Everyday knowledge for you
ประกันสุขภาพ
09/05/2025
ประเด็นร้อนของวงการประกันชีวิตในประเทศไทยที่ถูกกล่าวถึงในเวลานี้คือ การบังคับใช้เงื่อนไขประกันสุขภาพให้ลูกค้าต้องมีส่วนร่วมจ่าย (Copayment) ที่สัดส่วน 30% สำหรับกรมธรรม์ใหม่ปีต่ออายุ ซึ่งจะเริ่มมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันนี้ (20 มีนาคม 2568) เป็นต้นไป เพื่อเป็นอีกมาตรการในการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลให้มีความเหมาะสมอย่างไรก็ตาม ล่าสุด “สภาองค์กรของผู้บริโภค” มีการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยระบุผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจเมื่อวานนี้ (19 มีนาคม 2568) ว่า Copayment หรือ Co-ภาระของผู้บริโภค พรุ่งนี้ 20 มีนาคม 2568 เวลา 09.30 – 10.00 น. สภาองค์กรของผู้บริโภคจะไปสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เพื่อหยุดเดินหน้า ชี้เกณฑ์ร่วมจ่ายสูง เพิ่มภาระการเงินผู้บริโภค จึงไม่เห็นด้วยและเสนอให้บริษัทประกันไปกำกับค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลเอกชนสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคและการมีส่วนร่วมด้านการประกันภัย ประจำปี 2568 เพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมจ่าย (Copayment) ในเงื่อนไขการต่ออายุสัญญาประกันภัย กรณีครบรอบปีกรมธรรม์ประกันภัยของสัญญาประกันภัยสุขภาพโดยมีผู้แทนจากหน่วยงาน ประกอบด้วย สภาธุรกิจประกันภัยไทย สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมนายหน้าประกันภัยไทย สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมสำหรับการประชุมครั้งนี้ ได้ร่วมกันพิจารณาเรื่องการกำหนดหลักเกณฑ์ให้มีค่าใช้จ่ายร่วม (Copayment) ในเงื่อนไขการต่ออายุกรณีครบรอบปีกรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งการร่วมจ่ายจะมีผลบังคับใช้เฉพาะในปีถัดไป หากผู้เอาประกันภัยเข้าหลักเกณฑ์ ดังนี้กรณีที่ 1 การเคลมเป็นผู้ป่วยใน ด้วยกลุ่มโรคป่วยเล็กน้อยทั่วไป (Simple Disease) และไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ให้ต้องรักษาตัวแบบผู้ป่วยใน และมีการเคลมมากกว่าหรือเท่ากับ 3 ครั้ง และมีอัตราการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนรวมตั้งแต่ 200%กรณีที่ 2 การเคลมเป็นผู้ป่วยใน ที่ไม่รวมโรคร้ายแรงและการผ่าตัดใหญ่ ที่มีการเคลมมากกว่าหรือเท่ากับ 3 ครั้ง และมีอัตราการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนรวมกันตั้งแต่ 400% โดยในแต่ละกรณีให้กำหนดสัดส่วน Copayment ได้สูงสุดไม่เกิน 30%และหากเข้าทั้งกรณีที่ 1 และกรณีที่ 2 กำหนดสัดส่วน Copayment ได้สูงสุดไม่เกิน 50% ของค่ารักษาที่ได้รับความคุ้มครองในปีถัดไป ซึ่งการกำหนดสัดส่วนดังกล่าวเป็นการกำหนดเป็นขั้นสูงสุด การจะกำหนดสัดส่วนเป็นเท่าใดในแต่ละกรณีจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแต่ละบริษัท โดยสำนักงาน คปภ.จะทำหน้าที่กำกับการคิดเบี้ยประกันภัยสุขภาพ และดูแลเงื่อนไขการร่วมจ่ายให้มีความเป็นธรรมโดยที่ประชุม “เห็นชอบ” ให้บริษัทประกันภัยสามารถเพิ่มเงื่อนไขการมีส่วนร่วมจ่ายได้ใน 3 กรณี เพื่อควบคุมพฤติกรรมการเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งจะช่วยป้องกันและลดการใช้สิทธิในการเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลโดยมิชอบนอกจากนี้ ได้หยิบยกประเด็นเรื่องการสื่อสารประชาสัมพันธ์และให้ความรู้เกี่ยวกับ Copayment เป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องบูรณาการร่วมกัน โดยใช้ช่องทาง Social Media ต่าง ๆ ในการสื่อสารประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ Copayment อย่างถูกต้องและทั่วถึง ควบคู่กับการปรับรูปแบบการสื่อสารโดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายนอกจากนี้จะต้องสื่อสารไปยังตัวแทนและนายหน้าประกันชีวิตให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และไม่นำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแก่ประชาชน หากตรวจพบว่าอาจถูกเพิกถอนใบอนุญาตตัวแทนและนายหน้าประกันชีวิตได้ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ.จะนำข้อเสนอแนะที่ได้รับจากที่ประชุมมาปรับใช้ในการดำเนินงาน เพื่อให้การควบคุมการเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลและการมีส่วนร่วมจ่าย (Copayment) มีประสิทธิภาพสูงสุดและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในระยะยาวต่อไปโดยก่อนหน้านี้ นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย ได้ยกทีมผู้บริหารสมาคมฯ ตั้งโต๊ะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการเพื่อชี้แจงแนวปฏิบัติประกันสุขภาพ Copayment ว่า จะใช้กับกรมธรรม์ประกันสุขภาพฉบับใหม่ที่ธุรกิจประกันชีวิตได้ขายและเริ่มคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป จะไม่เกี่ยวข้องกับสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพฉบับเก่าที่ทำไปก่อนหน้านี้แล้ว เพราะฉะนั้นให้ลูกค้าเก่าต่อสัญญากรมธรรม์สุขภาพอย่างต่อเนื่องโดยเงื่อนไข Copayment จะไม่ได้เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ปีแรกที่ซื้อประกันสุขภาพ แต่จะเป็นกรณีการต่ออายุครบรอบปีกรมธรรม์ประกัน (เริ่มมีผลต่ออายุตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป) หากผู้เอาประกันเข้า 3 เงื่อนไขคือเงื่อนไขที่ 1 การเคลมสำหรับโรคที่ไม่รุนแรง หรืออาการที่ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล การเจ็บป่วยเล็กน้อย (Simple diseases) หรืออาการที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล โดยเบิกเคลมโดยเข้ารักษาผู้ป่วยใน (IPD) มากกว่าหรือเท่ากับ 3 ครั้งต่อปีกรมธรรม์ และเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจาก IPD มากกว่าหรือเท่ากับ 200% ของเบี้ยประกันภัยสุขภาพ จะต้องร่วมจ่าย 30% ทุกค่ารักษาในปีถัดไป“สำหรับนิยาม Simple diseases ประกอบด้วย 9 โรคคือ 1. ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน 2. ไข้หวัดใหญ่ 3.ท้องเสีย 4. เวียนศีรษะ 5. ไข้ไม่ระบุสาเหตุ 6. ปวดหัว 7. กล้ามเนื้ออักเสบ 8. ภูมิแพ้ และ 9. โรคกระเพาะอาหารอักเสบ และกรดไหลย้อน (วินิจฉัยโรคใดโรคหนึ่งและไม่มีภาวะแทรกซ้อน) โดยข้อมูลทางคลินิกต้องเข้าเกณฑ์เหล่านี้ทุกข้อคือ อุณหภูมิ 36-38.5 องศา, ชีพจร 50-120, ความดันตัวบน 90-180, ความดันตัวล่าง 60-100, ระดับออกซิเจนมากกว่า 95%, คะแนนความปวดน้อยกว่า 7, ไม่ขาดน้ำหรือขาดน้ำเล็กน้อย,สำหรับในเด็ก ต้องไม่มีอาการหายใจลำบาก ซึมลง ดื่มนม หรือทานอาหารน้อยลง”เงื่อนไขที่ 2 การเคลมสำหรับโรคทั่วไปแต่ไม่นับรวมการผ่าตัดใหญ่และโรคร้ายแรง โดยเบิกเคลมโดยเข้ารักษาผู้ป่วยใน (IPD) มากกว่าหรือเท่ากับ 3 ครั้งต่อปีกรมธรรม์ และเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจาก IPD มากกว่าหรือเท่ากับ 400% ของเบี้ยประกันสุขภาพ จะต้องร่วมจ่าย 30% ทุกค่ารักษาในปีถัดไปและเงื่อนไขที่ 3 หากเข้าเงื่อนไขทั้งในกรณีที่ 1 และกรณีที่ 2 จะต้องร่วมจ่าย 50% ทุกค่ารักษาในปีถัดไปแจ้งลูกค้าล่วงหน้า 15 วันทั้งนี้เมื่อผู้เอาประกันเข้าเงื่อนไข Copayment ในปีต่ออายุถัดไปแล้ว ผู้เอาประกันจะต้องร่วมจ่าย 30% หรือ 50% ตามสัดส่วนที่กำหนดในค่ารักษาพยาบาล ซึ่งบริษัทประกันชีวิตจะต้องแจ้งให้ผู้เอาประกันทราบล่วงหน้าไม่ต่ำกว่า 15 วัน แต่ทั้งนี้หากการเคลมมีการปรับตัวลดลงและไม่เข้าเงื่อนไข Copayment บริษัทประกันชีวิตจะพิจารณายกเลิกการมีส่วนร่วมจ่ายของลูกค้า หรือกรมธรรม์ดังกล่าวจะกลับสู่สถานะปกติที่ได้รับความคุ้มครองตั้งแต่บาทแรกเช่นเดิมได้ในปีถัดไปจับตาคน 5% เคลมพุ่งเกินจำเป็นนางนุสรา กล่าวต่อว่า จากการเก็บรวบรวมสถิติคนที่มีการเคลมสูงเกินความจำเป็นทางการแพทย์นั้น พบว่ามีอยู่ไม่เกิน 5% “แต่เราไม่สามารถเปิดเผยตัวเลขอัตราความเสียหายจากเคลมสินไหมประกันสุขภาพ (Loss Ratio) ได้ แต่สถิติของลอสเรโชมีอัตราที่เพิ่มขึ้นสูงต่อเนื่อง และคาดการณ์ว่าปีต่อไป ๆ จะเพิ่มขึ้นไปอีก”ดังนั้นคนที่เหลืออีกกว่า 90% จะไม่เข้าข่ายหรือได้รับผลกระทบตรงนี้ และจะได้ประโยชน์จากการที่บริษัทประกันชีวิตจะชะลอการขึ้นเบี้ยประกันสุขภาพทั้งพอร์ตโฟลิโอให้ช้าลงได้ส่วนประเด็นการกำหนดสัดส่วน Copayment ที่สูง 30% ก็เพื่อกระตุ้นให้คนกลุ่ม 5% ตรงนี้ เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการเข้ารับการรักษาพยาบาลไม่ให้เกินกว่าความจำเป็นและเกินกว่ามาตรฐานทางการแพทย์ ซึ่งเรื่องนี้ได้ผ่านความเห็นของคณะทำงานหลายส่วน รวมทั้งพิจารณาประสบการณ์เคลมในอดีตที่ผ่านมาด้วย โดยเน้นย้ำว่าไม่มีผลกระทบกับผู้เอาประกันที่ยังมีความจำเป็นทางการแพทย์อยู่ เช่น คนที่เข้ารับการรักษาด้วยโรคร้ายแรงหรือผ่าตัดใหญ่ ซึ่งมีความจำเป็นและมีจำนวนวงเงินที่สูง จะไม่ได้นำเงื่อนไขตรงนั้นมาพิจารณา“เราต้องการส่งเสริมการเคลมของผู้เอาประกันให้อยู่บนมาตรฐานทางการแพทย์อย่างเหมาะสม และทำให้ระบบประกันสุขภาพมีความยั่งยืนได้ หมายความว่าคนเข้าถึงประกันสุขภาพได้ และจ่ายเบี้ยประกันไหว รวมทั้งภาคธุรกิจสามารถชะลอการขึ้นเบี้ยให้ช้าลงเท่าที่จะทำได้ ” นายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวเงินเฟ้อค่ารักษาพุ่งแตะ 14-15%อย่างไรก็ตาม การขึ้นเบี้ยประกันสุขภาพของภาคธุรกิจประกันชีวิตยังมีอีกหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องอยู่ เช่น ช่วงอายุของคนที่เพิ่มขึ้น, อัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์ (Medical Inflation) ที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก และสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อผู้บริโภคทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ และปัจจุบันภาคธุรกิจยังไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการหารือเรื่องพวกนี้กับทางสมาคมโรงพยาบาลเอกชนไปแล้วเช่นกัน โดยในปี 2567 ที่ผ่านมาพบว่าประเทศไทยมีอัตราเงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาลสูงถึง 15% ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นมาก และคาดการณ์ว่าปี 2568 อัตราเงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาลจะยังอยู่ในระดับสูงที่ 14.2%โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ค่ารักษาพยาบาลปรับตัวสูงขึ้นคือ 1. การเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ 2.โรคอุบัติใหม่ อาทิ ไวรัสโควิด หรือมลพิษทางอากาศ อาทิ PM 2.5 3.ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการแพทย์ และ 4.โครงสร้างค่ารักษาพยาบาล ซึ่งการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ส่งผลให้อัตราการเคลมประกันสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นปัจจัยท้าทายสำคัญที่ภาคธุรกิจต้องวางแผนรับมืออย่างรอบคอบเพราะภายใต้มาตรฐานประกันสุขภาพใหม่ (New Health Standard) ที่บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 พ.ย. 2564 บริษัทประกันชีวิตต้องการันตีการต่ออายุสัญญากรมธรรม์ลูกค้าอย่างต่อเนื่องแม้เคลมสูง จากก่อนหน้าที่สามารถบอกเลิกสัญญาได้ ซึ่งส่งผลให้เบี้ยประกันที่เคยคำนวณไว้ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจทำให้ระบบประกันสุขภาพได้รับผลกระทบโดยตรง นำไปสู่การปรับเบี้ยประกันสุขภาพทั้งพอร์ตโฟลิโอ จนทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงประกันสุขภาพได้ ถ้าภาคธุรกิจไม่จัดการอะไรเลย“เงื่อนไข Copayment ขอเน้นย้ำว่าไม่ใช่ประเทศไทยเพียงประเทศเดียวที่ดำเนินการเพื่อแก้ปัญหา แต่ประเทศในอาเซียนมีการทำ Copayment เต็มรูปแบบไปแล้ว เช่น สิงคโปร์ ใช้รูปแบบ Copayment ที่ไม่ใช่แค่เฉพาะประกันสุขภาพส่วนตัวของภาคเอกชนเท่านั้น แต่รวมทั้งสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติด้วย โดยเขาเริ่มศึกษาตั้งแต่ปี 2016 เพราะเล็งเห็นถึงความไม่ยั่งยืนของการให้บริการทางการแพทย์ เนื่องจากมีประชากรที่มีอายุสูงเพิ่มขึ้นเยอะ และเกิดโรคอุบัติใหม่เพิ่มขึ้นมาก ทำให้รัฐบาลสิงคโปร์ต้องเข้ามาช่วยดูแล โดยจะให้ประชาชนต้องมีความรับผิดส่วนแรกที่กำหนดเป็นจำนวนเงินที่ชัดเจน หรือเรียกว่ารูปแบบ Deductible และหลังจากนั้นจะใช้เงื่อนไข Copayment ที่ 10% ส่วนที่เหลือรัฐบาลช่วยจ่าย” นายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวอย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาเรื่องนี้คงต้องมอนิเตอร์การใช้มาตรการดังกล่าวราว 2-3 ปี ว่าจะช่วยได้มากแค่ไหน และต่อไปโดยส่วนตัวเชื่อว่าพอร์ตประกันสุขภาพกลุ่มก็คงจะใช้แนวทางนี้ในการจัดการปัญหาด้วย เพราะหลายบริษัทเจอปัญหาการบริหารค่าใช้จ่ายของบริษัทที่ให้สวัสดิการพนักงาน ซึ่งเวลานี้ก็เอาไม่อยู่อลิอันซ์ ลูกค้าได้รับผลกระทบแค่ 1%ด้านนายโทมัส วิลสัน กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลจากการบังคับใช้เกณฑ์ Copayment บริษัทได้นำพอร์ตลูกค้าประกันสุขภาพในปี 2567 มาประเมินพบว่า จะมีลูกค้าได้รับผลกระทบแค่ 1% จากลูกค้าประกันสุขภาพทั้งหมดของบริษัท ซึ่งจะเป็นกลุ่มคนที่อาจมีพฤติกรรมใช้ประกันสุขภาพไม่เหมาะสม เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อลูกค้าของบริษัทมีสัดส่วนที่น้อยมาก“เรามอง Copayment นำมาใช้เพื่อสร้างการตระหนักรู้ให้คนเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลอย่างเหมาะสม ไม่ใช่เรื่องของบริษัทประกันจะไม่ยอมจ่ายเคลม และในระยะยาวเชื่อจะทำให้คนมีระเบียบวินัยในการใช้ประกันสุขภาพที่ดีขึ้น และบริษัทประกันสามารถควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น ไม่กระทบต่อการปรับเบี้ยในอนาคต”สำหรับอัตราการเคลมประกันสุขภาพของบริษัท มีอัตราการเติบโตขึ้นประมาณ 10% ต่อปี แต่ยังไม่ทริกเกอร์ทำให้บริษัทต้องขออนุมัติจากสำนักงาน คปภ. ขึ้นเบี้ยประกันสุขภาพรายเดี่ยว แต่จะมีผลต่อพอร์ตประกันสุขภาพกลุ่มโดยพอร์ตประกันสุขภาพกลุ่มของบริษัท มีความท้าทายมากจากอัตราการเติบโตของเคลมสุขภาพสูงขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา ทำให้ปี 2567 บริษัทใช้นโยบายระมัดระวังและเข้มงวดในการรับประกัน ส่งผลต่อเบี้ยประกันเข้ามาเพียง 200 ล้านบาท ทรงตัวจากปี 2566 และในปี 2568 บริษัทยังคงมีนโยบายระมัดระวังอยู่ เน้นบริหารจัดการควบคุมคุณภาพพอร์ตที่เหมาะสม โดยตั้งเป้าเบี้ยรับปีแรกสิ้นปีนี้แค่ 100 ล้านบาท“ตอนนี้บางบริษัทเลิกขายประกันสุขภาพกลุ่มไปแล้ว แต่เรายังไม่เลิกขาย มุ่งสนับสนุนกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่และกลุ่ม SMEs โดยโฟกัสเรื่องการบริหารจัดการพอร์ตที่มีคุณภาพเป็นสำคัญ”ส่วนการจัดการเรื่องผลกระทบที่เกิดจากเงินเฟ้อทางการแพทย์ (Medical Inflation) ที่กดดันค่ารักษาพยาบาลปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในแผนประกันสุขภาพเด็ก ปัจจุบันบริษัทได้ปรับรูปแบบให้ลูกค้าต้องรับผิดชอบส่วนแรก (Deductible) เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบของพอร์ตที่มีการเคลมสูง ทั้งนี้ เพื่อบริหารจัดการให้บริษัทยังสามารถให้ความคุ้มครองอยู่ภายใต้ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นอย่างเหมาะสม“การรุกตลาดประกันสุขภาพปีนี้ ผลิตภัณฑ์ที่วางขายอยู่ เราจะมีการรีเฟรชอยู่เรื่อย ๆ เพื่อให้เหมาะกับความต้องการของลูกค้า แต่ละเซ็กเมนต์และแต่ละช่องทางขาย”เอเชียเผชิญ “เงินเฟ้อการแพทย์” พุ่ง 8-15%ชาลีน ลี หัวหน้าทีมด้านสุขภาพเอเชียแปซิฟิก วิลลิส ทาวเวอร์ วัตสัน (WTW) บริษัทตัวแทนประกันภัยระดับโลกและที่ปรึกษาด้านการจัดการความเสี่ยง ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคตอย่างน่าสนใจว่า ปัจจุบันภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาเงินเฟ้อทางการแพทย์ที่พุ่งสูงในระดับ 8-15% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปหลายเท่า โดยปัจจัยหลัก ๆ มาจากความก้าวหน้าทางการแพทย์ การให้บริการที่มากเกินความจำเป็นของโรงพยาบาล และจากการตระหนักเรื่องสุขภาพและความคาดหวังของผู้คน โดยเฉพาะหลังโควิด-19 ผู้คนตื่นตัวกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น บวกกับการเข้าสู่สังคมสูงวัยของประเทศไทย จึงตามมาด้วยการเกิดโรคภัยต่าง ๆ ซึ่งส่งผลให้จำนวนครั้งของการเคลมและมูลค่าการเคลมเพิ่มสูงมากยิ่งขึ้น ซึ่งสวนทางกับภูมิภาคอื่น ๆ ของโลกสิงคโปร์สั่ง Copay 3-10% ทุกกรมธรรม์ดังนั้นเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับระบบประกันสุขภาพในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จึงมีการนำแนวทางให้ลูกค้าต้องมีส่วนร่วมจ่าย (Copayment) มาบังคับใช้ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วในหลายประเทศ ยกตัวอย่างในสิงคโปร์ รัฐบาลสั่งให้มีการนำระบบ Copayment มาปรับใช้กับสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพทุกกรมธรรม์อย่างน้อย 3-10% และมีการใช้ระบบให้ลูกค้าต้องรับผิดชอบส่วนแรก (Deductible) ร่วมด้วยที่ 3,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ และในอนาคตเล็งจะเพิ่มสัดส่วน Deductible ให้มากขึ้นไปอีกมาเลเซีย Copay 5%ขณะที่มาเลเซีย เริ่มมีปัญหาค่าเบี้ยประกันสุขภาพพุ่งสูงมาก จนกระทบกับการเข้าถึงระบบประกันสุขภาพของประชาชน ช่วงที่ผ่านมาได้มีการประกาศนโยบายไม่ให้มีการเพิ่มเบี้ยประกันสุขภาพเกิน 10% ต่อปี ภายใน 3 ปีข้างหน้า และให้บริษัทประกันสามารถขายแผน Copayment อย่างน้อยที่ 5% สำหรับกรมธรรม์ที่ออกใหม่ได้ ส่วนกรมธรรม์เดิมที่ไม่มี Copayment ก็ยังสามารถขายได้ส่วนประเทศไทย เห็นการจะนำระบบ Copayment มาปรับใช้เช่นเดียวกัน แต่ในแง่ของกฎเกณฑ์จะแตกต่างกัน เพราะด้วยสภาพสังคมและวัฒนธรรมที่ต่างกัน แต่เชื่อว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของการแก้ปัญหา Medical Inflation และช่วยปรับมายเซตของคนในการเข้ารักษาพยาบาลให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้นระบบประกันสุขภาพเอกชน อาการ “ป่วยไอซียู”นายแพทย์ธรธเนศ อายานะ ที่ปรึกษาคณะแพทย์ที่ปรึกษา สมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า ตอนนี้ระบบประกันสุขภาพเอกชนอยู่ในสภาวะป่วยในไอซียู การแก้ไขด้วยระบบ Copayment เฉพาะรายกรมธรรม์ใหม่ในปีต่ออายุ ไม่ได้ช่วยในสภาวะที่ต้องให้ออกซิเจนอยู่ในเวลานี้โดยมองว่าแนวทางนี้อาจจะสายเกินไปในการที่จะทำให้ระบบประกันสุขภาพมีความยั่งยืนได้ เพราะจะเป็นเพียงหนึ่งในวิธีที่จะทำให้ผู้เอาประกันคิดมากขึ้นว่าเวลาเจ็บป่วยว่ามีความจำเป็นที่ต้องไปรักษาที่โรงพยาบาลหรือไม่ แต่ก็ยังไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืนที่สุด เพราะถ้าจะแก้ปัญหาต้องแก้ทั้งระบบ เนื่องจากตอนนี้ยังมีพอร์ตโฟลิโอใหญ่ ๆ ที่ยังใช้จ่ายแบบสุรุ่ยสุร่ายอีกมากที่ต้องจัดการด้วยคอนเซ็ปต์ของผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพภาคเอกชนที่เป็นแบบ Free For Service ทำให้ผู้เอาประกันใช้บริการแบบบุฟเฟต์ ทำให้เกิดการให้บริการทางการแพทย์เกินความจำเป็น และโรงพยาบาลสามารถชาร์จค่าใช้จ่ายได้มาก ซึ่งจะต่างจากระบบประกันสังคมที่จ่ายเป็น Capitation คือให้โรงพยาบาลรับเงินไปบริหารจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายให้เพียงพอ ซึ่งแนวทางนี้ทางโรงพยาบาลจะจำกัดสิ่งที่ไม่จำเป็นเพื่อทำให้การเคลมลดลง เพราะฉะนั้นการบริหารจัดการของภาคเอกชนคงต้องเปลี่ยนไปในอนาคตสถิติชี้ลูกค้าประกันสุขภาพนอน รพ.ถี่-เคลมพุ่ง“ตอนนี้เมื่อเกิดการเคลม บริษัทประกันมักจะอยู่โดดเดี่ยว ในขณะที่ผู้เอาประกันไม่สนใจเพราะมีคนจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลให้แล้ว ส่วนโรงพยาบาลก็พยายามจะให้บริการต่าง ๆ ที่มากเกิน โดยจากสถิติพบว่า การนอนโรงพยาบาลของลูกค้าที่มีประกันสุขภาพในระบบ Free For Service สูงกว่าประชาชนทั่วไปถึง 4-5 เท่า หรือนอนโรงพยาบาลประมาณ 30 ครั้งต่อปี ในขณะที่คนทั่วไปแค่ 7 ครั้งต่อปี ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้ค่อนข้างสูง” นายแพทย์ธรธเนศ กล่าวต่อไปถ้าบริษัทประกันอยู่ไม่ได้ โรงพยาบาลเอกชนก็คงอยู่ยาก เพราะขณะนี้โรงพยาบาลเอกชนที่มีอยู่ 200-300 แห่ง เกือบ 50% ของรายได้มาจากบริษัทประกัน ดังนั้นทางรอดของโรงพยาบาลก็คงต้องไปขอเข้าระบบประกันสังคมเพิ่มขึ้น ซึ่งก็จะเป็นภาระต่อภาครัฐอยู่ดี เพราะฉะนั้นถ้าจะแก้ปัญหานี้ทุกส่วนต้องมีส่วนร่วมเพื่อทำให้ตัวระบบอยู่ได้อย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานกำกับดูแลระบบสุขภาพของประเทศไทย อาทิ กระทรวงสาธารณสุข กรมการค้าภายใน และสำนักงาน คปภ.แม้ที่ผ่านมาภาครัฐจะดำเนินการไปแล้วในเรื่อง “บิลใบเสร็จมาตรฐาน” ในลักษณะการคิดค่าใช้จ่ายอิงตามต้นทุนที่แท้จริงของแต่ละรายการ แต่ก็ยังไม่เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม ทำให้ไม่สามารถเก็บดาต้าเพื่อทำการเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลเอกชนที่เหมาะสมได้ขณะที่บริษัทประกันที่รับความเสี่ยงต้องพยายามจัดการเรื่อง Managed Care (ระบบการให้บริการดูแลสุขภาพที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถจัดการต้นทุนและคุณภาพของความต้องการด้านการดูแลสุขภาพของตนเองได้) ส่วนภาคประชาชนต้องเลิกปล่อยปะละเลยตัวเอง พยายามรักษาสุขภาพให้ดี เพื่อให้เจ็บป่วยน้อยลง และเข้าใช้บริการโรงพยาบาลเท่าที่จำเป็นเลขาธิการ คปภ. กล่าวอีกว่า จริง ๆ ต้องบอกว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีระบบการดูแลสุขภาพประชาชนดีที่สุดประเทศหนึ่งของโลก มีสิทธิพื้นฐานอย่างระบบ 30 บาทรักษาทุกที่ มีระบบประกันสังคมสำหรับผู้ใช้แรงงาน มีระบบประกันสุขภาพข้าราชการ ซึ่งปัจจุบันกรมบัญชีกลางต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลส่วนนี้มูลค่าแสนล้านบาท ถือว่าสูงมาก และมีระบบประกันสุขภาพภาคเอกชน ที่ปัจจุบันมีขนาดเบี้ยรับรวมแตะระดับ 1.3 แสนล้านบาทอย่างไรก็ตามความท้าทายสำคัญที่กำลังเกิดขึ้นคือ ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับอัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์ที่เติบโตขึ้นเฉลี่ยปีละ 10% บางบริษัทประกันเจอผลกระทบตรงนี้ปีละ 12-14% ซึ่งส่งผลให้ค่าสินไหม (เคลมประกัน) สูงขึ้น และกดดันค่าเบี้ยประกันสูงขึ้นตามไปด้วย ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปจะทำให้ผู้ที่มีรายได้น้อยหรือคนที่เริ่มต้นทำงาน จะเข้าถึงระบบประกันสุขภาพได้ยากขึ้น“เรื่องนี้ทุกประเทศในอาเซียนเจอปัญหาหมด แต่มีวิธีการแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน ตัวอย่างสิงคโปร์ มีวิธีการที่ได้ผลดีมากที่สุด แต่วิธีการนี้มองว่าคงไม่เหมาะกับประเทศไทย”คปภ.จึงได้ร่วมกับภาคธุรกิจประกันตัดสินใจพิจารณานำเงื่อนไข Copayment มากำหนดตามข้างต้น “เราคิดว่าวิธีการนี้จะจัดการค่าสินไหมที่สูงขึ้นเร็วได้แต่คงไม่ถึง 100% แต่เป็นสิ่งหนึ่งที่เราต้องการส่งสัญญาณบางอย่างออกไปว่าตอนนี้เคลมสุขภาพโตเร็วขึ้นมาก และถ้าปล่อยให้โตต่อไประบบประกันสุขภาพภาคเอชนน่าจะเกิดปัญหาขึ้นมาได้ ดังนั้นต้องหาทางทำให้เคลมลดลง เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้” เลขาธิการ คปภ. กล่าวแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1776499
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
09/05/2025
“คำว่า ‘นู้ด’ ของผม จะแปลกกว่านู้ดที่เป็นสากลที่เขาใช้แสดงออกทางเนื้อหนังมังสาที่มันเป็นความจริง Realistic แต่ของผมเป็นอุดมคติ เป็นแบบไทย จะสังเกตจากรูปทรงของเทวดา นางฟ้าของไทยอะไรก็แล้วแต่ ยังยึดโครงสร้าง สัดส่วนตามความเป็นจริง แต่เราจะไม่ใส่รายละเอียดที่เป็นกล้ามเนื้อหรือแสงเงาที่เหมือนจริง”“…เพราะฉะนั้น งานของผมจะแฝงไปด้วยเชิงสัญลักษณ์ แล้วก็เป็นลักษณะชีวิตปรกติ ผู้หญิงนอนพักผ่อน นอนหลับ ฝัน อิริยาบถต่างๆ เช่น ผู้หญิงนั่ง เป็นเรื่องง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งมันก็ไม่จำเป็นต้องเอาอะไรไปใส่ให้มันวุ่นวาย ถ้ามันเกิดความพอดีของมัน มันก็จะเกิดความน่าพอใจ ซึ่งบางทีคนเขาก็จะเรียกความน่าพอใจว่าเพลิดเพลินในการดูงาน”“ผมคิดว่า ปลายปีน่าจะจัดแสดงอีกครั้งนึง จะทำในเรื่องของ ‘ไทยนู้ด’ นี่แหละครับ จากรูปธรรมไปสู่นามธรรม ผมก็ทำในแบบนามธรรมอยู่บ้าง ศึกษา ค้นคว้า เราจะปรับเปลี่ยนยังไง ให้เป็นรูปธรรมไปสู่นามธรรม แต่ยังรู้สึกว่านี่คือความงามของผู้หญิง ซึ่งมันก็เป็นโจทย์ที่น่าสนใจครับ”เป็นความ เปลือย NUDE ที่ปราศจากความ Erotic ก้าวข้ามสภาวะอันสามัญไปสู่สภาวะที่สูงกว่า ชมเพื่อพิศความงามหรือเพื่อถอดรหัสนัย อ่านสัญญะที่แฝงไว้ในแต่ละภาพก็ได้เช่นกันรศ.เทพศักดิ์ ทองนพคุณผู้จัดการออนไลน์ สัมภาษณ์พิเศษ รศ.เทพศักดิ์ ทองนพคุณ ศิลปินเจ้าของผลงาน เปลือย NUDE ในครั้งนี้ ทั้งเป็นศิลปินดีเด่น จ.ชลบุรี ทัศนศิลป์ (ภาพพิมพ์) บอกเล่าถึงเส้นทางการทำงานศิลปะที่ผ่านมา รวมทั้งผลงานในครั้งนี้ได้อย่างน่าสนใจรศ.เทพศักดิ์ ทองนพคุณไม่เพียงความนัย, ความหมายที่แฝงไว้ในความเปลือยอันงามแบบกลิ่นอายไทยประเพณี หาก ทว่า ศิลปิน ยังพร้อมนำพา ‘ไทยนู้ด’ ก้าวสู่การสร้างสรรค์งานที่เปี่ยมนัยทางนามธรรมต่อไปอีกด้วยทำงานศิลปะ ตลอดชีวิตถามว่าในส่วนของงานประจำ ด้านหนึ่งของชีวิตคุณทำงานวิชาการมาโดยตลอด แล้วในส่วนของงานศิลปะ แบ่ง Part ชีวิตทำงานศิลปะกี่มากน้อยอาจารย์เทพศักดิ์ตอบพร้อมเสียงหัวเราะว่า “โอ้ มี หลาย Exhibition เลยครับ (หัวเราะ) คือในระหว่างที่ผมทำงานสอนหนังสือและบริหาร ผมก็ทำงานศิลปะไปด้วย ทั้งในช่วงที่มีเวลาว่าง ช่วงพัก ช่วงเย็น ก็ทำไปตลอด เพราะว่าผมถือว่า การสอนเรื่องศิลปะ เราต้องทำงานไปด้วยเราจึงจะมีความรู้ใหม่ๆ มาสอนให้กับนักศึกษา เพราะฉะนั้น ก็เลยทำมาจนเป็นนิสัยครับ ทำควบคู่กันมาตลอด ก็ยังบอกกับเพื่อนร่วมงานเสมอว่า เราสอนศิลปะ ต้องทำงานศิลปะ ได้ประโยชน์คือ 1. ได้ความรู้ใหม่ๆ มาสอน 2. ได้ผลงานเอาไปขอตำแหน่งวิชาการ 3. ผลพลอยได้อีกอย่าง ก็อาจมีคนที่สนใจ เอางานเราไปเก็บสะสมเป็นเจ้าของ ได้ประโยชน์ 3 อย่าง ก็ควรจะต้องทำ”อาจารย์เทพศักดิ์ตอบว่า เริ่มทำงาน Exhibition ตั้งแต่เมื่อครั้งสอนอยู่ที่ จ.นครราชสีมา โดยก่อตั้งกลุ่ม 35 ดีกรีขึ้น แล้วก็แสดง Exhibition มาอีกมาก กับหลากหลายกลุ่ม“กระทั่งช่วงมาทำงานอยู่ ม.บูรพา ทำหน้าที่บริหารแล้วก็จัดกิจกรรม ศิลปกรรมนานาชาติ ก็มีผลงานร่วมแสดงทุกครั้ง แล้วก็นำผลงานไปเผยแพร่ โดยเฉพาะที่ประเทศจีนนะครับ ที่มหาวิทยาลัยต้าลี่ ผมนำผลงานไปแสดงสิบกว่าครั้งแล้ว แสดงงานร่วมกันมาตลอด มีการประกวดด้วย ก็ทำมาตลอดครับ จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังทำ”ปัจจุบัน ตำแหน่งงานของอาจารย์เทพศักดิ์ที่ ม.บูรพาคือ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ประจำคณะศิลปกรรมศาสตร์พลังของงานจิตรกรรมถามว่า คนมักคุ้นชินกับงานของคุณในแนวจิตรกรรม , สีอะคริลิค , ภาพพิมพ์แกะไม้ เป็นต้น แล้วสไตล์ในเนื้องานที่โดดเด่นของคุณคืออะไรอาจารย์เทพศักดิ์ตอบว่า “ครับ ผมทำงานก็ใช้เนื้อหาหลากหลายแล้วก็ส่วนใหญ่ใช้รูปทรงของคน โดยเฉพาะผู้หญิง แล้วก็มีรูปทรงของสัตว์ต่างๆ นี่คือ ตัวรูปทรงที่เรานำมาใช้สื่อในการแสดงออกทางศิลปะ แต่ในด้านวิธีการและเทคนิค ผมทำทั้งงานภาพพิมพ์ เพราะผมจบสาขาภาพพิมพ์ ทำทั้งงานภาพพิมพ์ Etching, Woodcut, Silk Screen ทำทั้งหมด สมัยเรียนต้องทำ เมื่อมาสอนก็ต้องทำทั้งหมด”“งานประติมากรรมก็ทำ เคยจัดแสดงงานประติมากรรมที่ทำด้วยโลหะ แต่ปัจจุบันนี้จะหนักในเรื่องของจิตรกรรม เพราะมันสะดวกในการทำ แล้วสื่อสารตรงไปตรงมา สามารถถ่ายทอดความรู้สึกลงไปโดยตรงโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการเหมือนภาพพิมพ์ หรือประติมากรรม เพราะฉะนั้น งานปัจจุบัน จะหนักไปในเรื่องของจิตรกรรม มีทั้งจิตรกรรมที่ไปทำที่โบสถ์ด้วยนะครับ ผมเขียนภาพไทยด้วย เพราะฉะนั้น ตรงนี้จึงติดมาในงาน เป็นลักษณะพิเศษของผมอย่างนึง คือเป็นลักษณะที่ใช้รูปทรงที่มีเส้นสายที่มันนุ่มนวล ก็คือใช้รูปทรงของผู้หญิงเอามาเป็นลักษณะพิเศษที่เราชอบในการแสดงออก”ถามว่า งานของคุณมีกลิ่นอายของงานไทยประเพณีอยู่ด้วยศิลปินผู้นี้ตอบว่า “ครับ คือจริงๆ งานแสดงครั้งนี้ ผมอยากใช้คำว่า ‘ไทยนู้ด’ ด้วยซ้ำไปแต่เป็นครั้งแรก เราเอาเรื่องของนู้ดก่อนดีกว่า”นัยความ NUDE“คำว่า ‘นู้ด’ ของผม จะแปลกกว่านู้ดที่เป็นสากลที่เขาใช้แสดงออกทางเนื้อหนังมังสาที่มันเป็นความจริง Realistic แต่ของผมเป็นอุดมคติ เป็นแบบไทย จะสังเกตจากรูปทรงของเทวดา นางฟ้าของไทยอะไรก็แล้วแต่ ยังยึดโครงสร้าง สัดส่วนตามความเป็นจริง แต่เราจะไม่ใส่รายละเอียดที่เป็นกล้ามเนื้อหรือแสงเงาที่เหมือนจริง เราจะใส่เฉพาะสีที่จำเป็นเพื่อเพิ่มน้ำหนักนิดหน่อย เพื่อเพิ่มความรู้สึกที่มันกลมเข้าไปนิดหน่อยเท่านั้นเอง”“แล้วก็ตัดทอนรายละเอียดต่างๆ ที่เป็นธรรมชาติออกไป ให้มันเหลือเท่าที่เราต้องการ มันก็จะเป็นลักษณะพิเศษ เพราะฉะนั้น ความพิเศษในงานของผม เท่าที่ผมมองงานตัวเอง ก็คือ ความเป็นไทยที่อยู่ในตัวงานนั้นเอง”“แต่ที่จริงแล้ว ความเป็นไทย เราทำงานจากความรู้สึก จากความจริงใจของเราสื่อออกมาจากความประทับใจมันก็จะออกมาในงานนั้นเอง โดยที่เราไม่ต้องไปพยายามอะไรมันมาก เพียงแต่เราต้องจริงใจในการแสดงออกของเรา”ถามว่า งาน ‘นู้ด’ ครั้งนี้ได้แรงบันดาลใจจากอะไรอีกบ้าง มีงานกี่ชิ้นอาจารย์เทพศักดิ์ตอบว่า “คือชุดนี้ มีงานใหม่ 6 ชิ้น แล้วงานเดิมเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ที่ผมทำแล้วนำไปแสดงที่โปแลนด์ ก็จะทำสืบเนื่องกันมา เพราะฉะนั้น งานของผมจะแฝงไปด้วยเชิงสัญลักษณ์ แล้วก็เป็นลักษณะชีวิตปรกติ ผู้หญิงนอนพักผ่อน นอนหลับ ฝัน อิริยาบถต่างๆ เช่น ผู้หญิงนั่ง เป็นเรื่องง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งมันก็ไม่จำเป็นต้องเอาอะไรไปใส่ให้มันวุ่นวาย ถ้ามันเกิดความพอดีของมัน มันก็จะเกิดความน่าพอใจ ซึ่งบางทีคนเขาก็จะเรียกความน่าพอใจว่าเพลิดเพลินในการดูงาน หรือเห็นสิ่งนี้แล้ว เขาบอกว่าเป็นความงามนะครับ”สื่อในเชิงสัญญะอาจารย์เทพศักดิ์ตอบว่า “บางชิ้นบางภาพ ก็มีลักษณะเป็นเชิงสัญลักษณ์ เช่น ล่องลอย ก็เหมือนกับชีวิตที่ล่องลอย บางครั้งก็ตกต่ำเหมือนจะจมลงไป แล้วยังมีส่วนที่เป็นลายไทย ก็สื่อถึงศิลปวัฒนธรรมของไทย ศิลปะของไทย ส่วนตัวผ้า ผมจะสื่อถึงวัฒนธรรมที่มันคอยห่อหุ้ม เป็นสิ่งที่คอยบังคับเราอยู่ ส่วนแถบสีรุ้ง เหมือนกับสมัยนี้ที่เพศต่างๆ ถูกกำหนดว่าเป็นสีรุ้ง มันมีอิทธิพลกับชีวิตของคน จนผู้หญิงธรรมดาก็อาจจะลำบากหน่อย ส่วนดวงอาทิตย์ ก็คือพลังที่ให้กับสรรพชีวิตต่างๆ"“บางทีมันก็แฝงอยู่นะครับ แต่ไม่อยากให้คนดูไปสนใจกับอะไรที่แฝงอยู่มากมายเพียงแต่มองการประสานกันของ สี จังหวะ มันให้ความรู้สึกพึงพอใจแล้ว คนดูก็น่าจะมีความสุข ส่วนเขาจะคิดลึกคิดเลย ก็อาจจะเป็นเรื่องของแต่ละคน”ถามว่า การลดทอนกล้ามเนื้อออกไปนั้น กล่าวได้ไหมว่า ได้ก้าวข้ามความ Erotic ออกไปสู่อีกขั้นของความงามอาจารย์เทพศักดิ์ตอบอย่างอารมณ์ดีว่า “ผมว่าผมเคยคิดว่างานเรามันแบบไหน อีโรติกก็ไม่นะครับ มันเป็นศิลปะประโลมโลกมั้ง ทำให้โลกมันน่าอยู่ (หัวเราะ) มันผ่อนคลายอะไรแบบนั้นมากกว่า ผมว่ามันไม่ถึงความเป็นอีโรติก แล้วก็ไม่ใช่ความตั้งใจด้วยครับ”ถามว่าดูเหมือนงานของคุณเคารพและให้เกียรติผู้หญิง เช่น ภาพพระแม่โพสพในคอลเลคชั่นที่ผ่านๆ มา แล้วในงานเปลือยหรือนู้ดครั้งนี้ ยังมีกลิ่นอายนั้นอยู่ไหมอาจารย์เทพศักดิ์ตอบว่า “ครับ คือผู้หญิงเป็นเพศที่ไม่กระด้าง ไม่เป็นศัตรูอะไรกับใคร เป็นเพศที่น่าดูหลายอย่าง แล้วผมก็ไม่ค่อยจะเขียนรูปผู้ชาย นอกจากภาพที่จำเป็น อย่างเช่น จิตรกรรมฝาผนัง หรือบางรูปที่จะมีผู้ชายที่แสดงออกถึงความรักระหว่างมนุษย์ด้วยกัน แต่ไม่เคยนำมาทำให้เสื่อมเสีย เพราะกรอบทางจริยธรรมทางสังคมเรามันมีมาก มันไม่อิสระเหมือนอย่างทางตะวันตก ทางตะวันตก บางทีเขาแสดงให้เห็นถึงสัจจะของเนื้อหนัง จริงๆ แล้ว มันคือความจริง แต่เรานำจริยธรรม ศีลธรรมไปจับงานศิลปะ จนละเลยจนไม่ได้นึกถึงคุณค่าจริงๆ ของมันคือความงาม”‘ไทยนู้ด’ จากรูปธรรมสู่นามธรรมถามว่า งานนู้ดครั้งนี้ จะมีคอลเลคชั่นอื่นๆ ตามมาไหมอาจารย์เทพศักดิ์ตอบว่า “ผมคิดว่า ปลายปี น่าจะจัดแสดงอีกครั้งนึง จะทำในเรื่องของ ‘ไทยนู้ด’ นี่แหละครับ จากรูปธรรมไปสู่นามธรรม ผมก็ทำในแบบนามธรรมอยู่บ้าง ศึกษา ค้นคว้า เราจะปรับเปลี่ยนยังไง ให้เป็นรูปธรรมไปสู่นามธรรม แต่ยังรู้สึกว่านี่คือความงามของผู้หญิง ซึ่งมันก็เป็นโจทย์ที่น่าสนใจครับ (หัวเราะ ) "ถามว่า จะนำเสนอออกมาเป็นแนวไหนศิลปินผู้นี้ตอบว่า “รูปทรง เค้าเรียกรูปทรงธรรมชาติ เป็น Organic form อย่างเช่น วงกลมแทนได้หลายอย่างใช่ไหมครับ แทนถึงหน้าอกผู้หญิงก็ได้ พระอาทิตย์ พระจันทร์ ก็ได้ มันหลายอย่าง เราสามารถที่จะสื่อได้ อาจต้องแยกเป็นส่วนๆ มานำเสนอ แล้วลดการจำได้หมายรู้ลงไป ให้เหลือแต่เส้น เหลือแต่สี จังหวะต่างๆ แต่ยังสืบเนื่องมาจากรูปทรงของผู้หญิงที่เราใช้อยู่จะจัดแสดงช่วงปลายปีนี้ครับ หลังจากนี้ก็จะลงมือทำต่อ”สำหรับ ‘ไทยนู้ด’ แห่งนามธรรมของศิลปินผู้นี้ เชื่อว่ามีผู้สนใจเฝ้ารอชมอีกมาก………….เรื่องและภาพ โดย : รพีพรรณ สายัณห์ตระกูลภาพประกอบโดย : Matdot Art Center*หมายเหตุ : นิทรรศการ เปลือย NUDE โดย เทพศักดิ์ ทองนพคุณ จัดแสดงที่ Matdot Art Center ถึง 13 เมษายน 2568แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัการออนไลน์https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000025549
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
09/05/2025
ภายในรั้วสีขาวใจกลาง “วัดโพธิ์” โอบล้อมสวนหย่อมขนาดใหญ่เอาไว้ ซ่อนความงามของมวลหมู่ดอกไม้สะพรั่งบานอวดสีสันสดใส ตรึงสายตาด้วยการตกแต่งภูมิทัศน์สวยงามราวกับเป็นฉากในวรรณคดี สถานที่แห่งนี้ เรียกว่า “สระจระเข้”ทางเข้าสระจระเข้วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือวัดโพธิ์ นับเป็นสถานที่สำคัญแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งไม่เพียงเป็นมรดกล้ำค่าของประเทศไทย แต่ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นสถานที่สำคัญระดับโลกองค์การยูเนสโกยกย่องให้เป็น “มรดกความทรงจำแห่งโลก” นั่นคือ “จารึกวัดโพธิ์” ที่ว่าด้วยภูมิปัญญาไทย และสรรพศาสตร์แขนงต่างๆ ขณะที่ต้นตำรับการนวดวัดโพธิ์ ถือเป็นจุดกำเนิดการนวดแผนไทย ซึ่งได้รับการรับรองให้เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ พร้อมทั้งมี “พิพิธภัณฑ์นวดไทย” ที่ให้ความรู้ด้านศาสตร์วิชาการนวดแผนไทยแก่ผู้สนใจวัดโพธิ์จึงแทบไม่เคยว่างเว้นจากนักท่องเที่ยวผู้มาเยือนจากทั่วโลก โดยไม่จำกัดเชื้อชาติศาสนาใดๆ เพราะแม้แต่คนต่างชาติต่างศาสนา ก็แวะมาศึกษาหรือชื่นชมในมุมมองของศิลปวัฒนธรรม ความสวยงาม หรือศาสตร์วิชาความรู้ที่เป็นมรดกของโลกได้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาชมไม่ขาดสายสระจระเข้ อันซีนวัดโพธิ์เมื่อปลายเดือนธันวาคม พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (ปสฤทธ เขมงกโร) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามหรือวัดโพธิ์ เปิดเผยว่า วัดโพธิ์ ได้เปิด “สระจระเข้” Unseen แห่งใหม่ของวัดโพธิ์ เป็นสวนขนาดใหญ่ปลูกพรรณไม้และไม้ดอกในวรรณคดีอยู่บริเวณกลางวัด มีความร่มรื่น เจดีย์ขนาดเล็กบรรจุพระบรมสารีริกธาตุมีสระน้ำและตรงกลางสระมีภูเขาและบันไดเล็กสามารถเดินขึ้นไปได้ บริเวณด้านบนจะมีเจดีย์ขนาดเล็กเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ส่วนบริเวณโดยรอบขอบสระ ปลูกพรรณไม้และไม้ดอกในวรรณคดี ถือเป็นสวนรูปแบบวัฒนธรรมไทยแท้เจดีย์ขนาดเล็กบรรจุพระบรมสารีริกธาตุความจริงแล้วสระจระเข้แห่งนี้ ไม่ใช่สถานที่แห่งใหม่เสียทีเดียว แต่ถือเป็นสวนเก่าแก่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ที่ได้รับการบูรณะซ่อมแซม ก่อนจะเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาชื่นชมความงดงามได้อีกครั้งมีข้อความบันทึกจากหนังสือ สู่ราชสำนักสยาม : บันทึกการเดินทางของคณะทูตจากข้าหลวงใหญ่ แห่งอินเดียถึงราชสำนักสยามและญวน Journal of an embassy from the governor-general of India to the courts of Siam and Cochin China/ โดย จอห์น ครอฟอร์ด ทูตอังกฤษ ซึ่งระบุไว้ว่ารูปปั้นจระเข้ในสระน้ำ“ระหว่างหอสมุด (หอไตร) และศาลาการเปรียญมีบ่อน้ำเล็กๆ ภายในมีปลาจำนวนมาก และมีจระเข้หนึ่งตัว มีเหล่าพระสงฆ์คอยดูแล” จึงสันนิษฐานได้ว่าสระจระเข้นั้นมีมาตั้งแต่ยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นแล้วทั้งนี้ ภายในสระจระเข้ปัจจุบัน ไม่ได้มีจระเข้จริงเลี้ยงไว้ แต่ก็มีรูปปั้นจระเข้ขนาดเล็กที่มีความสวยงามสมจริงด้วยท่วงท่าแบบจระเข้ ประดับอยู่บริเวณริมน้ำในสวนรูปปั้นจระเข้ในสระน้ำการบูรณะและเปิดใหม่ในรอบ 20 ปีสมเด็จพระมหาธีราจารย์ กล่าวถึงที่มาของการเปิดสระจระเข้อีกครั้งว่า สระจรเข้ไม่ได้เปิดบริการให้คนเข้าชมมานาน ร่วม 20 ปี จึงอยากพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้และจุดเข้าชมของนักท่องเที่ยว เพราะสระจระเข้ มีความร่มรื่นและมีเสน่ห์แบบไทยๆ ถ้าได้รับการพัฒนาหรือปรับปรุงขึ้นใหม่ จะเป็นสถานที่ที่น่าสนใจยิ่งนัก“อาตมภาพ จึงได้ปรารภให้ฝ่ายเผยแพร่ของวัดพระเชตุพนฯ ซึ่งมีพระธรรมวชิรปัญญาจารย์ หรือเจ้าคุณเทียบ ซึ่งเป็นประธานฝ่ายและมีพระสุธีวชิรปฏิภาณ เป็นรองประธาน ช่วยดำเนินการพัฒนาขึ้นมาใหม่และเปิดบริการให้นักท่องเที่ยวเข้าชม น่าจะเกิดประโยชน์แก่วัดและผู้เข้าชม”สีสันแห่งดอกไม้ในสระจระเข้ทางด้านพระธรรมวชิรปัญญาจารย์ รศ.,ดร.( เจ้าคุณเทียบ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนฯ กล่าวว่าสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ได้ปรารภเรื่องการปรับปรุงสระจระเข้ขึ้นมาใหม่ อาตมภาพและคณะทำงาน ที่ได้รับมอบหมายซึ่งประกอบด้วยพระสุธีวชิรปฏิภาณ รองประธานฝ่ายเผยแพร่ พระมหาสิน พระมหานรินทร์ พระมหานพรัตน์และพระมหาวิจิตร จึงได้ดำเนินการปรับปรุงภูทิทัศน์ พื้นที่ภายในสระจระเข้และพื้นที่โดยรอบให้เป็นสวนขนาดใหญ่กลางวัดที่มีความร่มรื่นสามารถนั่งพักผ่อน หรือ นั่งชมความงดงามของบรรยากาศโดยรอบได้สีสันแห่งดอกไม้ในสระจระเข้บริเวณสระจระเข้ ยังมองเห็นความงดงามของพระมหาเจดีย์สี่รัชกาลอย่างชัดเจน ซึ่งวัดโพธิ์ได้ชื่อว่าเป็นวัดแห่งเจดีย์ เพราะมีเจดีย์มากถึง 99 องค์ โดยเจดีย์องค์ใหญ่และโดดเด่นที่สุดในวัด คือ มหาเจดีย์ขนาดใหญ่ 4 องค์ คือพระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๑ - ๔ ที่สามารถมองเห็นจากสระจระเข้ได้ โดยมีสวนอันงดงามเป็นฉากเบื้องหน้า ทั้งยังรายล้อมไปด้วยสถาปัตยกรรมของอาคาร วิหารต่างๆรอบด้านสระแห่งนี้จึงถือเป็น อีกหนึ่งอันซีน - อีกหนึ่งความมหัศจรรย์ของวัดโพธิ์ และเป็นจุดถ่ายภาพแห่งใหม่กลางวัดที่ควรค่าแก่การมาเยือนมองเห็นเจดีย์สี่รัชกาลอยู่ด้านหลังแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000026195
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
09/05/2025
กรุงเทพฯ, 19 มีนาคม 2568 – เอไอเอ ประเทศไทย ผู้นำในธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ จัดงาน “Recruitment Kickoff 2025 - ยกระดับ “นักสร้าง” สู่ความสำเร็จ” เดินหน้าสร้างตัวแทนคุณภาพให้มีอยู่ทั่วทุกภูมิภาคในประเทศ พร้อมกับยกระดับตัวแทนประกันชีวิตของไทยสู่การเป็นที่ปรึกษามืออาชีพในด้านประกันชีวิต การเงิน และสุขภาพ หรือ AIA Financial Advisor (AIA FA) รวมทั้งมุ่งผลักดันให้ประสบความสำเร็จในอาชีพ เพื่อส่งมอบการดูแลและประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้แก่คนไทย ตลอดจนสามารถช่วยคนไทยเตรียมความพร้อมหลังเกษียณ รองรับสังคมผู้สูงอายุที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต ผ่านการวางแผนสุขภาพและการเงินอย่างมีประสิทธิภาพจากที่ปรึกษามืออาชีพของเอไอเอ ให้คนไทยได้มีความมั่นคงและต่อยอดความมั่งคั่งที่ยั่งยืน ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “ปีนี้เป็นปีที่เอไอเอมุ่งผลักดันในด้านการสร้างตัวแทนคุณภาพและสนับสนุนให้ตัวแทนประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน ซึ่งช่องทางตัวแทนยังคงเป็นช่องทางขายหลักของเอไอเอ โดยปัจจุบันเรามีตัวแทนที่ดูแลลูกค้ากระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 55,000 ท่าน มากที่สุดในอุตสาหกรรม และในปีที่ผ่านมา มีตัวแทนที่เข้าร่วมโปรแกรม AIA Financial Advisor (AIA FA) เพิ่มมากขึ้นและสามารถพิชิต Career Achievement Bonus ได้มากถึง 88 ท่าน ถือเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด และในปีนี้เรายังคงมุ่งส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่ก้าวเข้าสู่สายอาชีพ ที่ปรึกษามืออาชีพด้านประกันชีวิต การเงิน และสุขภาพ หรือ AIA Financial Advisor (AIA FA) โดยเรามีแผนที่จะช่วยพัฒนาศักยภาพให้กับ AIA FA ในทุก ๆ ด้าน ผ่านคอร์สฝึกอบรมที่ทันต่อยุคสมัย ซึ่งเราได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการจัดทำหลักสูตรและฝึกอบรมให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการ AIA FA Prime โดยเฉพาะ นอกจากนี้ เรายังพร้อมสนับสนุนเครื่องมือในการทำงานให้กับที่ปรึกษาของเรา ให้ทุกท่านทำงานได้ง่าย สะดวก และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มุ่งไปที่การส่งมอบประสบการณ์การดูแล การบริการ และคำแนะนำด้านการวางแผนสุขภาพชีวิตและสุขภาพการเงินที่เหมาะสม เพื่อช่วยให้คนไทยมีความมั่นคงและมั่งคั่งในระยะยาว”นางอลิสา สิมะโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุในประเทศไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต เอไอเอจึงมีเป้าหมายเพิ่มจำนวนตัวแทนเพื่อให้คนไทยเข้าถึงบริการด้านประกันชีวิตและสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะที่ปรึกษาด้านประกันชีวิต การเงิน และสุขภาพ โดยมุ่งไปที่การสร้างที่ปรึกษาในโครงการ AIA FA Prime ที่จะสามารถช่วยลูกค้าวางแผนชีวิตหลังเกษียณให้มีความมั่นคงได้อย่างประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจำนวนตัวแทนของเอไอเอที่มี IC License มากเป็นอันดับ 1 ของอุตสาหกรรมประกันชีวิตในไทย ทำให้เรามีโอกาสในการช่วยสนับสนุนและดูแลด้านการเงินให้กับลูกค้าได้มากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น เอไอเอยังมีความพร้อมในหลาย ๆ ด้านที่จะช่วยพัฒนาความสามารถของพลังตัวแทน และยกระดับศักยภาพให้เติบโตในอาชีพ ซึ่งอาชีพที่ปรึกษาด้านประกันชีวิต การเงิน และสุขภาพ ถือเป็นอาชีพที่มีคุณค่า และมีส่วนสำคัญในการส่งมอบความคุ้มครองชีวิตและสุขภาพ ตลอดจนมอบอิสรภาพทางการเงินจากการวางแผนที่ดี ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของเอไอเอ ที่มุ่งสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น”สำหรับงาน Recruitment Kickoff 2025 ได้รับเกียรติจากวิทยากรรับเชิญพิเศษ นายปีเตอร์ ยู ผู้อำนวยการภาคอาวุโส เอไอเอ ฮ่องกง ที่มาร่วมบรรยายและแชร์ประสบการณ์ที่มีประโยชน์ นอกจากนี้ ยังได้เปิดตัว Face of FA Prime จำนวน 6 ท่าน เพื่อเป็น Brand Ambassador ในการสะท้อนภาพลักษณ์ที่ปรึกษามืออาชีพด้วยภาพลักษณ์ใหม่ ซึ่งมีลักษณะของความเป็นเจ้าของธุรกิจและคนรุ่นใหม่มากขึ้น เชิญชวนให้คนรุ่นใหม่สนใจก้าวสู่สายอาชีพ เพื่อร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมไทยไปด้วยกันกับ เอไอเอ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
09/05/2025
Sunlight Dancing in the Sea เป็นชุดภาพถ่ายที่เล่าเรื่องของทะเลและแสงรวมเข้าด้วยกัน จากผลงานภาพถ่ายส่วนตัวที่บอกเล่าเรื่องราวของแสงในมุมมองต่างๆ ที่พบเจอในชีวิตประจำวันและสถานการณ์ที่พบเจอด้วยความบังเอิญ ทำให้การบันทึกภาพถ่ายแต่ละครั้งมีมิติที่หลากหลายและน่าหลงใหลซ่อนตัวอยู่ในธรรมชาติหากมองอีกมุมหนึ่งของความเป็นทะเล ผู้คนส่วนใหญ่จะนึกถึงน้ำที่กว้างใหญ่และมีคำบัญญัติไว้ว่า ‘ห้วงน้ำเค็มที่เวิ้งว้างกว้างใหญ่ แต่เล็กกว่ามหาสมุทร’ แต่ถึงอย่างนั้น หากไร้แสงสะท้อนส่องลงไป ทะเลก็คงไร้ความหมายและคงไว้เพียงเสียงที่สัมผัสได้ แสงที่ส่องกระทบเข้ากับน้ำ แรงลมในอากาศ และคลื่นที่ซัดผสานรวมเข้าด้วยกันก็คงเหมือนการเต้นระบำของแสงแดดที่มีเวทีเป็นท้องทะเลและฉากหลังที่งดงามตามพื้นที่ทั้งหมดนั้นเป็นความงามที่เป็นไปเองโดยไม่มีการปรุงแต่ง ธรรมชาติและมนุษย์มักถูกเชื่อมโยงเข้าหาด้วยกันอย่างน่าประหลาด ใช้ร่างกายของเราสัมผัสเข้าไปในทุกอณูที่ธรรมชาติส่งผ่าน จากหนึ่งสิ่งผสานรวมเข้ากับอีกหนึ่งสิ่งก็จะเกิดเป็นสิ่งใหม่ขึ้นมาไหลเวียนไม่รู้จบผลงาน Sunlight Dancing in the Sea ไม่ได้เป็นผลงานที่ชวนให้ตั้งคำถาม แต่หากเป็นผลงานที่อยากชวนทุกคนไปหลงใหล ตกหลุมรัก เหมือนนวนิยายโรแมนติกเล่มหนึ่งที่เล่าเรื่องความรักระหว่างแสงแดดและท้องทะเลในช่วงเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2568 (Bangkok Design Week 2025) ผลงานชุดนี้เป็นส่วนหนึ่งใน Photo Installation ‘1 วัน 1,000 ภาพ ครั้งที่ 3 : Beyond the Sea’ ที่จัดแสดงขึ้นที่ MMAD at MunMun Srinakarin ขอเชิญชวนศิลปิน บุคคลทั่วไป และผู้ที่หลงใหลในการถ่ายภาพ ร่วมชมความงามของภาพถ่าย ‘ทะเล’ จากผู้ได้รับการคัดเลือก 306 คน ผ่านการ OPEN CALL จนได้ผลงานภาพถ่ายทะเลจำนวน 1,000 ผลงาน ระหว่างวันที่ 8 กุมภาพันธ์ – วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2568แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ urbancreaturehttps://urbancreature.co/sunlight-dancing-in-the-sea/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
09/05/2025
เครื่องบินดีเลย์ เที่ยวบินล่าช้า ได้อะไรชดเชยบ้าง นักเดินทางต้องรู้เครื่องบินดีเลย์ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เสมอจากหลายปัจจัย เช่น สภาพอากาศไม่ดี ปัญหาทางเทคนิคของเครื่องบิน หรือปัญหาความปลอดภัย หากพบว่าเครื่องดีเลย์ ควรสอบถามข้อมูลกับสายการบิน ขอเอกสารรับรอง และตรวจสอบสิทธิ์ในการชดเชยค่าใช้จ่ายเครื่องดีเลย์ คืออะไรเครื่องดีเลย์ (Flight Delay) หมายถึง เที่ยวบินออกเดินทางล่าช้ากว่ากำหนด ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อย ในการเดินทางทางอากาศ อาจเป็นการดีเลย์เพียงไม่กี่นาที หรือยาวนานเป็นชั่วโมง หรืออาจถึงขั้นยกเลิกเที่ยวบินเลยก็ได้เชื่อว่าหลายคนต้องเคยผ่านเหตุการณ์ที่เที่ยวบินเกิดความล่าช้า เครื่องบินดีเลย์ รู้หรือไม่ว่าผู้โดยสารทุกคน มีสิทธิ์ได้รับการชดเชยตามระยะเวลาที่ล่าช้า นักเดินทางต้องรู้ ซึ่งแบ่งออกเป็น ดังนี้เครื่องบินดีเลย์ สายการบินชดเชยอะไรบ้าง • ล่าช้าเกินกว่า 2-3 ชั่วโมง: ผู้โดยสารมีสิทธิ์ได้รับอาหารและเครื่องดื่มจากสายการบินโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย • ล่าช้าเกินกว่า 3-5 ชั่วโมง: นอกจากอาหารและเครื่องดื่มแล้ว ผู้โดยสารยังสามารถเลือกที่จะรับเงินคืนค่าโดยสารสำหรับส่วนของการเดินทางที่ยังไม่ได้ใช้ หรือให้สายการบินจัดหาเที่ยวบินหรือวิธีการขนส่งอื่น ๆ ให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย • ล่าช้าเกินกว่า 5-6 ชั่วโมง: ผู้โดยสารมีสิทธิ์ได้รับการชดเชยเพิ่มเติมเป็นเงินสดจำนวน 1,200 บาท และหากต้องค้างคืน สายการบินต้องจัดหาที่พักและการเดินทางไปยังที่พักให้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย • หากเที่ยวบินล่าช้าเกิน 6 ชั่วโมง จะได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับเที่ยวบินที่ถูกยกเลิก ผู้โดยสารมีสิทธิ์ได้รับค่าชดเชย 1,200 บาท เช่นเดียวกับกรณีล่าช้า 5-6 ชั่วโมงสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินดีเลย์เครื่องบินดีเลย์ อาจเกิดจากหลายปัจจัย ซึ่งบางสาเหตุอยู่เหนือการควบคุมของสายการบิน1. ปัญหาสภาพอากาศ สภาพอากาศแปรปรวน เช่น พายุฝนฟ้าคะนอง พายุหิมะ หมอกลงจัด หรือกระแสลมแรง อาจทำให้เที่ยวบินต้องรอจนกว่าสภาพอากาศจะกลับมาอยู่ในระดับที่ปลอดภัย2. ปัญหาทางเทคนิคของเครื่องบิน หากพบว่ามีปัญหากับระบบเครื่องยนต์ ระบบไฟฟ้า หรือระบบอื่นๆ ที่ส่งผลต่อความปลอดภัยของเที่ยวบิน เครื่องบินอาจต้องได้รับการตรวจสอบหรือซ่อมแซมก่อนออกเดินทาง3. ไฟลท์ขาเข้าล่าช้า หากเครื่องบินขาเข้ามาถึงสนามบินช้ากว่ากำหนด อาจทำให้เที่ยวบินขาออกต้องล่าช้าไปด้วย เนื่องจากต้องรอการเตรียมพร้อมของเครื่องบิน4. ปัญหาความปลอดภัย หากพบสิ่งผิดปกติ เช่น วัตถุต้องสงสัยหรือภัยคุกคามใดๆ ทางสายการบินอาจต้องชะลอเที่ยวบินเพื่อตรวจสอบสถานการณ์เมื่อเจอเครื่องดีเลย์ ควรทำอย่างไร?หากพบว่าเครื่องบินล่าช้า ไม่ต้องตกใจ ให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้1. สอบถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่สายการบิน – ตรวจสอบสาเหตุและระยะเวลาที่ต้องรอ2. ขอเอกสารรับรองการดีเลย์ – เพื่อนำไปใช้เป็นหลักฐานในการขอคืนเงินหรือเคลมประกัน3. เก็บหลักฐานสำคัญ – เช่น ตั๋วโดยสาร ใบเสร็จค่าอาหาร หรือที่พักที่จองล่วงหน้า4. ตรวจสอบสิทธิ์ในการชดเชย – หากเที่ยวบินดีเลย์เกิน 2 ชั่วโมง อาจมีสิทธิ์ได้รับอาหาร เครื่องดื่ม หรือค่าชดเชยจากสายการบิน5. ติดต่อสายการบินเพื่อขอเปลี่ยนเที่ยวบิน – หากเที่ยวบินล่าช้ามากจนกระทบแผนการเดินทางอย่างไรก็ตาม หากความล่าช้า เกิดจากเหตุสุดวิสัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของสายการบิน เช่น สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย สถานการณ์ทางการเมือง หรือปัญหาด้านความปลอดภัย สายการบินอาจไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าชดเชยเป็นเงินสด แต่ยังคงต้องดูแลผู้โดยสารด้วยอาหาร เครื่องดื่ม และการจัดหาที่พักหากจำเป็นสำหรับเครื่องบินดีเลย์ เที่ยวบินระหว่างประเทศ สิทธิ์ในการชดเชยอาจแตกต่างกันไป ควรตรวจสอบกับสายการบินหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันขอขอบคุณข้อมูล :สายการบินล่าช้าต้องชดเชยอย่างไรแหล่งที่มาข่าวและภาพ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1451803/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
09/05/2025
คปภ.จัดประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคและการมีส่วนร่วมด้านการประกันภัย ครั้งที่ 1/2568 ชี้แจงทำความเข้าใจหลักเกณฑ์ Copayment ที่ประชุม “เห็นชอบ” ให้บริษัทประกันภัยเพิ่มเงื่อนไขการมีส่วนร่วมจ่ายได้ ควบคุมพฤติกรรมการเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลที่ไม่ถูกต้องเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคและการมีส่วนร่วมด้านการประกันภัย ประจำปี 2568 เพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมจ่าย (Copayment) ในเงื่อนไขการต่ออายุสัญญาประกันภัย กรณีครบรอบปีกรมธรรม์ประกันภัยของสัญญาประกันภัยสุขภาพโดยมีผู้แทนจากหน่วยงาน ประกอบด้วย สภาธุรกิจประกันภัยไทย สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมนายหน้าประกันภัยไทย สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมสำหรับการประชุมครั้งนี้ ได้ร่วมกันพิจารณาเรื่องการกำหนดหลักเกณฑ์ให้มีค่าใช้จ่ายร่วม (Copayment) ในเงื่อนไขการต่ออายุกรณีครบรอบปีกรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งการร่วมจ่ายจะมีผลบังคับใช้เฉพาะในปีถัดไป หากผู้เอาประกันภัยเข้าหลักเกณฑ์ ดังนี้กรณีที่ 1 การเคลมเป็นผู้ป่วยใน ด้วยกลุ่มโรคป่วยเล็กน้อยทั่วไป (Simple Disease) และไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ให้ต้องรักษาตัวแบบผู้ป่วยใน และมีการเคลมมากกว่าหรือเท่ากับ 3 ครั้ง และมีอัตราการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนรวมตั้งแต่ 200%กรณีที่ 2 การเคลมเป็นผู้ป่วยใน ที่ไม่รวมโรคร้ายแรงและการผ่าตัดใหญ่ ที่มีการเคลมมากกว่าหรือเท่ากับ 3 ครั้ง และมีอัตราการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนรวมกันตั้งแต่ 400% โดยในแต่ละกรณีให้กำหนดสัดส่วน Copayment ได้สูงสุดไม่เกิน 30%และหากเข้าทั้งกรณีที่ 1 และกรณีที่ 2 กำหนดสัดส่วน Copayment ได้สูงสุดไม่เกิน 50% ของค่ารักษาที่ได้รับความคุ้มครองในปีถัดไป ซึ่งการกำหนดสัดส่วนดังกล่าวเป็นการกำหนดเป็นขั้นสูงสุด การจะกำหนดสัดส่วนเป็นเท่าใดในแต่ละกรณีจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแต่ละบริษัท โดยสำนักงาน คปภ.จะทำหน้าที่กำกับการคิดเบี้ยประกันภัยสุขภาพ และดูแลเงื่อนไขการร่วมจ่ายให้มีความเป็นธรรมโดยที่ประชุมเห็นชอบให้บริษัทประกันภัยสามารถเพิ่มเงื่อนไขการมีส่วนร่วมจ่ายได้ใน 3 กรณี เพื่อควบคุมพฤติกรรมการเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งจะช่วยป้องกันและลดการใช้สิทธิในการเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลโดยมิชอบนอกจากนี้ ได้หยิบยกประเด็นเรื่องการสื่อสารประชาสัมพันธ์และให้ความรู้เกี่ยวกับ Copayment เป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องบูรณาการร่วมกัน โดยใช้ช่องทาง Social Media ต่าง ๆ ในการสื่อสารประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ Copayment อย่างถูกต้องและทั่วถึง ควบคู่กับการปรับรูปแบบการสื่อสารโดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายนอกจากนี้จะต้องสื่อสารไปยังตัวแทนและนายหน้าประกันชีวิตให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และไม่นำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแก่ประชาชน หากตรวจพบว่าอาจถูกเพิกถอนใบอนุญาตตัวแทนและนายหน้าประกันชีวิตได้ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ.จะนำข้อเสนอแนะที่ได้รับจากที่ประชุมมาปรับใช้ในการดำเนินงาน เพื่อให้การควบคุมการเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลและการมีส่วนร่วมจ่าย (Copayment) มีประสิทธิภาพสูงสุดและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในระยะยาวต่อไปแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1774649
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
09/05/2025
สำนักงาน คปภ. และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เดินหน้าป้องปรามการฉ้อฉลประกันภัย หลังพบการจัดฉากเคลมค่าสินไหมทดแทนรวมกว่า 14 ล้านบาทเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2568 นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานงานแถลงข่าว ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทย โดยนายสมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กรณีพบว่ามีกลุ่มบุคคลวางแผนจัดทำประกันภัยรถยนต์หลายฉบับ และสร้างสถานการณ์อุบัติเหตุทางรถยนต์ เพื่อนำไปสู่การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน รวมมูลค่ากว่า 14 ล้านบาท ตามที่ปรากฏเป็นข่าวตามสื่อต่าง ๆ นั้นจากการตรวจสอบพบว่า รถกระบะ 3 คันที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว มีกรมธรรม์ประกันภัยซ้ำซ้อนรวม 34 ฉบับ จากบริษัทประกันภัย 15 แห่ง โดยกรมธรรม์ส่วนใหญ่จัดทำขึ้นภายใน 10 วัน ก่อนเกิดเหตุ และบางฉบับทำขึ้นในวันเกิดเหตุ นอกจากนี้ ไม่มีการแจ้งเหตุไปยังบริษัทประกันภัยทั้ง 15 แห่งในวันเกิดเหตุ และไม่พบรายงานการเข้าตรวจสอบจากหน่วยกู้ชีพ ขณะที่ลักษณะบาดแผลของผู้เสียชีวิตไม่สอดคล้องกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น อีกทั้งญาติของผู้เสียชีวิตไม่ได้ติดใจสาเหตุการเสียชีวิตและปฏิเสธการ ชันสูตรพลิกศพ ความร้ายแรงที่เกิดขึ้นจึงอาจเข้าข่ายเป็นการฉ้อฉลประกันภัย เพราะถือเป็นกรณีที่ไม่เคยได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับพฤติการณ์ในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนโดยมีเจตนาทุจริตจากการทำประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (พ.ร.บ.) และกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจหลายฉบับซ้ำซ้อนกันดังเช่นกรณีนี้มาก่อน โดยเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 สำนักงาน คปภ. ได้หารือร่วมกับบริษัทประกันภัย ที่เกี่ยวข้อง และมีมติให้แจ้งความร้องทุกข์ต่อสถานีตำรวจภูธรเมืองสกลนคร ในข้อหาฉ้อฉลประกันภัย ซึ่งเป็นความผิดที่มีโทษทางอาญาเลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงาน คปภ. ได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาระบบการป้องกันการฉ้อฉลประกันภัย โดยได้พัฒนาและจัดทำระบบฐานข้อมูลรายงานการฉ้อฉลด้านการประกันภัยด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อช่วยตรวจจับพฤติกรรมที่น่าสงสัย อาทิ การทำประกันภัยซ้ำซ้อนในระยะเวลาสั้น ๆ หรือการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยด้วยรถยนต์ทะเบียนเดียวกันสูงผิดปกติ ภายในระยะเวลา 90 วัน หรือตรวจพบการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนบ่อยครั้งในช่วงระยะเวลา 90 วัน เป็นต้น ซึ่งเมื่อระบบดังกล่าวตรวจพบความผิดปกติ จะมีการแจ้งเตือนให้ทราบทันที และจะมีการเรียกบริษัทประกันภัยที่เกี่ยวข้องเข้ามาหารือก่อนดำเนินการในลักษณะเช่นเดียวกับกรณีนี้ โดยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) สามารถปรับเงื่อนไขการตรวจจับการฉ้อฉลประกันภัยได้ตลอดเวลา เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับกองบัญชาการ ตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการติดตามและดำเนินคดีกับกลุ่มผู้กระทำความผิด โดยสำนักงาน คปภ. จะส่งสำนวนให้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้ การกำกับของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเป็นผู้ดำเนินคดี หรือแจ้งความร้องทุกข์ต่อสถานีตำรวจที่มีเขตอำนาจ โดยดำเนินคดี ฉ้อฉลประกันภัยไปแล้วกว่า 46 คดี รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 50 ล้านบาท และเตรียมดำเนินการเพิ่มเติมอีก 21 คดี“สำนักงาน คปภ. มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัยไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง ควบคู่กับการป้องกันการฉ้อฉลประกันภัย โดยจะมีการพัฒนาระบบฐานข้อมูลรายงานการฉ้อฉลด้านการประกันภัย ด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อใช้ตรวจจับกรณีที่มีความผิดปกติให้มีประสิทธิภาพ แม่นยำ และรวดเร็วได้แบบ Real Time แต่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการคุ้มครองประชาชนที่มีการเรียกสินไหมโดยสุจริต เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้ายแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับสยามรัฐออนไลน์https://siamrath.co.th/n/607837
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
09/05/2025
เตรียมเช็กอิน! กทม.ผนึกพันธมิตร จัดแสดง “KAWS:HOLIDAY THAILAND” อาร์ตทัวร์ขนาดใหญ่ผลงานของ ไบรอัน ดอนเนลลีย์ พ.ค.นี้สิ้นสุดการรอคอย!ใครที่เป็นแฟนคลับของ KAWS ล่าสุดกรุงเทพมหานคร ร่วมกับ เซ็นทรัล เอ็มบาสซี การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ออลไรท์รีเซิร์ฟ และพันธมิตร ร่วมนำเสนอบทใหม่ของการเดินทาง เชิญชวนผู้ชมให้หยุดพัก ไตร่ตรอง และสัมผัสศิลปะในมุมมองใหม่ ของการจัดแสดงในประเทศไทยเป็นครั้งแรก “KAWS:HOLIDAY THAILAND” อาร์ตทัวร์ประติมากรรม COMPANION ขนาดมหึมา ของ ไบรอัน ดอนเนลลีย์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “KAWS” ที่เดินทางจัดแสดงมาแล้วทั่วโลก นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2018คนกรุงเตรียมปักหมุดเช็กอิน “KAWS:HOLIDAY THAILAND”สำหรับ 'KAWS:HOLIDAY' ได้เดินทางข้ามทวีปและฝากร่องรอยไว้ตามสถานที่สำคัญทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น โซล ไทเป ฮ่องกง โตเกียว บริสตอล สิงคโปร์ เมลเบิร์น ยอกยาการ์ตา ทิวทัศน์อันงดงามของภูเขา ฉางไป่ซาน หรือแม้แต่ห้วงอวกาศ ล่าสุดจากเซี่ยงไฮ้ สู่เลอ บราซูส์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และครั้งนี้เดินทางมาถึงประเทศไทย เพื่อสำรวจความเชื่อมโยงระหว่างศิลปะ สภาพแวดล้อม และมรดกทางวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่องคนกรุงเตรียมปักหมุดเช็กอิน “KAWS:HOLIDAY THAILAND”เตรียมพบกับประติมากรรม COMPANION ขนาดมหึมาในเดือนพฤษภาคมนี้ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ทางศิลปะระดับโลก ในงาน “KAWS:HOLIDAY THAILAND” ที่จะเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมฟรี ระหว่างวันที่ 13 – 25 พ.ค.68 ทั้งนี้จะมีการเปิดเผยสถานที่จัดแสดงประติมากรรมในเร็ว ๆ นี้นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กรุงเทพมหานครมีความตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ที่ KAWS:HOLIDAY THAILAND จะมาจัดแสดงที่กรุงเทพฯ ขอบคุณพันธมิตร เซ็นทรัล เอ็มบาสซี และ KAWS ศิลปินชื่อดังระดับโลก ที่ร่วมกันจัดงานนี้ขึ้น เพราะเชื่อว่าเมืองที่ดีไม่ใช่เมืองที่มีแต่ตึกรามบ้านช่อง แต่เป็นเมืองที่มีพื้นที่สาธารณะให้ประชาชนมาใช้ประโยชน์ได้ มีงานศิลปะที่ประชาชนมาชื่นชมได้ หัวใจคือการพัฒนาเรื่อง Art scene ในกรุงเทพฯ ให้ดีขึ้นนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร"หลายคนบอกว่าช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา พื้นที่ศิลปะในกรุงเทพฯ ดีขึ้น ซึ่งประโยชนที่ได้มีหลายมิติ สำคัญที่สุดคือเรื่องเศรษฐกิจ เพราะจะมีแฟนคลับของศิลปินเดินทางมาจากทั้งในและนอกประเทศมาชมผลงานที่จัดแสดงในกรุงเทพฯ ทำให้เม็ดเงินหลั่งไหลไปสู่ธุรกิจต่าง ๆ รวมถึงพ่อค้าแม่ค้า ถึงระดับรากหญ้า นอกจากนี้ชาวกรุงเทพฯ ยังได้ชมผลงานศิลปะระดับโลก ที่ กทม. เองก็สนับสนุนศิลปินทั้งไทยและต่างประเทศมาตลอด เพราะหัวใจของศิลปะคือความคิดสร้างสรรค์ที่ไร้ขอบเขต การที่ผู้คนได้เห็นผลงานดี ๆ จะทำให้เกิดความคิดใหม่ ๆ ที่จะผลักดันให้เมืองสร้างสรรค์และพัฒนาไปข้างหน้า"คนกรุงเตรียมปักหมุดเช็กอิน “KAWS:HOLIDAY THAILAND”แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับฐานเศรษฐกิจhttps://www.thansettakij.com/lifes.../travel-shopping/622266
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
09/05/2025
ถ้าพูดถึงสถานที่ที่ดูเหมือนมาจากต่างดาว "เกาะโซโคตรา" (Socotra Island) แห่งประเทศเยเมน หลายคนต่างจะบอกว่าเกาะ Socotra เต็มไปด้วยต้นไม้ประหลาด เหมือนอยู่นอกโลก แท้จริงแล้วเกาะแห่งนี้ขึ้นชื่อว่าเป็น หนึ่งในสถานที่ที่มีเอกลักษณ์ทางธรรมชาติที่สุดในโลก เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้และสัตว์ที่หาได้เฉพาะที่นี่เท่านั้น โดยเฉพาะ "ต้นเลือดมังกร" (Dragon’s Blood Tree) ที่ดูเหมือนร่มกลับหัว พร้อมน้ำยางสีแดงเข้มราวกับเลือด มาทำความรู้จักเกาะ Socatra กันเพิ่ม ต้นไม้ประหลาดนี้คือต้นอะไร ที่นี่มีคนอาศัยอยู่ไหมมีคนอาศัยอยู่ไหมเกาะโซโคตรามีประชากรประมาณ 60,000 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวพื้นเมืองที่ใช้ภาษาถิ่นของตัวเองชื่อว่า ภาษาโซโคตรี (Soqotri) ซึ่งเป็นภาษาหายากที่สืบทอดมาหลายพันปี คนที่นี่ใช้ชีวิตเรียบง่าย เน้นการทำประมง ปศุสัตว์ และเกษตรกรรมความโดดเด่นของเกาะเนื่องจากเกาะโซโคตราแยกตัวจากแผ่นดินใหญ่มานานกว่า 20 ล้านปี พืชและสัตว์ที่นี่จึงวิวัฒนาการเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จนทำให้ที่นี่ถูกขนานนามว่า "กาลาปากอสแห่งมหาสมุทรอินเดีย"ต้นไม้ประหลาดบนเกาะแห่งนี้ต้นไม้ที่พบได้เฉพาะที่นี่ไม่เพียงแต่ต้นเลือดมังกรเท่านั้น แต่ยังมี ต้นแตงกวายักษ์ทะเลทราย (Desert Rose) ที่ลำต้นอวบอ้วนเหมือนขวด และออกดอกสีชมพูสวยงาม ทำให้ทิวทัศน์ของเกาะโซโคตราดูเหมือนโลกแฟนตาซีที่ไม่มีอยู่จริง นอกจากนี้ ยังมีสัตว์เฉพาะถิ่น เช่น นกหายากและกิ้งก่าพันธุ์พิเศษ ที่ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมอันโดดเดี่ยวของเกาะชายหาดสุดอันซีนไม่เพียงแต่ป่าไม้แปลกตา แต่เกาะโซโคตรายังมี ชายหาดที่สวยงามและเงียบสงบ เหมาะสำหรับการสำรวจแนวปะการังหรือชมฝูงโลมา อีกทั้งยังมี ถ้ำหินปูนและภูเขาหินขรุขระ ที่ทำให้บรรยากาศของที่นี่ดูเหมือนเป็นอีกโลกหนึ่งอย่างแท้จริงเกาะแห่งมรดกโลกเกาะโซโคตราได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกโดยยูเนสโก (UNESCO World Heritage Site) เนื่องจากความหลากหลายทางชีวภาพที่ไม่เหมือนที่ไหนในโลก แต่ด้วยความที่การเดินทางมายังเกาะนี้ค่อนข้างยาก ทำให้ยังคงความเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ และเป็นจุดหมายปลายทางในฝันของนักเดินทางสายผจญภัยที่ต้องการสำรวจสถานที่แปลกใหม่เกาะโซโคตราอาจจะไม่ได้เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม แต่สำหรับคนที่อยากสัมผัสธรรมชาติที่ไม่เหมือนใคร และชื่นชอบการเดินทางแบบอันซีน นี่คือสถานที่ที่คุณต้องไปให้ได้สักครั้ง!แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1452003/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
30/04/2024
07/11/2024
25/10/2024
29/04/2024
30/04/2024