Everyday knowledge for you
ประกันชีวิต
30/04/2024
คอลัมน์ : คุยฟุ้งเรื่องการเงินผู้เขียน : Actuarial Business Solutions [ABS]ทำไมเราจึงต้องซื้อประกันชีวิต ? อย่างแรก เป็นการสร้างนิสัยของการออมเงินที่เหมาะสม การซื้อประกันชีวิตช่วยให้เราออมเงินได้อย่างสม่ำเสมอ เป็นการสร้างลักษณะนิสัยของการออมเงินที่ดี และช่วยให้แต่ละคนสามารถสร้างโครงการออมทรัพย์ของตัวเองได้ ผู้ถือกรมธรรม์จะได้รับการแจ้งให้ทราบว่า เมื่อถึงกำหนดที่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันและเมื่อไหร่ที่เขาจะได้เงินคืนในแต่ละช่วงเวลาจนกว่าจะสิ้นสุดสัญญาของกรมธรรม์ โดยจัดเป็นเรื่องที่แน่นอน เช่น จำนวนเงินที่ฝาก ระยะเวลาที่จะต้องฝาก และจำนวนเงินที่จะมีเหลืออยู่ตลอดเวลาในแต่ละปี ถ้าหากว่าเรามีการออมเงินอยู่ในบัญชีเงินฝากหลาย ๆ ที่และในขณะเดียวกันก็มีกรมธรรม์ประกันชีวิตด้วย จะสังเกตได้ว่าเมื่อเราต้องการใช้เงิน การเลือกที่จะปิดหรือถอนเงินออกมาจากกรมธรรม์ประกันชีวิต ควรจะเป็นทางเลือกสุดท้าย เมื่อเทียบกับการถอนเงินจากบัญชีฝากออมทรัพย์อย่างที่สอง เป็นการลงทุนระยะยาว อีกแบบหนึ่งที่หาไม่ได้จากพันธบัตร และหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทประกันชีวิตส่วนใหญ่จะมีแบบความคุ้มครองไปจนถึงเกษียณอายุหรือตลอดชีวิต ซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นการลงทุนระยะยาวอีกทั้งผลประโยชน์ที่ระบุไว้ในสัญญาก็เป็นสิ่งที่การันตีไว้อย่างดี และแอ็กชัวรี่ (actuary) ก็จะต้องตั้งวงเงินสำรองกรมธรรม์เพื่อให้บริษัทมีเงินเพียงพอ กับผลประโยชน์จ่ายคืนในอนาคตตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์คืนกลับมาอย่างแน่นอนอย่างที่สาม ข้อดีในด้านภาษี สำหรับคนที่ต้องเสียภาษี ก็จะทราบว่าการซื้อประกันชีวิตนั้นสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท แต่หลายคนอาจจะยังไม่ทันคิดว่า เงินคืน เงินปันผล หรือผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่ได้จากกรมธรรม์ประกันชีวิตนั้นก็ให้ประโยชน์ทางด้านภาษีด้วยเพราะไม่ต้องถูกนำไปเสียภาษี พันธบัตรหรือหุ้นที่ซื้อขายในประเทศไทยนั้นจะต้องเสียภาษีไม่ตอนซื้อก็ตอนขาย หรือทั้งตอนซื้อ และตอนขาย ซึ่งรายละเอียดนั้นอาจจะสอบถามได้จากช่องทาง การจัดจำหน่ายของเครื่องมือการลงทุนในแต่ละประเภท นอกจากนี้ภาษีมรดกก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่หลาย ๆ คนอาจจะมองข้ามไปหรือไม่เคยได้วางแผนเอาไว้เลยดังนั้น ด้วยเหตุผลที่กล่าวไว้ข้างต้น การซื้อประกันชีวิตนั้นถือได้ว่าเป็นมรดกที่ปลอดภาษีอย่างสุดท้าย การซื้อประกันชีวิตเป็นการลงทุนเพียงอย่างเดียวที่ช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถบริหารความเสี่ยง หรือบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดจากความเจ็บป่วยหรือความตาย และคำนวณไว้ล่วงหน้าว่าความเจ็บป่วยหรือความตายที่มีโอกาสมาเยือนได้ตลอดเวลา ก่อนที่ผู้ลงทุนจะสามารถสะสมรายได้ในจำนวนมากเพียงพอให้กับคนข้างหลังเพราะฉะนั้นแล้ว คนเราซื้อประกันชีวิต เพราะรู้ดีว่าคนเรานั้นเมื่อเกิดสักวันหนึ่งก็ต้องแก่ เจ็บ และตาย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ “ทำลายพลังในการหาเงิน (earning power) ในภายภาคหน้า” ซึ่งจะส่งผลกระทบให้ผู้ที่อยู่ข้างหลังได้รับความเดือดร้อนทางการเงินอย่างไรก็ดีคำถามที่เจออยู่บ่อย ๆ ก็คือ “แล้วคนเราควรจะทำประกันชีวิตไว้ซักเท่าไรถึงจะพอ” ซึ่งคำตอบนั้นก็คงต้องกลับไปที่ concept เดิมที่ว่าการประกันชีวิตเป็นความคุ้มครองที่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องเวลา ซึ่งถ้าคิดว่าคนข้างหลังของคนที่เสียชีวิตไปนั้น จะใช้เวลา 3 ปีในการปรับตัวหลังจากการพลังในการหาเงิน (earning power) ได้หายไปนั่นหมายความว่า คนคนนั้นควรจะทำประกันชีวิตที่มีวงเงินคุ้มครอง เท่ากับรายได้ของคนคนนั้นถึง 3 ปี ดังนั้นคำตอบจึงไม่ตายตัว เพราะขึ้นกับคนซื้อประกันชีวิตว่ามีมุมมองอย่างไรต่อการปรับตัวของคนข้างหลังที่อาจได้รับความเดือดร้อน หากคนที่ซื้อประกันชีวิตต้องมีอันจากไปก่อนเวลาอันควรแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/breaking-news/news-1365647
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
"เงินล้านแรกหายาก แต่พอหาได้แล้ว ล้านถัดไปจะไม่ยาก" ตอบจากประสบการณ์ส่วนตัวผมนะ 1. ในมุมมอง ลูกจ้าง ผมว่าจริงนะ เงินล้านแรกหายากแน่ เพราะเงินเดือนเริ่มต้นยังน้อยครับ ผมเองขนาดเริ่มทำงานตั้งแต่ 27 ปีก่อน เงินเดือนเริ่มต้น 15,500 บาท ในช่วงที่ค่าครองชีพไม่แพงมาก เช่น น้ำมันลิตรละ 10 บาท , ตั๋วหนังใบละ 100, บุฟเฟ่ต์ โรงแรมหัวละ 200 บาท ฯลฯ ผมเองก็ไม่ค่อยมีเงินเก็บ ไหนจะค่าอาหาร ค่าน้ำมัน ค่ากินเที่ยว ค่าโทรศัพท์ ค่าเพจเจอร์ ให้พ่อแม่ และหนักๆคือ ค่าเรียนป.โท ที่ต้องจ่าย 190,000 บาทภายใน 3 ปี ทำงานช่วงเงินเดือน 15,000-25,000 ช่วงเกือบ 7 ปีแรก ยังเก็บเงินล้านเองไม่ได้เลยครับ ต้องช่วงที่เรียนป.โทจบแล้ว เงินเดือนถึง 50,000 แล้ว นั่นแหละถึงจะเก็บได้ แต่ล้านต่อๆไป อาศัยประหยัดเอา แม้จะออมได้เร็วขึ้น แต่ก็ยังจัดว่าช้ากว่าเป้าหมายครับ จากปสก.ส่วนตัว การมี -> รายได้จากการลงทุน -> รายได้แหล่งที่สอง 2nd sources of income คือจุดเปลี่ยนสำคัญ ของการเก็บเงินล้านต่อๆไปให้ได้เร็วอย่างแท้จริง 2. ในมุมมอง คนทำธุรกิจ การหาเงินล้านแรกมันยากแน่นอน เพราะเริ่มต้นทำธุรกิจมันยากแสนเข็ญ เงินทุนเอย หุ้นส่วนเอย คู่แข่งเอย ลูกค้าชักดาบเอย ฯลฯ ปัญหาล้านแปด อุปสรรคสารพัดที่จะเจอ ล้มลุกคลุกคลาน ทำให้คนเริ่มธุรกิจ 10 คน ปีแรกก็เลิกทำไปเกือบครึ่ง อีก 5 ปี อาจจะเหลือคนยังทำอยู่ไม่เกิน 3 คน พอผ่านอุปสรรคช่วงแรกมาได้ เก็บชั่วโมงบินเยอะ ก็จะหาเงินล้านได้ไม่ยาก และพอมีทุน มีคอนเนคชั่น มีความเข้าใจลูกค้าและตลาด เงินล้านต่อๆไปก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพื่อนผมที่รวยจากการทำธุรกิจก็มีครับ บทจะใช่แล้วขยายเร็วๆนี่ เปลี่ยนฐานะดีขึ้นแบบพุ่งๆเลย 3. ในมุมมอง นักลงทุน ล้านแรก หายากครับ ช่วงเริ่มต้นเราเริ่มจากเงินน้อย ต่อให้เริ่มที่ 1 ล้านบาทนะ ช่วงแรกๆ กำไร 5% เราก็ขายแล้ว นี่คือ 50,000 นะ เราอาจจะคิดว่าทำได้ 20 ครั้งต่อปีก็ล้านแล้ว แต่ความจริงมันไม่ง่าย ก่อนจะถึงตรงนั้นเราจะเจอหุ้นบางตัว -10-20% ก็เหี่ยวละจร้า ไหนจะวนในวงจรชีวิตเม่า ซื้อตามเพื่อน หาหุ้นเด็ด ชอบไล่ซื้อหุ้นร้อนแรง ชอบวิ่งตัดหน้าสิบล้อเก็บแบงค์ร้อย กำไร 3% ขาย ขาดทุน 30% ถือ ฯลฯ ลงทุนในหุ้นใหม่ๆ อย่าเพิ่งตั้งเป้าจะเอาเงินล้าน ลองซื้อขายจะรู้ว่า การรักษาเงินต้น 1 ล้านไม่ให้ลดลง แค่นี้ก็ยากแล้ว กว่าเราจะเข้าใจวิธีการลงทุน ที่ถูกจริต ตรงจังหวะชีวิต ทำซ้ำพิชิตกำไรได้หลายรอบ ก็ต้องใช้เวลาเป็นปีๆครับ แต่ถ้าเจอเมื่อไหร่ การลงทุนจะสนุกมาก เหมือนเล่นเกมสงคราม มีวางแผน มีบุก มีถอย มีแกล้งตาย มีเรียกกำลังเสริม ฯลฯ เงินล้านแรกหายาก ล้านต่อไปไม่ยาก ผมว่า คำพูดนี้จริงครับ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับstock2morrowhttps://stock2morrow.com/article/5575
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
30/04/2024
เงินค้างท่อรอจ่ายเจ้าหนี้โควิด 1,800 ล้านบาท จาก 4 บริษัท ปิดตัวเจ๊งเคลมโควิด “กองทุนประกันวินาศภัย” วอนรีบมารับคืน เปิดแผน 3 ปี เดินหน้าหาเงินจ่ายเจ้าหนี้ “กู้เงินหมื่นล้าน-ระดมทุนออกบอนด์ 3 หมื่นล้าน-ประสานรัฐสนับสนุนเงิน-เสนอบอร์ด คปภ.ปรับโครงสร้างหนี้-แก้กฎหมายเพิ่มเงินสมทบรองรับวิกฤต” เปิดตัวไลน์ @GIFSMART เพิ่มความสะดวก ยืนยันสิทธิรับเงิน จ่ายภายใน 60 วันวันที่ 9 สิงหาคม 2566 นายชนะพล มหาวงษ์ ผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัย (กปว.) เปิดเผยว่า จากการที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เพิกถอนใบอนุญาต 4 บริษัทประกันวินาศภัย จากปัญหาขาดทุนจากการจ่ายเคลมสินไหมประกันภัยโควิด ประกอบด้วย 1. เอเชียประกันภัย 1950 2. เดอะวันประกันภัย 3. อาคเนย์ประกันภัย และ 4. ไทยประกันภัยกองทุนในฐานะผู้ชำระบัญชี พิจารณาคำทวงหนี้ และต้องจ่ายเงินให้เจ้าหนี้ที่เกิดจากการเอาประกันภัยของบริษัทที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตนั้น จากมูลหนี้ตามสัญญาประกันภัยของ 4 บริษัท ที่ปิดตัวไป มีอยู่ทั้งหมด 54,000 ล้านบาท จำนวน 690,000 รายชนะพล มหาวงษ์ขณะนี้กองทุนได้ทยอยจ่ายหนี้ไปได้ราว 6,000 รายต่อเดือน คิดเป็นวงเงินประมาณ 400-500 ล้านบาท โดยบริษัทเอเชียประกันภัย 1950 และบริษัทเดอะวันประกันภัย ได้เริ่มดำเนินการพิจารณาคำทวงหนี้และอนุมัติจ่ายเงินมาตั้งแต่ปลายปี 2564 ส่วนบริษัทอาคเนย์ประกันภัยและบริษัทไทยประกันภัย เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือน ก.ค. 2565เงินค้างท่อ 1,800 ล้านกองทุนได้พิจารณาคำทวงหนี้ของบริษัทเอเชียประกันภัย 1950 ไปแล้วกว่า 16,000 ราย บริษัทเดอะวันประกันภัย จำนวน 15,000 ราย บริษัทไทยประกันภัย จำนวน 12,000 ราย ส่วนบริษัทอาคเนย์ประกันภัย จำนวน 18,000-20,000 ราย ทั้งนี้ เนื่องจากจำนวนคำทวงหนี้ที่ยื่นเข้ามาค่อนข้างมากในแต่ละเดือน จึงมีการอนุมัติสูงกว่าบริษัทอื่นอย่างไรก็ดี ขณะนี้พบว่ามีเงินค้างท่อรอการจ่ายคืนเจ้าหนี้อยู่กว่า 1,800 ล้านบาท ซึ่งอาจจะมาจากสาเหตุจากการไม่ได้รับจดหมาย หรือยังไม่ได้เข้ามายืนยันสิทธิเปิดแผน 3 ปี กองทุนประกันวินาศภัยทั้งนี้ สำหรับแผนงานของกองทุนในปี 2566 คาดว่าจะใช้เงินจ่ายหนี้เป็นไปตามแผน หรือประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการจ่ายเงินออกไปหมดหน้าตักของกองทุนที่มีอยู่จึงได้มีการวางแผนงานสำหรับปี 2567-2569 คือ 1.ได้ปรับเงินสมทบเข้ากองทุน จากเดิม 0.25% เป็น 0.5% ของเบี้ยรับในแต่ละไตรมาสจากบริษัทประกันวินาศภัย ซึ่งบอร์ด คปภ.ได้อนุมัติให้เรียบร้อยแล้ว ทำให้รายได้กองทุนจะขยับจาก 600 ล้านบาทต่อปี เป็น 1,300 ล้านบาทต่อปี2. กองทุนกำลังจะประสานส่งแผนกู้เงินกับสำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เพื่อนำมาจ่ายหนี้ คาดว่าปี 2567 ตามฐานรายได้ของกองทุน น่าจะกู้เงินได้ประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งได้เจรจาดอกเบี้ยไปแล้ว 1 ธนาคาร เหลืออีก 1 ธนาคาร โดยมีหลักประกันคือ 1.ความเป็นหน่วยงานของรัฐ 2.มีกฎหมายกำหนดเรื่องรายได้ชัดเจน 3.มีระเบียบวินัยการเงินการคลังที่ชัดเจนมาก3. กำลังประสานงานขอให้รัฐบาลช่วยสนับสนุนเงินตามเงื่อนไขกฎหมาย ซึ่งต้องรอว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะเป็นใคร 4. กองทุนจะออกตราสารทางการเงิน วงเงิน 2-3 หมื่นล้านบาท เพื่อให้บริษัทประกันภัยเข้าช่วยซื้อ และสามารถนำไปดำรงเป็นเงินกองทุนได้ โดยจะมีการปรับปรุงเงื่อนไขรองรับตรงนี้5. เสนอบอร์ด คปภ.ขอปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งประเด็นนี้ยังไม่หลักเกณฑ์/วิธีการรองรับ แต่คงจะต้องไปหารือกันต่อไป เนื่องจากมีการพูดคุยกับเจ้าหนี้บางรายที่มาขอรับชำระหนี้ มี 4 กรมธรรม์ กรมธรรม์ละ 100,000 บาท เขาก็ได้มีการเสนอว่าจะขอคืนแค่ครึ่งเดียวมีความเป็นไปได้ไหม ขอให้รัฐจ่ายคืนแค่ 2 แสนบาท แต่มีเงื่อนไขว่าต้องจ่ายภายใน 1 เดือน เป็นต้น“แนวทางนี้ถ้าทำได้จริง กองทุนต้องเตรียมการสภาพคล่องให้เพียงพอในการจ่ายหนี้คืน เพื่อให้เป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย”6. ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพิ่มอัตราเงินสมทบ จากระดับ 0.5% ขยับเป็น 2% เพื่อเพิ่มรายได้ให้กองทุน ขยับเป็น 5,000-6,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งช่วยเป็นฐานรายได้ของกองทุนสูงขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อการกู้เงินกับธนาคาร แต่ทั้งนี้เป็นเงื่อนไขบังคับชั่วคราว เพื่อรองรับสำหรับยามวิกฤตเปิดตัวไลน์ @GIFSMARTล่าสุดกองทุนได้เปิดตัวแอปพลิเคชั่น LINE Official Account “@GIFSMART” เพื่อให้บริการแก่ประชาชนได้รับทราบข้อมูลและสามารถติดตามสถานะการยื่นขอคำร้องขอรับชำระหนี้ สามารถยืนยันตัวตนตรวจสอบความถูกต้องกับข้อมูลทะเบียนราษฎร มีแจ้งเตือนสถานะของคำทวงหนี้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสถานะคำขอและเจ้าหนี้สามารถยืนยันสิทธิรับเงินผ่านไลน์ได้ โดยไม่ต้องเดินทางมายื่นเอกสารด้วยตนเอง เมื่อทำการเพิ่มเพื่อนเข้ามาในไลน์ @GIFSMART แล้วจะเป็นการเริ่มทำการลงทะเบียน ระบบจะขอให้ถ่ายรูปหน้า-หลังบัตรประชาชน และถ่ายรูปคู่กับบัตรประชาชน เพื่อนำส่งข้อมูลไปตรวจสอบความถูกต้องกับกรมการปกครองต่อไปแต่เมื่อข้อมูลถูกพิสูจน์แล้วว่าผู้ลงทะเบียนเป็นเจ้าของบัตรประชาชนจริง จึงจะอนุญาตให้สามารถเข้าถึงข้อมูลเพื่อยืนยันสิทธิรับเงินได้ ในกรณีที่คำขอของบุคคลนั้นได้รับการอนุมัติจ่ายเงินแล้วกองทุนจะให้เลือกรับเงินผ่านพร้อมเพย์ตามหมายเลขบัตรประชาชน และผ่านบัญชีธนาคาร ซึ่งต้องแนบหน้าสมุดบัญชีมาให้กองทุน โดยกองทุนจะโอนเงินให้เจ้าหนี้ภายใน 60 วันทำการ“เราได้พัฒนาช่องทางแอปพลิเคชั่นไลน์เสร็จเมื่อ 3-4 เดือนที่แล้ว มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเพิ่มความสะดวกและรวดเร็วให้กับประชาชนรับทราบถึงสิทธิและขั้นตอนต่าง ๆ พร้อมกับเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับธุรกิจประกันภัย หลังจากบริษัทประกันภัยถูกเพิกถอนใบอนุญาตไปแล้ว”แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1366686
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวทั่วไป
30/04/2024
ส่อง 5 กิจวัตรที่มหาเศรษฐีนักลงทุน “วอร์เรน บัฟเฟตต์” ชอบทำหลังเลิกงาน-วันหยุด ตั้งแต่ อ่านหนังสือ ออกกำลังกาย เล่นไพ่ ไปจนถึง เล่นอูคูเลเล่และแต่งเพลง ชื่อของ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” มหาเศรษฐีนักลงทุน เจ้าของบริษัท เบิร์กเชียร์แฮทาเวย์ (Berkshire Hathaway) กลุ่มโฮลดิ้งส์ข้ามชาติ จากอเมริกา คงเป็นชื่อที่น้อยคนจะไม่รู้จัก เพราะเขาเป็นผู้ทรงอิทธิพลในด้านธุรกิจ การลงทุน และ “นักบริจาคเงินเพื่อการกุศล” ตัวยงแล้ว และยังเป็นบุคคลที่ร่ำรวยเป็นอันดับ 3 ของโลก จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส แต่แม้จะร่ำรวยและมั่งคั่งแค่ไหน นิสัยของการประหยัดอดออม ก็เป็นอีกหนึ่ง “นิยาม” ของตัวเขา โดยที่ผ่านมา นิตยสารนับไม่ถ้วน ทั้ง Motley Fool, The Wall Street Journal และ Business Insider มีโอกาสได้เข้าไปสัมภาษณ์บัฟเฟตต์ และตีพิมพ์เส้นทางความร่ำรวยของเข้า แต่ที่น่าแปลกใจ คือไม่เคยมีบทความไหนเคยเขียนเลยว่า เขาใช้เวลาว่างส่วนใหญ่หลังเลิกงานทำอะไร? จริงๆ บัฟเฟตต์ เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า งานอดิเรกที่เขาชอบทำนั้น เป็นกิจกรรมที่ล้วนมีผลกับธุรกิจของเขามากพอสมควร และน่าเสียดายที่ในโลกแห่งการแข่งขันและโลกของธุรกิจ ผู้คนส่วนใหญ่มักให้ความสนใจกับการบริหารงานของเขา มากกว่างานอดิเรกที่เขาทำหลังเลิกงานเสียอีก ดังนั้น ทั้ง 5 ข้อด้านล่างคือกิจกรรมหลังเลิกงานที่มหาเศรษฐีอย่างบัฟเฟตต์ชอบทำ จากการรวบรวมข้อมูลจากบทสัมภาษณ์ของเขาจำนวนมาก1. อ่านหนังสือ 500 หน้า งานวิจัยจำนวนมากเผยว่าหากเราต้องการมีความรู้และฉลาดมากขึ้น เราควรเพิ่ม “อาหารสมอง” ให้ตัวเองด้วยการอ่านหนังสือวันละ 500 หน้าและก็เป็นไปตามที่คิดว่า บัฟเฟตต์ก็ใช้เวลากว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของวันไปกับการอ่านหนังสือในที่ทำงาน โดยอ่านหนังสือหลากหลายประเภท ทั้งหนังสือเกี่ยวกับการเงินและบรรดานิตยสารต่างๆ รวมทั้งใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือพิมพ์หรือหนังสืออื่นๆ หลังเลิกงานด้วย “ผมใช้เวลาในการอ่านและการคิดให้มากขึ้น และใช้เวลาในตัดสินใจสิ่งต่างๆให้ช้ากว่านักธุรกิจส่วนใหญ่” 2. ออกกำลังกายบ้าง บัฟเฟตต์ เล่าความลับของเขาให้ฟังว่า มักจะตามใจตัวเองในเรื่องการกิน โดยกินอาหารทุกอย่างที่อยากกิน ซึ่งเขาดื่มโค้กวันละ 5 กระป๋อง (เพราะเขาเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนบริษัท Coca) นอกจากนี้ แฮมเบอร์เกอร์ สเต๊ก มันบด และรูทเบียร์ ก็เป็นอาหารอันโอชะที่เขาชอบกินอีกด้วย โดยในปี 2550 แพทย์กำชับและแนะนำกับเขาว่า ถ้าเขาอยากจะมีชีวิตที่ยืนยาวและร่างกายที่แข็งแรงนั้น “ต้องเลือกว่าจะออกกำลังกาย หรือทานอาหารที่ดี” จนท้ายที่สุดเขาก็เลือกที่จะออกกำลังกายแทนการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ น่าสนใจว่า ในปี 2558 แพทย์ตรวจพบว่าบัฟเฟตต์เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก แต่ทุกวันนี้เขาก็ยังดูสุขภาพดีทุกครั้งที่ออกมาให้สัมภาษณ์ 3. ทำตัวให้มีความสุข บัฟเฟตต์นับเป็นหนึ่งคนที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โดยหลายคนเรียกเขาว่าเป็น “นักบุญที่ยิ่งใหญ่” ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาต้องการเดินตามเส้นทางของฮีโร่ในดวงใจอย่าง ชัค ฟีนีย์ (Chuck Feeney) นักธุรกิจและนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ที่สละทรัพย์สินในบั้นปลายชีวิต “หากคุณเป็น 1 เปอร์เซ็นต์ของมวลมนุษย์ที่โชคดีที่สุด แปลว่าคุณต้องมีหน้าที่ช่วยเหลือผู้คนอีก 99 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ” นอกจากนี้ บัฟเฟตต์ก็ยังมีชื่อเสียงด้าน “ความพอมีพอกิน” เช่นกัน โดยเขาใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย และอยู่บ้านหลักเดิมที่ซื้อมาเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว อีกทั้งเขาเองก็มักจะดูแลลูกค้าด้วยมื้ออาหารจาก “แมคโดนัลด์” เท่านั้น 4. เล่นเกมที่ต้องใช้ความอดทน มหาเศรษฐีผู้นี้ชอบเล่นเกมมาก แต่ต้องเป็นเกมที่ต้องใช้ความคิดและเกมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนเพราะช่วยให้เขาได้ลองฝึกใช้สมองและความคิดก่อนลงสนามจริง ที่สำคัญเขายังชอบเล่น ไพ่บริดจ์ อีกด้วย โดยที่ผ่านมา เขาเคยจ่ายเงินกว่า 7 เหรียญ ที่ Omaha strip mall เพื่อพยายามล้มแชมป์เก่า จากนั้นบัฟเฟตต์จึงออกมากล่าวว่า “ไพ่บริดจ์เป็นเกมที่ใช้สมองฝึกสมองได้ดีทีเดียว เพราะนอกจากจะได้เจอและแก้ไขสถานการณ์ใหม่ๆ ทุก 10 นาทีแล้ว เรายังต้องฝึกใช้สมองเพื่อคิดคำนวณตลอดการเล่นด้วย” 5. ทำงานอดิเรกที่ชอบ บัฟเฟตต์รักงานอดิเรกของตัวเองมาก โดยคุณคงไม่เชื่อแน่นอนว่า เขารักการเล่นอูคูเลเล่มาก จนกระทั่งสามารถแต่งเพลงให้ตัวเอง และร้องประสานเสียงกับบอนโจวี (Bon Jovi) เป็นวงฮาร์ดร็อกจาก นิวเจอร์ซี อีกทั้งเพลงนี้ยังปรากฏอยู่ในโฆษณา Coca ที่บัฟเฟตต์เป็นหุ้นส่วนอีกด้วย หลังจากนั้น บัฟเฟตต์จึงนำรายได้จากการเล่นเพลงของตัวเองกับวงดนตรีดังกล่าวไปบริจาคให้กับการกุศล อ้างอิง Entrepreneur แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/health/social/1080763
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันสุขภาพ
30/04/2024
ผู้สูงอายุเฮ ! คปภ.ไฟเขียวบริษัทประกันขายกรมธรรม์ใหม่ “ไม่ต้องแถลงสุขภาพ” ระบุคุ้มครองทั้งกรณี “เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ-ค่ารักษาพยาบาลจาก 9 โรคร้ายแรง” ปลดล็อกแก้ปัญหา “สูงวัย” ถูกปฏิเสธทำประกันสุขภาพ/จ่ายเบี้ยแพงนายอาภากร ปานเลิศ ผู้ช่วยเลขาธิการสายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สำนักงาน คปภ.ได้สำรวจข้อคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องทั้งโรงพยาบาลเอกชน ตัวแทนนายหน้า บริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัย เกี่ยวกับการดำเนินการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ เนื่องจากที่ผ่านมากลุ่มผู้สูงอายุจะมีประเด็นปัญหาขอทำประกันสุขภาพได้ค่อนข้างยาก หรือมักจะถูกบริษัทปฏิเสธการรับประกันสุขภาพ เนื่องจากผู้สูงอายุมักมีโรคประจำตัวรวมทั้งสัญญาประกันสุขภาพแบบมาตรฐานใหม่ เป็นสัญญาที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมทุกโรค จึงส่งผลให้เบี้ยประกันค่อนข้างแพง และบริษัทประกันก็ยังไม่มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพที่ออกแบบให้เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุอาภากร ปานเลิศโดยจากการสำรวจความคิดเห็น พบว่าประเด็นปัญหาหลัก ๆ มีอยู่ 7 เรื่องคือ 1.ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักจะมีปัญหาสุขภาพ หรือมีโรคประจำตัว ส่งผลให้เบี้ยประกันมีราคาสูง และติดปัญหาในการผ่านเกณฑ์การพิจารณารับประกัน 2.การการันตีการรับประกันสุขภาพ ส่งผลให้บริษัทต้องเข้มงวดในการพิจารณารับประกัน และต้องกำหนดอัตราเบี้ยประกันให้ครอบคลุมความเสี่ยงระยะยาว3.ผู้สูงอายุมักจะปกปิดข้อมูลสุขภาพ ไม่แถลงข้อมูลสุขภาพ หรือแถลงไม่ครบ ซึ่งอาจเข้าเงื่อนไขให้ถูกปฏิเสธการทำประกันสุขภาพ 4.บริษัทมีข้อมูลสถิติการทำประกันสุขภาพผู้สูงอายุค่อนข้างน้อย เพราะมีการทำประกันสุขภาพกันน้อย จึงไม่สามารถอ้างอิงข้อมูลสถิติการรับประกันเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุได้5.อัตราเงินเฟ้อ ค่ารักษาพยาบาลเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก 6.ปัญหาเรื่องการเปิดเผยประวัติของลูกค้า และความร่วมมือของโรงพยาบาลในการอำนวยความสะดวกกับลูกค้าในการเปิดเผยประวัติ และ 7.การทำประกันสุขภาพกับบริษัทประกันชีวิต ต้องมีความคุ้มครองการเสียชีวิต ทำให้ผู้สูงอายุต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันในส่วนนี้ค่อนข้างมาก“จากการประชุมหารือร่วมกับคณะที่ปรึกษาทางการแพทย์ของสำนักงาน คปภ. ได้ข้อสรุปว่า ควรจัดทำเป็นกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ และคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากโรคร้ายแรง ส่วนบุคคล สำหรับผู้สูงอายุ แบบไม่ต้องแถลงสุขภาพโดยกำหนดเป็นกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุ เพื่อให้เสนอขายได้ทั้งบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัย โดยไม่จำเป็นต้องซื้อประกันชีวิต (สัญญาหลัก) ก่อน และกำหนดแผนความคุ้มครอง ที่มุ่งเน้นเฉพาะกลุ่มโรคร้ายแรงสำคัญสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อให้เบี้ยประกันลดลง”โดยแผนความคุ้มครองจะมีกลุ่มโรคร้ายแรง 9 รายการ ได้แก่ 1.มะเร็ง 2.หลอดเลือดหัวใจตีบที่รักษาด้วยการสวนหลอดเลือดหัวใจ 3.เส้นเลือดหัวใจตีบ 4.การผ่าตัดเส้นเลือดเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ 5.กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน 6.ไตเรื้อรัง 7.การผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ หรือการปลูกถ่ายไขกระดูก 8.หลอดเลือดสมองแตกหรืออุดตัน และ 9.เนื้องอกในสมองชนิดที่ไม่ใช่มะเร็งและเนื่องจากเป็นการพิจารณารับประกันแบบไม่ต้องตรวจสุขภาพ จึงกำหนดให้มีระยะเวลารอคอย (waiting period) 180 วัน ซึ่งในเงื่อนไขสัญญาประกันสุขภาพแบบมาตรฐาน ให้กำหนด waiting period ที่ 30 วัน หรือ 120 วัน สำหรับบางโรค“ปัจจุบัน เรื่องนี้ได้เสนอให้ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คปภ. ในฐานะนายทะเบียน ลงนามออกประกาศไปแล้ว เมื่อเดือน ก.ค. 2566 ที่ผ่านมา”นายอาภากรกล่าวอีกว่า คณะอนุกรรมการกำกับและพัฒนาธุรกิจประกันภัย มีข้อเสนอแนะว่า กรมธรรม์ดังกล่าวให้ความคุ้มครอง เฉพาะกรณีที่ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยด้วยโรคร้ายแรงครั้งแรกซึ่งไม่ครอบคลุมกับกลุ่มผู้สูงอายุที่เคยป่วยเป็นโรคร้ายแรงมาก่อนการทำประกัน ซึ่งปัจจุบันรักษาหายแล้ว หรือได้รับการวินิจฉัยแล้วว่าโรคอยู่ในภาวะสงบแล้ว จึงมอบหมายให้พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมกรณีดังกล่าวด้วย“ตอนนี้ คปภ.ก็อยู่ระหว่างเสนอร่างกรมธรรม์ลักษณะเดียวกัน แต่เป็นแบบที่ต้องแถลงสุขภาพ เพื่อให้ครอบคลุมผู้สูงวัยทั้งหมด คาดว่าจะเร่งดำเนินการออกคำสั่งนายทะเบียนภายในเดือน ส.ค.นี้ แต่ตอนนี้ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีกี่บริษัทประกันที่สนใจ เพราะโดยปกติแล้ว ทางบริษัทประกันมักจะเริ่มพูดคุยกันภายหลังจากออกคำสั่งไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ตอนออกแบบได้มีการพูดคุยกับทุกบริษัทแล้ว” นายอาภากรกล่าวแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1365622
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
สวัสดีครับ Prachachat Wealth เล่าเรื่องการลงทุน EP นี้ เอาใจเหล่ามนุษย์เงินเดือนที่เพิ่งจบใหม่ หรือว่า first jobberที่สนใจเรื่องของการเงินการลงทุน แต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นวางแผนการลงทุนอะไรดี ที่ใช้เงินลงทุนไม่กี่บาท เพราะในโลกการเงินการลงทุน เครื่องมือตัวช่วยสำหรับการออมและการลงทุนมีหลากหลายนะครับซึ่งวันนี้ Prachachat Wealth มีโอกาสได้พูดคุยกับหนึ่งในกูรูนักวางแผนการเงินไทย ท่านดำรงตำแหน่งเป็น ผศ.ดร.ธนาวัฒน์ สิริวัฒน์ธนกุล อาจารย์ภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และยังเป็นหนึ่งในคณะกรรมการ ของสมาคมนักวางแผนการเงินไทยQ : มนุษย์เงินเดือนที่เพิ่งจบใหม่ ควรวางแผนลงทุนอะไรดี ที่ยังพอมีเงินเหลือใช้สำหรับมนุษย์เงินเดือน ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน first jobber อันแรกในเรื่องลงทุน ผมอยากจะให้ทุกคนลองเปลี่ยน mindset ก่อน เพราะต่อไปนี้คำว่าลงทุน เราจะไม่ได้หมายถึงว่า “เหลือเงินแล้วค่อยมาลงทุน” แต่ในทางการเงินโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ financial planning การวางแผนการเงิน เราบอกว่าลงทุนเราควรจะกันเงินก่อนที่จะใช้จ่าย เอามาลงทุนลงทุนของเราแปลว่า เฉลี่ย ๆ เงินที่เราใส่เข้าไปในทางเลือกที่เรากำลังสนใจออกมาต้องเพิ่มขึ้น แต่ผมใช้คำว่าเฉลี่ยนะครับ เพราะฉะนั้นแปลว่าอะไร ไม่ได้การันตีนะครับว่าทุกครั้งที่เราลงทุน เราต้องได้เงินเพิ่มขึ้นเสมอ นี่เราถึงบอกว่าการลงทุนมีความเสี่ยงพอเรารู้แล้วลงทุนคืออะไร อันดับถัดมาเราจะมาวางแผนลงทุน พูดง่าย ๆ เลยคือการที่ผมจะทำให้ตัวของเราเองหรือว่าตัวของคนที่เราไปวางแผนให้ ใช้ 2 คำเลยว่า “กินเต็มและก็นอนหลับ”เพราะฉะนั้นวางแผนลงทุนทำให้คุณบรรลุเป้าหมาย แต่บรรลุแล้วต้องไม่ใช่ว่าในระหว่างที่วางแผนอยู่ เราไม่เป็นอันทำการทำงานเลยเพราะฉะนั้นนั่นแปลว่าผมก็จะต้องรู้อีกอย่างหนึ่งแล้วว่าตัวของเรา เรามีระดับของการยอมรับความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน เราทนต่อความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้นพวกนี้เขาก็อาจจะดูจากพวกความสามารถ เพิ่งจบ อายุยังน้อย ความสามารถในการรับความเสี่ยงเราอาจจะดี แต่เราก็ต้องดูความเต็มใจด้วย เราเต็มใจที่จะรับความเสี่ยงมั้ย เราไม่เคยมีประสบการณ์เลย อยู่ ๆ เอาเงินไปลงทุนในหุ้น อยู่ ๆ เอาไปซื้อตราสารอนุพันธ์ สัญญาซื้อขายล่วงหน้า เราอาจจะนอนไม่หลับก็ได้เพราะฉะนั้นถ้าทำได้อย่างนี้ และเลือกเครื่องมือที่จะทำให้เรากินอิ่มและมีผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูง แน่นอนว่าอันที่หนึ่ง ผม pay yourself first ผมกันเงินก่อนที่จะใช้จ่าย นั่นหมายความว่าอย่างน้อยที่สุด ทุก ๆ เดือน เงินผมพอใช้แน่ ๆ แต่อันที่สอง ถ้าผมรู้จักเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมเข้าไปอีก นอกจากเงินพอใช้ เรายังจะมีเงินเหลือใช้อีก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับประเภทของสินทรัพย์ที่เราไปลงทุนด้วยนะครับQ : สินทรัพย์แต่ละประเภท มีทั้งเสี่ยงสูงและเสี่ยงต่ำ นักลงทุนหน้าใหม่ ต้องรู้ข้อจำกัดหรือข้อควรระวัง อะไรบ้างถ้าผมอธิบายไล่ตามอัตราผลตอบแทนและความเสี่ยงเลยนะครับ อันที่หนึ่งสินทรัพย์ประเภทที่หลายคนมักจะคุ้นเคยก่อน ก็คือในเรื่องของบัญชีเงินฝาก ข้อจำกัดก็คือ ผลตอบแทนน้อยประมาณสัก 1% อาจจะไม่ทำให้เราบรรลุเป้าหมาย หรืออาจจะทำให้เราไม่มีเงินเหลือใช้ ถ้าผมเพิ่มระดับความเสี่ยงขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง ก็คือการลงทุนในตราสารหนี้แต่ข้อจำกัด ถ้าธุรกิจเขาดี เราต้องไม่คาดหวังว่าเราจะได้กำไรเยอะ ๆ ไปกับเขาด้วย เพราะเวลาที่ธุรกิจเขาแย่ เขาก็มีภาระผูกพันต้องจ่ายดอกเบี้ยเราเท่าเดิมเวลาลงทุนในตราสารหนี้ เราจะมีสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ อย่างเช่น ทริส หรือฟิทช์ เรทติ้งส์ ประเทศไทย เขาจะคอยจัดอันดับความน่าเชื่อถือให้เราก่อนทางเลือกที่สาม ถ้าเราอยากได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นไปอีก เราอาจจะไปลงทุนในรูปแบบของตราสารทุน หรือที่บางคนชอบเรียกสั้น ๆ ว่า หุ้น นั่นเอง เพราะฉะนั้นเข้าไปลงทุนในหุ้นหรือตราสารทุน ตามชื่อเลยเราเข้าไปเป็นนายทุน เราเข้าไปเป็นเจ้าของ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราได้รับส่วนแบ่งกำไร ในภาษาการเงินเราเรียกว่าเป็นเงินปันผล แต่ลักษณะของเงินปันผล เนื่องจากคือส่วนแบ่งกำไร แปลว่าถ้าเขาไม่กำไร เขาก็อาจจะไม่ได้ปันผลให้เราก็อาจจะมีอีกทางเลือกหนึ่ง เขาเรียกว่าเป็นกองทุนรวม เขาจะเอาทุนของนักลงทุนมากองรวมกัน และให้ผู้บริหารมืออาชีพมาบริษัทแทนให้ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเราอันแรก เลือกกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนเหมาะกับเราQ : แม้มนุษย์เงินเดือนที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน จะไม่ได้มีความเชี่ยวชาญการลงทุน แต่อุปนิสัยที่ต้องมี มีอะไรบ้างหนึ่ง ควรจะเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับในเรื่องของการออมการลงทุน นั่นแปลว่าเขาต้องรู้จัก pay yourself first ก่อนเลย อุปนิสัยแรก ถ้าเราอยากจะลงทุนให้ประสบความสำเร็จ เราต้องเก็บก่อนใช้ ไม่เอาเงินที่เหลือจากการใช้จ่ายมาลงทุน เพราะนั่นอาจจะทำให้เราไม่มีเงินมาลงทุน อันที่สอง พอเราเก็บก่อนใช้แล้วเราต้องมีการวางแผนการลงทุนล่วงหน้าครับอันที่สาม ต้องรู้จักศึกษาหาความรู้ก่อนลงทุน ไม่ใช่ฟังจากเขาบอกมา อุปนิสัยที่สี่ ต้องรู้จักการกระจายความเสี่ยง ไม่เอาเงินไปลงทุนในสินทรัพย์แค่ประเภทใดประเภทหนึ่งอุปนิสัยที่ห้า ต้องมีวินัยครับ เพราะต้องทำอย่างต่อเนื่อง การลงทุนจะไม่เหมือนเราไปช็อปปิ้ง จ่ายเงินปุ๊บได้ของมาแล้วจบ แต่อาจจะต้องใช้ระยะเวลาเป็นปี ๆ เลยและอันที่หก ต้องใช้เหตุผลในการตัดสินใจลงทุนเสมอ เราจะไม่บอกว่าเห็นมีข่าวลือมา เรากลัวตกรถไฟ รีบไปซื้อหุ้น รีบไปลงทุน มีข่าวลือมาเราก็ตื่นตกใจ เทขาย โดยที่เราไม่ได้ดูข้อมูลเลย เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่จะลงทุน เราต้องถามตัวเองเสมอครับว่า เหตุผลอะไรที่ทำให้เราซื้อหลักทรัพย์ตัวนี้และนั่นก็แปลว่าอันที่เจ็ด เราต้องมีการติดตามข้อมูลการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ กองทุน หรือว่าหุ้น หรือว่าตราสารหนี้ ทางเลือกการลงทุนก็เหมือนลูกของเรา เราต้องดูแลเขาไปเรื่อย ๆ เลย ถามว่าดูไปจนเมื่อไหร่ ก็จนเมื่อไหร่ที่ผมไม่ใช่เงิน เพราะฉะนั้นก็คือจนตายครับทั้งหมดนี้ครับคือ 7 อุปนิสัย ที่ผมบอกว่านักลงทุนมือใหม่ เรียกว่าเป็น seven habits ของ first jobber ที่อยากจะลงทุนแล้วบรรลุเป้าหมายแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/prachachat-wealth/news-1364529
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/04/2024
กรุงเทพฯ 9 สิงหาคม 2566 - เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต และ นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ พร้อมด้วย นายวิทยา จันทร์ฉลอง ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงาน บริหารกิจการเหล่ากาชาด ร่วมเปิดตัวโครงการ AIA One Billion Trail 2023 การแข่งขันเดิน - วิ่งเทรล ประเภททีม 4 คน ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระดมทุนบริจาคให้แก่สภากาชาดไทย ในการนำไปสนับสนุนโครงการส่งเสริมและพัฒนาการพูด อ่าน เขียน ภาษาไทย เพื่อช่วยเหลือเด็กนักเรียนในถิ่นทุรกันดาร ถือเป็นการสานต่อปณิธานในการร่วมพัฒนาศักยภาพเด็กไทย ให้เข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งปีที่ผ่านมา มีนักวิ่งเทรลเข้าร่วมงานกว่า 400 ทีม หรือกว่า 1,600 คนจากทั่วประเทศ สำหรับการแข่งขัน AIA One Billion Trail 2023 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-3 ธันวาคม 2566 ณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยเป็นการแข่งขันประเภททีม ทีมละ 4 คน มีระยะทางให้นักวิ่งได้เลือกลงแข่งทั้งสิ้น 4 ระยะทาง ได้แก่ 100, 50, 25 และ 10 กิโลเมตร ทั้งนี้ AIA One Billion Trail 2023 เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของเอไอเอ ที่ต้องการสนับสนุนผู้คนกว่าหนึ่งพันล้านคนทั่วเอเชีย ให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ โดยมุ่งเน้นการสร้างความสามัคคีและความร่วมมือร่วมใจในหมู่นักกีฬา และยังมีจุดมุ่งหมายในการเสริมสร้างสุขภาพกายและสุขภาพจิตใจอย่างยั่งยืน ตลอดจนส่งเสริมให้ผู้คนมีวิถีการดำเนินชีวิตแบบผู้รักการออกกำลังกาย (Active Lifestyle) เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้ สร้างจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sports Tourism) ซึ่งนับเป็นกิจกรรมเดิน – วิ่งเทรล ประเภททีมหนึ่งเดียวในประเทศไทย โดยผู้ที่สนใจสมัครเข้าร่วมการแข่งขัน AIA One Billion Trail 2023 สามารถสมัครได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ทางเว็บไซต์ https://aiaonebilliontrail.run/ หรือ สแกน QR Codeสำหรับผู้ที่ต้องการร่วมบริจาคโครงการส่งเสริม และพัฒนาการพูด อ่าน เขียน ภาษาไทย โดยสภากาชาดไทย สามารถร่วมบริจาคได้ทางเว็บไซต์ https://donate.aiaonebilliontrail.run/ หรือสแกน QR Codeหากต้องการศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม หรือติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวของโครงการ AIA One Billion Trail 2023 สามารถติดตามได้ทางเว็บไซต์ https://aiaonebilliontrail.run/ และ Facebook Fanpage: aiaonebilliontrail
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
ปัจจุบันการลงทุนในตราสารทางการเงินมีทางเลือกที่หลากหลาย ซึ่งแต่ละประเภทจะมีรูปแบบของผลตอบแทนและความเสี่ยงที่ต่างกันออกไป แต่สิ่งที่ผู้ลงทุนต้องใส่ใจและให้ความสำคัญอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นตราสารประเภทใด นั่นคือ การติดตามข้อมูลข่าวสารรวมถึงความคืบหน้าการดำเนินการของผู้ออกตราสารนั้นใกล้ชิด มาทบทวนเช็กลิสต์กัน สักนิดไหมว่า หลังจากลงทุนกันไปแล้วควรติดตามอะไรบ้าง เพื่อไม่ให้พลาดประเด็นสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุนของตนเอง 1. การลงทุนในหุ้น –ตราสารที่ออกโดยบริษัทที่ต้องการระดมทุน ผู้ลงทุนจะถือเป็น “เจ้าของกิจการ” ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ผู้ลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด • เมื่อบริษัทไม่ส่งงบการเงินตามกำหนด ทำให้ผู้ลงทุนไม่สามารถมีข้อมูลผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของบริษัทไปประกอบการตัดสินใจลงทุนได้ • เมื่อเกิดปัญหาบางประการเกี่ยวกับงบการเงิน จนส่งผลสู่การถูกสั่งทำ “การตรวจสอบ แบบพิเศษ”(Special Audit) เพื่อหาข้อเท็จจริงกับประเด็นที่เกิดขึ้น • เมื่อสถานประกอบการของบริษัทอยู่ในพื้นที่ที่เกิดวิกฤตด้านการเมือง หรืออื่น ๆ ที่อาจส่งผลให้การดำเนินการของบริษัทขัดข้องและส่งผลต่อราคาหุ้นได้ ผู้ถือหุ้นควร… • เตรียมรับมือกับผลกระทบจากเหตุการณ์เช่น อาจขาดทุนจากราคาหุ้นที่ตก หรือได้รับเงินปันผลน้อยลงจากปัจจัยลบที่มากระทบ • หมั่นติดตามข้อมูลข่าวสารผ่านช่องทางที่เป็นทางการ รวมถึงการขึ้นเครื่องหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย • เข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อร่วมซักถามในประเด็นต่าง ๆ ตามที่มีข้อสงสัย 2. การลงทุนในหุ้นกู้– ตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทที่ต้องการระดมทุน ผู้ลงทุนจะถือเป็น “เจ้าหนี้” รวมถึงหุ้นกู้คราวด์ฟันดิง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการเสนอขายผ่าน Funding portal โดยผู้ระดมทุนส่วนใหญ่ ผ่านช่องทางนี้จะเป็นกิจการขนาดกลางและขนาดย่อม ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ผู้ถือหุ้นกู้ควรติดตามอย่างใกล้ชิด • เมื่อหุ้นกู้ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลงอย่างมีนัยยะสำคัญ • เมื่อผู้ออกหุ้นกู้มีผลการดำเนินงานลดลงอย่างมีนัยสำคัญซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถ ในการชำระหนี้ (มีโอกาสที่จะจ่ายดอกเบี้ยไม่ครบจำนวนหรือมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้) ผู้ถือหุ้นกู้ควร… • หมั่นตรวจสอบว่าตนเองถือหุ้นกู้ชนิดใดและได้รับผลกระทบจากการถูกปรับลดอันดับ ความน่าเชื่อถือหรือไม่ ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นกู้อาจไม่สามารถขายหุ้นกู้ได้ในทันที รวมถึงอาจ ไม่สามารถขายหุ้นกู้ได้ในราคาที่พึงพอใจ เนื่องจากขาดสภาพคล่องในการซื้อขาย • ติดตามข่าวสารในกรณีที่มีข้อสงสัยว่ามีการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535ทั้งนี้ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ไม่ได้ให้อำนาจกับสำนักงาน ก.ล.ต. ในการสั่งการให้บริษัทคืนเงิน • ติดตามแผนการแก้ไขเหตุผิดนัดจากผู้ออกหุ้นกู้หรือผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เมื่อเกิดเหตุผิดนัด ชำระหนี้รวมถึงศึกษารายละเอียดก่อนการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการประชุมเพื่อขอเลื่อนการชำระหนี้ หรือขอผ่อนผันการชำระ • ประสานผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ซึ่งจะเป็นบุคคลช่วยติดตามการชำระหนี้ รวมถึงดำเนินการ ตามกฎหมายในการบังคับหลักประกันและการฟ้องร้องดำเนินคดีกรณีที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้ มีมติให้ชำระคืนหุ้นกู้โดยพลัน (call default) 3. การลงทุนในกองทุนรวม– บริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน (บลจ.) จะนำเงินไปลงทุนในทรัพย์สินต่าง ๆ ตามนโยบายการลงทุนที่ระบุในโครงการจัดการกองทุนรวมตามสัดส่วน เช่น หุ้น หุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล เป็นต้น เพื่อกระจายความเสี่ยงและบริหารเงินลงทุนให้เกิดผลตอบแทนจากการลงทุนมาสู่ผู้ถือหน่วยลงทุน ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ผู้ถือหน่วยลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด • เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในราคาสินทรัพย์ที่กองทุนนำเงินไปลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ • เมื่อเกิดความผิดปกติกับผู้ออกตราสารหรือตลาดตราสารที่กองทุนรวมลงทุน ผู้ถือหน่วยลงทุนควร… • เตรียมรับมือกับความผันผวนของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ของกองทุนรวมที่ถือ • ศึกษาและทำความเข้าใจกับข้อจำกัดจากการใช้ Liquidity Management Tools (LMTs) โดยแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มส่งผ่านต้นทุนการซื้อขายสินทรัพย์ของกองทุนและกลุ่มที่เป็นข้อจำกัดต่อการไถ่ถอนหน่วยลงทุน ทั้งนี้ บลจ. จะพิจารณาความเหมาะสมในการใช้ LMTs เพื่อรักษาประโยชน์ของผู้ลงทุนโดยรวมและใช้ในกรณีจำเป็นเท่านั้น เช่น เกิดความ ผันผวนของตลาดสินทรัพย์ที่ลงทุน เกิดต้นทุนที่มีนัยสำคัญต่อการซื้อขายสินทรัพย์ ของกองทุน หรือเกิดความผิดปกติกับผู้ออกตราสารและกรณีอื่น ๆ ที่จำเป็น เป็นต้น ด้วยเหตุที่การลงทุนมักมาคู่กับความเสี่ยงเสมอ ผู้ลงทุนควรฝึกฝนให้ตนเองหูตากว้างไกล หมั่นอ่านข่าวสารจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ รู้จักเฉลียวใจสอบถามข้อมูลที่ควรได้รับเพื่อให้สามารถตัดสินใจเลือกลงทุนได้อย่างเหมาะสม และใช้สิทธิของตนเองเพื่อช่วยลดการสูญเสีย ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนได้ที่ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1362957
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/04/2024
กรุงเทพฯ, 8 สิงหาคม 2566 – เอไอเอ ประเทศไทย ผู้นำธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพอันดับ 1 ของไทย* เปิดตัวแผนประกันกลุ่มแบบสำเร็จรูปใหม่ล่าสุด “เฟล็กซ์ซี่ แพ็ค (Flexi Pack)” ที่มาพร้อมความยืดหยุ่นให้ลูกค้าองค์กรทั่วประเทศมีอิสระในการกำหนดความคุ้มครอง ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีให้เลือกหลากหลายได้มากถึง 15 ผลิตภัณฑ์ พร้อมความคุ้มครองพิเศษเพิ่มเติม อาทิ การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ และการตรวจสุขภาพประจำปี เป็นต้น ในอัตราเบี้ยประกันภัยที่คุ้มค่า ซึ่งถูกออกแบบมาให้เหมาะสมสำหรับแต่ละองค์กร เพื่อตอบโจทย์องค์กรขนาดเล็กถึงขนาดกลาง เพิ่มความอุ่นใจให้ผู้ประกอบการได้เดินหน้าองค์กรอย่างมั่นใจและหมดห่วงเรื่องสวัสดิการและสุขภาพของพนักงาน ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของเอไอเอ ในการสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’นางสาวจิราภรณ์ กนิษฐรัต ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายประกันธุรกิจองค์กร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “ปัจจุบันเอไอเอ ดูแลลูกค้าองค์กรจำนวนมากถึง 11,000 องค์กรทั่วประเทศ เราได้ศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าองค์กรมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราสามารถนำความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าองค์กรมาพัฒนาเป็นแผนประกันกลุ่มแบบสำเร็จรูป สำหรับลูกค้าองค์กรที่มีจำนวนพนักงานตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป แต่ไม่เกิน 149 คน หรือไม่เกิน 49 คน กรณีมีประกันสุขภาพ ในชื่อ “เฟล็กซ์ซี่ แพ็ค” ซึ่งมีความยืดหยุ่นสมชื่อ โดยลูกค้าองค์กรสามารถเลือกซื้อแผนประกัน และออกแบบความคุ้มครองได้ตามความต้องการภายใต้งบประมาณเบี้ยประกันภัยของแต่ละองค์กร ซึ่งแตกต่างจากแพ็กเกจสวัสดิการพนักงานทั่วไปอย่างสิ้นเชิง โดยมีจุดเด่น ได้แก่ • อิสระ ในการกำหนดความคุ้มครอง ปรับเปลี่ยนและเพิ่มผลประโยชน์ได้ตามความต้องการของลูกค้าองค์กร • หลากหลาย ด้วยความคุ้มครองที่มีให้เลือกมากถึง 15 ผลิตภัณฑ์ พร้อมขยายความคุ้มครองพิเศษเพิ่มเติม เช่น การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ การตรวจสุขภาพประจำปี เป็นต้น • คุ้มค่า กับเบี้ยประกันภัยที่ถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับแต่ละองค์กร เพื่อช่วยให้สามารถจัดสรรงบประมาณได้อย่างลงตัว “ทั้งนี้ เอไอเอ มั่นใจว่า เฟล็กซ์ซี่ แพ็ค จะช่วยตอบโจทย์ให้แต่ละองค์กร สามารถบริหารจัดการสวัสดิการของพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อที่ทุกองค์กรจะสามารถดำเนินธุรกิจและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ให้องค์กรได้เดินหน้าอย่างมั่นคง พร้อมมีส่วนผลักดันให้เศรษฐกิจไทยก้าวไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่ง” นางสาวจิราภรณ์ กล่าวทิ้งท้าย องค์กรที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อเอไอเอคอลเซ็นเตอร์ โทร. 1581 และสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.aia.co.th *ข้อมูลจากสมาคมประกันชีวิตไทย ณ วันที่ 2 สิงหาคม 2566 หมายเหตุ: • ข้อมูลนี้เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นเพื่อประกอบการนำเสนอเท่านั้น ผู้ขอเอาประกันภัยควรศึกษาทำความเข้าใจรายละเอียดรวมทั้งข้อยกเว้นไม่คุ้มครองของผลิตภัณฑ์ประกันภัย ก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง • ข้อกำหนดและเงื่อนไขความคุ้มครองจะระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยที่ออกให้กับผู้ถือกรมธรรม์
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
หุ้น
30/04/2024
หุ้น XD คืออะไร ? สิ่งที่นักลงทุนต้องรู้ไว้ก่อนตัดสินใจลงทุน หุ้น XD คืออะไร ? เครื่องหมาย XD (Exclude Dividend) เป็นเครื่องหมายที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำหนดขึ้นเพื่อเตือนให้ผู้ลงทุนในหุ้นที่ขึ้นเครื่องหมายนั้น ทราบว่าผู้ซื้อหุ้นนั้นจะไม่มีสิทธิได้รับเงินปันผลที่ประกาศจ่ายในงวดนั้น อย่างไรการเข้าลงทุนในหุ้นก่อนวันขึ้นเครื่องหมาย XD อาจไม่ทำให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากการได้รับเงินปันผลเสมอไป เนื่องจากหลังวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD ราคาหุ้นมักจะมีราคาตกลงมาในจำนวนที่ใกล้เคียงกับเงินปันผลที่จ่าย ดังนั้น หากเป็นนักลงทุนระยะสั้น การได้รับเงินปันผล แต่ต้องขาดทุนจากการขายหุ้นในราคาต่ำ แต่หากเป็นนักลงทุนระยะยาวแล้ว การซื้อหุ้นที่จ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูง จะเป็นประโยชน์ในแง่ผลตอบแทนที่เป็นเงินสดที่จะได้รับในแต่ละปี เก็บหุ้นปันผลช่วงไหนดี ? โดยช่วงที่เหมาะสมในการเก็บหุ้นปันผลคือ 1-2 เดือนก่อนบริษัทจะประกาศขึ้นเครื่องหมาย XD โดยปกติจะเริ่มทยอยประกาศในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ดังนั้น ช่วงเดือนมกราคมถึงต้นกุมภาพันธ์ เป็นจังหวะที่ดีในการซื้อหุ้นปันผล ส่วนเวลาที่ไม่เหมาะสมในการซื้อหุ้นปันผลคือช่วงใกล้ ๆ ประกาศเครื่องหมาย XD เช่น 1 สัปดาห์ หรือ 1-2 วัน เพราะสังเกตได้ว่าช่วงนั้นนักลงทุนส่วนใหญ่จะเข้ามาซื้อปันผลกันอย่างหนาแน่น ทำให้ราคาหุ้นปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะยิ่งซื้อหุ้นได้ราคาแพง ๆ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลก็จะน้อยลง อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล = (เงินปันผลต่อหุ้นต่อปี/ราคาหุ้นปัจจุบัน) x 100 ยกตัวอย่าง • หุ้น ABC วันที่ 1 มกราคม 2561 ราคาหุ้นอยู่ที่ 25 บาท บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผล 2 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 8% • หุ้น XYZ วันที่ 1 มกราคม 2561 ราคาหุ้นอยู่ที่ 18 บาท บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผล 2 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 11.11% จากตัวอย่าง ถึงแม้หุ้น ABC และ XYZ จะจ่ายเงินปันผลเท่ากัน คือ 2 บาท แต่หุ้น XYZ มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่า เพราะมีราคาหุ้นต่ำกว่า ดังนั้น หากสนใจควรหาจังหวะที่ราคาหุ้นปันผลยังไม่ขยับขึ้น หรือถ้าเป็นไปได้ควรซื้อในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวนหรือเป็นขาลง เพราะราคาหุ้นส่วนใหญ่ (รวมถึงหุ้นปันผล) จะปรับลดลงตามภาวะตลาดโดยรวม หุ้นที่สามารถจ่ายเงินปันผลได้สม่ำเสมอ เป็นอย่างไร ? โดยหุ้นที่มีความสามารถจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ มีคุณสมบัติ ดังนี้ • ผลการดำเนินงานเติบโตสม่ำเสมอ ถึงแม้ยอดขายหรือกำไรจะไม่เติบโตแบบก้าวกระโดดเหมือนบริษัทที่กำลังขยายธุรกิจ แต่ผลการดำเนินงานจะเติบโตในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปไม่หวือหวา ที่สำคัญจะไม่ขาดทุนเลย • ผลการดำเนินงานคาดการณ์ได้ง่าย หุ้นปันผลที่ดีจะสามารถคาดการณ์แนวโน้มผลการดำเนินงานในอนาคตได้ง่าย วิธีการคือ นำตัวเลขประมาณการกำไรต่อหุ้น คูณกับนโยบายการจ่ายปันผล จะสามารถประมาณการการจ่ายเงินปันผลคร่าว ๆ ได้ • ประวัติการจ่ายเงินปันผลยอดเยี่ยม ไม่ว่าเศรษฐกิจจะซบเซา เกิดวิกฤต หรือขยายตัว บริษัทจะยินดีจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ • โครงสร้างทางการเงินแข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวก โดยดูย้อนหลังไปหลาย ๆ ปี เพราะกระแสเงินสดเป็นตัวชี้ว่ามีความสามารถในการจ่ายเงินปันผล • หนี้สินต่ำ เราสามารถดูโครงสร้างหนี้สิน ด้วยการดูหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) โดยเฉพาะหนี้สินระยะสั้น หากมีเยอะ ๆ ก็อาจทำให้ความสามารถในการจ่ายเงินปันผลลดลง • สภาพคล่องสูง โดยส่วนใหญ่หุ้นปันผลมักมีสภาพคล่องไม่ค่อยสูง เพราะนักลงทุนซื้อเพื่อลงทุนระยะยาว ดังนั้น ควรหาหุ้นปันผลที่มีมาร์เก็ตแคป (Market Cap) ใหญ่พอสมควร เพราะหากต้องการขายก็สามารถทำได้ทันที หรือหากเป็นหุ้นปันผลมาร์เก็ตแคปต่ำ ก็ควรเลือกหุ้นที่มีการกระจายการถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) มากกว่าเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯกำหนด นั่นคือ มากกว่า 15% • ค่าเบต้า (Beta) ต่ำ เป็นปัจจัยที่ใช้เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นกับการเคลื่อนไหวดัชนีหุ้น ถ้าเป็นหุ้นปันผลจะมีค่าเบต้าต่ำ นั่นคือ ราคาหุ้นจะผันผวนน้อยกว่าตลาด เช่น หุ้น ABC มีค่าเบต้า 0.7 เท่า หมายความว่า ถ้าดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้น 10% ราคาหุ้น ABC จะขึ้น 7% เช่นกัน ถ้าดัชนีหุ้นปรับลดลง 10% ราคาหุ้น ABC จะปรับลดลง 7% ข้อมูลจาก : ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1360549
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
29/04/2024
14/06/2024
09/05/2025
30/04/2024
29/04/2024