Everyday knowledge for you
ข่าวทั่วไป
30/04/2024
เปิด “5 อาชีพ” สุดรุ่ง กับ สุดเสี่ยง ทั้งกลุ่มที่ตลาดงานต้องการ รวมถึงอาชีพที่เตรียมถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีก่อนเพื่อน ในปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตของมนุษย์เราในทุกด้านของชีวิต ไม่เว้นแม้แต่การทำงาน เพื่อให้เราสะดวกสบาย ช่วยแบ่งเบาภาระและทุ่นแรงมนุษย์ได้มาก จนกลายเป็นตัวช่วยที่เราไม่สามารถขาดไปได้ แต่ด้วยเทคโนโลยี “ปัญญาประดิษฐ์” หรือที่คุ้นหูกันในชื่อ “เอไอ” (AI) มีศักยภาพเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำงานได้อย่างรวดเร็ว ประมวลผลข้อมูลมหาศาลได้ในเสี้ยววินาที และความผิดพลาดก็น้อยมาก อีกทั้งยังไม่มีอคติต่อสิ่งใด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เหล่า “แรงงาน” ต่างกลัวว่าเอไอจะเข้ามาแย่งงานของตนเอง • 83 ล้านตำแหน่ง เตรียมตกงาน จากรายงาน The Future of Jobs Report 2023 จัดทำโดย World Economic Forum หรือ WEF ทำการสำรวจทิศทางอาชีพในอนาคต (Future of Jobs Survey) โดยรวบรวมมุมมองจาก 803 บริษัท ซึ่งรวมการจ้างงานมากกว่า 11.3 ล้านคน จาก 27 กลุ่มอุตสาหกรรม ใน 45 ประเทศจากทุกภูมิภาคทั่วโลก ระบุว่า ภายในปี 2570 จะมีตำแหน่งงานที่เกิดขึ้นใหม่ราว 70 ล้านตำแหน่งทั่วโลก แต่ขณะเดียวกันจะมีงานจำนวน 83 ล้านตำแหน่งจะถูกเลิกจ้าง นั่นหมายความว่ามีพนักงานจำนวนไม่น้อยที่จะต้องออกจาก “ตลาดงาน” สำหรับ กลุ่มอาชีพที่ WEF คาดว่าจะถูกลดบทบาทลงอย่างรวดเร็ว จากการเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และการเปลี่ยนถ่ายงานเข้าสู่ระบบดิจิทัลแทนการใช้แรงงานคน 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. พนักงานธนาคารและตำแหน่งที่เกี่ยวข้อง (Bank Tellers and Related Clerks) 2. พนักงานให้บริการไปรษณีย์ (Postal Service Clerks) 3. พนักงานเก็บเงินและพนักงานขายตั๋ว (Cashiers and ticket Clerks) 4. พนักงานบันทึกข้อมูล (Data Entry Clerks) 5. เลขานุการฝ่ายบริหาร (Administrative and Executive Secretaries) • 5 อาชีพที่ตลาดงานต้องการมากที่สุด ขณะที่ อาชีพที่มีความต้องการสูงในอนาคตเป็นอาชีพที่มีเทคโนโลยีและดิจิทัลเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะนักวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysts) ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลมหัต (Big Data Specialists) ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI Machine Learning Specialists) และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity Professionals) ซึ่งคาดว่าจะเติบโตโดยเฉลี่ยประมาณ 30% ภายในปี 2570 นอกจากนี้ คาดว่างานทางด้านพาณิชย์ดิจิทัล (Digital Commerce) จะเพิ่มขึ้นประมาณ 2 ล้านตำแหน่ง เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce Specialists) ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital Transformation Specialists) และผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดดิจิทัลและกลยุทธ์ (Digital Marketing and Strategy Specialists) 5 อาชีพที่ WEF ระบุว่าเป็นอาชีพต้องการในตลาดงานมากที่สุดคือ 1. ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI Machine Learning Specialists) 2. ผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืน (Sustainability Specialists) 3. นักวิเคราะห์ธุรกิจอัจฉริยะ (Business Intelligence Analysts) 4. นักวิเคราะห์ความปลอดภัยของข้อมูล (Information Security Analysts) 5. วิศวกรฟินเทค (Fintech Engineers) นอกจากนี้ ในรายงานของ WEF ยังพบ การเพิ่มขึ้นของงานที่เกี่ยวกับความยั่งยืน การศึกษาและการเกษตร ภายในช่วงปี 2566–2570 โดยงานด้านความยั่งยืน คาดว่าจะเติบโต 33% นำไปสู่งานเพิ่มขึ้น 1 ล้านตำแหน่ง ขณะที่งานด้านการศึกษา คาดว่าจะเติบโต 10% นำไปสู่งานเพิ่มขึ้น 3 ล้านตำแหน่ง ส่วนงานด้านการเกษตร คาดว่าจะเติบโต 1115 – 30% นำไปสู่งานเพิ่มขึ้นถึง 4 ล้านตำแหน่ง ทั้งนี้อาชีพที่เกี่ยวกับความยั่งยืนในเชิงธุรกิจ เป็นการสร้างแบรนด์ให้ยั่งยืน ไม่ใช่การรักษ์โลกแบบฉาบฉวย แต่ต้องทำให้องค์กรเติบโต ไม่หวังกำไรระยะสั้น แต่จะต้องทำให้เกิดความยั่งยืนระยะยาว โดยต้องมองให้ออกถึงผลที่เกิดขึ้นกับกระทบสังคมและประเทศชาติ อย่างไรก็ตาม แรงงานจำเป็นต้องพัฒนาสกิลของตนเองและเรียนรู้ทักษะใหม่ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงาน กราฟิก: จิรภิญญาน์ พิษถาแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/health/labour/1069904
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ภาษี
30/04/2024
หลังจากที่ “ประชาชาติธุรกิจ” นำเสนอข่าวว่า ชาวต่างชาติกำลังสนใจซื้อบ้านเก่าในญี่ปุ่นมากขึ้น อาจช่วยลดปัญหา “บ้านร้าง” กว่า 10 ล้านหลังทั่วประเทศ แล้วได้รับความสนใจจากผู้อ่านจำนวนมาก และผู้อ่านหลายคนสอบถามว่า ถ้าสนใจอยากซื้อบ้านเก่าในญี่ปุ่นจะต้องทำอย่างไร ราคาบ้านกี่บาท ต้องจ่ายภาษีแพงแค่ไหน “ประชาชาติธุรกิจ” จึงหาข้อมูลมาเหล่านี้มาตอบคำถามที่ผู้อ่านสงสัย ถ้าใครสนใจอยากมีบ้านในแดนอาทิตย์อุทัย ก็เตรียมเงินและเตรียมตัวตามนี้ แล้วไปกันเลย ราคาบ้านญี่ปุ่นกี่บาท บ้านมือสอง บ้านเก่าในญี่ปุ่น ราคาเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพของบ้าน ทำเลที่ตั้ง ขนาด และปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ โดยราคาต่ำสุดเท่าที่เห็นเว็บไซต์ให้คำปรึกษาการซื้อขายบ้านในญี่ปุ่นระบุไว้คือ 5 ล้านเยน หรือประมาณ 1.2 ล้านบาท ส่วนราคาสูงสุดนั้น มีไปจนทะลุหลักพันล้านเยน หากใครสนใจสามารถเสิร์ชหาใน google เป็นภาษาไทยได้เลย มีเว็บไซต์ของบริษัทนายหน้า-บริษัทให้คำปรึกษาอยู่หลายเจ้าที่มีบ้านที่ประกาศขายให้เลือกไปในตัว ชาวต่างชาติซื้อบ้านในญี่ปุ่นได้ และส่งต่อมรดกได้อย่างอิสระ Japan-Property.jp เว็บไซต์ให้บริการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นอธิบายไว้ว่า ปัจจุบันญี่ปุ่นไม่มีข้อจำกัดทางกฎหมายสำหรับชาวต่างชาติในการซื้ออสังหหาริมทรัพย์ และไม่มีความแตกต่างทางอัตราภาษีระหว่างชาวญี่ปุ่นกับชาวต่างชาติ ชาวต่างชาติไม่ว่าจะเป็นสถานะ “ผู้พำนัก” (ผู้ที่ได้รับอนุญาตอยู่ในประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี) หรือไม่ ก็สามารถซื้อและเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นได้ทั้งบ้านและที่ดิน โดยไม่มีการจำกัดเวลาถือครองกรรมสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม การซื้อบ้านในญี่ปุ่นของชาวต่างชาติสำหรับคนที่มีสถานะ “ผู้พำนัก” และคนที่ไม่มีสถานะ “ผู้พำนัก” จะมีความแตกต่างกันทางด้านเอกสารและข้อกำหนดเรื่องบัญชีธนาคารสำหรับการซื้อขายและทำธุรกรรมจ่ายภาษีหลังการซื้อ ส่วนการซื้อ-ขายต่อ และส่งต่อมรดก ชาวต่างชาติก็สามารถทำได้อย่างอิสระ ถ้าเราซื้อบ้านในญี่ปุ่นแล้ว เราสามารถโอนหรือส่งมอบให้ใครก็ได้ที่เราอยากให้ ส่วนเรื่องการขอสินเชื่อจากธนาคารในญี่ปุ่นเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นเรื่องยากสำหรับชาวต่างชาติที่ไม่มีสถานะ “ผู้พำนัก” ชาวต่างชาติที่ไม่ได้เป็นผู้พำนักในญี่ปุ่นจะต้องซื้อบ้านด้วยเงินสด หรือขอสินเชื่อจากธนาคารในประเทศของตัวเองบ้านในชนบทญี่ปุ่น/ หมายเหตุ : ไม่ใช่บ้านที่ประกาศขาย/ Prachachatอยากซื้อบ้านในญี่ปุ่น ต้องทำอย่างไร ส่วนกระบวนการซื้อนั้น แม้ว่าเราจะสามารถหาข้อมูลหรือติดต่อกับตัวแทนจัดหาและจำหน่ายบ้านผ่านอินเทอร์เน็ตได้ แต่ก็จำเป็นที่จะต้องเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นอย่างน้อย 2 ครั้ง เพื่อตรวจสอบทรัพย์สินที่จะซื้อและดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สิน เพื่อความสะดวกในการทำธุรกรรม ควรดำเนินการซื้อโดยใช้บริการบริษัทให้คำปรึกษาหรือนายหน้า-ตัวแทนทำธุรกรรม ซึ่งผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์จะต้องค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมและการลงทะเบียนให้นายหน้า รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้ายบ้านและอื่น ๆ รวมราว ๆ 5-10% ของมูลค่าทรัพย์สินที่ซื้อ ขั้นตอนในการดำเนินการมีดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 เริ่มปรึกษานายหน้า : ปรึกษากับบริษัทให้คำปรึกษาหรือนายหน้าถึงเงื่อนไขต่าง ๆ และบอกความต้องการที่เฉพาะเจาะจงของเรา เช่น อยากได้บ้านรูปแบบไหน อยู่ในโลเกชั่นไหน ราคาเท่าไร เป็นต้น ขั้นตอนที่ 2 เลือกบ้าน : บริษัทให้คำปรึกษาจะค้นหาบ้านที่ตรงตามเงื่อนไขมาให้เลือก ขั้นตอนที่ 3 ทำคำขอซื้อ : เมื่อเลือกบ้านที่จะซื้อได้แล้วก็กรอกแบบฟอร์มประสงค์ซื้อบ้าน แล้วพนักงานของบริษัทให้คำปรึกษาจะประสานงานระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ขั้นตอนที่ 4 ลงนามในสัญญาซื้อ : เมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงเงื่อนไขในการทำธุรกรรม คนจากบริษัทให้คำปรึกษาหรือนายหน้าจะอธิบายรายละเอียดสำคัญทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการทำสัญญา รวมถึงสิทธิในทรัพย์สิน ข้อจำกัดทางกฎหมาย และข้อตกลงการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้ซื้อและผู้ขาย แล้วลงนามในสัญญาการขายตามที่ได้ตกลงรายละเอียดไว้ ในวันทำการลงนาม ผู้ซื้อจะต้องชำระเงินมัดจำ 5-10% ชำระค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (ครึ่งหนึ่งของจำนวนเต็ม) และชำระค่าธรรมเนียมอากรแสตมป์ ขั้นตอนที่ 5 เสร็จสิ้นธุรกรรมและโอนกรรมสิทธิ์ : ขั้นตอนการลงทะเบียนและโอนกรรมสิทธิ์ ในตอนนี้ต้องชำระเงินส่วนที่เหลือ รวมทั้งค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เมื่อทำกระบวนการนี้ครบแล้วก็เปลี่ยนสถานะเป็นเจ้าของบ้าน จะได้รับกุญแจบ้าน สามารถเปิดเข้าไปนอนได้เลยบ้านในชนบทญี่ปุ่น/ หมายเหตุ : ไม่ใช่บ้านที่ประกาศขาย/ Prachachatค่าใช้จ่ายในการซื้อบ้านในญี่ปุ่น ค่าใช้จ่ายในการซื้อบ้านในญี่ปุ่นแบ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้ ค่าใช้จ่ายที่จ่ายในขั้นตอนลงนามในสัญญา • ค่าอากรแสตมป์ จ่ายตอนทำสัญญาซื้อขาย ประมาณ 10,000-30,000 เยน ขึ้นอยู่กับราคาอสังหาริมทรัพย์นั้น ๆ • ค่ามัดจำ 10-20% ของราคาขาย ค่าใช้จ่ายส่วนที่เหลือ ชำระตามเวลาที่ตกลง • ค่าบ้านส่วนที่เหลือ • ค่าธรรมเนียมการจัดการ, กองทุนสำหรับซ่อมแซม (สำหรับอพาร์ตเมนต์) • ค่านายหน้า ตามตกลง • ภาษีจดทะเบียน การลงทะเบียนของกรรมสิทธิ์ในที่ดินหรืออาคาร อัตรา 2% ของราคาทรัพย์สินซึ่งประเมินโดยหน่วยงานของเขตที่อสังหาริมทรัพย์ตั้งอยู่ • ค่าธรรมเนียมอาลักษณ์ ค่าธรรมเนียมสำหรับการดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์และการลงทะเบียนที่เกี่ยวข้อง จำนวนเงินจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับอสังหาริมทรัพย์ กองทุน และความซับซ้อนของขั้นตอนการลงทะเบียน แต่ปกติจะอยู่ที่ประมาณ 100,000 เยน • ภาษีผู้บริโภค คิดที่อัตรา 8% ของราคาอสังหาริมทรัพย์เฉพาะราคาอาคาร-สิ่งปลูกสร้าง ไม่รวมราคาที่ดิน ซึ่งส่วนมากจะถูกรวมไว้ในราคาขายแล้ว ค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้นหลังจากการส่งมอบทรัพย์สิน • ภาษีซื้ออสังหาริมทรัพย์ อัตรา 3% ของครึ่งหนึ่งของราคาประเมินทรัพย์สินซึ่งประเมินโดยหน่วยงานของเขตที่อสังหาริมทรัพย์ตั้งอยู่ โดยจ่ายหลังจากการซื้อทรัพย์สินแล้วประมาณ 3-6 เดือน • เบี้ยประกันภัยพิบัติ “ภาษี” ที่ต้องจ่ายทุกปี ภาษีที่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นต้องจ่ายทุกปีในระหว่างครอบครองทรัพย์สิน ประกอบด้วย • ภาษีทรัพย์สินถาวร จัดเก็บโดยรัฐบาลญี่ปุ่น โดยทั่วไปอัตราอยู่ที่ 1.4% ของมูลค่าของทรัพย์สินถาวร แต่อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ ขึ้นอยู่กับที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์นั้น ๆ • ภาษีผังเมือง จัดเก็บโดยรัฐบาลญี่ปุ่น อัตรา 0.3% ของมูลค่าของทรัพย์สินถาวร ซึ่งมูลค่าอสังหาริมทรัพย์จะยึดตามราคาประเมิน ณ วันที่ 1 มกราคมของปีนั้น ๆ ในกรณีที่ปล่อยเช่า ต้องจ่ายภาษีอัตราประมาณ 5% ถึง 45% ของกำไรที่ได้หลังหักค่าใช้จ่าย ในกรณีซื้ออสังหาริมทรัพย์แล้วจะขายต่อ ถ้าขายภายใน 5 ปีที่ซื้อมา ต้องจ่ายภาษี 39.63% ของกำไรจากการขาย ถ้าขายหลังจากซื้อ 5 ปีขึ้นไป ต้องจ่ายภาษี 20.315% ของกำไรจากการขายอ้างอิง : • japan-property.jp • LandHousing • Tokyo Portfolio แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/world-news/news-1303480
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/04/2024
กรุงเทพฯ, 1 มิถุนายน 2566 - เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายนิคฮิล แอดวานี (ที่ 3 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ร่วมลงนามความร่วมมือการสนับสนุนโครงการ KKU Volleyball Academy กับ มหาวิทยาลัยขอนแก่น นำโดย ดร.ณรงค์ชัย อัครเสรณี (กลาง) นายกสภามหาวิทยาลัยขอนแก่น และ ร.ศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น (ที่ 3 จากซ้าย) พร้อมมอบเงินทุนสนับสนุนจำนวน 1.5 ล้านบาท เพื่อร่วมส่งเสริมนักเรียนและนักศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ชื่นชอบและมีความสามารถด้านกีฬาวอลเลย์บอล ให้ได้มีโอกาสที่จะฝึกซ้อมกีฬาด้วยองค์ความรู้และประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ และด้านการกีฬาของมหาวิทยาลัย รวมถึงสามารถพัฒนาตนเองไปเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลมืออาชีพในอนาคต ตลอดจนต่อยอดไปสู่เวทีระดับสากล สะท้อนถึงพันธกิจของเอไอเอในการร่วมพัฒนาชุมชน และมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ โดยมี นายณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต และนางสาวจิราภรณ์ กนิษฐรัต ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายประกันธุรกิจองค์กร เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนาม ณ อาคารพลศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่นนายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “เอไอเอ ประเทศไทย รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนโครงการ “KKU Volleyball Academy” เพื่อส่งเสริมความเป็นเลิศด้านกีฬาวอลเลย์บอล รวมถึงพัฒนาความสามารถทางด้านกีฬาของนักเรียน นักศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อต่อยอดสู่สโมสรอาชีพในระดับชาติและระดับนานาชาติต่อไป อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมโอกาสด้านการศึกษาของนักเรียน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่องทางให้สามารถเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในมหาวิทยาลัยขอนแก่นโดยใช้ความสามารถและทักษะด้านกีฬาวอลเลย์บอลอีกด้วย และเพื่อเป็นการตอกย้ำถึงพันธกิจของเราที่ต้องการมุ่งสนับสนุนให้ผู้คนในสังคมไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น เอไอเอ ประเทศไทย จึงขอมอบเงินจำนวน 1,500,000 บาท เพื่อสนับสนุนโครงการ “KKU Volleyball Academy” มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการนี้จะเป็นประโยชน์และสร้างแรงบันดาลใจด้านกีฬาและการออกกำลังกายให้กับเยาวชน นักเรียน และนักศึกษาต่อไป”
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
30/04/2024
หลายปีที่ผ่านมา ธุรกิจประกันภัยเจอโจทย์ค่อนข้างยากและท้าทายอยู่หลายเรื่อง อย่างประกันชีวิตที่ต้องเผชิญภาวะดอกเบี้ยต่ำมานาน กว่าจะเข้าสู่ดอกเบี้ยขาขึ้น กระทั่งดอกเบี้ยใกล้พีก (สูงสุด) แล้ว ส่วนประกันวินาศภัยก็เพิ่งเจอระเบิดลูกใหญ่ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ระบาดรุนแรงไป ถึงขณะนี้ผ่านไป 1 ไตรมาสของปี 2566 ดูเหมือนฟ้าหลังฝนจะเริ่มสดใสขึ้น18 บริษัท กำไร Q1 พุ่ง 121%โดยข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) พบว่า ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1 ปี 2566 ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหุ้นไทย เซ็กเตอร์ประกันภัยและประกันชีวิต (insurance) รวมทั้งสิ้น 18 บริษัท มีกำไรสุทธิรวมกัน 6,014 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 121% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) และเพิ่มขึ้น 81% จากไตรมาสก่อนหน้า (QOQ) โดยมีรายได้รวม 61,473 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56% YOY แต่ลดลง 14% QOQ“กรกช เสวตร์ครุตมัต” ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมประกันภัยปี 2566 ในภาพรวม น่าจะเติบโตสอดคล้องไปกับภาวะเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีขึ้นโดยคาดว่ายอดขายประกันใหม่ปีนี้น่าจะขยายตัวได้ 4-5% ประกอบกับภาคธุรกิจไม่ได้แข่งขันด้านราคาที่รุนแรงเหมือนในอดีต เห็นได้จากธุรกิจประกันชีวิตลดการขายสินค้าชำระเบี้ยครั้งเดียว (single premium) หันมาเน้นขายสินค้าความคุ้มครอง (protection) กันมากขึ้น“สินค้าความคุ้มครอง ทั้งประกันชีวิตแบบตลอดชีพและสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ ให้กำไรที่ดีในระยะยาว รวมถึงอัตราดอกเบี้ยได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว แต่ยังอยู่ในระดับที่ทำกำไรได้ จึงเป็นภาวะแวดล้อมที่เอื้อสำหรับการขายประกันใหม่แต่ต้องระวังปัจจัยเสี่ยง คือภาพเศรษฐกิจไทย จากความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อาจพลิกมาเป็นขาลง รวมถึงกฎระเบียบและข้อบังคับจากหน่วยงานกำกับที่อาจห้ามขายพ่วงประกันมากขึ้น ทำให้เวลาขายประกันผ่านธนาคาร (แบงก์แอสชัวรันส์) อาจทำได้ยากขึ้น”เทรนด์ขายผ่านแบงก์ถูกกระทบโดยเทรนด์ปีนี้ของช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ยังปรับตัวดีขึ้น แต่ถ้ามองระยะยาวอีก 2-3 ปีข้างหน้า อาจแย่ลง เพราะแบงก์จะค่อย ๆ ทยอยลดสาขาลง ซึ่งกดดันยอดขายประกันช่องทางนี้ โดยเบี้ยประกันจะย้ายไปบันทึกอยู่ในช่องทางอื่น ๆ มากขึ้น เช่น ช่องทางขายประกันออนไลน์, ช่องทางขายประกันผ่านโบรกเกอร์ต่าง ๆ เป็นต้นอย่างไรก็ดี “กรกช” กล่าวว่า บล.กสิกรไทย วิเคราะห์หุ้นประกันภัยเพียง 1 บริษัท คือ บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต (BLA) ซึ่งตอนนี้ราคาหุ้นค่อนข้างสวนทางกับพื้นฐาน โดยราคาหุ้นอยู่ที่ 25-26 บาทต่อหุ้น แต่หากประเมินตามมูลค่าปัจจุบันของกรมธรรม์ที่ขายไปแล้วทั้งหมด (embedded value) มีราคาหุ้นอยู่ที่ 40 บาทต่อหุ้นดังนั้น ราคาหุ้น BLA ยังดิสเคานต์อยู่เกือบ 40% โดยภาพรวมธุรกิจในไตรมาส 1/2566 มีเบี้ยรับปีแรกเติบโตขึ้น 20% YOY และมีมาร์จิ้นเกินระดับ 50% จากเมื่อ 2-3 ปีก่อนทำได้แค่ 30%“ตลาดไม่สนอง เพราะกำไรไม่เด่น แต่ต้องบอกว่า การดูงบกำไรของธุรกิจประกันชีวิต ต้องดูลึกกว่านั้น ดังนั้นเซนติเมนต์อาจไม่เอื้อ แต่เป็นหุ้นที่สะสมเพื่อลงทุนระยะยาวได้ ให้ราคาเป้าหมายสิ้นปีที่ 56 บาทต่อหุ้น ประเมินกำไร BLA ปีนี้ 4,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% YOY”แนวโน้ม 3 ไตรมาสที่เหลือของปีขณะที่ “ตฤณ สิทธิสวัสดิ์” นักวิเคราะห์กลุ่มธุรกิจการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทวิเคราะห์หุ้นประกันภัยอยู่ 2 บริษัท คือ บมจ.ไทยประกันชีวิต (TLI) และ บมจ.ทีคิวเอ็ม อัลฟา (TQM) โดยปกติแล้ว TLI ช่วงไตรมาสแรกจะเป็นไฮซีซั่น เพราะเป็นช่วงที่กรมธรรม์ประกันชีวิตครบกำหนดอายุค่อนข้างมาก จึงมีการโอนกลับสำรองเข้ามามากกว่าไตรมาสอื่นดังนั้น ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองจะน้อย แต่จะมีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นในไตรมาส 2-4 ของปี เมื่อเริ่มมีการขายประกันใหม่ จึงทำให้งบการเงินในไตรมาสแรกจะดีที่สุดของปี และไตรมาส 4 จะแย่สุด“แนวโน้มธุรกิจประกันชีวิต อาไม่น่าสนใจมากนัก เพราะผ่านช่วงดีของปีไปแล้ว แต่ด้วยราคาหุ้น TLI ที่ปรับลงมามาก อาจจะมองเป็นลักษณะเทรดดิ้ง รอผลประกอบการฟื้นตัว YOY แต่ QOQ อาจจะไม่เด่น แต่ต้องระวังปัจจัยเสี่ยงจากดอกเบี้ยนโยบายที่ใกล้ถึงจุดพีกแล้ว และมองกันว่าปลายปีหรือปีหน้าจะเริ่มปรับลงซึ่งจะส่งผลลบกับการตั้งสำรองประกันชีวิตที่มากขึ้น และผลตอบแทนจากตราสารหนี้จะลดลง ส่วน TQM เป็นธุรกิจนายหน้าประกันรถยนต์ ซึ่งช่วงโลว์ซีซั่นเป็นครึ่งปีแรก ดังนั้นแนวโน้มผลประกอบการจะค่อย ๆ ฟื้นตัวดีขึ้นในไตรมาส 3-4 ของปี แต่ต้องระวังปัจจัยเสี่ยงจากการแข่งขันของสถาบันการเงิน ทั้งแบงก์และน็อนแบงก์ที่พยายามพ่วงขายประกันกับโปรดักต์สินเชื่อมากขึ้น”“ตฤณ” กล่าวด้วยว่า ประเมินกำไรปีนี้ของ TLI จะอยู่ที่ 10,736 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.9% YOY ตามการเติบโตของเบี้ยประกันและการขายแบบเจอหน้า (face to face) ได้ง่ายขึ้น ส่วน TQM คาดมีกำไร 824 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.8% YOY โดยเติบโตจากความต้องการทำประกันรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น ตามการใช้รถที่กลับสู่ภาวะปกติสุดท้ายแล้ว ธุรกิจประกันชีวิต อาจจะไม่ใช่กิจการที่จะหวือหวามากนัก โดยอาจจะเหมาะกับการลงทุนระยะยาว ส่วนธุรกิจประกันภัย ก็คงต้องติดตามข่าวสาร ข้อมูลการลงทุน และพิจารณาความแข็งแกร่งของบริษัทเป็นสำคัญแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1300236
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวทั่วไป
16/02/2024
“การเติบโตของภาวะผู้นำที่แท้จริง ต้องพัฒนาจากภายในสู่ภายนอก ถ้าปราศจากคุณสมบัติภายในของภาวะผู้นำส่วนบุคคลที่แข็งแรงแล้ว ภาวะผู้นำที่เป็นทางการที่มีประสิทธิภาพก็เกิดขึ้นไม่ได้” ปัจจุบันมีคนเก่งที่ก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำตั้งแต่อายุยังน้อยๆ นับว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนรุ่นใหม่ แต่อุปสรรคที่มักจะกีดขวางความสำเร็จก็คือ ภาวะผู้นำในตนเองยังไม่แข็งแรงพอที่จะเป็นผู้นำผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภาวะผู้นำก็เปรียบเสมือนต้นไม้ “ภาวะผู้นำที่เป็นทางการ” คือลำต้น กิ่งก้าน และใบ ที่ปรากฏให้เห็นจากภายนอก ซึ่งการที่ต้นไม้จะเจริญงอกงามได้ ก็ต่อเมื่อมันสามารถพัฒนาระบบรากที่อยู่ใต้ดินให้แข็งแรงเสียก่อน “ภาวะผู้นำส่วนบุคคล” ก็คือ เครือข่ายของรากที่ให้อาหารและบำรุงภาวะผู้นำที่เป็นทางการ ทำนองเดียวกัน การเติบโตของภาวะผู้นำที่แท้จริง ต้องพัฒนาจากภายในสู่ภายนอก ถ้าปราศจากคุณสมบัติภายในของภาวะผู้นำส่วนบุคคลที่แข็งแรงแล้ว ภาวะผู้นำที่เป็นทางการที่มีประสิทธิภาพก็เกิดขึ้นไม่ได้การรู้จักตนเอง เป็นพื้นฐานในการนำตนเอง ภาวะผู้นำส่วนบุคคลที่แท้จริง ไม่ใช่การเดินตามแนวทางที่ผู้อื่นสร้างไว้ หรือการเรียนรู้วิธีประสบความสำเร็จจากคนอื่น แต่หมายถึงการรู้จักตนเองอย่างลึกซึ้งว่า ตนเองเป็นใคร มีจุดยืนอะไร เข้าใจถึงพรสวรรค์และความสามารถเฉพาะตัวที่มี และสามารถดึงจุดแข็งของตัวเองออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด การรู้จักตนเองจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคนเรามีบุคลิกที่ซับซ้อนอันเกิดจากความต้องการ และแรงกระตุ้นบางอย่างที่ส่งอิทธิพลจากภายใน และยังมีแรงกดดันจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว สังคม และสภาพแวดล้อม การพัฒนาภาวะผู้นำส่วนบุคคล เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ต้องอาศัยความเข้าใจและลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง จึงใคร่ขอนำเนื้อหาบางส่วนจากหลักสูตร Effective Personal Leadership ของ LMI International Inc. มาแบ่งปัน และขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ :หลักสำคัญ 6 ประการของการพัฒนาภาวะผู้นำส่วนบุคคล 1. การมีความรับผิดชอบส่วนบุคคล Personal Responsibility : หมายถึงมีความรับผิดชอบต่อการตัดสินใจ ทัศนคติ การกระทำ และคำพูดของตัวเอง รวมทั้งผลที่จะตามมา ไม่ว่าดีหรือร้าย ไม่กล่าวโทษคนอื่น ตระหนักว่ามีแต่ตัวเองเท่านั้นที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงหรือทำให้เกิดผลที่ดีกว่าเดิมได้ ก่อให้เกิดการสร้างแรงจูงใจจากทัศนคติในทางบวก แทนที่จะสร้างแรงจูงใจจากความกลัว หรือจากสิ่งตอบแทนภายนอกที่ไม่ยั่งยืน 2. การมีเป้าหมาย Purpose : การคิดให้ตกผลึกว่า อะไรคือเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงที่เราต้องการ และตอนนี้เราอยู่ที่ไหนเมื่อเทียบกับเป้าหมายนั้น ซึ่งต้องอาศัยการรู้จักตนเอง มีความฝันและความปรารถนา และเมื่อได้ตกลงเลือกทางใดแล้ว ก็ต้องยึดมั่นต่อการตัดสินใจนั้น ด้วยความกล้าหาญและเชื่อมั่นในตนเองเป้าประสงค์ที่เรามีความปรารถนามากที่สุด ควรจะอยู่ในลำดับความสำคัญสูงสุด 3. การวางแผน Plan : การลงมือเขียนแผนเพื่อวางแนวทางปฏิบัติและกำหนดเวลาในการทำให้เป้าประสงค์สำเร็จเป็นจริง จะช่วยลดการผัดวันประกันพรุ่ง และติดตามความก้าวหน้าได้อย่างกระตือรือร้น 4. การมีความหลงใหล Passion : ความปรารถนาทะยานอยากกระตุ้นให้ลงมือทำ การสร้างความปรารถนาเป็นความรู้สึกจากข้างใน เราสามารถกระตุ้นอารมณ์อยากได้เหมือนความอยากทางกายภาพ โดยการสร้างภาพเสมือนจริงในจินตนาการอย่างมีสมาธิจดจ่อและเชื่อมั่น ยิ่งเราสร้างมโนภาพของเป้าประสงค์และผลตอบแทนความสำเร็จได้ชัดเจนมากเท่าใด เราก็จะยิ่งรู้สึกมีความทะยานอยากมากเท่านั้น 5. การมีความคาดหวังในเชิงบวก Positive Expectancy : เราสามารถเปลี่ยนทัศนคติและอุปนิสัยที่มีอยู่เดิมได้ด้วยการป้อนข้อมูลเชิงบวกและความมั่นใจเข้าไป จิตก็จะมีปฏิกิริยาโต้ตอบในแบบนั้น การสร้างทัศนคติของความคาดหวังในเชิงบวก จะทำให้เกิดความกระตือรือร้นในการทำความฝันให้เป็นจริง ซึ่งสามารถทำได้ด้วยสามขั้นตอนคือ ก) รู้ว่าตัวเองยืนอยู่ที่จุดใดในปัจจุบัน ข) เติมใจด้วยความคิดเชิงบวก ค) สร้างมโนภาพชีวิตใหม่ๆ ที่ดีกว่าเดิมในแบบที่วางแผนไว้ 6. การมีความแน่วแน่เพียรพยายาม Persistence : มีความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะทำให้เป้าประสงค์บรรลุผลสำเร็จ ไม่ว่าคนอื่นจะมีความเห็น หรือทำ หรือพูด อย่างไรก็ตาม การสร้างความมุ่งมั่นให้กล้าแกร่ง สามารถทำได้โดย ก) รักษาทัศนคติให้มั่นคงหนักแน่น ข) มีความมุ่งมั่นอดทน ค) สามารถจัดลำดับความสำคัญ นอกจากนี้ การพัฒนาภาวะผู้นำที่มีประสิทธิภาพ ยังต้องอาศัยการฝึกให้มีความฉลาดทางอารมณ์ โดยที่สามารถตระหนักรู้ว่า ตนเองมีความรู้สึกอย่างไร และความรู้สึกนั้นส่งผลต่อพฤติกรรมของตนอย่างไร ขณะเดียวกัน ก็สามารถควบคุมความคิดและการกระทำที่เป็นผลมาจากการตอบสนองทางอารมณ์นั้นได้ ซึ่งจะส่งผลให้เป็นคนที่สามารถควบคุมสติได้ดี ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบใดก็ตาม แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับการเงินการธนาคาร http://https//www.prachachat.net/finance/news-1296342
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/04/2024
จากบทความก่อนๆ เราได้ทราบถึงว่าประกันชีวิตเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สามารถนำมาวางแผนการเงินในด้านต่างๆ ได้หลากหลาย ทราบถึงประกันชีวิตว่ามีกี่แบบ แต่ละแบบมีข้อจำกัดอย่างไรเหมาะกับใครบ้าง และในบทความนี้เราจะพาไปเจาะลึกเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับประกันชีวิตว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่น่าสนใจ ซึ่งหลายๆ คนอาจไม่เคยรู้มาก่อน1.ประกันชีวิตสามารถลดหย่อนภาษีได้หรือไม่มีเงื่อนไขอย่างไรเบี้ยประกันชีวิตที่เราจ่ายไปแต่ละปีนั้นสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้โดยมีรายละเอียดดังนี้ • ประกันชีวิตแบบทั่วไปนอกเหนือจากแบบบำนาญซึ่งได้แก่ แบบตลอดชีพ, แบบสะสมทรัพย์, แบบชั่วระยะเวลา, ประกันชีวิตควบการลงทุน (เบี้ยเฉพาะในส่วนคุ้มครองชีวิตไม่รวมเบี้ยส่วนการลงทุน)สามารถนำเบี้ยประกันมาลดหย่อนภาษีรวมกันได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี ในกรณีที่กรมธรรม์มีความคุ้มครองชีวิตตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป • ประกันชีวิตแบบบำนาญเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ สามารถนำมาลดหย่อนได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้หรือ 200,000 บาทแล้วแต่ว่าจำนวนใดจะน้อยกว่าให้เลือกจำนวนนั้น โดยมีเงื่อนไขเพิ่มเติมดังนี้1. ในกรณีที่ใช้สิทธิประกันชีวิตแบบทั่วไปยังไม่ถึง 100,000 บาท สามารถใช้สิทธิประกันแบบบำนาญให้ครอบคลุมทั้งประกันชีวิตแบบทั่วไปและประกันชีวิตแบบบำนาญรวมกันได้สูงสุดถึง 300,000 บาท2. ค่าลดหย่อนเบี้ยประกันแบบบำนาญ เมื่อนำไปรวมกับกองทุน SSF, กองทุน RMF, กบข./กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ/กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน, กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท • ประกันสุขภาพเบี้ยประกันสุขภาพตนเองสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 25,000 บาท แต่เมื่อนำมารวมกับประกันชีวิตแบบทั่วไปนอกเหนือจากแบบบำนาญแล้วลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท2. มีปัญหาด้านสุขภาพสามารถทำประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพได้ไหม หลายๆท่านมีข้อสงสัยว่าถ้ามีปัญหาด้านสุขภาพ, มีโรคประจำตัว หรือเคยผ่าตัดมาก่อน จะสามารถทำประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพได้ไหม ถ้าได้จะมีเงื่อนไขอะไรบ้าง โดยแบ่งเป็นประกันชีวิตและประกันสุขภาพตามรายละเอียดดังนี้ประกันชีวิตถ้ามีปัญหาด้านสุขภาพ, มีโรคประจำตัว หรือเคยผ่าตัดมาก่อน บริษัทประกันจะมีหลักการพิจารณา 3 ข้อพิจารณาโดยฝ่ายพิจารณาการรับประกันของแต่ละบริษัท ดังนี้– รับทำประกันชีวิตโดยชำระเบี้ยตามอัตราปกติในกรณีที่บริษัทประกันพิจารณาแล้วว่าโรคที่เราเป็นหรือเคยเป็น ไม่มีผลกับความเสี่ยงในการเสียชีวิตของเราที่เพิ่มขึ้น เช่นเคยผ่าตัดมาหลายปีและหายเป็นปกติแล้วบริษัทจะพิจารณาว่าเราเป็นบุคคลที่ไม่มีความเสี่ยงว่าจะเสียชีวิตจากปัญหาสุขภาพ ก็จะคิดเบี้ยเท่ากับอัตราปกติ– รับทำประกันชีวิตโดยชำระเบี้ยเพิ่มจากอัตราปกติในกรณีที่บริษัทประกันพิจารณาแล้วว่าปัญหาด้านสุขภาพของเรา, โรคที่เราเป็นหรือเคยเป็น มีผลกับความเสี่ยงในการเสียชีวิตของเราที่เพิ่มขึ้น เช่น มีน้ำหนักมากหรือน้อยกว่ามาตรฐานที่กำหนด บริษัทจะพิจารณาว่าเราเป็นบุคคลที่มีความเสี่ยงว่าจะเสียชีวิตจากปัญหาสุขภาพ ก็อาจจะรับทำประกันแต่พิจารณาเพิ่มเบี้ยจากอัตราปกติ-ไม่รับทำประกันชีวิตในกรณีที่บริษัทประกันพิจารณาแล้วว่าปัญหาด้านสุขภาพของเรา, โรคที่เราเป็นหรือเคยเป็น มีผลกับความเสี่ยงในการเสียชีวิตของเราแบบมีความเสี่ยงสูงเช่น ทำประกันชีวิตเมื่อทราบว่าเป็นโรคมะเร็ง บริษัทจะพิจารณาไม่รับทำประกันชีวิตเลย ประกันสุขภาพ– รับทำประกันสุขภาพโดยชำระเบี้ยตามอัตราปกติในกรณีที่บริษัทประกันพิจารณาแล้วว่าสุขภาพของเราปัจจุบันไม่มีความเสี่ยงเป็นโรคแล้ว บริษัทจะพิจารณาว่าเราเป็นบุคคลที่สุขภาพแข็งแรง ก็จะคิดเบี้ยเท่ากับอัตราปกติ– รับทำประกันสุขภาพโดยชำระเบี้ยเพิ่มจากอัตราปกติในกรณีที่บริษัทประกันพิจารณาแล้วว่าสุขภาพของเราปัจจุบันมีความเสี่ยงเป็นโรค เช่น มีนำหนักมากกว่าหรือน้อยกว่ามาตรฐาน บริษัทจะพิจารณาว่าเราเป็นบุคคลที่อาจจะมีความเสี่ยงที่จะมีปัญหาด้านสุขภาพมากกว่าคนปกติ ก็อาจจะรับทำประกันสุขภาพแต่จะพิจารณาเพิ่มเบี้ยจากอัตราปกติ– รับทำประกันสุขภาพโดยยกเว้นโรคที่เป็นอยู่หรือเคยเป็นในกรณีที่บริษัทประกันพิจารณาหรือมีการตรวจสุขภาพแล้วพบว่าสุขภาพของเราปัจจุบันมีโรคประจำตัวหรือเคยมีประวัติการรักษา ทางบริษัทประกันอาจพิจารณารับประกันสุขภาพแต่ยกเว้นไม่คุ้มครองโรคที่เป็นอยู่หรือเคยมีประวัติการรักษาและในบางกรณีอาจมีเพิ่มเบี้ยประกันจากปกติด้วย– ไม่รับทำประกันสุขภาพในกรณีที่บริษัทประกันพิจารณาหรือมีการตรวจสุขภาพแล้วพบว่าว่าสุขภาพของเราปัจจุบันมีโรคประจำตัวหรือเคยมีประวัติการรักษาที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคสูง ทางบริษัทประกันอาจพิจารณาไม่รับทำประกันสุขภาพเลยก็ได้3. ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ต่างจากการฝากเงินในธนาคารไหม อะไรดีกว่ากันหลายๆท่านเวลาไปธนาคารหรือเวลาคุยกับตัวแทนอาจจะเคยโดนชักชวนให้ทำประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ โดยมีคำโฆษณาว่าออมเงินไว้กับเราได้ผลตอบแทนมากกว่าธนาคารนะ ลดหย่อนภาษีได้ด้วย จึงเกิดคำถามว่าประกันแบบสะสมทรัพย์ดีกว่าฝากเงินในธนาคารจริงหรือ คำตอบคือ ไม่มีอะไรดีกว่ากัน เพียงแต่เราจะใช้วางแผนการเงินในเรื่องใดเท่านั้นเอง แต่ละอย่างมีข้อดีข้อเสียต่างๆกันไป ดังนี้ • ฝากเงินในธนาคารข้อดีสภาพคล่องสูง ในกรณีถ้าเราต้องการใช้เงินด่วนเราสามารถถอนออกมาได้เลยข้อเสียดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนน้อย, ลดหย่อนภาษีไม่ได้, ผลตอบแทนที่เป็นดอกเบี้ยต้องเสียภาษี, ไม่มีความคุ้มครองชีวิต • ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ข้อดีผลตอบแทนเมื่อครบระยะสัญญาสูงกว่าฝากเงิน, ลดหย่อนภาษีได้, ผลตอบแทนไม่ต้องเสียภาษี, มีความคุ้มครองชีวิตข้อเสียสภาพคล่องต่ำ ถ้าเรามีความจำเป็นต้องใช้เงินก่อนครบสัญญาต้องรอเวลาเวนคืนกรมธรรม์ 1-2 สัปดาห์กว่าจะได้เงินและอาจขาดทุนเงินต้นได้โดยสรุปคือ เงินฝากเหมาะสำหรับใช้วางแผนการเงินระยะสั้น (ไม่ถึง 1 ปี) เช่นเก็บเงินไปเที่ยวต่างประเทศปีหน้า หรือใช้เป็นเงินสำรองฉุกเฉินโดยทั่วไปควรมีสำรองไว้ใช้จ่ายในการดำรงชีวิต 3-6 เดือน เผื่อไว้ในกรณีที่เราขาดรายได้เช่นโดนออกจากงานกะทันหัน เวลา 3-6 เดือนจะเป็นเวลาที่เราสามารถหางานใหม่หรือหาช่องทางรายได้ใหม่ๆได้ ในขณะที่ประกันแบบสะสมทรัพย์เป็นการฝึกการออมของเราโดยต้องส่งเบี้ยทุกปีจนครบสัญญาแถมมีความคุ้มครอง เหมาะสำหรับการวางแผนการเงินระยะยาว (อย่างน้อยเท่ากับระยะเวลาคุ้มครอง)ดังนั้นเราควรแบ่งเงินสดไว้ใช้ในยามฉุกเฉินและวางแผนการเงินระยะสั้นก่อน จากนั้นถ้ามีเงินเหลือและเราประเมินตัวเองแล้วว่าเราสามารถจ่ายเบี้ยประกันได้ทุกปีก็สามารถแบ่งเงินมาทำประกันสะสมทรัพย์ได้4. ยกเลิกประกันชีวิตก่อนครบสัญญาได้ไหมการยกเลิกสัญญาประกันชีวิตก่อนครบสัญญาสามารถทำได้ 3 วิธีดังนี้คือ • เวนคืนกรมธรรม์โดยจะได้รับเงินก้อนตามตารางมูลค่ากรมธรรม์ ซึ่งอาจจะได้น้อยกว่าเบี้ยที่จ่ายไป แล้วสัญญาเป็นอันสิ้นสุด • การใช้มูลค่าเงินสำเร็จเป็นการหยุดจ่ายเบี้ยโดยมีความคุ้มครองตามระยะเวลาเดิมแต่ทุนประกันหรือความคุ้มครองลดลง ตามตารางมูลค่ากรมธรรม์ • การใช้การขยายระยะเวลาเป็นการหยุดจ่ายเบี้ยโดยมีทุนประกันหรือความคุ้มครองเท่าเดิมแต่ระยะเวลาความคุ้มครองลดลง ตามตารางมูลค่ากรมธรรม์โดยสรุปคือไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกแบบไหนเราก็จะเสียผลประโยชน์ที่เราพึงได้จากกรมธรรม์รวมถึงอาจขาดทุนเบี้ยที่เราจ่ายไปด้วย ดังนั้นก่อนจะทำประกันทุกครั้งทุกกรมธรรม์ควรศึกษาข้อมูลและความพร้อมในการจ่ายเบี้ยให้ดีๆก่อนการตัดสินใจทำจากเรื่องน่ารู้ของประกันชีวิตทั้ง 4 ข้อดังที่กล่าวมาเป็นเรื่องที่ผู้ที่จะทำประกันทุกคนควรรู้เพื่อนำไปประกอบการตัดสินใจเป็นข้อมูลเพิ่มเติมในการเลือกซื้อประกันชีวิตได้ ก่อนการซื้อประกันทุกครั้งควรศึกษาข้อมูลให้ดีเพื่อที่จะให้ประกันชีวิตทุกกรมธรรม์ที่เราซื้อตอบโจทย์ความต้องการและแผนทางการเงินของเราได้แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับnoonhttps://www.noon.in.th/blog/4-fact-about-life-insurance/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
หลายคนกำลังได้ยินถึงกลุ่มคนวัย “เดอะ แบก” ซึ่งคือกลุ่มคน Gen Y หรือกลุ่มมิลเลนเนียล ที่มีช่วงอายุระหว่าง 26-40 ปี หรืออาจมากกว่านั้น เป็นกลุ่มประชากรที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนทุกมิติของสังคม เพราะอยู่ในวัยทำงาน มีครอบครัว ซึ่งต้องแบกรับภาระหน้าที่และความรับผิดชอบในด้านต่าง ๆ เป็นกลุ่มคนที่อยู่ตรงกลางระหว่างเจนเนอเรชั่นของพ่อแม่และเจนเนอเรชั่นของลูกและคนรุ่นใหม่ เชื่อว่าผู้อ่านหลายคนคงสงสัยว่าพวกเขา (หรือพวกเรา) แบกอะไรเอาไว้หนักหนาภายใต้บทบาทของการเป็น “เดอะแบก” โพลเผย “แบกครอบครัว” ไว้หนักสุด ผลสำรวจความคิดเห็นมหาชนออนไลน์บนโพล LINE TODAY* ในหัวข้อ “คนวัยเดอะแบก วัยที่ต้องแบกรับภาระรอบตัว คุณกำลังกังวลและแบกอะไรเอาไว้หนักที่สุด?” พบว่า อันดับหนึ่ง 30.17% แบกการเป็นเสาหลักของบ้านที่ต้องดูแลครอบครัว รองลงมา 21.23% แบกความกลัวที่ใช้ชีวิตได้ไม่เต็มที่แถมเงินไม่พอ และ 15.64% แบกภาระหนี้สินอันหนักอึ้ง ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนชัดถึงความรับผิดชอบของคนวัยเดอะแบก นอกจากนี้ยังกังวลเรื่องการเติบโตในหน้าที่การงาน ความคาดหวังจากคนรอบข้าง ความสัมพันธ์เพื่อนและคนรัก สามารถเชื่อมโยงไปอีกผลสำรวจจาก The American Institute of Stress ในปี 2565 ที่เผยว่าเป็น 76% ของกลุ่มคนวัยทำงานออกมายอมรับว่าความเครียดจากการทำงานส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ส่วนตัวภาระรอบด้าน แต่ก็ไม่ทิ้งความสัมพันธ์รอบตัว ขณะเดียวกันคนวัย “เดอะแบก” ในวันนี้กำลังให้ความสำคัญในเรื่องการสื่อสาร เพื่อรักษาสัมพันธ์กับคนในครอบครัวและเพื่อนฝูง จากข้อมูลสถิติการใช้โซเชียลมีเดียของ TrueList ระบุว่า Gen Y กว่า 61% ใช้แอปสื่อสารและโซเชียลมีเดียเพื่อติดต่อสื่อสารกับสมาชิกในครอบครัวและเพื่อน โดยในปีที่ผ่านมามีการใช้งานเพิ่มขึ้นกว่า 63% และมีการคาดการณ์ว่าอีกสามปีข้างหน้าจะเติบโตขึ้นอีกกว่า 46% และนอกจากนี้ Gen Y กว่า 72% ยังมองว่าแอปสื่อสารและโซเชียลมีเดียมีส่วนสำคัญมากในชีวิต เป็นสัดส่วนที่มากที่สุดเมื่อเทียบกับคนในวัยอื่น ๆ สะท้อนอีกนัยหนึ่งให้เห็นถึงความพยายามในการเชื่อมต่อกับสังคมและกระชับความสัมพันธ์กับผู้คนขณะที่ต้องแบกรับภาระต่าง ๆ ในชีวิตจนความสัมพันธ์ในโลกออฟไลน์ต้องห่างเหินกัน วัยเดอะแบกกับสิ่งที่มองหาเพื่อสร้างสมดุลให้กับชีวิต อาจไม่ใช่แค่ความก้าวหน้าและความมั่นคงเพียงอย่างเดียวที่เดอะแบกกำลังมองหา ขณะเดียวกันก็ยังมองหาความสมดุลที่เกิดจาก ความยืดหยุ่น การเรียนรู้ที่จะยอมผ่อนปรนเมื่อตัวเองกำลังตึงเครียดมากเกินไป ซึ่งเกิดขึ้นได้จากตัวเองและสิ่งแวดล้อมก่อนจะกระทบกับเรื่องอื่นในชีวิต การสนับสนุน ไม่มีอะไรดีไปกว่าความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจจากครอบครัวและคนใกล้ชิด ซึ่งจะทำให้การแบกที่ว่าหนักนั้นเบาลงได้ และการสื่อสาร ที่สม่ำเสมอไม่ว่าจะเป็นจากเดอะแบกไปยังคนรอบตัวหรือคนรอบตัวไปยังเดอะแบกเพื่อลดความห่างเหินที่อาจจะนำไปสู่ช่องว่างในความสัมพันธ์และยังสามารถกระชับความสัมพันธ์อีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างสมดุลให้เดอะแบกไม่รู้สึกว่ากำลังแบกหนักเกินไป *ผลสำรวจบนโพล LINE TODAY จากจำนวนผู้ร่วมโหวต 179 คน แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับโพสต์ workpointtoday http://https//workpointtoday.com/gen-y-bear-the-burden/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/05/2023
กรุงเทพฯ, 30 พฤษภาคม 2566 - เอไอเอ ประเทศไทย มอบรางวัลผู้ชนะจากกิจกรรม “Share your precious memory with AIA” ชวนทุกคนร่วมแชร์ความประทับใจที่ได้รับจากเอไอเอ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “85 ปี เอไอเอ ประเทศไทย ดูแลคุณและคนที่คุณรักตลอดไป” รวมมูลค่ารางวัลทั้งสิ้นกว่า 472,000 บาท อาทิ ทองคำหนัก 2 สลึง มูลค่า 15,500 บาท* จำนวน 10 รางวัล บัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์จากสเวนเซ่นส์ มูลค่า 500 บาท จำนวน 100 รางวัล และ มูลค่า 300 บาท อีก 890 รางวัล โดยได้รับเกียรติจาก นายเอกรัตน์ ฐิติมั่น (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด เอไอเอ ประเทศไทย และนางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ เอไอเอ ประเทศไทย เป็นตัวแทนในการมอบรางวัล แก่ผู้ชนะเลิศที่มีเรื่องราวโดนใจคณะกรรมการมากที่สุด ซึ่งได้รับรางวัลเป็นทองคำหนัก 2 สลึง จำนวน 10 รางวัล ณ เอไอเอ ประเทศไทย สำนักงานใหญ่ นายเอกรัตน์ ฐิติมั่น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “ในนามของเอไอเอ ประเทศไทย ขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ร่วมสนุกกับกิจกรรมในครั้งนี้ ซึ่งกิจกรรมที่เราจัดขึ้นนั้นนอกจากจะเป็นการเฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 85 ปี ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของชาวเอไอเอ ที่ได้ดูแลคนไทยมากว่า 8 ทศวรรษ ยังถือเป็นการแทนคำขอบคุณทุกท่านที่ไว้วางใจและมอบความเชื่อมั่นให้เอไอเอดูแลชีวิตและสุขภาพ ซึ่งนับเป็นเป้าหมายสำคัญของเราที่ต้องการสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น รวมทั้งพร้อมอยู่เคียงข้างและดูแลทุกคนเสมือนเป็นคนในครอบครัว ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives - เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’ หมายเหตุ: *ทองคำหนัก 2 สลึง มูลค่าประมาณ 15,500 บาท ผู้ที่ได้รับรางวัลจะต้องเป็นผู้ชำระภาษีหัก ณ ที่จ่าย 5% ของมูลค่าของรางวัลเป็นเงินประมาณ 775 บาท (คำนวณจากราคาทองคำ ณ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 ทั้งนี้ ราคาทองคำอาจมีการปรับเปลี่ยนขึ้นอยู่กับราคาตลาด ณ วันที่ซื้อ) **คำตัดสินของคณะกรรมการถือเป็นที่สิ้นสุด
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/04/2024
เอไอเอ ประเทศไทย นำทัพนักเตะลัดฟ้าคว้าชัยชนะรอบชิงชนะเลิศในรายการ ‘เอไอเอ แชมป์เปี้ยนชิพ 2023’ (AIA Championship 2023) ณ สนามฝึกซ้อม สโมสรฟุตบอลท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งจัดแข่งเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2023 ที่ผ่านมา โดยสามารถคว้าแชมป์มาครองได้ทั้งประเภททีมฟุตบอลชาย ได้แก่ ทีม Forward United ซึ่งเป็นการฟอร์มทีมพลังตัวแทนเอไอเอ ประเทศไทย และสามารถคว้าแชมป์เป็นสมัยที่ 2 มาครองได้สำเร็จ พร้อมรางวัล Man of the Match ด้านทีมฟุตบอลหญิง ได้แก่ ทีมสมาคมฟุตบอลจังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นการฟอร์มทีมจากพันธมิตรของเอไอเอ โดยสามารถคว้าชัยระดับนานาชาติได้เป็นครั้งแรก พร้อมรางวัล Women of the Match อีกทั้งยังทำลายสถิติในการทำประตูได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ รวมทั้งสิ้นถึง 29 ลูก ถือเป็นการ Break the Record ยิงประตูได้สูงสุด 8 ลูกต่อ 1 เกม โดยความสำเร็จในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรง ความมุมานะ และความสามัคคีของทัพนักฟุตบอลไทย ซึ่งเอไอเอ พร้อมสนับสนุนทุกโอกาส เพื่อให้เหล่านักเตะได้พัฒนาศักยภาพ และความสามารถด้านกีฬาในระดับโลกต่อไปทั้งนี้ ‘เอไอเอ แชมป์เปี้ยนชิพ 2023’ (AIA Championship 2023) เป็นการแข่งขันฟุตบอลระดับภูมิภาคที่จัดในกลุ่มบริษัทเอไอเอ โดยมีทีมฟุตบอลจากประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง อินโดนีเซีย เกาหลี เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย เข้าร่วมการแข่งขัน เพื่อมุ่งสร้างแรงบันดาลใจในการเริ่มต้นดูแลสุขภาพ พร้อมส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดี ตอกย้ำคำมั่นสัญญาของเอไอเอ “Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น”
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
คอลัมน์ : แบงก์ชาติชวนคุย ผู้เขียน : ชญาวดี ชัยอนันต์ โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย สวัสดีผู้อ่านทุกท่านค่ะ เชื่อว่าผู้อ่านทุกท่านอาจเคยเป็นหนี้หรือกำลังเป็นหนี้อยู่ ถ้ามีคนไทยเดินมา 3 คน อย่างน้อย 1 ใน 3 คนนี้จะมีหนี้ และกว่าครึ่งหนึ่งของคนกลุ่มนี้มีหนี้มากกว่า 1 แสนบาท โดยข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้ว่า ตั้งแต่ปี 2563 หนี้ครัวเรือนของไทยมีสัดส่วนต่อจีดีพีสูงกว่า 80% มาต่อเนื่อง โดยในปี 2565 มีสัดส่วนถึง 87% เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนโควิด-19 ถึง 7% สะท้อนว่ารายได้ทั้งหมดของประเทศ จะเหลือสำหรับใช้จ่ายน้อยลง เพราะต้องรับภาระหนี้สูงขึ้น และอาจกระทบกับความมั่นคงทางการเงินของครัวเรือนไทยจำนวนมาก แต่ตัวเลขหนี้ที่เราพูดถึงกันอยู่ เป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็งที่โผล่พ้นน้ำมาเท่านั้น สิ่งที่อยู่ใต้ผิวน้ำขนาดจะใหญ่กว่าหลายเท่า เพราะส่วนใหญ่จะเป็น “หนี้นอกระบบ” ที่อยากชวนคุยวันนี้ค่ะ ขึ้นชื่อว่า “หนี้นอกระบบ” หลายคนคงนึกถึงแก๊งทวงหนี้สุดโหดที่เคยเห็นจากในหนัง แต่ที่จริงหนี้นอกระบบก็คือ การกู้ยืมเงินที่ไม่ผ่านระบบสถาบันการเงิน หรือผู้ให้กู้ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเงินกู้ตามกฎหมาย จึงไม่อยู่ภายใต้การกำกับของหน่วยงานภาครัฐใด ๆ ดังนั้น แค่ขอยืมเงินจากเพื่อนก็นับเป็นหนี้นอกระบบแล้ว ซึ่งเมื่อเป็นแบบนี้ทำให้ยากที่จะเห็นข้อมูลหนี้นอกระบบ เช่น ผู้ให้กู้เป็นใคร มีจำนวนมากแค่ไหน และแหล่งของเงินที่ให้กู้มาจากที่ใด (ขาว หรือ เทา ๆ) จากการศึกษาของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ในปี 2565 พบว่า มากกว่า 40% ของครัวเรือนที่ไปสำรวจมีหนี้นอกระบบ โดยส่วนใหญ่กู้จากนายทุนทั้งในและนอกพื้นที่จังหวัดที่สำรวจ กลุ่มเป้าหมายของเจ้าหนี้นอกระบบคือใครบ้าง ? แล้วทำไมจึงได้รับความนิยม ? คนคิดโฆษณาให้กู้หนี้นอกระบบ มักใช้คำได้ตรงใจกลุ่มลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น “เงินด่วน” “ได้เงินไว” “ไม่ตรวจประวัติ” “ไม่ต้องยื่นเอกสาร” ซึ่งคีย์เวิร์ดเหล่านี้ตอบโจทย์ผู้กู้กลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่ต้องการใช้เงินเร่งด่วน เช่น ค่ารักษาพยาบาล นำไปลงทุนประกอบอาชีพ ต้องการเงินไม่มากเพื่อนำไปหมุนช่วงสั้น ๆ จึงไม่อยากเสียเวลาเตรียมเอกสาร กลุ่มที่มีข้อจำกัดในการกู้เงินจากผู้ให้บริการในระบบ เช่น ไม่มีงานประจำ จึงทำให้ไม่มีข้อมูลประวัติทางการเงินอย่างกลุ่มฟรีแลนซ์และพ่อค้าแม่ค้า หรือเคยเป็นหนี้เสียมาก่อน รวมถึงกลุ่มที่กู้ในระบบจนเต็มวงเงินแล้ว ซึ่งกลุ่มเหล่านี้หลายครั้งก็มีความจำเป็นจริง ๆ แต่อยากให้ลองมาดูความเสี่ยงที่มักเห็นกันสำหรับการกู้หนี้นอกระบบ เพื่อให้บริหารจัดการได้ดีขึ้น หากต้องกลายเป็นลูกหนี้นอกระบบขึ้นมา “ดอกเบี้ยแอบแฝง” โฆษณาชักชวนอาจบอกว่าดอกเบี้ยต่ำเพียง 1% ซึ่งจริง ๆ แล้ว เป็นดอกเบี้ยแบบคงที่ “รายวัน” ซึ่งคิดแล้วจะเท่ากับ 365% ต่อปี สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในระบบที่เพดานอยู่ไม่เกิน 33% ต่อปี แถมในระบบส่วนใหญ่ยังเป็นอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกด้วย หากเจอดอกเบี้ยแอบแฝงแบบนี้ ลูกหนี้อาจจ่ายได้แค่ดอกเบี้ย ขณะที่เงินต้นไม่ลดลงเลย เพราะดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายจริงในแต่ละปีสูงมากกว่าเงินต้นด้วยซ้ำ แถมบางแห่งยังคิดดอกเบี้ยแบบ “ดอกลอย” ที่แสนอันตรายและยิ่งซ้ำเติมลูกหนี้มากขึ้นไปอีก เพราะการกู้แบบนี้ลูกหนี้จะปิดหนี้ได้ก็ต่อเมื่อมีเงินต้นมาจ่ายคืนทั้งจำนวนในครั้งเดียว ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ยาก ทำให้ต้องจ่ายแต่ดอกเบี้ยไปเรื่อย ๆ “สัญญาที่ไม่ชัดเจนและอาจไม่เป็นธรรม” เพราะไม่มีหน่วยงานกำกับดูแล การเจรจาต่อรองเพื่อประนีประนอมก็ทำได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีความเสี่ยงที่จะถูกทวงหนี้โหด ข่มขู่ หรือถูกทำร้ายร่างกาย ซึ่งแม้ลูกหนี้จะได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 แต่เราคงไม่อยากพบ “ติดกับดักหนี้ไม่จบสิ้นจากการกู้หนี้มาโปะหนี้” เมื่อดอกเบี้ยสูงและสัญญาไม่เป็นธรรม ลูกหนี้หลายรายที่จ่ายไม่ไหวจนเกิดการผิดนัดชำระหนี้ จึงใช้วิธีกู้หนี้ใหม่จากเจ้าหนี้อีกรายเพื่อเอาไปจ่ายหนี้เดิม วนไปแบบนี้จนทำให้หนี้สินล้นพ้นตัว และติดอยู่ในวงจรของหนี้นอกระบบแบบหาทางออกไม่ได้ ถ้าจำเป็นต้องกู้หนี้นอกระบบจริง ๆ ควรทำอย่างไร ? อย่างแรก คือ หากู้จากคนรู้จักก่อน เช่น เพื่อน ญาติ ที่พร้อม เพื่อให้เจรจาง่ายขึ้น สอง คือ เทียบดอกเบี้ยระหว่างเจ้าหนี้แต่ละรายให้ได้ต่ำที่สุด สาม คือ กู้ในจำนวนเงินที่จำเป็นต้องใช้จริง ๆ เท่านั้น ให้นึกอยู่เสมอว่าหนี้นอกระบบแพงมาก และเมื่อกู้แล้วควร “ปิดหนี้ให้ไวที่สุด” ก่อนอื่นเอาหนี้ทุกก้อนมาดู หนี้ก้อนไหนใกล้หมด ปิดจบก้อนนั้นก่อน เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ ก้อนไหนดอกเบี้ยสูง ลองหาทางที่จะลดดอกเบี้ย ไม่ว่าจะเป็นเจรจากับเจ้าหนี้หรือกู้เงินจากแหล่งที่ดอกเบี้ยต่ำกว่ามาปิดหนี้ ถ้ากู้จากสถาบันการเงินได้ จะได้สัญญาที่เป็นธรรมขึ้นด้วย ซึ่งสถาบันการเงินหลายแห่งเริ่มให้บริการนี้ เพื่อช่วยให้ลูกหนี้กลับเข้ามาอยู่ในระบบ ผู้สนใจลอง โทร.มาสอบถามที่ ธปท. โทร.1213 หรือหากต้องการขอคำปรึกษา หรือร้องเรียนเรื่องหนี้นอกระบบ ก็สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (กระทรวงการคลัง) โทร.1359 หรือศูนย์ดำรงธรรม (กระทรวงมหาดไทย) โทร.1567 ที่สำคัญต้องพยายามลดรายจ่าย หารายได้เพิ่มเติม หรือตัดใจขายทรัพย์สินที่ไม่ได้ใช้ เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ และไม่ต้องกลับไปกู้ใหม่ เพื่อให้หลุดจากวงจรหนี้นอกระบบได้อย่างยั่งยืน สุดท้าย “วินัยทางการเงิน” เป็นหัวใจสำคัญ ต้องวางแผนการใช้จ่าย และออมเงินไว้เพื่อให้พร้อมรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เพราะ สมการการเงินที่ถูกต้องคือ รายได้-เงินออม=รายจ่าย การมี “อิสรภาพทางการเงิน” จึงไม่ได้แปลว่าต้องรวยล้นฟ้า แต่มีอิสระที่จะใช้จ่ายเงินที่เราหามา เก็บออม ลงทุน โดยไม่ต้องมีพันธนาการจากหนี้สินใด ๆ การไม่มีหนี้ ก็นับเป็นลาภอันประเสริฐเช่นกันค่ะ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์ http://https//www.prachachat.net/finance/news-1296342
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
30/04/2024
30/04/2024
07/08/2024
30/04/2024
30/04/2024