Everyday knowledge for you
ประกันภัย
30/04/2024
กองทุนประกันวินาศภัย ชงแผนล้างหนี้บริษัทประกันเจ๊งโควิดถูกเพิกถอนใบอนุญาต เดินหน้าเสนอคลังกู้เงิน 20,000 ล้านบาท พร้อมออกบอนด์ขายบริษัทประกันอีก 30,000 ล้าน จับตาแผนฟื้นฟู “สินมั่นคงฯ” หวั่นกองทุนแบกภาระเพิ่มนายชนะพล มหาวงษ์ ผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัย (กปว.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ความคืบหน้าการจัดหาเงินกู้ของกองทุนประกันวินาศภัย เพื่อนำเงินมาชำระให้แก่เจ้าหนี้บริษัทประกันวินาศภัยที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตจากผลกระทบเคลมประกันภัยโควิด-19ซึ่งปัจจุบันมีมูลหนี้อยู่กว่า 50,000 ล้านบาทนั้น ภายในเดือน พ.ค. 2566 นี้ คณะทำงานของกองทุนจะมีการหารือร่วมกันเกี่ยวกับเรื่องแผนจัดหาเงินกู้ จากนั้นในเดือน มิ.ย. คณะทำงานจะยกทีมนำแผนจัดหาเงินกู้ไปประชุมร่วมกับสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.)และในเดือน ก.ค. จะมีการประชุมอนุกรรมการจัดหาเงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่องของกองทุน จากนั้นในเดือน ส.ค. กองทุนจะเสนอแผนจัดหาเงินกู้ต่อ สบน. เพื่อให้ สบน.ทำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยตั้งกรอบวงเงินการกู้ไว้ประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อเตรียมชำระหนี้ ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไปส่วนมูลหนี้ที่เหลืออีก 20,000-30,000 ล้านบาท กองทุนมีแนวคิดจะออกตราสารหนี้ (บอนด์) เพื่อให้บริษัทประกันภัยมาช่วยซื้อ โดยสามารถนำเอาตราสารหนี้ไปดำรงเป็นเงินกองทุนของบริษัทได้ ซึ่งตามกฎระเบียบเปิดช่องให้กองทุน สามารถดำเนินการได้ แต่กระบวนการอาจไม่ง่าย เพราะมีหลายหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งมีเวลา 2-3 ปีหลังกู้เงินแล้ว จะดำเนินการตรงส่วนนี้ต่อเนื่องได้ทั้งนี้ มีปัจจัยที่อาจทำให้เกิดความผันแปร คือ ความไม่แน่ใจว่าหลังการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่แล้ว รัฐบาลจะเห็นความสำคัญและเข้ามาแทรกแซงแค่ไหน และกรณีบริษัทสินมั่นคงประกันภัย ที่มีโอกาสจะถูกเพิกถอนใบอนุญาตในอนาคต แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไร อย่างไรก็ดี หากเกิดขึ้น จะทำให้มูลหนี้ของกองทุนเพิ่มขึ้นอีกกว่า 40,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว มีเจ้าหนี้เพิ่มอีก 4-5 แสนราย“ตอนนี้รัฐบาลไม่มีงบฯมาสนับสนุน ดังนั้นการช่วยเหลือตัวเองของกองทุน คือ มีเงินสมทบเข้ากองทุนปีละ 600-700 ล้านบาท ทำให้การกู้เงินคงทำไม่ได้มาก ตามความสามารถในการชำระ ดังนั้นจะมีการกู้เงินบางส่วน และออกตราสารหนี้บางส่วน แต่ถ้าบริษัทสินมั่นคงประกันภัยล้มอีก ยังไม่รู้ว่ารัฐบาลจะเอายังไง อย่างไรก็ดี กองทุนเองก็พยายามจะให้มีเม็ดเงินมาชำระหนี้ในปีต่อๆ ไป”ชนะพล มหาวงษ์ผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัยกล่าวอีกว่า สำหรับในช่วง 4 เดือนแรกปี 2566 กองทุนได้อนุมัติจ่ายหนี้ไปแล้ว 2,000 ล้านบาท เหลือเงินสภาพคล่องอยู่ประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท พยายามพยุงให้ถึงสิ้นปีนี้ โดยขณะนี้กองทุนมีศักยภาพทยอยจ่ายหนี้ให้กับเจ้าหนี้ได้ประมาณ 400-500 ล้านบาทต่อเดือน หรือจำนวนเจ้าหนี้ราว 6,000-7,000 รายต่อเดือน ซึ่งจะใช้เงินอยู่ประมาณ 5,000 ล้านบาทต่อปี จึงอาจทยอยกู้ปีละ 5,000 ล้านบาท เพราะอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างสูง เนื่องจากรัฐบาลไม่ค้ำประกันนอกจากนี้ ต้องรอการพิจารณาของคณะกรรมการ คปภ. ในการอนุมัติเพิ่มเงินสมทบเข้ากองทุนเต็มเพดานที่ 0.5% จากเดิม 0.25% จากเบี้ยประกันที่บริษัทได้รับ ซึ่งเรื่องนี้ได้เสนอไปตั้งแต่ปลายปี 2565 แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีการอนุมัติ ซึ่งหากอนุมัติปรับเพิ่มเงินสมทบเข้ากองทุนจะขยับมาอยู่ที่ปีละ 1,300-1,400 ล้านบาทนายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กรณีที่บอร์ด คปภ.ยังไม่อนุมัติปรับเพิ่มเงินสมทบให้กับกองทุนประกันวินาศภัยอีก 0.25% เป็นเต็มเพดาน 0.5% นั้น เนื่องจากขณะนี้สำนักงาน คปภ. มีข้อเสนอจะเข้าไปช่วย โดยการให้เงินกู้กับกองทุน ซึ่งกำลังพิจารณาเงื่อนไขต่าง ๆ อยู่นอกจากนี้ ยังกำลังพิจารณาลดเงินสมทบเข้าบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด ให้ประมาณ 2 ปี ซึ่งยาวขึ้นจากข้อเสนอของภาคธุรกิจที่ให้ลด 1 ปี เพื่อให้ภาคธุรกิจนำส่วนลดตรงนี้ นำส่งเป็นเงินสมทบให้กองทุนได้ อย่างไรก็ดี ส่วนนี้จะไม่เกิน 0.25% ซึ่งยอมรับว่า ยังไม่เพียงพอ ฉะนั้น ในระยะยาวอาจจะต้องแก้พระราชบัญญัติประกันวินาศภัย“ตอนนี้เป็นช่วงรอยต่อการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แต่ก็พยายามสั่งการให้ทำให้เร็วที่สุด” เลขาธิการ คปภ.กล่าวแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1286530
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
กู้รายวัน ส่งดอกโหด”วันละ 4 หมื่น” ถอนตัวไม่ขึ้นกู้มานานนับปี “ลั่นจะสู้ ไม่หนี” ชาวเน็ตสงสัยเรื่องจริงหรือคอนเทนต์เมื่อเวลา 13.00 น. น.ส.ปาริชาต กลั้งกลาง อายุ 40 ปี อาชีพรับเหมาก่อสร้าง เธอโพสต์คลิปอุทาหรณ์เตือนภัยคนที่อยากจะเข้ามาในวงการหนี้นอกระบบ หลังเธอไม่มีทางเลือกตัดสินใจกู้เงินรายวัน กู้มาเรื่อย ๆ นานนับปี พีกสุดต้องจ่ายดอกเบี้ยวันละ 40,000 กว่าบาท ถลำลึกถึงขั้นเกือบปลิดชีพตัวเองเพื่อหนีปัญหา โดย น.ส.ปาริชาต เปิดเผยถึงสาเหตุว่าทำไมถึงตัดสินใจกู้เงินนอกระบบว่า จุดเริ่มต้นคือตนเองออกจากงานประจำ เพื่อออกมาช่วยงานสามี นั่นคือ รับเหมาก่อสร้าง ประกอบกับเล่นแชร์ด้วย แต่สุดท้ายบ้านแชร์ล้มเสียไปประมาณ 3 ล้านบาท ทุกอย่างพังหมด แต่ก็ต้องเดินหน้าต่อ จำเป็นต้องมีเงินหมุนเวียนธุรกิจ ต้องมีเงินจ่ายค่าจ้างช่าง ซึ่งตอนนั้นตนเองไม่กล้าจะไปหยิบยืมใคร และไม่สามารถกู้เงินในระบบได้ เนื่องจากติดแบล็คลิสต์ เครดิตบูโร กันทั้งคู่ ทำให้ตนเองตัดสินใจไปกู้เงินรายวันเพื่อเอาใช้หมุนเวียนธุรกิจ โดยไม่ได้บอกใครแม้กระทั่งสามี ไปหาแหล่งเงินกู้จากเฟซบุ๊ก เริ่มกู้ครั้งแรกตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปี 2565 ได้ยอด 20,000 บาท และมีน้องคนค้ำประกันช่วยกู้ให้อีก 20,000 บาท รวมเป็น 40,000 บาท เป็นแบบนี้มาเรื่อย ๆ ตลอด 1 ปี ช่วงไหนที่ไม่มีเงินจ่ายค่าจ้าง ไม่มีเงินจ่ายดอกเบี้ย ก็ไปกู้มาใหม่ โดยไปหาเจ้าอื่น รวมแล้วกว่า 20 เจ้า รวมยอดทั้งหมดประมาณ 8 แสนบาท ถ้าหากว่ากู้ 10,000 ดอกเบี้ย 2,000 บาท 24 วัน แต่ส่วนมากไม่ถึง 24 วัน ประมาณ 14 วันก็ไปขอเขาตัดยอด เอายอดที่ตนเองส่งมาใช้ เขาก็จะนับ 1 ใหม่ และคิดดอกเบี้ยใหม่ ส่วนประเด็นที่มีชาวเน็ตเข้าไปเข้าเมนต์ว่า จ่ายดอกเบี้ยวัน 40,000 บาท เป็นคอนเทนต์นั้น น.ส.ปาริชาต กล่าวว่า เรื่องจริง ไม่ใช่คอนเทนต์แน่นอน มาที่โคราชได้เลย เนื่องจากพอน้องคนที่ช่วยค้ำประกันเริ่มตัน ตนเองจึงไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนอีกคนหนึ่งให้กู้ให้ตนเองอีก จากนั้นตนเองก็เป็นคนส่งยอดทั้งหมดเอง เพราะไม่อยากให้ใครต้องเดือดร้อนเพราะตนเอง ไม่อยากทิ้งภาระไว้ให้คนข้างหลังรับผิดชอบแทนตนเอง ทำไม่ได้จริง ๆส่วนด้านความสัมพันธ์กับสามี นางสาวปาริชาต กล่าวว่า ตอนนี้ไม่ได้คุยกันแล้ว เขาคงถึงที่สุดของเขา ไม่สามารถช่วยเราได้เหมือนกัน เนื่องจากตัวสามีเองก็มีลูกติด ซึ่งตอนนี้ตนเองก็เหมือนไปเป็นภาระของเขา ไปฉุดให้เขาล้มลงไปกับตนเองด้วย ซึ่งตนเองก็เข้าใจ เพราะก็ไม่มีใครรู้ว่าจะต้องเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ และต้องหาอีกเท่าไหร่ถึงจะปิดยอดได้ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้คิดสั้นและสั่งลาพ่อแม่ไว้เรียบร้อย แต่ก็อยากลงคลิปเพื่อเตือนใจทุกคนว่าอย่าเข้ามาในวงการนี้ อย่าถลำลึก หยุดได้หยุด แต่หลังจากลงคลิปไป คุณพ่อก็โทรมาเตือนสติว่าให้คิดดี ๆ ให้นึกถึงตัว ถ้ายังอยู่ก็ยังมีทางออกพร้อมกับบอกหลังจากโพสต์คลิปดังกล่าวไป และได้รับคุยกับคุณพ่อคุณแม่ก็มีกำลังใจมากขึ้น ประกอบกับมีคนมาคอมเมนต์ให้กำลัง ช่วยแนะทางออกให้ แต่ก็มีบางคนที่ซ้ำเติมว่า “ก็ทำตัวเองทั้งนั้น” ซึ่งตนเองเข้าใจทุกมุมมอง และกลับมาคิดกับตัวเองได้ว่า หากว่าตนเองสู้ต่อ จะสามารถช่วยเป็นแนวทางให้กับคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับตนเอง มาหาทางออกมันน่าจะเกิดประโยชน์มากกว่า และสามารถช่วยใครหลาย ๆ ได้ ตอนนี้ตนเองตัดสินใจว่าจะสู้ ไม่หนี และนำคำแนะนำของทุกคนมาปรับใช้ ซึ่งจากที่ตนเองศึกษาดูพบว่ามีหลายคนที่สามารถปิดยอดได้ แต่ร้อยละ 90 หนีทั้งนั้น และไม่คิดว่าจะมีคนกู้นอกระบบเยอะขนาดนี้ เพราะหลังจากที่โพสต์คลิปลงไปมีคนเข้ามาทักปรึกษากันเยอะมาก จนถึงต้องตั้งกลุ่มเอาไว้พูดคุยกัน และเชื่อว่าคนไทยน่าจะติดแบล็กลิตส์ เครดิตบูโรกันเยอะ ไม่เช่นนั้นคงไม่กู้นอกระบบกันเยอะขนาดนี้ ส่วนทางออกของปัญหาตอนนี้ ตนเองใช้วิธีการพูดคุย ซึ่งหลายเจ้าก็คุยได้ ยอมผ่อนปรนให้ และลดให้ทุกเจ้า ทั้งนี้ตนเองยังเข้าไปขอความช่วยเหลือจากศูนย์ดำรงธรรม แต่ก็ไม่ได้รับการช่วยเหลือใด ๆ มีแต่คำตอบบอกให้ทำใจ สุดท้ายนี้ น.ส.ปาริชาต ยังฝากไปถึงคนที่คิดจะก้าวเข้ามาในวงการนี้ด้วยว่า คงบอกว่า “อย่าไปกู้เลย” คงพูดไม่ได้ เพราะบางคนมันเลือกไม่ได้จริง ๆ อย่างตนเองที่ตัดสินใจกู้ก็เพราะไม่มีทางออกจริง ๆ แต่ถ้ากู้ไปแล้วอย่าให้ถึงขั้นถลำลึกจนเอาดอกมาชนดอกแบบนี้ ให้อยู่ในลิมิตที่ตัวเองไหว และถ้าสามารถหยิบยืมเพื่อนฝูงหรือญาติได้ ไปทางนั้นดีกว่า เพราะมันทรมานมาก ทุกวันนี้ไม่มีวันไหนที่นอนหลับสนิทได้สักวันเดียว ******************************************** (ขอขอบตุณเรื่องจาก ข่าวสดออนไลน์) แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับโพสต์ทูเดย์ออนไลน์https://www.tvpoolonline.com/content/2120972?fbclid=IwAR2MEVoN6CCe2tq0eOq1SVVjokI-HGnqFA39GQgIbXhVOjF_r6OKCAUTD6E
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
30/04/2024
• พบข้อมูลมีใบอนุญาตฯ แต่หมดอายุไปแล้ว ในขณะที่ประกันที่ “แอม” ขายยังไม่มีการเคลมประกันแต่อย่างใด พร้อมย้ำการเรียกร้องค่าสินไหมโดยไม่สุจริตอาจเข้าข่ายเป็นการฉ้อฉลประกันภัยมีโทษจำคุกและอาจชวดเงินประกันภัยจากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจขออำนาจศาลอาญาอนุมัติการจับกุม “นางสรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์” หรือ “แอม” ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) และจากการสืบสวนขยายผลของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่ามีผู้เสียชีวิตในลักษณะเดียวกันจำนวนหลายราย ซึ่งมีนางแอม เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยทั้งสิ้น ในขณะเดียวกัน ก็ปรากฏข่าวว่านางแอมได้รับใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิตด้วย และมีคำถามตามมาว่าการฆาตกรรมดังกล่าวเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าสินไหมประกันภัยด้วยหรือไม่ นั้นเพื่อให้ได้ความกระจ่างในเรื่องนี้ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) ได้สั่งการให้สายตรวจสอบคนกลางประกันภัย สำนักงาน คปภ. ทำการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับใบอนุญาตของนางแอม พบว่า นางแอมเคยได้รับใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิตจำนวน 4 ใบอนุญาต สังกัด 3 บริษัท ดังนี้ ใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิตของ บริษัท เอไอเอ จำกัด วันออกใบอนุญาต 3 กุมภาพันธ์ 2555 วันใบอนุญาตหมดอายุ 2 กุมภาพันธ์ 2556 ใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิตของ บริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) วันออกใบอนุญาต 13 มีนาคม 2558 วันใบอนุญาตหมดอายุ 12 มีนาคม 2559 ใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิตของ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) วันออกใบอนุญาต 19 กันยายน 2562 วันใบอนุญาตหมดอายุ 18 กันยายน 2563 และวันออกใบอนุญาต 15 กุมภาพันธ์ 2564 วันใบอนุญาตหมดอายุ 14 กุมภาพันธ์ 2565 โดยปัจจุบันใบอนุญาตทั้งหมดได้หมดอายุแล้วนอกจากนี้ยังตรวจสอบพบข้อมูลเพิ่มเติมในเบื้องต้นว่า นางแอมได้ขายกรมธรรม์ประกันชีวิต จำนวน 11 กรมธรรม์ ประกอบด้วย บริษัท เอไอเอ จำกัด จำนวน 8 กรมธรรม์ โดยเสนอขายเมื่อปี 2555 ซึ่งกรมธรรม์ประกันชีวิตดังกล่าว ณ ปัจจุบันได้สิ้นผลบังคับไปแล้ว โดยในระหว่างความคุ้มครองตามสัญญาประกันภัยไม่มีการเคลมกรณีเสียชีวิต บริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จำนวน 1 กรมธรรม์ เป็นกรมธรรม์ประกันชีวิตของบุตรของนางแอมและไม่มีการเคลมกรณีเสียชีวิต และบริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จำนวน 2 กรมธรรม์ ซึ่งไม่มีการเคลมกรณีเสียชีวิตเลขาธิการ คปภ. ฝากย้ำเตือนประชาชนว่ากรณีผู้ใดก็ตามกระทำให้บุคคลเสียชีวิตเพื่อหวังเงินประกันภัย นอกจากจะถูกดำเนินคดีและมีความผิดทางอาญาฐานฆ่าผู้อื่นแล้ว หากมีการพิสูจน์ทราบว่าผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยมีส่วนกระทำความผิดร่วมด้วย บริษัทประกันภัยอาจจะอ้างเหตุไม่จ่ายเงินตามสัญญาประกันภัยได้ และถ้าเข้าข่ายเป็นการฉ้อฉลประกันภัยจะมีความผิดทางอาญาด้วย ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. จะติดตามและตรวจสอบสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและจะประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงขอให้ประชาชนมั่นใจต่อระบบประกันภัย สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงได้ในทุกสถานการณ์ หากไม่ได้รับความเป็นธรรมเรื่องประกันภัย หรือต้องการข้อมูลด้านประกันภัยเพิ่มเติม สอบถามได้ที่สายด่วน คปภ. 1186 หรือ Add Line Official @oicconnectแหล่งที่มาข่าว สยามรัฐออนไลน์https://siamrath.co.th/n/443929
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
ผลสำรวจพบอิทธิพลจากเพื่อนและความกลัวพลาดโอกาส (FOMO) เป็นเหตุผลที่นักลงทุนมือใหม่ซื้อคริปโตเป็นครั้งแรก ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ เจ้าของสินทรัพย์ดิจิตอลไม่รู้จักคริปโตมากเท่าที่คิดไว้แต่แรกปลายเดือนที่ผ่านมา มูลนิธิเพื่อการศึกษานักลงทุนของหน่วยงานกำกับดูแลอุตสาหกรรมการเงินของอเมริกา (FINRA) ได้เปิดเผยผลสำรวจที่พบว่า 31% ของนักลงทุนหน้าใหม่บอกว่า “คำแนะนำจากเพื่อน” คือเหตุผลหลักในการตัดสินใจกระโจนเข้าตลาดคริปโตในปี 2022 ทั้งนี้ เทียบกับแค่ 8% สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นหรือพันธบัตรครั้งแรก ซึ่งบ่งชี้ว่า องค์ประกอบทางสังคมในการลงทุนในคริปโตไม่ปรากฏอยู่ในการลงทุนในหุ้นหรือพันธบัตรอย่างไรก็ตาม ความสามารถในการ “เริ่มต้นด้วยเงินก้อนเล็กๆ” เป็นเหตุผลสำคัญอันดับ 2 ในการเข้าสู่ตลาดคริปโต (24%) เช่นเดียวกับนักลงทุนในหุ้นและพันธบัตรขณะเดียวกัน ผู้ตอบแบบสำรวจราว 10% ระบุว่า ความกลัวพลาดโอกาส (FOMO) การลงทุนที่มีแนวโน้มสดใสทำให้ตกลงใจซื้อคริปโตครั้งแรก การสำรวจของ FINRA ยังพบว่า นักลงทุนในคริปโต 48% บอกว่า ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับตลาดสินทรัพย์ดิจิตอลจากเพื่อน ครอบครัว หรือเพื่อนร่วมงาน เทียบกับ 35% ของนักลงทุนในหุ้น และตามด้วยการค้นหาในสื่อสังคม (25%) นอกจากนั้นผลสำรวจยังระบุว่า นักลงทุนหน้าใหม่ในตลาดคริปโตมีอายุเฉลี่ย 37 ปี น้อยกว่านักลงทุนในหุ้นที่มีอายุเฉลี่ย 43 ปี และ 28.5% จบการศึกษาระดับปริญญาตรี เทียบกับ 46.3% ของนักลงทุนในหุ้น ที่น่าสนใจคือ การสำรวจพบว่า เจ้าของสินทรัพย์ดิจิตอลไม่รู้จักคริปโตมากเท่าที่คิดไว้แต่แรก นักลงทุนในสินทรัพย์ดิจิตอลได้คะแนนแค่ 26.6% ในชุดคำถาม 5 ข้อเกี่ยวกับการออกคริปโต การแปลงคริปโตเป็นดอลลาร์ การเก็บภาษีจากคริปโต และสาเหตุที่การทำธุรกรรมคริปโตอาจเสี่ยงต่อการถูกฉ้อโกง การสำรวจความคิดเห็นของ FINRA จัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 9-29 กันยายน 2022 จากผู้ร่วมแสดงความคิดเห็น 465 คนที่สุ่มเลือกจากครัวเรือนในอเมริกา ซึ่งมีค่าความคลาดเคลื่อน 6.75% และเป็นส่วนหนึ่งของการสำรวจเพื่อติดตามผลจากรายงานในปี 2020 แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/stockmarket/detail/9660000041416
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
เมื่อประเทศไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ และจะมีคนที่เข้าสู่ 'วัยเกษียณ' เพิ่มมากขึ้น สิ่งที่ต้องเผชิญตามมา คือ เรื่องสุขภาพกาย สุขภาพใจ และการเงิน ทำอย่างไรที่จะเตรียมพร้อมทั้งกายและใจ เพื่อให้เกษียณอย่างมีคุณภาพ● หลายคนมองว่าช่วงเวลาหลังเกษียณ เป็นช่วงที่มีความสุข แต่ความจริงแล้ว ผู้ที่เกษียณอายุต้องเผชิญกับรายได้ที่ลดลง รายจ่ายที่ยังเหมือเดิม รวมถึงสุขภาพที่เสื่อมลง ● ผู้เกษียณอายุ จึงต้องเตรียมความพร้อม 4 ด้านทั้ง ด้านสุขภาพ ด้านการปรับตัวทางสังคมและจิตใจ ด้านพฤติกรรมการออม และด้านที่อยู่อาศัย เพื่อเข้าสู่การเป็นผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพ● นอกจากนี้ การปรับตัวปรับใจของผู้สูงวัย เพื่อรับความสุขวัยเกษียณ ยังเป็นแนวทางสำคัญ เพื่อให้สู่วัยเกษียณอย่างมีคุณภาพการเกษียณอายุเปรียบเสมือนกับการก้าวไปสู่อีกขั้นหนึ่งของชีวิตและถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในชีวิตที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้หลังจากนี้ผู้เกษียณมีเวลาว่างมากขึ้น หลายคนอาจจะยังปรับตัวไม่ทันเพราะช่วงชีวิตการทำงานที่ผ่านมาต้องพบปะเพื่อนร่วมงานทุกวัน และมีงานหรือกิจกรรมที่ต้องทำทุกวัน อาจเกิดผลกระทบต่อสุขภาพจิตใจได้ ผู้เกษียณจึงต้องมีการเตรียมตัวหรือการวางแผนวัยเกษียณ ต้องเผชิญอะไรบ้างข้อมูลจากเว็บไซต์ ธนาคารไทยพาณิชย์ เผยถึงสิ่งที่วัยเกษียณต้องเผชิญ ว่า เมื่อถึงวัยเกษียณ อาจคิดว่าเป็นช่วงที่มีความสุข เพราะจะได้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น เดินทางท่องเที่ยวหรือทำในสิ่งที่อยากจะทำ แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มีการเปลี่ยนแปลงที่ต้องเผชิญหลายเรื่อง ซึ่งการเตรียมความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ชีวิตมีความสุขมากที่สุด ในวัยเกษียณมี 3 เรื่องหลักๆ ดังนี้1. รายได้ลดลงเป็นปัญหาที่มีความสำคัญในช่วงวัยเกษียณ เนื่องจากมีข้อจำกัดในการทำงานจากอายุ ทำให้รายได้ลดลง หรือมีโอกาสหารายได้ลดลงเมื่อเทียบกับตอนอยู่ในวัยทำงาน2. ค่าใช้จ่ายยังมีเหมือนเดิมเมื่อเกษียณอายุแล้ว หมายความว่าไม่มีงานทำ เมื่อไม่มีงานทำก็ไม่มีรายได้หลักเหมือนช่วงวัยทำงาน ซึ่งสวนทางกับค่าใช้จ่ายที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าค่าใช้จ่ายจะมีสัดส่วนลดลงเมื่อเกษียณอายุแล้ว แต่ก็ยังเป็นค่าใช้จ่ายประจำและต่อเนื่องไปจนสิ้นอายุขัย3. สุขภาพเสื่อมลงผู้สูงอายุจะมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ไม่ดีเหมือนเดิม จึงเกิดอาการผิดปกติ ทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพไม่แข็งแรงหรือเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคข้อเข่าเสื่อม ซึ่งหากพิจารณาถึงวิธีการดูแลและรักษาโรคเหล่านี้ต้องใช้เงินรักษาค่อนข้างสูง4. เคล็ดลับ เตรียมพร้อมหลังเกษียณกรมอนามัย แนะผู้เกษียณอายุ เตรียมความพร้อม 4 ด้านทั้ง ด้านสุขภาพ ด้านการปรับตัวทางสังคมและจิตใจ ด้านพฤติกรรมการออม และด้านที่อยู่อาศัย เพื่อเข้าสู่การเป็นผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพ ดังนี้1) ด้านสุขภาพอนามัยออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาอย่างสม่ำเสมอ กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ วันละ 6-8 ชั่วโมง หากิจกรรมที่สร้างรายได้ กิจกรรมการกุศลที่เสริมคุณค่าให้ตนเอง กิจกรรมการออกกำลังกายหรือกายบริหารทุกวันอย่างน้อย สัปดาห์ละ 5 วัน ครั้งละ 30 นาที ไม่ควรออกกำลังกายที่หนักเกินไป โดยเฉพาะข้อเข่าเพราะจะทำให้เข่ารับน้ำหนักมากขึ้นจนเป็นสาเหตุของข้อเข่าเสื่อม ทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมองเพื่อลดการเสื่อมต่าง ๆ ของร่างกาย ตรวจสุขภาพร่างกายอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และฝึกจิตและสมาธิ เพื่อให้รู้จักปล่อยวาง มองโลกในแง่ดี เป็นการพัฒนาทางอารมณ์เพื่อไม่ให้แปรปรวนง่าย ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย2) ด้านการปรับตัวทางสังคมและจิตใจควรศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ เพื่อให้ทันสมัย พูดคุยกับผู้อื่น รู้เรื่อง และอาจให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อลูกหลานได้ โดยเฉพาะลูกหลานและญาติควรให้ความสำคัญกับผู้เกษียณอายุ เพราะถือเป็นผู้สูงอายุประจำบ้าน ควรหาเวลาเพื่อพบปะหรือโทรศัพท์พูดคุยก็จะช่วยให้ผู้เกษียณไม่เหงาและเกิดภาวะซึมเศร้า3) ด้านพฤติกรรมการออมต้องออมทรัพย์สำรองไว้ใช้จ่ายหลังเกษียณให้เพียงพอในแต่ละเดือน จะช่วยลดปัญหาและภาวะเครียดจากค่าใช้จ่ายที่ไม่พอใช้ได้ 4) ด้านที่อยู่อาศัยต้องวางแผนว่าจะพักอาศัยอยู่กับใคร หรืออยู่ตามลำพัง โดยควรจัดบ้านและสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม คำนึงถึงความปลอดภัยเพื่อลดอุบัติเหตุและอันตรายต่าง ๆ เช่น ใช้วัสดุกันลื่นในห้องน้ำ มีราวจับ ใช้โถส้วมแบบนั่งราบ จัดบ้านให้โล่งและอากาศถ่ายเทได้สะดวก ดังนั้น ในช่วงวัยก่อนเกษียณจึงควรมีการเตรียมตัวหากลุ่มเพื่อน กลุ่มเครือข่ายต่าง ๆ ไว้ หรืออาจหากลุ่มสมาชิกผู้สูงอายุใกล้ ๆ เพื่อจะได้ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ เสริมคุณค่าให้กับชีวิต และเป็นการส่งเสริมสุขภาพกาย จิตใจ และลดความเสี่ยงภาวะซึมเศร้า เหงาและเครียดได้ปรับตัว ปรับใจ สู่วัยเกษียณ นพ.เก่งพงศ์ ตั้งอรุณสันติ (หมอเก่ง) อายุรแพทย์ประจำโรงพยาบาลผู้สูงอายุ Chersery home แนะนำ 3 เทคนิคในการปรับตัวปรับใจของผู้สูงวัย เพื่อรับความสุขวัยเกษียณ ดังนี้ 1. เปิดใจความเห็นต่างการให้เกียรติผู้อื่น เป็นการให้ความเคารพนับถือ และยอมรับในความสามารถของผู้อื่น ด้วยการใช้กริยาวาจาสุภาพ อ่อนน้อม เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ฝึกเป็นคนที่รับฟังให้มาก ลองเปิดใจเพื่อให้เข้าใจผู้อื่นมากขึ้น และพร้อมแลกเปลี่ยนเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ยอมรับความเปลี่ยนแปลงของสังคมวัฒนธรรมและเทคโนโลยี ความแตกต่างหลากหลายระหว่างช่วงวัย ประสบการณ์และการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้เข้ากับสังคม ครอบครัว และลูกหลาน เพื่อท่านจะสามารถเข้าใจคนสมัยใหม่ได้ดีขึ้น... พูดภาษาเดียวกันกับคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้สร้างบรรยากาศที่อบอุ่น และสร้างเสริมความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว2. ปล่อยวางไม่ยึดติดรับรู้แต่ไม่ยึดติด ไม่ว่าอารมณ์บวกหรืออารมณ์ลบ การรู้จักการปล่อยวางอารมณ์ โดยไม่ยึดมั่น ถือมั่นหรือยึดติดในตนเองกับอดีตที่ผ่านมา หมอคิดเสมอว่ากาลเวลาเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน ความคิดก็จะเปลี่ยนไปตามยุคตามสมัยในปัจจุบันต้องยอมรับว่าเด็กสมัยใหม่นั้นมีความรู้ความสามารถมาก และเรียนรู้ได้ค่อนข้างเร็วการที่ท่านเปิดใจกว้างปล่อยวางไม่ยึดติดกับประสบการณ์เดิม รับฟังสิ่งใหม่ อาจจะช่วยต่อยอด และประสบความสำเร็จได้ หากตัวท่านเองสามารถยอมรับได้ท่านจะมีความสุขขึ้นมาก ๆ เลยหล่ะครับ หากย้อนเวลาได้ ลองนึกถึงท่านเองว่าเมื่อสมัยวันรุ่น หรือวัยเด็ก ท่านอยากให้ผู้สูงวัยในสมัยท่านเปิดใจรับฟังความเห็นจากเราหรือไม่ ซึ่งตัวหมอเองก็คงมีความรู้สึกไม่ต่างกัน 3. เจริญจิต เจริญใจการหมั่นเจริญทางปัญญา ให้เห็นสภาพความเป็นจริงนั้น โดยการใช้เหตุและผลเข้ามาประกอบดังหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือศาสนาอื่น ๆ ก็ตาม หากเข้าใจหลักของความจริงที่ว่าทุกสิ่งบนโลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้และแน่นอน ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย สภาพจิตใจ สังคม วัฒนธรรม ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นตามกลไกของธรรมชาติ สิ่งที่เราสามารถทำได้คือ ใจของเราต่างหากที่จะต้องปรับเปลี่ยน ปรับทัศนคติให้เหมาะสมอยู่ตลอดเวลาอีกทั้ง การหมั่นเจริญสติ ระลึกรู้อยู่กับปัจจุบัน ลมหายใจ การเคลื่อนไหว ผ่านการอบรม ฝึกฝน และนำมาปฏิบัติ แม้เพียง 3-5 นาที/ วัน ก็ทำให้จิตใจผ่องใสขึ้นแล้วนะครับ อีกทั้งยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การเล่นกีฬา ออกกำลังกาย ซึ่งจะช่วยให้หยุดหรือควบคุมอารมณ์และความคิดที่ทำให้ไม่มีความสุข ไม่ว่าจะเป็น อารมณ์โกรธความเครียด ความเหงา ความเศร้าก็ตามการปรับตัว ปรับใจพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของผู้สูงอายุ จะช่วยให้ผู้สูงอายุ มีความสุข มีความภาคภูมิใจในตนเอง เห็นคุณค่าของตนเอง สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขแน่นอน อ้างอิง : กรมอนามัย , ธนาคารไทยพาณิชย์ , Chersery homeแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/health/well-being/1063118
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันสังคม
30/04/2024
ผู้ประกันตนที่มีค่าจ้างต่ำกว่า 15,000 บาท ไม่ต้องจ่ายเงินสมทบเพิ่ม ปัจจุบันมีผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่มีค่าจ้าง 15,000 บาทขึ้นไป ประมาณ 37% วันที่ 25 เมษายน 2566 ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า จากที่กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ได้นำร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณ เงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. … ของผู้ประกันตนมาตรา 33 อัตราใหม่ ไปเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องครั้งที่ 1 ผ่านทางระบบกลางทางกฎหมาย (LAW.co.th) ช่วงวันที่ 1-28 กุมภาพันธ์ 2566 สรุปมีผู้ร่วมเสนอความเห็นทั้งนายจ้าง และลูกจ้างรวม 55,584 คน โดยมีผู้เห็นด้วยคิดเป็นร้อยละ 27 และไม่เห็นด้วยคิดเป็น 73 ทั้งนี้ การเปิดความคิดเห็นดังกล่าว เป็นขั้นตอนหลังจากแนวทางการปรับเพดานค่าจ้างขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคมมาตรา 33 ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการประกันสังคมเมื่อกลางปี 2565 คณะกรรมการประกันสังคมพิจารณาการกำหนดค่าจ้างขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ของผู้ประกันตนมาตรา 33 อัตราใหม่ แบบค่อยเป็นค่อยไป หลังจากประเทศไทยไม่ได้ปรับมานานเกือบ 30 ปี นับตั้งแต่ปี 2538 ซึ่งเหตุผลและความจำเป็นของการปรับเพดานค่าจ้างขั้นสูง คือ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับกองทุนในการรองรับรายจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้น ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน และเป็นไปตามมาตรฐานเพดานค่าจ้างขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ปรับเท่าไหร่-เมื่อไหร่ ? เงินสมทบมาตรา 33 คือที่นายจ้างและลูกจ้างร่วมกันส่งเข้ากองทุนประกันสังคมทุกเดือนในอัตราร้อยละ 5 โดยผู้ที่มีค่าจ้างเดือนละ 1,650 บาทขึ้นไปต้องจ่ายในอัตรา 5% ของค่าจ้าง แต่มีเพดานคำนวนที่ค่าจ้าง 15,000 บาท ทั้งนี้ เพดานค่าจ้างที่ใช้ในการคำนวณจะถูกปรับอย่างค่อยเป็นค่อยไป 3 ระยะ ดังนี้ ● ระยะที่ 1 ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2567-31 ธ.ค. 2569 ปรับเป็นคำนวณจากเพดานค่าจ้าง 17,500 บาท จ่ายสมทบไม่เกิน 875 บาท ● ระยะที่ 2 ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2570-31 ธ.ค. 2572 ปรับเป็นคำนวณจากเพดานค่าจ้าง 20,000 บาท จ่ายสมทบไม่เกิน 1,000 บาท ● ระยะที่ 3 ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2573 เป็นต้นไป ปรับเป็นคำนวณจากเพดานค่าจ้าง 23,000 บาท จ่ายสมทบไม่เกิน 1,150 บาท ทั้งนี้ ผู้ประกันตนที่มีค่าจ้างต่ำกว่า 15,000 บาท จะไม่ได้รับผลกระทบจ่ายเงินสมทบเพิ่ม เพราะจะได้จ่ายเงินสมทบ 5% ของค่าจ้างตามจริง โดยระบบประกันสังคมมีผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่มีค่าจ้าง 15,000 บาทขึ้นไป ประมาณ 37% ผู้ประกันตนรับประโยชน์เพิ่ม 6 กรณี นางนิยดา เสนีย์มโนมัย ผู้อำนวยการกองนโยบายและแผนงาน และโฆษกสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงความคืบหน้าว่า ขณะนี้สำนักงานประกันสังคมได้รายงานผลความคิดเห็นต่อคณะกรรมการ สปส. เพื่อรับทราบแล้ว “แต่มีข้อสังเกตว่าการที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เพราะยังไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับผลประโยชน์ตอบแทนที่จะได้รับเพิ่มขึ้นหลังจากการปรับเพดานค่าจ้าง” ซึ่งการปรับเพดานเงินสมทบอัตราใหม่จะทำให้เกิดประโยชน์ที่เห็นได้ชัดเจนสำหรับผู้ประกันตน ดังนี้ หนึ่ง เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีว่างงาน ได้รับในอัตรา 50% หรือ 30% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน ปัจจุบันได้รับที่ 7,500 บาทต่อเดือน อัตราใหม่ช่วงปี 2567-2569 จะเป็น 8,750 บาทต่อเดือน ช่วงปี 2570-2572 เป็น 10,000 บาทต่อเดือน และปี 2573 เป็น 11,500 บาทต่อเดือน สอง เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต ได้รับในอัตรา 50% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน ปัจจุบันรับที่ 30,000 บาท อัตราใหม่ช่วงปี 2567-2569 จะเป็น 35,000 บาท ช่วงปี 2570-2572 เป็น 40,000 บาท และปี 2573 เป็น 46,000 บาท สาม เงินบำนาญชราภาพ ได้รับในอัตราไม่ต่ำกว่า 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายที่นำส่งเข้ากองทุน โดยมี 2 อัตรา คือ 1. ผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบครบ 15 ปี (ครบ 180 เดือน) จะได้รับบำนาญ 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย 2. ผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบครบเกิน 15 ปี (เกิน 180 เดือน) จะได้รับบำนาญ 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายที่จ่ายประกันสังคม + อัตราการจ่ายเงินบำนาญให้อีก 1.5% ต่อปีของระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบ ตัวอย่าง หากส่งเงินสมทบครบ 15 ปี เงินบำนาญชราภาพอัตราเดิมได้รับ 3,000 บาทต่อเดือน และหากส่งเงินสมทบครบ 25 ปี อัตราเดิมได้รับ 5,250 บาทต่อเดือน อัตราใหม่ช่วงปี 2567-2569 ส่งเงินสมทบครบ 15 ปี ได้รับ 3,500 บาทต่อเดือน และส่งเงินสมทบครบ 25 ปี ได้รับ 6,125 บาทต่อเดือน ช่วงปี 2570-2572 ส่งเงินสมทบครบ 15 ปี ได้รับ 4,000 บาทต่อเดือน และส่งเงินสมทบครบ 25 ปี ได้รับ 7,000 บาทต่อเดือน ช่วงปี 2573 ทำงาน ส่งเงินสมทบครบ 15 ปี ได้รับ 4,600 บาทต่อเดือน และส่งเงินสมทบครบ 25 ปี ได้รับ 8,050 บาทต่อเดือน สี่ เงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร ได้รับในอัตรา 50% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน ปัจจุบันรับที่ 22,500 บาทต่อครั้ง อัตราใหม่ช่วงปี 2567-2569 จะเป็น 26,250 บาทต่อครั้ง, ช่วงปี 2570-2572 เป็น 30,000 บาทต่อครั้ง และปี 2573 เป็น 34,500 บาทต่อครั้ง ห้า เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพ ได้รับในอัตรา 70% หรือ 30% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน ปัจจุบันรับที่ 7,500 บาทต่อเดือน อัตราใหม่ช่วงปี 2567-2569 จะเป็น 8,750 บาทต่อเดือน ช่วงปี 2570-2572 เป็น 10,000 บาทต่อเดือน และปี 2573 เป็น 11,500 บาทต่อเดือน หก เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีเจ็บป่วย ได้รับในอัตรา 50% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน ปัจจุบันรับที่ 250 บาทต่อวัน อัตราใหม่ช่วงปี 2567-2569 จะเป็น 292 บาทต่อวัน, ช่วงปี 2570-2572 จะเป็น 333 บาทต่อวัน และปี 2573 เป็น 383 บาทต่อวัน แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/csr-hr/news-1272888
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
บทความโดย Gen Healthy Life วันที่ 1 พฤษภาคม 2566 วินัยทางการเงิน ถือเป็นสิ่งสำคัญในการบริการการเงินในชีวิต โดยการบริหารการเงินนั้นมีหลากหลายวิธี อาทิ การสร้างงบประมาณที่จะใช้ในแต่ละเดือน การทำบันทึกรายรับ-รายจ่าย เพื่อให้มองเห็นรายจ่ายส่วนต่างที่เกิดขึ้น แต่อีกสิ่งหนึ่งที่จะสร้างความมั่นคงและเติบโตในระยะยาวให้กับกระเป๋าเงินของเรา คือการใช้เทคนิคการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ วันนี้ได้นำเคล็ดลับการลงทุนอย่างไรให้ปลอดภัย และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการการเงินของเรา จะมีเทคนิคการลงทุนอย่างไรบ้างไปดูกันเลย เริ่มที่ข้อแรก “เคล็ดลับการลงทุน” หากมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัย ว่าเงินที่ลงทุนไปนั้นจะเกิดความเสี่ยงหรือไม่ ลองพิจารณาระยะเวลาการลงทุนที่สั้นลง ง่ายต่อการถอนถือเป็นขั้นแรกของมือใหม่นักลงทุนในการบริหารความเสี่ยง แต่ถ้าต้องการเพิ่มระยะเวลาในการลงทุนให้ยาวขึ้น สิ่งที่สำคัญที่ควรตระหนักคือ เลือกการลงทุนที่มีความเสี่ยงปานกลางและผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว เหนือสิ่งอื่นใด อย่าทำอะไรเกินตัว ต้องทำทุกอย่างให้เหมาะสมกับสถานะทางการเงินของเราเอง ต่อมา “บัญชีออมทรัพย์” เป็นวิธีการเก็บเงินที่มีความปลอดภัยและสะดวกสบาย ซึ่งวิธีนี้ยังสามารถถอนเงินไปใช้จ่ายในเวลาที่ฉุกเฉินได้ตามที่เราต้องการ นอกจากนี้ยังมีการเก็บเงินแบบเงินฝากประจำ (Fixed Deposit) ซึ่งเป็นบัญชีออมทรัพย์อีกประเภทหนึ่งที่มีอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างดี เน้นการออมอย่างสม่ำเสมอเพื่อเก็บสะสมไว้ใช้จ่ายในยามที่เกษียณอายุ “พันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้” เป็นเครื่องมือลงทุนที่มีบทบาทคล้ายกันกับเงินฝากประจำ แต่มีความเสี่ยงสูงกว่า เพราะฉะนั้นจะต้องพิจารณาความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น และผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับคุ้มที่จะเสี่ยงหรือไม่ ก่อนตัดสินใจลงทุน เคล็ดลับถัดมาคือ “แผนการลงทุนและการออมเงิน” ซึ่งเป็นการลงทุนกับบริษัทประกันภัย โดยบริษัทประกันภัยจะมอบผลประโยชน์ทั้งในเรื่องการประกันภัยและการลงทุน รวมไปถึงการออมเงินให้กับลูกค้า ผู้เอาประกันภัยจะได้รับการคุ้มครองชีวิตและเก็บเงินออมสะสมเพื่อสร้างโอกาสในการสร้างความมั่งคั่งในอนาคต เพื่อเพิ่มทางเลือกและตอบสนองความต้องการที่ดี “ทางเลือกของแผนบำเหน็จบำนาญ” คือการเตรียมความพร้อมสำหรับการเก็บเงินบำนาญแบบส่วนตัว ซึ่งมักจะให้ผลตอบแทนมักจะดีกว่า และคุณอาจสามารถเลือกเกษียณอายุก่อนกำหนดได้อีกด้วย “กองทุนรวม” อีกหนึ่งช่องทางที่น่าสนใจในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการรวมเงินจากนักลงทุนหลายคนเข้าด้วยกันเพื่อลงทุนในตลาดทุน เงินทั้งหมดจะถูกจัดการโดยผู้จัดการกองทุนเพื่อลงทุนในหลาย ๆ หลักทรัพย์ เช่น หุ้นบริษัท ตราสารหนี้ และอื่น ๆ การลงทุนในกองทุนรวมจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนสูงขึ้น ต่อมา “การลงทุนอสังหาฯ” การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ลงทุน เนื่องจากเป็นการลงทุนที่มีแนวโน้มผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการลงทุนในกองทุนรวมหรือตลาดหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงกว่า แต่การแปลงมูลค่าเป็นเงินเพื่อนำมาใช้ยามฉุกเฉินก็อาจจะไม่ง่ายเช่นกัน ซึ่งหากใครต้องการความปลอดภัยในชีวิตและต้องการความมั่นคง การทำ “ประกันภัย” ก็เป็นตัวเลือกที่ดีมาก เพราะหากเรามีประกันภัยเมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือ เจ็บป่วยขึ้นมา ก็ช่วยลดความวิตกกังวลกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นได้มาก เป็นเครื่องมือในการบริหารและปกป้องความเสี่ยงทางการเงิน สุดท้าย “ทางเลือกการลงทุนอื่น ๆ” วลีที่บอกว่า “จงกระจายความเสี่ยง” ยังสามารถใช้ได้กับการลงทุนเสมอ ลองลงทุนในหลากหลายประเภทเพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม การลงทุนที่ดีควรได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมและเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ดังนั้นควรทำการวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ใด ๆ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/b%20reaking-news/news-1277698
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันสุขภาพ
30/04/2024
จากบทความ “ทำประกันสุขภาพไว้ ต้องรักษาที่ไหนถึงจะเคลมได้” เราได้ทราบถึงว่าประกันสุขภาพคุ้มครองอะไรบ้าง รวมถึงเงื่อนไขการเคลมค่าประกันสุขภาพกันแล้ว แต่ปัจจุบันนั้นมีประกันสุขภาพแบบเดี่ยว (ไม่ต้องพ่วงประกันชีวิต) และประกันสุขภาพแบบสัญญาเพิ่มเติมประกันชีวิต (ทำพ่วงประกันชีวิต) แล้วแต่ละแบบมีลักษณะต่างกันอย่างไร มีข้อดีข้อเสียอย่างไร เราควรเลือกแบบไหนที่จะเหมาะกับเรา บทความนี้มีคำตอบ ประกันสุขภาพเดี่ยว ประกันสุขภาพเดี่ยวชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเดี่ยวคือเป็นประกันสุขภาพที่ขายแบบเดี่ยวๆ ไม่ต้องพ่วงประกันชีวิต นั่นคือจะคุ้มครองเฉพาะสุขภาพไม่มีการคุ้มครองชีวิต โดยจะจ่ายค่าสินไหมเฉพาะค่ารักษาพยาบาลตามที่เกิดขึ้นจริงแต่ไม่เกินวงเงินสูงสุดเท่านั้น ข้อดี ● เบี้ยถูกกว่าแบบสัญญาเพิ่มเติมประกันชีวิต เพราะคิดเฉพาะในส่วนของการคุ้มครองสุขภาพเท่านั้น ข้อเสีย ● เป็นสัญญาแบบปีต่อปี บริษัทจะพิจารณาการรับประกันแบบปีต่อปี ในกรณีที่เราเคลมเยอะในปีที่ผ่านมาบริษัทประกันอาจพิจารณาเพิ่มเบี้ยหรือไม่รับต่อประกันสุขภาพเราได้ ซึ่งถ้าในกรณีที่จะเปลี่ยนบริษัทประวัติสุขภาพนั้นจะติดตัวเราไปด้วยบริษัทใหม่ก็จะพิจารณาจากประวัติสุขภาพของเราซึ่งอาจจะไม่รับทำได้ เหมาะกับใคร : เหมาะกับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองสุขภาพเป็นระยะเวลาสั้นๆ และจ่ายเบี้ยไม่สูงมาก ประกันสุขภาพแบบสัญญาเพิ่มเติมประกันชีวิต ประกันสุขภาพแบบสัญญาเพิ่มเติมประกันชีวิต คือการที่เราทำประกันชีวิตเป็นสัญญาหลักและทำสัญญาเพิ่มเติมเป็นประกันสุขภาพ โดยการจ่ายค่าสินไหมจะมีเงื่อนไขเหมือนกับแบบเดี่ยวคือ จะจ่ายค่าสินไหมเฉพาะค่ารักษาพยาบาลตามที่เกิดขึ้นจริงแต่ไม่เกินวงเงินสูงสุดเท่านั้น ข้อดี ● มีความคุ้มครองชีวิต เนื่องจากเป็นสัญญาเพิ่มเติมพ่วงไปกับสัญญาหลักประกันชีวิต ถ้าบริษัทประกันชีวิตได้รับทำแล้วจะไม่สามารถยกเลิกได้ถ้าเรามีความประสงค์ต่ออายุ ● ยกเว้นเหตุ 3 ประการที่บริษัทจะไม่รับต่ออายุดังนี้ ● กรณีไม่แถลงข้อความจริงตามใบคำขอเอาประกันภัย ซึ่งหมายถึงมีการปกปิดข้อมูลไม่ให้ข้อมูลตามความเป็นจริง โดยที่ทราบข้อมูลนั้นอยู่แล้ว ● กรณีเรียกร้องผลประโยชน์โดยไม่มีความจำเป็นทางการแพทย์ ● กรณีเรียกร้องผลประโยชน์ค่าชดเชยรายวันรวมกันทุกบริษัทเกินกว่ารายได้ที่แท้จริง ข้อเสีย ● เบี้ยประกันสูงกว่าแบบเดี่ยวเนื่องจากมีความคุ้มครองทั้งชีวิตและสุขภาพ เหมาะกับใคร : เหมาะกับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองสุขภาพในระยะเวลายาวๆหรือตลอดชีวิต ดังนั้นการทำสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพนั้นควรทำพ่วงกับประกันชีวิตแบบตลอดชีพ เนื่องจากเป็นสัญญาหลักระยะยาวไม่เหมือนกับประกันแบบอื่นๆที่มีระยะเวลาที่สั้นกว่า จากข้อมูลข้างต้นเราได้ทราบแล้วว่าประกันสุขภาพเดี่ยวและประกันสุขภาพแบบสัญญาเพิ่มเติมประกันชีวิตนั้นต่างกันอย่างไร มีข้อดี ข้อเสียอย่างไร เหมาะกับใคร อย่างไรก็ตามสุขภาพเรานั้นเป็นสิ่งไม่แน่นอน ประกันสุขภาพเป็นสิ่งที่จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของเราได้ ควรทำตั้งแต่สุขภาพยังแข็งแรงเพราะถ้าสุขภาพเราไม่แข็งแรงหรือเป็นโรคแล้วบริษัทประกันอาจพิจารณาเพิ่มเบี้ยหรือหนักกว่านั้นคือไม่รับทำประกันเลย ดังนั้นอยากให้มองว่าเราจ่ายเป็น fix cost สำหรับเรื่องสุขภาพเราแต่ละปี แถมนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 25,000 บาทอีกด้วย แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับnoonhttps://www.noon.in.th/blog/how-different-between-health-insurance-and-health-riders/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
หากคุณทำธุรกิจและยังคิดไม่ตกว่าจะมีวิธีอย่างไรให้รักษายอดขายให้ธุรกิจไปรอด เหล่านี้คือ 18 เทคนิคการขายที่สามารถใช้กับลูกค้าในหลายรูปแบบและหลายสถานการณ์ หากคุณทำธุรกิจและยังคิดไม่ตกว่าจะมีวิธีอย่างไรให้รักษายอดขายให้ธุรกิจไปรอด เหล่านี้คือ 18 เทคนิคการขายที่สามารถใช้กับลูกค้าในหลายรูปแบบและหลายสถานการณ์ โดย ดร.วิชัย ว่องศิลป์วัฒนา กูรูด้านการขายและการเจรจาต่อรอง ที่ได้แนะนำไว้ดังต่อไปนี้ เทคนิคที่ 1 : รู้จักตัวเอง คนเรามักจะคิดว่าเรารู้จักตัวเองดี แต่จริง ๆ แล้วคนส่วนใหญ่มักไม่รู้จักตัวตนของตัวเอง หรือยังไม่สามารถเข้าใจตัวเองว่าแท้จริงแล้วคิดอะไรอยู่ เช่น ถ้าอยากขายบ้านที่อยู่ปัจจุบัน เราคิดแล้วหรือยังว่าถ้าเขาจะมาซื้อแล้วขอเข้าอยู่อาศัยทันที เราจะไปอยู่ที่ไหน หรือ บอกราคาขายไปแต่ไม่มีราคาสำหรับต่อรองในใจเลย แถมบางคนบอกขายบ้านเพราะต้องการเช็คราคาไม่ใช่ต้องการขายจริง ....ผมเคยเจอบ้านอยู่หลังหนึ่งทุกครั้งที่สามี-ภรรยาคู่นี้ทะเลาะกัน วันรุ่งขึ้นต้องมีป้ายประกาศขายบ้านติดหน้าบ้านเสมอ กรณีนี้ไม่ใช่การตั้งใจจะขายบ้านจริง ๆ แต่เป็นเรื่องการประชดประชันมากกว่า การรู้ตัวเองคือต้องรู้ว่าเรามีวัตถุประสงค์อย่างไร จะมีผลในการตั้งราคาขายและกลยุทธ์ในการต่อรองอื่น ๆ ด้วย ดังนั้น ต้องรู้ตัวเองก่อน เพราะหากเขาต่อรองราคาแล้วเกิดขายได้ขึ้นมาจะทำอย่างไร หรือถ้าเราต้องการทดสอบราคา ก็ควรตั้งราคาสูงเข้าไว้เพราะอย่างไรเราก็ไม่ขายอยู่แล้ว ถ้าให้พูดกันตรง ๆ การเจรจาต่อรองมีวัตถุประสงค์ลึก ๆ แล้วก็คือการต้องการจะตรวจสอบราคาสินค้าของตัวเอง จะได้รู้ว่าเราต้องเล่นบทไหนครับ เทคนิคที่ 2 : รู้จักองค์กรหรือบริษัทของตน นั่นคือ รู้จักองค์กรหรือบริษัทของตัวเองว่าการที่เขาส่งเราให้ไปต่อรองราคาเรามีสิทธิ์ลดได้แค่ไหน สมมุติเป็นเซลล์แมนเรามีสิทธิ์ลดราคาได้แค่ไหน และไม่ควรไปลดราคาเกินอำนาจที่องค์กรมอบหมาย เพราะถ้าลดมากไปคงต้องเข้าเนื้อตัวเองหรือโดนเจ้านายเล่นงานแน่ครับ เทคนิคที่ 3 : รู้จักสินค้าหรือบริการของตนที่จะขาย ทำความรู้จักสินค้าและบริการของตัวเองว่า “วันนี้เราจะเรียกราคาได้แค่ไหน” โดยเราต้องรู้อุปสงค์และอุปทาน (Demand & Supply) ความต้องการและราคาสินค้าในตลาดว่าเป็นที่ต้องการมากน้อยแค่ไหน อีกทั้งต้องดูด้วยว่าสินค้าของเราอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลงของธุรกิจประเภทนี้ เช่น หากเราจะขายสินค้าพืชไร่เกษตรที่เป็นที่ต้องการของตลาดตอนนี้ และน้ำมันดีเซลเพื่อการขนส่งวันนี้ปรับราคาสูงขึ้น เราก็ขึ้นราคาสินค้าได้เยอะเพราะตลาดต้องการของเรายังไงก็ต้องสู้ราคาแถมยังมีข้ออ้างเรื่องราคาน้ำมันอีก เทคนิคที่ 4: รู้จักลูกค้า ใครคือลูกค้าของเรา? เป็นคำถามที่สิ่งสำคัญมากครับ ในฝั่งของการตลาดเขาจะมีการแบ่งตลาดหรือกลุ่มลูกค้าออกเป็นส่วน ๆ เรียกว่า “เซกเมนท์เทชั่น” (Segmentation) สินค้าบางตัวทางการตลาดแบ่งเซกเมนท์ตามอายุ หรือแบ่งตามเพศก็มี เช่นเครื่องดื่มชูกำลังนอกจากแบ่งตามอาชีพแล้วช่วงหลังก็แบ่งตามเพศด้วย อย่างผู้หญิงจะไม่ดื่มเครื่องดื่มชูกำลังจากขวดสีชาจะทำให้ดูเหมือนกรรมกรจนเกินไป ผู้ผลิตจึงผลิตใส่ขวดใส ๆ และปรับสีให้สวย เราเลยเห็นเครื่องดื่มแนวใหม่ที่มีสีแดง สีฟ้า หรือสีเขียว วางอยู่ตามตู้แช่ในตลาดขณะนี้ครับ เทคนิคที่ 5 : รู้จักคู่แข่ง ส่วนนี้ผมปรับมาจากหลักพิชัยสงครามของซุนหวู่ เช่นหากคู่แข่งเข้าตลาดไหนถ้าเลี่ยงได้ก็อย่าไปเข้าตลาดซ้ำกับเขาเพราะเรากำลังเดินตามรอยเท้าคู่แข่ง อาจถูกคู่แข่งลวงให้หลงทางได้ มิหนำซ้ำยังมีตลาดใหม่อื่น ๆ ให้ทำอีกมาก แต่เรากลับมามัววิ่งตามคู่แข่ง จงสำรวจหาสถานที่เพื่อคุมตลาดใหม่เพราะยิ่งถ้าต้องรบกับคู่แข่ง ในที่สุดผู้ซื้อจะได้เปรียบเพราะต่างต้องแข่งกันลดราคาให้ผู้ซื้อ ซึ่งรบกันยังไงเราก็มีแต่เสียเปรียบครับ สู้เลี่ยงไปเข้าตลาดอื่นดีกว่าถ้าเลือกได้ เทคนิคที่ 6 : รู้ถึงมูลเหตุจูงใจในการซื้อ เราต้องรู้สาเหตุที่จะจูงใจลูกค้าว่า “ทำไมเขาถึงมาซื้อสินค้าของเรา” ตัวอย่างเช่น การขายบ้าน เราต้องรู้ก่อนว่าบ้านเรามีอะไรจูงใจลูกค้าให้มาซื้อ อาจจะเป็นเพราะบ้านเราอยู่กลางเมืองจึงขายได้ราคาถึงแม้เป็นบ้านเก่า ๆ ก็ตาม ดังนั้นมูลเหตุจูงใจในตัวอย่างนี้คือ “บ้านใจกลางเมือง” เมื่อเวลาเราเจรจากับลูกค้าให้เน้น “สถานที่” หรือ “โลเคชั่น” (Location) อย่าไปคุยประเด็นเรื่องบ้านสวยเพราะบ้านเราเก่ายังไงก็ไม่สวยหรอก เผลอ ๆ เขาซื้อไปแล้วอาจต้องไปทุบบ้านทิ้งทีหลังก็ได้ เทคนิคที่ 7 : รู้ค่านิยมของผู้ซื้อ รู้ค่านิยมของผู้เจรจา อย่างคนต่างชาติมีค่านิยมอย่างหนึ่งคนไทยก็มีค่านิยมอีกอย่างหนึ่ง เช่น ทำไมคนญี่ปุ่นชอบเดินดูวัดเก่า ๆ และคนไทยชอบไปต่างประเทศเพื่อไปดูโบสถ์ฝรั่ง ผมว่าคนเอเชียชอบดูสถาปัตยกรรมเกี่ยวกับวัดวาอารามนะครับ ไม่เว้นแม้แต่ของฝรั่ง เทคนิคที่ 8 : รู้ถึงรสนิยมของผู้ซื้อ คนส่วนใหญ่จะคิดว่าตัวเองมีรสนิยมสูง และมักจะมีรสนิยมสูงกว่ารายได้ที่ตัวเองได้รับเสมอ เช่น อยากได้ของดีมากแต่รายได้หรือจำนวนเงินที่ตั้งใจจะจ่ายนั้นน้อยหรือต่ำ หรือที่เขาเรียกกันว่า “รายได้ต่ำรสนิยมสูง” ซึ่งคนทั้งโลกเป็นอย่างนี้เหมือนกันหมด จึงมักตกเป็นเหยื่อของนักการตลาดในการเจรจาและส่งเสริมการขายที่โอ้อวดสินค้าว่าของเขาดีแต่ที่จริงแค่นำสินค้าคุณภาพต่ำมาหลอกขาย ดังนั้นถ้าเราเป็นพวกรสนิยมสมถะก็อยู่อย่างพอเพียงดีที่สุด จะได้สินค้าที่ดีในราคาสมเหตุสมผลครับ เทคนิคที่ 9 : รู้ถึงจังหวะในการนำเสนอ เราควรรู้จักจังหวะในการนำเสนอด้วยนะครับ โดยต้องรู้ว่าจะนำเสนอในช่วงไหน เขามีหลักง่าย ๆ คือ ให้ปฏิบัติการในช่วงที่ลูกค้าผ่อนคลาย ยกตัวอย่างเช่น เวลาไปตัดผม เราตั้งใจแค่ไปซอยผมแต่จบออกมาต้องเสียเงินเพิ่มหลายเท่าเพราะคนที่บริการสังเกตเห็นเราผ่อนคลายสบายใจจึงเสนอขายสินค้าอย่างอื่นในลักษณะแบบการขายพ่วง (Cross Selling) เขาเรียกการขายแบบสูตรของช่างทำผมเช่น ชวนเสริมคิ้ว นวดหน้า ลบตีนกา ลบรอยเหี่ยวย่น สุดท้ายไปทำสปาเบ็ดเสร็จเลย สังเกตได้ทุกร้านทำผมจะเป็นแบบนี้ครับ บางทีตัดผมอยู่ชวนย้อมสีผมเฉยเลยบอกว่าเป็นสมัยนิยม “ลูกค้าที่ทำไปมีแต่คนทักว่าสวยหล่อขึ้นทุกคนเลยค่ะ” สุดท้ายจาก 250 บาทกลายเป็น 2,500-3,500 บาท นี่คือตัวอย่างของการรู้จังหวะที่เขาผ่อนคลายครับ เทคนิคที่ 10 : รู้ว่าสิ่งใดควรพูดไม่ควรพูด ยกตัวอย่างเช่นเรารู้ทั้งรู้ว่าบ้านนี้พี่น้องทะเลาะกันทำให้ต้องมาขายมรดกกินดังนั้นเราก็ไม่ควรมาพูดว่า “ทำไมพวกพี่ถึงทะเลาะกันล่ะครับ”เพราะนั่นไม่ใช่หน้าที่เรา เราแค่เป็นคนไปซื้อของเขาเท่านั้นครับ เทคนิคที่ 11 : รู้หลักคุณธรรมนำการเจรจาต่อรอง หากเราอยากเป็นนักเจรจาที่ดีต้องรู้หลักคุณธรรมด้วยครับ บางคนฉวยเอาสถานการณ์ที่ได้เปรียบมาเอาเปรียบคู่เจรจาอย่างไร้คุณธรรม เช่นเขาอาจมีความจำเป็นต้องขายสินค้าเพราะไม่มีเงินไปใช้หนี้ก็ไปกดราคาเขามาก ๆ เวลาไปต่อรองซื้อขายอีก เข้าข่ายหักคอคนขายเพราะรู้ว่าเขาจำเป็นต้องใช้เงินแบบนี้เรียกว่า “ไม่มีคุณธรรม” ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่งครับ เทคนิคที่ 12 : รู้หลักดึงดูดลูกค้าเป็นพวก เราควรใช้หลักการนี้ดึงดูดคู่เจรจาให้เป็นพวกเดียวกับเราเพราะคนที่มีความรู้สึกแบบเดียวกันมักเป็นพวกเดียวกันและจะพูดกันง่ายขึ้น เช่น คนภาคเดียวกันส่งภาษาพื้นเมืองก็จะพูดกันง่าย ยกตัวอย่างเช่นคนใต้ด้วยกันพอได้ยินสำเนียงกรุงเทพฯลักษณะทองแดงหน่อย ๆ ก็เริ่มรู้ว่าเป็นพวกเดียวกันมาแล้วก็จะพูดกันง่ายล่ะคราวนี้ หรือคนชอบพรรคการเมืองเดียวกันจะคุยกันง่าย ทำให้การเจรจาต่อรองก็จะง่ายตามมา เทคนิคที่ 13 : รู้ขั้นตอนของการจูงใจ ขั้นตอนของการจูงใจเริ่มต้นจากการค้นหาความต้องการของลูกค้า เราต้องค้นให้เจอว่าลูกค้าต้องการสิ่งใดมากที่สุดจากนั้นก็นำเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่เหมาะกับเขาให้มากที่สุด แล้วเราจะปิดการขายได้อย่างง่ายดาย เช่น เราสังเกตว่าลูกค้ารายนี้เกลียดความยุ่งยาก ดังนั้นเมื่อลูกค้าซื้อของเราแล้วจ่ายด้วยบัตรเครดิตแล้วเรารับบัตรมาจากมือลูกค้าก็ควรจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยโดยที่ลูกค้าไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ถ้ารับบัตรเครดิตจากลูกค้ามาแล้วยังต้องไปตรวจสอบเครดิตบูโรชักเข้าชักออกอย่างนี้ลูกค้าไม่เอาด้วยนะครับ ทำให้ลูกค้ายุ่งยากต้องมานั่งเซ็นเอกสารอีกสิบกว่าชุดเขาก็ไม่เอาไม่ซื้อแล้ว เพราะขั้นตอนปิดการขายยุ่งยากเกินไป เทคนิคที่ 14 : ปูพื้นฐานข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเพื่อจูงใจลูกค้า การจูงใจแบบนี้เราต้องบอกพื้นฐานข้อมูลและข้อเท็จจริงให้กับลูกค้า เช่น ราคาทองเพิ่มขึ้นแล้วในตลาด พี่สนใจการลงทุนในรูปแบบโกลด์ฟิวเจอร์ไหมครับ? โดยเราต้องเน้นให้เขาเห็นคุณค่าที่ลูกค้ามุ่งหวัง เช่น “ถ้าพี่ตัดสินใจเร็วยิ่งได้เปรียบไม่เช่นนั้นดอกเบี้ยแบงก์จะกินแย่เลย” หรือ ถ้าบ้านที่เราหมายตาเอาไว้คู่เจรจาเขากู้แบงค์มาซื้อบ้านก็ต้องบอกว่า “ถ้าบ้านพี่หลังนี้ไปกู้ธนาคารมา ยิ่งขายได้เร็วก็ยิ่งดีไม่เช่นนั้นดอกเบี้ยจะทบต้นจนทำให้ยอดเงินกู้แบงก์สูงขึ้นไปเรื่อยๆ” เห็นไหมครับ เป็นการเน้นคุณค่าที่สร้างประโยชน์ให้ผู้เจรจา ดังนั้นผู้เจรจาก็จะเห็นด้วยและตกลงใจได้เร็วขึ้นครับ เทคนิคที่ 15 : กระตุ้นให้ผู้ซื้อตัดสินใจซื้อ ควรมีการเชียร์ให้คู่เจรจาตัดสินใจ เพราะคนเราต้องการคนกระตุ้นหลาย ๆ ครั้ง ถ้ากระตุ้นเขาแล้วไม่ได้ผลให้กระตุ้นคนที่มีอิทธิพลกับเขาแทน ยิ่งบุคคลนั้นเป็นบุคคลที่อยู่ในกลุ่มที่มีอิทธิพลเหนือลูกค้าก็เข้าข่ายหลักการชนะ 3 ฝ่ายยิ่งดีใหญ่ เช่น ถ้าเรากระตุ้นตัวเขาไม่ได้ก็กระตุ้นสามีหรือภรรยาเขาที่มาด้วยกันแทนก็ได้นะครับ เทคนิคที่ 16 : หลีกข้ามปัญหาของการต่อรอง ปัญหาการต่อรองมันเกิดขึ้นได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม เช่น ถ้ามีปัญหาเรื่องเครดิตเราให้ลูกค้าไม่ได้ก็ให้ข้ามไปคุยเรื่องอื่นก่อนอย่ามาคุยเรื่องนี้ อย่างลูกค้าบอกจะซื้อแบบสินเชื่อหรือขอเครดิตแต่เราให้ไม่ได้ก็อย่าคุยเรื่องนี้ ให้เปลี่ยนไปคุยเรื่องราคาก่อนราคานี้โอเคไหม เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้ครับ เทคนิคที่ 17 : จดจำข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าประจำ เพราะคนเราจะรู้สึกภูมิใจมาก หากมาติดต่อครั้งที่สองเราจำได้ว่าครั้งแรกเขาเคยมาแล้ว เช่น ร้าน 7-Eleven บางสาขาพนักงานจำลูกค้าหรือจำชื่อลูกค้าได้ โดยที่บางครั้งลูกค้ายังไม่ทันบอกซ้ำว่าเขาชื่ออะไร เทคนิคการรู้ชื่อลูกค้านี่ไม่ยากครับ ขอให้เราสนใจฟังคนที่มากับเขาเรียกกันก็รู้แล้วครับ เช่น ให้เรียกชื่อตามลูกที่เรียกแม่เขา หรือแม่เขาเรียกลูกว่าอะไร บางครั้งอาจต้องใช้กลยุทธ์ “แอบถามจากคนใกล้ชิด” เช่นถามคนงาน ถามเลขาว่าเจ้าของกิจการชื่ออะไรเป็นต้น เทคนิคที่ 18 : การปิดการขาย สุดท้ายเมื่อได้จังหวะเราต้องปิดการขายและการเจรจาทันทีครับเพราะของในโลกของการขาย ของขายแล้วคืนไม่ได้ มาคืนก็ไม่มีใครรับคืนครับ ข้อนี้ถือเป็นความลับอีกอันหนึ่งของเจรจาต่อรองเชียวนะครับ เช่น เราซื้อบ้านจ่ายเงินไปเรียบร้อยแล้ว บอกไม่เอาไม่ได้ครับ หรืออาจได้แต่เป็นอีกราคาหนึ่งที่น้อยกว่าตอนจ่ายเงินซื้อ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับsmartsmehttps://www.smartsme.co.th/content/249873#!
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/04/2024
เอไอเอ ประเทศไทย โดย นายนายสุวิรัช พงศ์เสาวภาคย์ ผู้อำนวยการฝ่ายกำกับดูแลธุรกิจด้านกฎหมายและกิจการภายนอก เป็นตัวแทนรับโล่ประกาศเกียรติคุณ จาก พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี และประธานมูลนิธิพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ในการที่เอไอเอ ประเทศไทย มีส่วนร่วมสนับสนุนกรมธรรมธ์ประกันอุบัติเหตุจำนวน 111 กรมธรรม์ ให้แก่เจ้าหน้าที่และทหารเรือที่ปฏิบัติงานวางปะการังและบ้านปลาบริเวณหน้าหาดทิศตะวันออกของเกาะแสมสาร ภายใต้โครงการอนุรักษ์ทรัพยากรและวางปะการัง เกาะแสมสาร เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยโครงการดังกล่าว มุ่งดำเนินงานเพื่อฟื้นฟูและอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในแนวปะการัง บริเวณเกาะแสมสาร รวมทั้งยกระดับความสำคัญพื้นที่หมู่เกาะแสมสารให้เป็นพื้นที่คุ้มครองทางทะเล เกิดความเชื่อมโยงของระบบนิเวศป่าชายเลน ป่าชายหาด พื้นทราย สาหร่าย หญ้าทะเล บ้านปลา และแนวปะการัง ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจในด้าน ESG ของเอไอเอ ที่มุ่งมั่นรักษาและดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนให้แก่สังคม โดยถือเป็นหนึ่งในแนวทางการดำเนินงานที่เอไอเอให้ความสำคัญมาโดยตลอด ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives - เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าว จัดขึ้น ณ อ. สัตหีบ จ. ชลบุรี เมื่อเร็ว ๆ นี้
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
30/04/2024
06/01/2025
26/04/2024
30/04/2024
29/04/2024