Everyday knowledge for you
ประกันภัย
20/05/2025
บทความโดย "อาจารย์ทอมมี่-พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน อดีตนายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยนอกจากภาคประชาชนและภาคธุรกิจที่ต้องรับมือกับความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว รัฐบาลจะต้องมีบทบาทสำคัญในการสร้างระบบที่ช่วยให้ทั้งประชาชนและธุรกิจสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในธุรกิจประกันภัย ซึ่งเป็นเสาหลักสำคัญในการบริหารจัดการความเสี่ยงดังกล่าวธุรกิจประกันภัย เสาหลักจัดการความเสี่ยงธุรกิจประกันภัยมีบทบาทสำคัญในการกระจายความเสี่ยงและช่วยลดภาระทางการเงินของประชาชนและองค์กรเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น แผ่นดินไหวที่สร้างความเสียหายรุนแรงต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างไรก็ตาม แผ่นดินไหวถือเป็นหนึ่งในภัยธรรมชาติที่สร้างความท้าทายอย่างยิ่งต่อธุรกิจประกันภัย เนื่องจากมีโอกาสเกิดขึ้นแบบสุ่มและยากต่อการคาดการณ์ในระยะยาว การบริหารจัดการความเสี่ยงของบริษัทประกันภัยในกรณีนี้ จึงต้องพึ่งพา “คณิตศาสตร์ประกันภัย” ในการออกแบบผลิตภัณฑ์และการจัดการเบี้ยประกันภัยให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่แท้จริงผลกระทบเมื่อเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงหากเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ บริษัทประกันภัยอาจต้องเผชิญกับการเรียกร้องสินไหมทดแทนจำนวนมหาศาล หากไม่มีการสำรองเงินทุนตามหลักคณิตศาสตร์ประกันภัยที่เพียงพอ หรือไม่มีการทำประกันภัยต่อ (Reinsurance) กับบริษัทประกันภัยระดับสากล ก็อาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเงินในอุตสาหกรรมการปรับตัวของธุรกิจประกันภัยในระยะยาว ธุรกิจประกันภัยจำเป็นต้องพัฒนาเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงให้ทันสมัย เช่น การใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) หรือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อประเมินโอกาสเกิดเหตุการณ์และคำนวณเบี้ยประกันภัยได้อย่างแม่นยำบทบาทของรัฐในการสนับสนุนประกันภัยเนื่องจากธุรกิจประกันภัยเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภัยธรรมชาติ รัฐบาลสามารถเข้ามามีส่วนช่วยสนับสนุนและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมนี้ในหลายมิติ ดังนี้1. การสร้างกองทุนสำรองภัยพิบัติภาครัฐสามารถจัดตั้ง “กองทุนสำรองภัยพิบัติ” เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของบริษัทประกันภัยในกรณีที่เกิดภัยธรรมชาติรุนแรง โดยกองทุนนี้อาจถูกนำไปใช้เป็นเงินช่วยเหลือสำรองกรณีที่บริษัทประกันภัยต้องจ่ายสินไหมทดแทนจำนวนมาก2. การสนับสนุนการทำประกันภัยต่อ (Reinsurance)ภาครัฐอาจจัดตั้งโครงการที่ช่วยให้บริษัทประกันภัยในประเทศ สามารถเข้าถึงบริการประกันภัยต่อจากบริษัทระดับสากลได้ง่ายขึ้น เช่น การเจรจาเพื่อสร้างพันธมิตรระหว่างบริษัทประกันภัยในประเทศกับบริษัทต่างชาติ3. การกำกับดูแลและสร้างมาตรฐานอุตสาหกรรมภาครัฐสามารถกำหนดนโยบายและข้อบังคับที่ชัดเจนเกี่ยวกับการสำรองเงินทุน การออกแบบกรมธรรม์ หรือการจัดการความเสี่ยง เพื่อให้ธุรกิจประกันภัยมีความมั่นคงและโปร่งใส4. การส่งเสริมความรู้และความตระหนักในประกันภัยภาครัฐสามารถร่วมมือกับภาคธุรกิจประกันภัยในการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับแผ่นดินไหว เช่น ประกันภัยบ้านที่ครอบคลุมภัยธรรมชาติ หรือการคุ้มครองพิเศษสำหรับธุรกิจในพื้นที่เสี่ยงสูงการจัดการหลังเกิดเหตุการณ์นอกเหนือจากการป้องกันและส่งเสริมการทำประกันภัย รัฐยังมีบทบาทสำคัญในมาตรการช่วยเหลือหลังเหตุการณ์ ได้แก่+ การช่วยฟื้นฟูธุรกิจประกันภัยหลังวิกฤต โดยรัฐบาลอาจให้เงินสนับสนุนหรือมาตรการลดหย่อนภาษีแก่บริษัทประกันภัยที่ได้รับผลกระทบ เพื่อช่วยให้บริษัทสามารถดำเนินการต่อไปได้โดยไม่กระทบต่อเสถียรภาพของอุตสาหกรรม+ การจัดตั้งศูนย์ประเมินความเสียหาย การจัดตั้งศูนย์ประเมินความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ทำงานร่วมกับบริษัทประกันภัย จะช่วยให้การพิจารณาสินไหมทดแทนเป็นไปอย่างรวดเร็วและโปร่งใสมากยิ่งขึ้นประกันแผ่นดินไหวมีหรือไม่สิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุดและใกล้ตัวเรา สามารถทำได้โดยเริ่มจากการเปิดกรมธรรม์ประกันภัยที่เรามีอยู่ก่อน ไม่ว่าจะเป็นประกันบ้าน ประกันรถยนต์ รวมถึงประกันชีวิต แล้วเช็กให้แน่ใจว่า “ภัยแผ่นดินไหว” อยู่ในความคุ้มครองหรือยัง ถ้ามันเขียนว่าเป็นข้อยกเว้นหรือไม่คุ้มครอง ก็แปลว่าความเสี่ยงของความเสียหายที่เกิดจากแผ่นดินไหวยังมีติดกับตัวเราอยู่ การจะผ่องถ่ายความเสี่ยงนี้ไปได้ก็สามารถทำได้โดยให้บริษัทประกันภัยรับไว้ โดยสามารถหาอ่านรายละเอียดหลักการคำนวณเบี้ยประกันภัยตามหลักคณิตศาสตร์ประกันภัยเพิ่มเติมได้ที่ www.tommypichet.com/article“ประกันแผ่นดินไหวไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่ โดยการบริหารความเสี่ยงจากแผ่นดินไหวไม่ใช่เพียงเรื่องของบุคคลหรือธุรกิจ แต่ยังเป็นความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐ โดยเฉพาะในธุรกิจประกันภัยที่มีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ภาครัฐสามารถให้การสนับสนุนในด้านโครงสร้างพื้นฐาน นโยบาย และการสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชน เพื่อให้ระบบประกันภัยของประเทศสามารถรับมือกับภัยธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนในระยะยาว”แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1782667
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
20/05/2025
บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) จัดโครงการประกวด “ศิลปกรรมช้างเผือก” ครั้งที่ 14 ในหัวข้อ “น้ำกับความเปลี่ยนแปลง” อันเนื่องมาจากความตระหนักถึงความสำคัญของน้ำ และผลกระทบของน้ำต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เพื่อให้ศิลปินได้สร้างสรรค์และสื่อสารแนวคิดร่วมสร้างสมดุลโลกผ่านผลงานของศิลปินแต่ละราย โดยปีนี้มีผู้ส่งผลงานเข้าประกวดทั้งสิ้น 458 ผลงาน และผลงานที่ได้รับ รางวัลช้างเผือก ได้แก่ “ตะเพี๊ยนตะเพียน” โดยนิรัชพร น่วมเจิม รับเงินรางวัล 1,000,000 บาท รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ “Waterworld” โดยเญอรินดา แก้วสุวรรณ รับเงิน รางวัล 500,000 บาท รางวัลคุณหญิง วรรณา สิริวัฒนภักดี ได้แก่ “ธาราแห่งความงอกงาม” โดยธีรพล สีสังข์ รับเงินรางวัล 400,000 บาท รางวัล CEO AWARD ได้แก่ “จุดเริ่มต้น- Genesis” โดยนารา วิบูลย์สันติพงศ์ รับเงินรางวัล 250,000 บาท นอกจากนี้ยังมีรางวัลรองชนะเลิศ 5 รางวัล รางวัลละ 200,000 บาท และรางวัลชมเชยอีก 12 รางวัล รางวัลละ 100,000 บาท รวมเงินรางวัลทั้งสิ้น 4,350,000 บาทนิติกร กรัยวิเชียร ผู้อำนวยการโครงการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และคณะกรรมการตัดสิน กล่าวว่า การประกวดศิลปกรรมช้างเผือก เกิดจากความตั้งใจอันดีของบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเฟ้นหาศิลปินไทยรุ่นใหม่ที่มีทักษะความสามารถทางศิลปะอันโดดเด่น ในการสร้างสรรค์ศิลปะแบบเหมือนจริง (Realistic) และศิลปะรูปลักษณ์ (Figurative Art) โดยยึดถือความเหมือนจริงเป็นแก่นสำคัญเพื่อให้ผลงานศิลปะเหล่านี้เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่สำคัญในการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจด้านศิลปะร่วมสมัยให้ขยายไปสู่การรับรู้ของสังคมในวงกว้าง การดำเนินการประกวดศิลปกรรมช้างเผือกเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 และดำเนินงานต่อเนื่องเรื่อยมาเป็นประจำทุกปี โดยในปี พ.ศ.2568 นับเป็นการจัดการประกวดครั้งที่ 14 “น้ำกับความเปลี่ยนแปลง” เพื่อให้ศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะได้แสดงฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ โดยตีความจากโจทย์ที่กำหนดให้ ซึ่งศิลปินที่เข้าร่วมประกวดแต่ละคน ก็ต่างสร้างสรรค์ผลงานที่น่าสนใจในรูปแบบและแนวทางที่แตกต่างได้อย่างน่าประทับใจ และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีรางวัล CEO Awardพบกับนิทรรศการศิลปกรรมช้างเผือก ครั้งที่ 14 จัดแสดงผลงาน “น้ำกับความเปลี่ยนแปลง” ณ ชั้น 9 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพ มหานคร ตั้งแต่วันนี้-11 พ.ค.68 โดยสมเด็จ พระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตน ราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นประธาน เปิดงานแสดง และพระราชทานรางวัล ในวันที่ 7 พ.ค.68 นอกจากนี้ ผลงานบางส่วนนำไปจัดแสดงให้ชมอีกครั้งในงาน SX 2025 ระหว่างวันที่ 26 ก.ย.-5 ต.ค.68.รางวัลช้างเผือกรางวัลชนะเลิศรางวัลคุณหญิงวรรณาแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/2851737?gallery_id=1
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
20/05/2025
“ฟุกุชิมะ” เป็นจังหวัดใหญ่อันดับสามของประเทศญี่ปุ่น และเป็นที่รู้จักในฐานะประตูสู่ภูมิภาคโทโฮคุ สามารถเดินทางด้วยชินคันเซ็นจาก “สถานีโตเกียว” มาลงที่ “สถานีโคริยามะ” ได้ในเวลา 90 นาทีฟุกุชิมะเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีดอกซากุระบานสวยงามเป็นเอกลักษณ์ น่าเที่ยวชมเป็นอย่างยิ่ง แม้อาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักของคนไทยอย่างแพร่หลายและนี่ก็คือ 3 พิกัดชมดอกซากุระบานที่น่าสนใจไม่ควรพลาดของจังหวัดแห่งนี้1. ศาลเจ้าซูสึมิกาโอกะฮาจิมัง (Suzumigaoka Hachiman Shrine)ศาลเจ้าซูสึมิกาโอกะฮาจิมัง ตั้งอยู่ในเมืองโซมะ ซึ่งเป็นเมืองแนวชายฝั่งของจังหวัดฟุกุชิมะ ศาลเจ้าแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในฐานะศาลเจ้าฮาชิมังกูเมื่อ 700 กว่าปีก่อน และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติ อีกทั้งยังเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะจุดชมซากุระที่มีชื่อเสียงสำหรับไฮไลต์จุดชมซากุระที่ศาลเจ้าซูสึมิกาโอกะฮาจิมัง ได้แก่ บริเวณรอบ ๆ ประตูโทริอิ บ่อโฮโจจิ และสะพานจินโรวิธีการเดินทางจากสถานีเซ็นได : ขึ้นรถไฟ JR East Joban Line (ขบวนที่มุ่งหน้าไปยัง Haranomachi) และลงที่สถานีโซมะ จากนั้นนั่งรถแท็กซี่จากสถานีโซมะไปประมาณ 10 นาที2. สวนชิคิโนะซาโตะ เรียวคุซุยเอ็น (Shiki no Sato Ryokusuien)สวนชิคิโนะซาโตะ เรียวคุซุยเอ็น เป็นสวนที่มีพื้นที่กว้างขวาง ภายในเต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิดให้ได้ชมกันตลอดทั้งปี โดยในช่วงกลางเดือนเมษายนไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน จะเป็นช่วงเวลาที่ดอกซากุระและดอกท้อบานอย่างเต็มที่ ส่วนในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมก็จะเป็นคราวของดอกซากุระสายพันธุ์ชิบะนอกจากนี้ บริเวณนี้ยังมีวิวของภูเขาอาดาตาระประกอบเป็นฉากหลังอันงดงามอีกด้วยวิธีการเดินทางจากสถานีโคริยามะ : นั่งรถไฟสาย Ban'etsusai ไปยังสถานี Kikuta จากนั้นนั่งแท็กซี่ต่อไปประมาณ 10 นาที3. ต้นซากุระอิชิเบะ (Ishibe Cherry Blossom)ต้นซากุระอิชิเบะ มีอายุเก่าแก่กว่า 650 ปี ยืนต้นตระหง่านสง่างามท่ามกลางภูเขาและนาข้าวของเมืองไอสึวากามัตสึต้นซากุระอิชิเบะ เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ประจำเมืองแห่งนี้ นอกจากนี้ยังเป็นจุดแวะที่เหมาะมาก ๆ สำหรับผู้ที่มาเยี่ยมชม “ปราสาทสึรุกะ” หนึ่งในแลนด์มาร์กชื่อดังที่ห้ามพลาดของจังหวัดฟุกุชิมะวิธีการเดินทางจากสถานีโคริยามะ :1.ขึ้นรถบัสด่วน “Iwaki/Koriyama ⇔ Aizuwakamatsu” จากป้ายรถประจำทางสถานี โคริยามะ แล้วลงที่ป้ายรถประจำทางสถานี Aizuwakamatsu2.จากป้ายรถประจำทางสถานี Aizuwakamatsu ให้เปลี่ยนไปขึ้นรถบัสสาย Akabe แล้วลงที่ป้าย Iimoriyama-shita จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 15 นาทีก็จะถึงจุดหมายแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000028691
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
20/05/2025
คปภ.เผยสถิติตัวแทนประกันชีวิต “ย้ายค่าย” ระหว่างบริษัทในอัตราที่สูงขึ้น อาจกระทบสิทธิ-ความเชื่อมั่นของผู้เอาประกัน-เสถียรภาพอุตสาหกรรมประกันภัย เล็งออกมาตรการเชิงรุกกำกับดูแล-ติดตามพฤติกรรมอย่างใกล้ชิดนายอรรถพล พิบูลธนพัฒนา ผู้ช่วยเลขาธิการ สายตรวจสอบคนกลางประกันภัย สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยถึงภาพรวมของตัวแทนและนายหน้าประกันภัยในปี 2567 ที่แสดงถึงแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยสิ้นปี 2567 จำนวนตัวแทนและนายหน้าประกันภัยบุคคลธรรมดา รวมทั้งสิ้น 573,218 ราย เพิ่มขึ้น 4.15% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อนในขณะที่จำนวนตัวแทนประกันชีวิตและตัวแทนประกันวินาศภัย มีจำนวนลดลงเล็กน้อย รวมทั้งสิ้น 232,799 ราย และ 20,895 ราย (ตามลำดับ) แต่จำนวนนายหน้าประกันชีวิต มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 131,022 ราย สำหรับนายหน้าประกันวินาศภัย ทำสถิติสูงสุดในรอบ 5 ปี อยู่ที่ 188,502 รายสำหรับกระบวนการขอรับและขอต่ออายุใบอนุญาตตัวแทนและนายหน้าประกันภัยในปี 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 281,518 ราย แบ่งเป็นการออกใบอนุญาตใหม่ จำนวน 118,262 ราย เพิ่มขึ้น 2% และการต่ออายุใบอนุญาต จำนวน 163,256 ราย เพิ่มขึ้น 15.4% สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและแนวโน้มการขยายตัวที่มั่นคงของธุรกิจประกันภัยในประเทศนายอรรถพลกล่าวว่า ปัจจุบันมีแนวโน้มที่ตัวแทนประกันชีวิตจะย้ายค่ายระหว่างบริษัทในอัตราที่สูงขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อสิทธิและความเชื่อมั่นของผู้เอาประกันภัย รวมถึงเสถียรภาพของอุตสาหกรรมประกันภัย สำนักงาน คปภ.จึงออกมาตรการเชิงรุกในการกำกับดูแลและติดตามพฤติกรรมดังกล่าวอย่างใกล้ชิดโดยกำชับให้บริษัทประกันภัย ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบตัวแทนประกันชีวิตในสังกัด หากพบการย้ายค่ายบ่อยครั้งโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือมีพฤติกรรมที่ไม่โปร่งใส หรือชักจูงให้ผู้เอาประกันภัยซื้อกรมธรรม์ใหม่โดยไม่พิจารณาความเสี่ยงที่แท้จริง บริษัทจะต้องชี้แจงและปรับปรุงแนวทาง บริหารทีมขายให้เหมาะสม พร้อมทั้งกำชับให้ส่งเสริมมาตรฐานจรรยาบรรณในการให้บริการ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้เอาประกันภัยนอกจากนี้ ยังได้นำระบบ e-Licensing มาใช้ร่วมกับเทคโนโลยี RPA (Robotic Process Automation) ซึ่งช่วยลดระยะเวลาการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูล ทำให้กระบวนการออกและต่ออายุใบอนุญาตเป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว และโปร่งใสมากขึ้น ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบใบอนุญาตของตัวแทนและนายหน้าประกันภัยผ่านแอปพลิเคชั่น “คนกลาง ForSure” หรือเว็บไซต์ของสำนักงาน คปภ. โดยเลือกหัวข้อ “ตรวจสอบใบอนุญาต” ก่อนการตัดสินใจซื้อกรมธรรม์“การดำเนินมาตรการเชิงรุกดังกล่าว เป็นการเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของสำนักงาน คปภ. ในการปกป้องสิทธิของผู้เอาประกันภัยเพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันภัย ส่งเสริมมาตรฐานจรรยาบรรณในการให้บริการของคนกลางประกันภัย และส่งเสริมการแข่งขันอย่างเป็นธรรมในธุรกิจประกันภัย จึงขอเชิญชวนประชาชนติดตามข่าวสารและข้อมูลผ่านช่องทางเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ของสำนักงาน คปภ. เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัย” ผู้ช่วยเลขาธิการสายตรวจสอบคนกลางประกันภัยกล่าวแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1777434
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
20/05/2025
• โด่ง - พงษธัช อ่วยกลาง เป็นประติมากรชาวไทยผู้มีผลงานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ผลงานของเขาจัดแสดงอยู่ที่ The PARQ, ไอคอนสยาม, Cheval Blanc Randheli โรงแรมลักชัวรี่ของเครือธุรกิจ LVMH ที่มัลดีฟส์ เป็นอาทิ • ล่าสุด พงษธัช อ่วยกลาง จัดแสดงผลงานจิตรกรรมสีน้ำมันบนผืนผ้าใบเป็นครั้งแรก ภายใต้ชื่อนิทรรศการ Shiny Airy Freely • ภาพจิตรกรรมที่บันทึกความทรงจำของ 'บ้านเกิด' โคราช เลือกมุมวาดจากความรู้สึกที่มองไปแล้วสุขใจ เป็นอิสระโด่ง - พงษธัช อ่วยกลาง ศิลปินเจ้าของผลงานประติมากรรมร่วมสมัยสุดสร้างสรรค์ผู้ทลายกำแพงระหว่างงานศิลปะกับพื้นที่สาธารณะและสถาปัตยกรรมของอาคารทุกรูปแบบหากคุณเคยไป The PARQ, สยามพรีเมียมเอาท์เล็ต, ไอคอนสยาม, โรงแรมโฟร์ซีซันส์ กรุงเทพฯ, ยูโอบี พลาซา กรุงเทพ, โรงแรมฮิลตัน พัทยา ฯลฯ แม้กระทั่ง Cheval Blanc Randheli โรงแรมลักชัวรี่ของเครือธุรกิจ LVMH ที่มัลดีฟส์ และโรงแรม W Muscat ประเทศโอมาน คุณอาจเดินผ่านผลงานประติมากรรมของ โด่ง - พงษธัช แล้วก็ได้พงษธัช อ่วยกลาง กับนิทรรศการ Shiny Airy Freelyล่าสุด โด่ง -พงษธัช จัดแสดงผลงานจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบเป็นครั้งแรก ภายใต้ชื่อ นิทรรศการ Shiny Airy Freely ภาพวาดทิวทัศน์ที่ดูเหมือนลดทอนรายละเอียดชุดนี้ซ่อนความรู้สึกบางอย่างของประติมากรซึ่งงานประติมากรรมของเขาเป็นที่ยอมรับในระดับสากลภาพวาดสีน้ำมันในนิทรรศการ Shiny Airy Freely“ผมเรียนศิลปะ ต้องถามว่าแยกกันที่ไหนว่าจะเขียนรูปไม่ได้ เราเรียนศิลปะ เรารู้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นภาพพิมพ์ ภาพวาด งานประติมากรรม งานเทคนิค อะไรก็ตามที่เราทำแล้วเป็นศิลปะ ผมเชื่อว่าเราทำได้” โด่ง พงษธัช ตอบคำถามที่ว่า ปกติทำงานประติมากรรม แต่ทำไมครั้งนี้แสดงงานภาพวาดหลังสำเร็จหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ด้านศิลปกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตนครราชสีมา พงษธัช อ่วยกลาง ได้เข้าศึกษาต่อที่คณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร (พ.ศ.2545)ทิวทัศน์ ‘โคราช’ บ้านเกิด โด่ง - พงษธัช อ่วยกลางภาพวาดในนิทรรศการ Shiny Airy Freely เป็นการรวมภาพวาดที่พงษธัชเขียนตั้งแต่เรียน ปวช. ปี 3 จนกระทั่งเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ต่อเนื่องถึงปัจจุบันที่เปิดบริษัท Dong Dong Company Limited ในการรับงานด้านประติมากรรม“เราก็เป็นนักศึกษาศิลปะคนหนึ่งที่รู้จักโมเนต์ แวนโก๊ะ โกแกง ความเป็นอิมเพรสชั่นนิสม์กลายเป็นสิ่งที่ติดตัวเรามาเรื่อยๆ แม้กระทั่งเขียนแลนด์สเคปส่งอาจารย์ วิชาทิวทัศน์ เราก็เขียนประมาณนั้น”ทิวทัศน์จากความคิดถึงบ้านภาพวาดทิวทัศน์ของ โด่ง พงษธัช มีความเป็นอิมเพรสชั่นนิสม์แบบลดทอนรายละเอียด แต่ได้บันทึกธรรมชาติ ณ ช่วงเวลานั้นตามจริง รวมทั้งอารมณ์-ความรู้สึกของเขาที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้นด้วยเช่นกัน“พอผมเริ่มทำงาน มันก็เหนื่อยกับชีวิตในกรุงเทพฯ ปีใหม่กับสงกรานต์ซึ่งเป็นวันหยุด ถ้าไม่ไปต่างประเทศ เราก็กลับบ้าน ช่วงเวลาที่เรากลับบ้าน 10-15 วัน ทำให้เราอยากมีช่วงเวลาคิดถึงบ้าน อยากมีรูปเกี่ยวกับบ้านเราไว้”บ้านที่คิดถึงของพงษธัช หมายถึง ‘บ้านเกิด’ ของเขาที่ โคราช พร้อมกับบอกว่ามุมทั้งหมดที่เขาวาดเกี่ยวกับบ้านเกิด ไม่พยายามทำให้ซับซ้อน แต่เลือกมุมวาดจากความรู้สึกที่มองไปแล้วสุขใจ เป็นอิสระ ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล“ชิ้นนี้เป็นงานที่ผมเขียนสมัยไปช่วยอาจารย์ทำสวนที่วังน้ำเขียว เกิดไฟป่า พื้นทั้งหมดถูกไฟไหม้เป็นสีดำ หญ้าคาแตกหน่อออกมามีดอกสีแดง" : โด่ง พงษธัช“ภาพวาดชุดนี้ที่เกิดขึ้น กลายเป็นสิ่งที่ผมเริ่มบันทึกประสบการณ์ บันทึกมุมหลังบ้าน ทุ่งนา เกิดการบันทึกความทรงจำของตัวเอง พร้อมกับเยียวยาตัวเองพอเราเข้าใจว่าเราทำงานศิลปะ การวาดรูปโดยมีเงื่อนไขของอะไร เราไม่มีอิสระ ผมก็พยายามไม่ทำ แค่รู้สึกอยากวาดให้เหมือนมุมที่ผมเห็น โดยไม่ต้องกังวล ไม่ต้องเกร็ง ไม่ต้องพยายามมาก ให้มันออกมาจากสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ เหลือแต่เงื่อนไขของความรู้สึกเรา ไม่มีเงื่อนไขของอะไรอื่นทั้งนั้นผมขับรถขึ้นไป จอดรถ เห็นมุมที่เรารู้สึกชอบ เราก็วาดขึ้นมา ขับรถเข้าไปกลางทุ่งนา มองกลับมาที่บ้านตัวเอง แล้วก็วาด แค่นั้นเลยครับ”พงษธัชกล่าวว่า ภาพวาดของเขาไม่มีนิยามเป็นงานสไตล์ใด แต่ธรรมชาติในแต่ละช่วงเวลาจะบอกเราเองว่าลักษณะภาพวาดเป็นแบบไหน“ทำไมชิ้นนี้สีเขียวๆ เพราะเป็นช่วงที่มีฝน ใบไม้สีเขียว แต่เส้น ฟอร์ม เชฟ จะไม่ชัด เส้นสายท้องฟ้าดูเบลอๆ ฉ่ำๆ เมฆมีมวลตามธรรมชาติของมันเอง ผมลดทอนรายละเอียดลง เห็นแต่ความรู้สึก เห็นสิ่งที่เรารู้สึกกับภาพตรงหน้า ณ ตอนนั้นจริงๆ เป็นสีสันของช่วงเวลานั้นจริงๆ”พงษธัช อ่วยกลาง กับภาพวาดแปลงผักที่แม่ปลูกรอลูกชายทุกสิ้นปีถ้าขอให้เลือกภาพวาดในดวงใจมาสัก 1 ภาพ พงษธัชเลือก ภาพแปลงผักแม่ โดยเล่าเรื่องราวความรักเบื้องหลังภาพวาดนี้ว่า“ถ้าแม่รู้ว่าผมจะกลับบ้านปีใหม่ แม่จะเริ่มปลูกผักไว้รอ พอกลับบ้าน ผักพวกนี้กินได้พอดี กินกับน้ำพริกปลาทู น้ำพริกหมูที่แม่ทำ ผักของแม่ไม่ใส่ปุ๋ย มีแต่รดน้ำ ถ้ากินไม่ทัน แม่ก็ปล่อยให้ผักแก่แล้วเก็บเมล็ดไว้ ปีหน้าก็ปลูกใหม่ ภาพวาดมุมนี้ผมรู้สึกอยากเก็บแปลงผักแม่ไว้ในความทรงจำ ก็เขียนเลย เห็นอย่างไรก็เขียนอย่างนั้น ไม่ต้องหามุมหาองค์ประกอบให้ดูสวย”พงษธัชกล่าวด้วยว่า เขานำภาพวาดบ้านเกิดกลับมาแขวนไว้ที่ออฟฟิศในกรุงเทพฯ เพื่อเยียวยาจิตใจในวันที่รู้สึกเหนื่อยกับชีวิต“เวลาอยู่ในออฟฟิศ ผมจะนั่งดูมัน วันหนึ่งเราเหนื่อย เราคิดถึงบ้าน พลังลดลง เราก็จะวาร์ปเข้าไปในช่วงเวลาขณะที่เราเขียนรูปนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีกติกา เป็นอิสระ ไม่มีอะไรกดดัน ความรู้สึกดีๆ ก็กลับมาใหม่”ภาพวาดแปลงผักที่แม่ปลูกรอลูกชายทุกสิ้นปีแฟชั่น แกลเลอรี่ ชั้น1 สยามพารากอนสุธี คุณาวิชยานนท์ กล่าวเปิดนิทรรศการฯ ให้ พงษธัช อ่วยกลางด้วยเหตุนี้ นิทรรศการจึงใช้ชื่อว่า Shiny (สีสันที่เปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา) Airy (สายลมที่สร้างบรรยากาศให้ทิวทัศน์ และอารมณ์ที่ไหลเวียนขณะเขียนภาพ) Freely (ตัวแทนอิสระในการมองเห็นและการแสดงออก)Shiny Airy Freely นิทรรศการภาพวาดแสดงเดี่ยวโดยประติมากร โด่ง - พงษธัช อ่วยกลาง จำนวน 31 ชิ้น จัดแสดงที่ แฟชั่น แกลเลอรี่ ชั้น1 สยามพารากอน 3-31 มี.ค.2568 ภายในงานเปิดโอกาสให้ผู้สนใจและนักสะสมเป็นเจ้าของภาพวาดไปร่วมชมภาพวาดที่เต็มไปด้วยความสุขและเป็นอิสระแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับบกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1172381
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
19/05/2025
“จุดชมวิวเสม็ดนางชี” หรือที่คนมักเรียกกันสั้น ๆ ว่า “เสม็ดนางชี” ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์และแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของจังหวัดพังงา ที่นี่เป็นจุดชมวิวและจุดเช็กอินต้องห้ามพลาดสำหรับผู้ที่ล่องใต้ไปเที่ยวพังงาในปัจจุบันคำว่า “เสม็ดนางชี” มาจากเดิมบริเวณนี้เรียกว่าบ้าน “เหม็ดนางชี” ซึ่งมาจากตำนานเรื่องเล่า ว่า ในอดีตหมู่บ้านแห่งนี้ มีพระภิกษุชรารูปหนึ่งอาศัยอยู่ที่ “เขาพระอาดเฒ่า” และพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง อาศัยอยู่ที่ “เขาพระอาดหนุ่ม” โดยมีแม่ชีอาศัยอยู่ที่ใกล้ ๆ กับบริเวณจุดชมวิวแห่งนี้ ซึ่งมักจะเดินไปมาหาสู่กัน แต่จะต้องเดินผ่านลำคลองที่กั้นขวางในบริเวณนี้ทิวทัศน์บริเวณเสม็ดนางชี (ภาพ : ททท.)เมื่อแม่ชีเดินผ่านในลำคลองจะต้องพับชายผ้าขึ้นหรือถลกชายผ้าขึ้น ซึ่งภาษาท้องถิ่นเรียกว่า “เหม็ดผ้า” ขึ้น เพื่อให้พ้นจากระดับน้ำ ไม่เช่นนั้นชายผ้าก็จะเปียกหมด นั่นจึงเป็นที่มาของคำว่า “เหม็ดนางชี” และเพี้ยนมาเป็น “เสม็ดนางชี” ดังในปัจจุบันส่วนเขาพระอาดนั้นมาจากพระภิกษุเมื่อเห็นแม่ชีถลกผ้าข้ามคลองแล้วมีอาการกำหนัด ซึ่งภาษาถิ่นเรียกว่า “อาด” จึงเป็นที่มาของ "เขาพระอาด" ด้วยเช่นกัน“บียอนด์ สกายวอล์ก” แห่งเสม็ดนางชี สกายวอล์กริมทะเลสูง-ยาวที่สุดในเมืองไทย (ภาพ : อโนทัย งานดี)เสม็ดนางชี ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านท่าหินร่ม ตำบลคลองเคียน อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา จุดชมวิวแห่งนี้ได้แจ้งเกิดเป็นที่รู้จักตั้งแต่เมื่อราวปี พ.ศ. 2559หลังจากนั้นเสม็ดนางชีก็ได้รับความนิยมโด่งดังกลายเป็นจุดชมวิวยอดฮิตของจังหวัดพังงา ทั้งจากนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ เนื่องจากที่นี่สามารถชมวิวทิวทัศน์อันสุดอเมซิ่งของอ่าวพังงาได้แบบพาโนรามา 180 องศา โดยมีป่าเกาะเป็นภูเขาหินปูนน้อย-ใหญ่ หลากหลายรูปแบบ ตั้งตระหง่านเรียงรายในน้ำทะเลริมชายฝั่งอย่างสวยงามกว้างไกล ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถมาเที่ยวชมได้ตลอดทั้งปี“บียอนด์ สกายวอล์ก” แห่งเสม็ดนางชี สกายวอล์กริมทะเลสูง-ยาวที่สุดในเมืองไทย (ภาพ : อโนทัย งานดี)ปัจจุบันเสม็ดนางชีนอกจากจะเป็นจุดชมวิวและจุดเช็กอินสำคัญสำหรับผู้ที่ล่องใต้ไปเที่ยวพังงาแล้ว บริเวณนี้ยังมีที่พัก ร้านอาหาร คาเฟ่เก๋ ๆ รวมไปถึงไฮไลต์จุดใหม่คือ “บียอนด์ สกายวอล์ก” ของ “บียอนด์ สกายวอล์ค นางชี” รีสอร์ตหรูบริเวณเสม็ดนางชี แห่งเครือ “กะตะกรุ๊ป รีสอร์ท ประเทศไทย”“บียอนด์ สกายวอล์ก” แห่งเสม็ดนางชี เป็นสะพานทางเดินชมวิวพื้นกระจกใสลอยฟ้าริมทะเลที่สูงที่สุดและยาวที่สุดในประเทศไทย ซึ่งเพิ่งเปิดตัวไปเมื่อช่วงปลายปี 2566“บียอนด์ สกายวอล์ก” แห่งเสม็ดนางชี สกายวอล์กริมทะเลสูง-ยาวที่สุดในเมืองไทย (ภาพ : อโนทัย งานดี)สะพานทางเดินกระจกแห่งนี้ สูงจากระดับน้ำทะเล 80 เมตร มีความยาว 180 เมตร เป็นพื้นกระจกสามชั้นหนา 30 มิลลิเมตร สามารถรองรับน้ำหนักได้มากถึง 500 กิโลกรัมต่อตารางเมตร รองรับนักท่องเที่ยวได้สูงสุด 1,500 คนต่อรอบบียอนด์ สกายวอล์ก เป็นไฮไลต์ไม่ควรพลาดแห่งใหม่ของจังหวัดพังงาควบคู่ไปกับจุดชมวิวเสม็ดนางชี ซึ่งนักท่องเที่ยวนอกจากจะได้สัมผัสกับวิวทิวทัศน์หลักล้านอันงดงามของอ่าวพังงาแล้ว ยังได้ร่วมสนุกตื่นเต้นยามเมื่อเดินชมวิวอยู่บนสะพานชมวิวพื้นกระจกใสแห่งนี้อีกด้วยนายกฤษณกร เงินเปียนายกฤษณกร เงินเปีย ผู้จัดการทั่วไป บียอนด์ สกายวอล์ก นางชี กล่าวว่า ที่นี่มีห้องพักจำนวน 58 ห้อง หลากหลายแบบ มีทั้ง เต็นท์วิวทะเล (Seaview Tent), เต็นท์กลางป่า (Forest Tent) ที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบกับวิวพระอาทิตย์ขึ้นเหนือทะเลแบบพาโนราม่าหรือขุนเขาเขียวขจี, พาวิลเลี่ยนวิวทะเล (Seaview Pavilion) ห้องพักขนาด 30-31 ตารางเมตรตั้งอยู่ในอาคาร 2 ชั้นนอกจากนี้ยังสามารถสัมผัสประสบการณ์ความหรูหราเหนือระดับที่มองเห็นความงดงามของวิวทิวทัศน์เสม็ดนางชีอย่างชัดเจน ในที่พักแบบ วิลล่า (Villa) และ พูลวิลล่า (Pool Villa)“บียอนด์ สกายวอล์ก” แห่งเสม็ดนางชี สกายวอล์กริมทะเลสูง-ยาวที่สุดในเมืองไทย (ภาพ : อโนทัย งานดี)รวมถึงมีห้องอาหารรับตะวันและห้องอาหาร Horizon และกานดาคาเฟ่ ในส่วนของราคาค่าบริการเที่ยวชมสกายวอล์ก ตั๋วราคา 700 บาทต่อคน ซึ่งสามารถนำเครดิต 200 บาทมารับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์ได้ หรือนำไปเป็นส่วนลดในร้านอาหารและคาเฟ่ได้อีกด้วยแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000027630
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
สกู๊ปพืช
19/05/2025
รวมสายพันธุ์ต้นไม้ที่มีคำว่า “พฤกษ์” ต้นไม้มงคล ความหมายดี เสริมโชคลาภและการงาน เหมาะปลูกจัดสวนประดับบ้าน อยากรู้ว่ามีต้นไหนน่าปลูกบ้าง มาดูกันใครกำลังมองหาต้นไม้มงคลที่ลงท้ายด้วย “พฤกษ์” เพื่อมาปลูกจัดสวน วันนี้เรารวมต้นไม้ที่มีคำว่าพฤกษ์มาฝาก เชื่อกันว่าเป็นต้นไม้มงคล ช่วยเสริมด้านชื่อเสียง โชคลาภ หน้าที่การงาน มาดูกันว่ามีต้นไหนน่าสนใจบ้าง1. ราชพฤกษ์ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูน (Golden Shower) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cassia fistula L. เป็นต้นไม้ประจำชาติไทย และยังเป็นไม้มงคลที่นำมาใช้ประกอบพิธีตั้งเสาหลักเมือง ในปัจจุบันก็ยังคงใช้ในพิธีลงเสาเอกบ้านอีกด้วย อีกทั้งยังถือเป็นต้นไม้ยืนต้นมงคล ปลูกไว้เสริมยศบารมี หรือหากนำไปปลูกไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของบ้าน ยังช่วยให้คนในครอบครัวมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นเท่าทวีคูนตามชื่อของต้นด้วย ลักษณะเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ ลำต้นตั้งตรง สูงประมาณ 5-15 เมตร ใบมีสีเขียวเป็นมัน ออกดอกเป็นพวงยาวระย้าลงมาจากกิ่ง โดยจะบานสะพรั่งในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน นิยมปลูกและขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด โดยให้เลือกเมล็ดจากฝักแก่ ๆ แล้วนำไปปลูกลงดินได้ทุกชนิด ชอบน้ำน้อย แต่ต้องการแสงแดดจัด ๆ2. กัลปพฤกษ์กัลปพฤกษ์ (Pink Shower) ต้นไม้ที่ได้รับฉายาว่าซากุระเมืองไทย จัดเป็นไม้มงคลแห่งความสำเร็จ ในอดีตเชื่อว่าเป็นไม้สารพัดนึก หากใครไปยืนอธิษฐานใต้ต้นกัลปพฤกษ์จะช่วยให้สมปรารถนา ลักษณะเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ มีความสูงประมาณ 5-15 เมตร ใบออกเป็นแผง มีลักษณะบางเรียบ ปลายแหลม ส่วนดอกสีชมพูออกเป็นช่อตามกิ่งก้าน มีกลิ่นค่อนข้างหอม มักออกดอกช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน ผลเป็นฝักกลมยาว ซึ่งมีเมล็ดอยู่ด้านใน นิยมปลูกและขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด ควรปลูกในดินร่วนซุยหรือดินปนทราย ชอบแสงแดดจัด ต้องการน้ำน้อยถึงปานกลาง รดน้ำประมาณ 7-10 วันต่อครั้ง และควรปลูกให้ห่างจากบริเวณบ้าน เนื่องจากมีการแตกกิ่งก้านแผ่กว้าง3. กาฬพฤกษ์ภาพจาก : Angela_Macario / shutterstock.comกาฬพฤกษ์ (Horse Cassia) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cassia grandis L.f. เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดบุรีรัมย์ ถือเป็นต้นไม้ยืนต้นมงคล หากปลูกในบ้านจะช่วยให้เอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ได้ลักษณะเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ มีความสูงประมาณ 20 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มหรือแผ่กว้าง ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ใต้ท้องใบมีขนอ่อน ๆ ดอกมีลักษณะคล้ายดอกต้นเชอร์รี มี 5 กลีบ ลักษณะเป็นรูปไข่กลับถึงค่อนข้างกลม ออกดอกเป็นช่อตามปลายกิ่ง เมื่อเริ่มบานจะมีสีแดงคล้ำ แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูอมส้ม มีกลิ่นหอม จะออกดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดหรือการตอนกิ่ง ชอบแสงแดด ควรปลูกในดินร่วน ชอบน้ำปานกลาง ทนแล้งได้ดี ควรปลูกห่างจากบริเวณตัวบ้านประมาณ 8 เมตร ไม่ควรปลูกแถวลานจอดรถ เพราะฝักมีขนาดใหญ่อาจสร้างความเสียหาย4. รัตนพฤกษ์ต้นรัตนพฤกษ์ (Rainbow Shower) หรือ ต้นคูนสายรุ้ง เป็นลูกผสมที่มีลักษณะและสีคล้ายทั้งราชพฤกษ์ (ดอกสีเหลือง) กัลปพฤกษ์ (ดอกสีชมพู) และกาฬพฤกษ์ (ดอกสีชมพูอมส้ม) จึงเป็นที่มาของชื่อ รัตน ที่แปลว่าสามนั่นเอง ถือเป็นต้นไม้ยืนต้นมงคล หากปลูกในบ้านจะช่วยให้มีความเจริญก้าวหน้าในทุกด้านลักษณะเป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ มีความสูงประมาณ 10 เมตร ใบด่างสีเขียวสลับเหลือง ไม่ค่อยติดฝัก ดอกเป็นรูปรีแกมไข่ มี 5 กลีบ ดอกสีเหลืองแกมชมพูออกเป็นช่อใหญ่ตามซอกใบและปลายกิ่ง ช่อเป็นพวงห้อยลง จะออกดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม ขยายพันธุ์โดยการตอนกิ่ง ควรปลูกในพื้นที่ที่มีแสงแดดจัดตลอดวัน รดน้ำเพียง 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ก็เพียงพอ5. วชิรพฤกษ์ต้นวชิรพฤกษ์ หรือ คูนขาว (White Shower) เป็นต้นไม้ยืนต้นมงคล หากปลูกในบ้านจะช่วยเสริมโชคลาภ มีความมั่งคั่งร่ำรวยลักษณะเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ เป็นลูกผสมระหว่างต้นราชพฤกษ์กับต้นกัลปพฤกษ์ มีความสูงประมาณ 10 เมตร ใบสีเขียวเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับ ใบย่อย 3-8 คู่ รูปไข่ปลายแหลม ดอกเป็นรูปรีแกมรูปไข่หรือรูปไข่กลับ กลีบดอกมี 5 กลีบ เมื่อออกใหม่เป็นสีเหลืองอ่อนแล้วจึงเปลี่ยนเป็นสีขาว มีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นดอกบัวหลวง จะออกดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด ทาบกิ่ง หรือตอนกิ่ง ควรปลูกในดินร่วยซุย พื้นที่ที่มีแสงแดดจัดตลอดวัน ต้องการน้ำน้อยถึงปานกลางหากใครสนใจอยากจะปลูกต้นไม้ที่มีคำว่าพฤกษ์สักต้น ลองนำไปพิจารณากันดูนะคะ ดูแลรักษาง่าย ความหมายดี เสริมมงคลแก่ผู้ปลูกรวมถึงคนในบ้านด้วยขอบคุณข้อมูลจาก : royalparkrajapruek.org, library.wu.ac.th, forprod.forest.go.th, redcross.or.th และ agri.kps.ku.ac.thแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ กระปุก.คอม https://home.kapook.com/view289822.html
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
19/05/2025
“ซากุระที่บานเร็ว” มาแล้ว! นักท่องเที่ยวแห่ชมแน่นสวนอูเอโนะ ในกรุงโตเกียว ก่อนที่ซากุระจะบานสะพรั่งในช่วงปลายเดือนมีนาคมนักท่องเที่ยวแห่ชม “ซากุระที่บานเร็ว” หรือที่เรียกว่า “Ookanzakura” ในสวนสวนอูเอโนะ สวนสาธารณะ ในกรุงโตเกียว โดยซากุระจะบานสะพรั่งในช่วงปลายเดือนมีนาคมตามข้อมูลพยากรณ์ซากุระประจำปี 2025 ครั้งที่ 8 ของสำนักงานอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น ที่เพิ่งออกมาเมื่อวันที่ 13 มีนาคม ระบุว่า ซากุระทั่วญี่ปุ่นจะบานในช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน ๆ แต่อาจจะต้องระวังสภาพอากาศ ที่สามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อการบานของซากุระ อย่างเช่นในปี 2023 อุณหภูมิที่เย็นลงในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิทำให้ซากุระบานช้ากว่าปกติสองสามสัปดาห์ซากุระที่สวนอูเอโนะ ในกรุงโตเกียว เริ่มบานแล้วเครดิตภาพ:REUTERS/Issei Katoสำหรับโตเกียว คาดว่าดอกซากุระจะเริ่มบานช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ไม่กี่วัน โดยกำหนดวันที่ออกดอกคือวันที่ 26 มีนาคม และอาจบานเต็มที่ในวันที่ 2 เมษายน ขณะที่ในเกียวโต คาดว่าดอกซากุระจะบานในวันที่ 30 มีนาคม และบานเต็มที่ในวันที่ 7 เมษายนส่วนโอซาก้า คาดว่าดอกซากุระจะบานในวันที่ 30 มีนาคม และบานเต็มที่ในวันที่ 6 เมษายนเช่นกันนักท่องเที่ยวออกมาชมดอกซากุระที่สวนอูเอโนะ ในกรุงโตเกียวเครดิตภาพ:REUTERS/Issei Katoทางด้านซัปโปโร ที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศจะเป็นเมืองสุดท้ายที่ดอกซากุระจะบาน โดยกำหนดวันที่ออกดอกคือวันที่ 27 เมษายน และบานเต็มที่ในวันที่ 1 พฤษภาคมอย่างไรก็ตาม สำนักงานอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นจะอัปเดตข้อมูลการพยากรณ์ซากุระอีกครั้งในวันที่ 21 มีนาคมที่มา: Time Outนักท่องเที่ยวออกมาชมดอกซากุระที่สวนอูเอโนะ ในกรุงโตเกียวเครดิตภาพ:REUTERS/Issei Katoแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ กรุงเทพธุรกิจ https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/travel/1171060
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
15/05/2025
บุคคลในภาพ: นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ (กลาง) ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายภิมุข สิมะโรจน์ (ที่ 9 จากขวา) เลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ดร.เกศี จันทราประภาวัฒน์ (ที่ 10 จากขวา) ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นางพรพัน วัฒนสินธุ์ (ที่ 8 จากขวา) ผู้อำนวยการเขตบางรัก คณะผู้บริหารเขตบางรัก พร้อมด้วยผู้บริหารเอไอเอ ประเทศไทย โดยนางศรัณยา เทียนถาวร (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล นางสาวชลิดา นครชัย (ที่ 10 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ (ที่ 6 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ และคณะผู้บริหาร เอไอเอ ประเทศไทยกรุงเทพฯ, 15 พฤษภาคม 2568 - เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นางศรัณยา เทียนถาวร (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล นางสาวชลิดา นครชัย (ที่ 10 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด และ นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ (ที่ 6 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ พร้อมคณะผู้บริหาร ให้เกียรติต้อนรับ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายภิมุข สิมะโรจน์ (ที่ 9 จากขวา) เลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ดร.เกศี จันทราประภาวัฒน์ (ที่ 10 จากขวา) ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และนางพรพัน วัฒนสินธุ์ ผู้อำนวยการเขตบางรัก พร้อมคณะ ในงานเปิดตัว “AIA x BKK Food Bank” โครงการความร่วมมือระหว่างเอไอเอ ประเทศไทย และ กรุงเทพมหานคร ร่วมด้วยเขตบางรัก เพื่อแบ่งปันและแจกจ่ายอาหารแห้งและของใช้จำเป็นให้แก่กลุ่มผู้เปราะบาง โดยตั้งจุดรับบริจาคผ่านรถ Goodie Foodie Truck ณ อาคารเอไอเอ สำนักงานใหญ่ เขตบางรัก ด้วยเป้าหมายในการช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ และลดปริมาณขยะอาหารที่ก่อให้เกิดมลภาวะอันเป็นสาเหตุของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลก ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้าน ESG ของเอไอเอ ซึ่งโครงการ AIA x BKK Food Bank นับเป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจ AIA One Billion ที่ต้องการสนับสนุนให้ผู้คนกว่าพันล้านคนในเอเชียแปซิฟิกมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา 'Healthier, Longer, Better Lives'ทั้งนี้ เอไอเอ ประเทศไทย พร้อมต่อยอดและเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน ลดปัญหาอาหารล้นซึ่งอาจกลายเป็นขยะ ในขณะเดียวกันยังต้องการมีส่วนช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสให้สามารถเข้าถึงสิ่งดำรงชีพขั้นพื้นฐานในชีวิตประจำวัน เพื่อส่งเสริมและสร้างสังคมที่ยั่งยืน โดยตลอดทั้งปีนี้ เอไอเอ ได้มีการจัดกิจกรรมเพื่อรณรงค์และสร้างการตระหนักรู้เรื่องการลดปัญหาขยะอาหารอย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการ “AIA Food Fighters” เชิญชวนให้พนักงานเอไอเอร่วมแบ่งปันอาหารที่รับประทานไม่หมดให้เพื่อนพนักงานด้วยกัน และล่าสุดกับแคมเปญ “Yellow Label I Love” ด้วยความร่วมมือจากร้านอาหารและแบรนด์ชั้นนำกว่า 20 แห่ง มอบความอร่อยจากสินค้าป้ายเหลืองในราคาคุ้มค่า ให้ทุกคนสามารถร่วมช่วยกันรักษ์โลกได้แบบง่าย ๆ และมีส่วนร่วมสร้างสรรค์สังคมไทยให้เป็นสังคมน่าอยู่อีกด้วย
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
14/05/2025
กรุงเทพฯ 14 พฤษภาคม 2568 – เอไอเอ ประเทศไทย จับมือ ฟันเตอร์เทนเมนท์ จัดการแข่งขันวิ่งมินิมาราธอนในชื่อ Snoopy Run Thailand 2025 Presented by AIA Vitality ครั้งแรกในประเทศไทย ณ ชายหาดปากน้ำปราน อ.ปราณบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เอาใจแฟนคลับสนูปปี้ แอนด์ เดอะ แก๊งค์ คาแรคเตอร์ขวัญใจคนไทย พร้อมร่วมฉลองในโอกาสครบรอบ 75 ปีตัวการ์ตูนสนูปปี้ รวมถึงเปิดให้แฟนคลับชาวไทยร่วมสนุกกับกิจกรรม Fun Run วิ่งกับน้องหมาแสนรัก ระยะทาง 1.5 กิโลเมตร โดยเอไอเอ ประเทศไทย เป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ เพื่อร่วมส่งเสริมให้คนไทยได้เริ่มต้นดูแลสุขภาพ และสนุกไปกับครอบครัว รวมถึงสัตว์เลี้ยงคู่ใจ ให้ทุกคนได้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นในแบบที่เป็นตัวเอง ตามคำมั่นสัญญา “Healthier, Longer, Better Lives’นางสาวชลิดา นครชัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “ในนามของ เอไอเอ ประเทศไทย เรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้เป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของงาน Snoopy Run Thailand 2025 Presented By AIA Vitality ซึ่งถือเป็นการเดินหน้าตามพันธกิจ AIA One Billion ที่เอไอเอ ต้องการสนับสนุนผู้คนกว่าพันล้านคนให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ เพราะเราเชื่อมั่นว่าการมีสุขภาพที่ดีคือกุญแจสำคัญสู่การมีชีวิตที่ยืนยาว เอไอเอจึงให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพของคนไทยอย่างยั่งยืนผ่านโครงการ เอไอเอ ไวทัลลิตี้ (AIA Vitality) ซึ่งเป็นโครงการดูแลสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ด้วยจำนวนสมาชิกกว่า 800,000 ราย* โดยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เรามีการพัฒนาโครงการ เอไอเอ ไวทัลลิตี้ ให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของสมาชิกเฉพาะบุคคล (Personalization) มากขึ้น ทั้งในด้านสิทธิประโยชน์และกิจกรรมเพื่อให้สมาชิกได้สนุกกับการดูแลสุขภาพ รวมถึงการออกกำลังกายในแบบของแต่ละคน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด ‘Rethink Healthy ปรับความคิดเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น’ ที่เอไอเอต้องการส่งเสริมให้ผู้คนปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นในแบบของตัวเอง โดยเริ่มจากการขยับร่างกายในชีวิตประจำวัน อย่างการออกมาวิ่งกับตัวการ์ตูน Snoopy ในดวงใจไปกับลูกหลาน หรือแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยง ซึ่งจะทำให้การออกกำลังเป็นเรื่องสนุกและไม่ไกลตัวจนเกินไป เพื่อสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน”นายฤทธิชัย สายสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟันเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ผู้ได้รับลิขสิทธิ์จาก Peanuts Worldwide LLC และ Wild Brain CPLG ในฐานะผู้ดำเนินงานโครงการจัดการแขงขันวิ่งมินิมาราธอน Snoopy Run Thailand 2025-2027 เปิดเผยว่า “บริษัทฯ ได้ร่วมกับเอไอเอ ประเทศไทย จัดการแข่งขันวิ่งมินิมาราธอน Snoopy Run Thailand 2025 Presented by AIA Vitality ครั้งแรกในประเทศไทย ณ ชายหาดปากน้ำปราน อ.ปราณบุรี จ. ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อเอาใจแฟนคลับสนูปปี้ แอนด์ เดอะ แก๊งค์ คาแรคเตอร์ขวัญใจคนไทย รวมทั้งเป็นการร่วมฉลองในโอกาสครบรอบ 75 ปีตัวการ์ตูน Snoopy และสร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้กับวงการวิ่งของประเทศไทย“Snoopy Run เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว และมีจัดในหลายประเทศ เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย สำหรับในประเทศไทยคาดว่ามีแฟนคลับทั่วประเทศประมาณ 300,000-500,000 คน เราจึงคิดว่าถ้าจะทำอะไรให้คนที่รักสนูปปี้ก็น่าจะต้องเป็น Snoopy Run ซึ่งเราได้ศึกษาข้อมูลจากประเทศอื่น ๆ หลายประเทศ เพื่อนำสิ่งที่ยังไม่ได้ทำในต่างประเทศมาทำในประเทศไทย เพื่อทำให้รูปแบบการจัดของเรามีความแตกต่าง ตรงใจแฟนคลับ และมีสีสันมากยิ่งขึ้น“สำหรับสนามแรกคือ ถนนเลียบชายหาดปากน้ำปราน อ.ปราณบุรี นั้นถือเป็นที่ที่ดีที่สุดอันดับ 2 ของโลกในเวลานี้รองจากบุรีรัมย์ ซึ่งได้รับรวมร่วมมือจาก อบต.ปากน้ำปราณ และนายกเทศบาลปากน้ำปราณ และทางตำรวจที่จะมาดูแลกิจกรรมการวิ่ง นอกจากนี้ในวันงานผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ก็จะมาร่วมวิ่งด้วย ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีในการเริ่มสนามแรก ซึ่งเราคาดว่าจะมีนักวิ่งเข้าร่วมกว่า 1,000 คน” นายฤทธิชัยกล่าว สำหรับ Snoopy Run Thailand 2025 Presented by AIA Vitality มีแผนจัดใหญ่จำนวน 5 ครั้ง 5 สนาม แบ่งเป็น Physical Run จำนวน 3 สนาม ได้แก่ 1) Snoopy Run 2025 Paknampran Beach Park ณ ชายหาดปากน้ำปราน อ.ปราณบุรี จ. ประจวบคีรีขันธ์ หรือ Snoopy Run Hua Hin วันที่ 24 พฤษภาคม 2568 2) Snoopy Run Bangkok 2025 วันที่ 30 สิงหาคม 2568 ณ กรุงเทพฯ และ 3) Snoopy Run Kao Yai 2025 วันที่ 22 พฤศจิกายน 2568 ณ โบนันซ่า เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของงาน AOB Day 2025 และ Virtual Run 2 สนาม ได้แก่ 1) Snoopy Virtual Run 2025 part1 เดือนกรกฎาคม 2568 และ 2) Snoopy Virtual Run 2025 part2 เดือนตุลาคม 2568โดย Snoopy Run 2025 Paknampran Beach Park หรือ Snoopy Run Hua Hin ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกนี้ ได้แบ่งการแข่งขันออกเป็น 3 ประเภท ประกอบด้วย Snoopy Fun Run (Pet Run) วิ่งกับน้องหมาแสนรัก ระยะทาง 1.5 กิโลเมตร Snoopy Fun Run ระยะทาง 3 กิโลเมตร และประเภท Snoopy 75th anniversary (75 Years of peanuts) ระยะทาง 7.5 กิโลเมตร ไม่เพียงเท่านี้นักวิ่งยังจะรับของที่ระลึกสำหรับ Snoopy Run 2025 ซึ่งเป็นลิมิเต็ดเอดิชั่น โดยแต่ละสนามเหรียญรางวัลจะแตกต่างไม่ซ้ำกัน ที่สำคัญตลอดระยะทางการแข่งขันทุกคนจะได้สัมผัสกับ Snoopy ตลอดเส้นทางด้วยหมายเหตุ:*ข้อมูล ณ เดือนเมษายน 2568
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
30/04/2024
18/06/2024
30/04/2024
11/09/2024
31/07/2024