความได้เปรียบมากกว่า นอกจากนี้ มองว่าการจัดพอร์ตหรือเลือกแบ่งสัดส่วนเงินเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ มีความสำคัญมากกว่าระยะเวลาการลงทุน ซึ่งนักลงทุนจะต้องศึกษาว่าจะให้น้ำหนักกับการลงทุนในสินทรัพย์ใด ที่จะสามารถลดความเสี่ยงในภาวะที่ตลาดผันผวน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด. แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/business/investment/stockexchange/2694159

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ก็ล้มละลายได้

30/04/2024

คอลัมน์ : คุยฟุ้งเรื่องการเงิน ผู้เขียน : พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน (ทอมมี่ แอคชัวรี) โดยปกติแล้วธนาคารจะได้รับเงินเข้ามาจากการที่มีลูกค้ามาฝากเงินไว้ ซึ่งเงินที่ฝากจะถือเป็นเจ้าหนี้กับธนาคาร ดังนั้นธนาคารจำเป็นต้องตั้งเป็นหนี้สินสำรองเอาไว้ เพราะมันคือ ภาระที่ธนาคารต้องจ่ายคืนเงินให้ลูกค้าในอนาคต และจะต้องนำเงินที่ได้มาไปลงทุนให้เกิดดอกผลขึ้นมา เพื่อพยุงให้ธนาคารอยู่รอดต่อไป การลงทุนกับธนาคารสามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ ส่วนใหญ่จะเป็นการปล่อยกู้สินเชื่อ โดยระยะเวลาการปล่อยกู้สินเชื่อก็มีระยะเวลาที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเภทของการปล่อยกู้ หรือถ้าธุรกิจของธนาคารไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อปล่อยสินเชื่อเพียงอย่างเดียว ธนาคารต้องนำเงินที่ได้มานั้นไปลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินแบบอื่นด้วย ซึ่งพันธบัตรรัฐบาลถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่เสี่ยงน้อย เมื่อไม่นานมานี้ ข่าวเรื่องของธนาคารในอเมริกาล้ม ซึ่งธนาคารเองก็ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่มีความเสี่ยงน้อย แต่ก็กลับมาพัง เพราะถือพันธบัตรรัฐบาลมากไป และเกิดการขาดทุนจากภาวะของอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ดันไปสอดคล้องกับธุรกิจประกันชีวิตที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ และหนึ่งในตราหนี้ที่บริษัทประกันชีวิตต้องมีไว้คือ พันธบัตรรัฐบาล ธุรกิจประกันชีวิตถือว่าเป็นสถาบันการเงินประเภทหนึ่ง ที่รับเงินเข้ามาจากลูกค้า ซึ่งบริษัทประกันต้องเอาเงินที่ได้มาตั้งเป็นหนี้สินของตัวเอง เผื่อวันที่ลูกค้าเข้ามาขอยกเลิกกรมธรรม์และรับเงินมูลค่าเวนคืนเงินสดกลับไป และอีกส่วนหนึ่งก็ประเมินอนาคตว่าจะต้องจ่ายเงินสดออกไปเท่าไร และต้องจ่ายออกในช่วงไหน เพื่อคำนวณและตั้งเป็นหนี้สินสำรองออกมา โดยเรียกสิ่งนั้นว่า เงินสำรองกรมธรรม์ประกันภัย และหลังจากที่ได้รับเงินมาแล้ว บริษัทนำเงินมาลงทุนเพื่อให้เกิดดอกผล ซึ่งกลไกเหล่านี้ ดูไม่ต่างกับธนาคารทั่วไปมากนัก ที่รับเงินฝากจากลูกค้ามาแล้วก็นำเงินไปปล่อยกู้หรือลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินอื่น ๆ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต่างกันระหว่างธนาคารกับบริษัทประกันชีวิตคือ “ระยะเวลาของการลงทุนในสินทรัพย์ที่จะได้เงินต้นคืนมาเมื่อครบกำหนดสัญญา” กับ “ระยะเวลาที่ต้องจ่ายเงินก้อนคืนให้ลูกค้าเมื่อครบกำหนดสัญญา” บริษัทประกันชีวิตมีระยะเวลาของหนี้สินมากกว่าสินทรัพย์ ซึ่งแตกต่างจากธนาคารที่หนี้สินของธนาคารจะมีระยะเวลาสั้นกว่า ยกตัวอย่างเช่น ถ้าซื้อพันธบัตรระยะเวลา 5 ปี มันก็จะล็อกอัตราดอกเบี้ย และผลตอบแทนไว้ได้ เมื่อถือจนครบกำหนดสัญญาถึง 5 ปี แต่ถ้าหนี้สินนั้นมีคนถอนเงินออกมาก่อน ทำให้ต้องขายพันธบัตรฉบับนั้นก่อน จากที่ธนาคารต้องถือให้ครบกำหนดสัญญา ซึ่งราคาของพันธบัตรในตอนนั้นอาจจะไม่ได้มีราคาที่มากนัก ในกรณีสภาวะเศรษฐกิจที่เป็นช่วงดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น สามารถวิเคราะห์กลไกของธนาคารได้ดังนี้ 1. ตราสารหนี้ระยะยาว จะถูกด้อยมูลค่าอย่างมีนัยสำคัญ เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งในมุมของการลงบัญชีนั้น ถ้าธนาคารตั้งใจที่จะถือให้ครบกำหนดสัญญาแล้ว การถูกด้อยมูลค่าจากอัตราดอกเบี้ยนั้น จะยังไม่ถือว่าเป็นการขาดทุนที่แท้จริง 2. หนี้สิน จะไม่ได้ถูกด้อยมูลค่า หรือได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นเท่าไร 3. เมื่อเกิดกรณีที่คนมาถอนเงินฝาก ทำให้ธนาคารต้องขายตราสารหนี้ที่ตัวเองเคยลงทุนไว้ออกมาก่อนกำหนด ซึ่งทำให้เกิดการขาดทุนจากสินทรัพย์ลงทุนในกรณีที่ดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นได้ โดยสรุปแล้วจะเห็นได้ว่าบริษัทประกันชีวิตจะมีทิศทางการดำเนินงานตรงข้ามกับธนาคาร ตรงที่ระยะเวลาของหนี้สินนั้นมีระยะเวลานานกว่าสินทรัพย์ ทำให้เวลาดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นแล้ว และแม้ว่าสินทรัพย์จะมีมูลค่าลดลง แต่หนี้สินจะถูกด้อยมูลค่าลงไปอย่างมีนัยสำคัญมากกว่า และทำให้เกิดกำไรขึ้นมาได้ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.n et/finance/news-1289887

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X