คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ท่องเที่ยว

มิติใหม่กรมการกงสุล! “พาสปอร์ตหาย” ไม่ต้องแจ้งความ ขอทำเล่มใหม่ได้เลย

29/04/2024

ใครเคยทำพาสปอร์ตหายและจะไปขอทำเล่มใหม่ คงทราบดีว่าจะต้องไปแจ้งความที่สถานีตำรวจก่อน แล้วจึงนำใบแจ้งความไปขอทำเล่มใหม่ ซึ่งคนที่ทำพาสปอร์ตหายในต่างประเทศ จะรู้ดีเลยว่าการไปติดต่อสถานีตำรวจในต่างแดนยุ่งยากแค่ไหน และใช้เวลานานแค่ไหนต่อไปนี้ ความยุ่งยากจะหมดไป เพราะกรมการกงสุลมุ่งอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน จึงได้จัดทำแบบฟอร์มเพื่อบันทึกข้อมูลพาสปอร์ตสูญหาย สามารถไปที่สถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลทุกแห่งในต่างประเทศ และสำนักงานหนังสือเดินทางทั่วไทยได้เองโดยตรง ไม่ต้องไปสถานีตำรวจอีกต่อไปแล้ว โดยไปกรอกในวันที่ไปติดต่อขอทำพาสปอร์ตเล่มใหม่ หรือขอเอกสารเดินทางฉุกเฉินเพื่อเดินทางกลับไทยแบบฟอร์มนี้จะใช้ทั้งที่กรมการกงสุล สำนักงานต่าง ๆ ในไทยและในต่างประเทศ ซึ่งข้อมูลจะถูกบันทึกและส่งไปยัง INTERPOL เพื่อจัดเก็บไว้ในระบบฐานข้อมูลพาสปอร์ตที่สูญหายหรือถูกขโมยสำหรับป้องกันการปลอมแปลงพาสปอร์ตหรือนำไปใช้ในทางมิชอบทั้งนี้ พาสปอร์ตเป็นเอกสารสำคัญที่ระบุข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งใช้แสดงตนในการเดินทางและทำธุรกรรมต่าง ๆ จึงต้องเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี เพื่อป้องกันพาสปอร์ตตกไปอยู่ในความครอบครองของมิจฉาชีพ ดังนั้น การแจ้งความ ที่สถานีตำรวจยังคงมีความสำคัญโดยจะเป็นหลักฐานจำเป็นในการคุ้มครองเจ้าของพาสปอร์ต หากมีคนแอบอ้างไปกระทำการใด ๆ ที่ผิดกฎหมายซึ่งอาจถูกดำเนินคดีได้แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000025994

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

การรับมรดกที่ดินเมื่อผู้ถือครองเสียชีวิต ไม่มีพินัยกรรมทายาททำอย่างไร

22/03/2024

การรับมรดกที่ดินเมื่อผู้ถือครองเสียชีวิต ไม่มีพินัยกรรมทายาทหากจดทะเบียนผู้จัดการมรดก ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง การรับมรดกที่ดินเมื่อผู้ถือครองเสียชีวิต เมื่อเจ้าของที่ดินหรือผู้มีชื่อในเอกสารเกี่ยวกับที่ดิน  ( เช่น โฉนดที่ดิน หรือ น.ส.3 หรือ น.ส.3 ก. หรือ น.ส.3 ข.)  เสียชีวิตลงไปที่ดินแปลงนั้นก็จะเป็นมรดก  ซึ่งจะตกทอดแก่ทายาทของผู้ตาย  โดยสิทธิตามกฎหมายหรือโดยพินัยกรรมที่เจ้ามรดกทำไว้ ทายาทที่มีสิทธิตามกฎหมายหรือทายาทโดยธรรมมี 6 ลำดับ แต่ละลำดับมีสิทธิได้รับมรดกก่อนหลัง ดังต่อไปนี้   •  ผู้สืบสันดาน (บุตร, หลาน, เหลน, ลื้อ)   •  บิดา มารดา   •  พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน   •  พี่น้องร่วมบิดา หรือร่วมมารดาเดียวกัน   •  ปู่ ย่า ตา ยาย   •  ลุง ป้า น้า อา คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ถือเป็นทายาทโดยธรรม มีสิทธิรับมรดกร่วมกับทายาทโดยธรรมทั้ง 6  ลำดับ โดยผู้มีสิทธิได้รับมรดกที่ดินจะต้องไปขอจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินนั้นที่สำนักงานที่ดินจังหวัด หรือสำนักงานที่ดินจังหวัดสาขา ในกรณีมีเอกสารเป็นโฉนดที่ดิน น.ส. 3 ข. และสำนักงานที่ดินอำเภอ ในกรณีมีเอกสารเป็น น.ส.3, น.ส.3 ก. ถ้าท้องที่ใดที่ได้มีประกาศกระทรวงมหาดไทยยกเลิกอำนาจหน้าที่ของนายอำเภอเกี่ยวกับการปฏิบัติการตามกฎหมายที่ดินแล้ว ไม่ว่าที่ดินจะเป็นโฉนดที่ดิน น.ส.3 หรือ น.ส. 3 ก.,น.ส.3  ข. จะต้องไปขอจดทะเบียนที่สำนักงานที่ดินจังหวัด หรือสำนักงานที่ดินจังหวัดสาขาที่ที่ดินตั้งอยู่ หลักฐานที่ต้องนำไปประกอบการขอรับมรดก คือ โฉนดที่ดิน หรือหนังสือรับรองทำประโยชน์ บัตรประจำตัว ทะเบียนบ้าน หลักฐานการตายของเจ้ามรดก เช่น มรณบัตร พินัยกรรม (ถ้ามี) ถ้าผู้ขอ ขอรับมรดกในฐานะเป็นคู่สมรส ต้องมีหลักฐานการสมรสที่ชอบด้วยกฎหมาย ถ้าผู้ขอรับมรดกเป็นบิดาเจ้ามรดก ต้องมีทะเบียนสมรสกับมารดาของเจ้ามรดกหรือหลักฐานการรับรองบุตร กรณีบุตรบุญธรรมเป็นผู้ขอรับมรดก ต้องแสดงหลักฐานการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม ถ้ามีกรณีพิพาทเกี่ยวกับมรดก ต้องนำสัญญาประนีประนอมยอมความหรือคำพิพากษาอันถึงที่สุดไปแสดง ถ้ามีผู้มีสิทธิรับมรดกร่วมกันหลายคน บางคนได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ต้องมีหลักฐานการตายของทายาทนั้น ๆ  ในกรณีที่มีผู้จัดการมรดก หลักฐานที่ต้องนำไป คือ คำสั่งศาลหรือคำพิพากษาของศาล หรือพินัยกรรมซึ่งตั้งให้ผู้ขอเป็นผู้จัดการมรดก หลักฐานการตายของเจ้ามรดก ทะเบียนบ้าน และบัตรประจำตัวของผู้จัดการมรดก โฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน ค่าคำขอ แปลงละ 5  บาท ค่าประกาศมรดก แปลงละ 10 บาท ค่าจดทะเบียนผู้จัดการมรดก แปลงละ 50  บาท ค่าจดทะเบียนโอนมรดก ร้อยละ 2 ตามราคาประเมินทุนทรัพย์ ในกรณีโอนมรดกระหว่างผู้บุพการีกับผู้สืบสันดาน หรือระหว่างคู่สมรส เรียกตามราคาประเมินทุนทรัพย์ ร้อยละ 0.5. ที่มา: กรมที่ดิน แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับฐานเศรษฐฏิจhttps://www.thansettakij.com/business/economy/591500

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

สาวอึ้งค่าผ่าตัด ไม่รู้ประกันเปลี่ยนวงเงิน ควักส่วนต่างอ่วม เหมือน รพ.มัดมือชก ออกเป็นใบบริจาค

29/04/2024

สาวอึ้งค่าผ่าตัด ไม่รู้ประกันเปลี่ยนวงเงิน ควักส่วนต่างอ่วม ทั้งที่บอกเองว่าไม่มี เหมือน รพ.มัดมือชก ออกเป็นใบบริจาค แถมผ่อน 0% ได้ 3 เดือนวันที่ 21 มี.ค.67 เฟซบุ๊กเพจ “อยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทริน์ part 6” เปิดเผยเรื่องราวของสาวรายหนึ่ง หลังเข้าผ่าตัด แต่ทางบริษัทประกันเปลี่ยนวงเงินโดยไม่ได้แจ้งให้ทราบ จนต้องจ่ายส่วนต่างเอง แถมยังถูกทางโรงพยาบาลมัดมือชก โดยระบุว่าโพสนี้..อยากจะเอาไว้เตือนความจำ #และความสะเพร่าของตัวเอง วันที่ 19 มี.ค. เข้ารับการผ่าตัดติ่งเนื้อในมดลูก ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง โดยค่าผ่าตัดแบบส่องกล้อง 45,000 บาท ก่อนเข้าผ่าตัด เจ้าหน้าที่ฝ่ายประกันของโรงพยาบาล ได้เช็คสิทธิ์จากประกันสุขภาพ (ประกันกลุ่ม) กับบริษัทประกันชีวิต แล้วแจ้งว่า บัตรประกันของเรา มีค่าผ่าตัด 40,000 บาท และค่าใช้จ่ายทั่วไป 40,000 บาท ซึ่งรวมแล้วครอบคลุมค่าใช้จ่าย การผ่าตัดแบบส่องกล้องรอบนี้ไม่มีส่วนต่างแต่ได้มีเอกสารให้เราเซ็นยินยอมว่า ถ้ามีส่วนเกิน เราจะต้องจ่ายส่วนต่างเอง โดยเบิกจากประกันสังคมไม่ได้ แต่ส่วนต่างนี้จะออกเป็นใบรับเงินชั่วคราวเป็นการบริจาคเข้าโรงพยาบาลแทนแต่พอผ่าตัดเสร็จ วันรุ่งขึ้นก่อนออกจากโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่การเงินแจ้งว่า มีค่าใช้จ่ายต้องจ่ายเพิ่ม 32,320 บาท เราจึงโทรสอบถามสิทธิ์ ตามบัตรประกันสุขภาพ โดยบริษัทประกันแจ้งว่า ตอนนี้บัตรเปลี่ยนวงเงินเหลือเป็นค่าผ่าตัด 25,000 บาท และค่าใช้จ่ายทั่วไป 25,000 บาท โดยวงเงินนี้ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.67ซึ่งทางบริษัทประกันไม่มีการจัดส่งบัตรใหม่ให้กับบริษัทที่เราทำงาน แจ้งว่าให้ดูผ่านแอพพลิเคชั่นแทน และทาง HR ก็ไม่แจ้งพนักงานถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงวงเงินเช่นกัน ส่วนตัวเราก็สะเพร่าที่ไม่เคยโหลดแอพพลิเคชั่นมาดู ซึ่งเรายึดตามหน้าบัตรเดิมคือวงเงินผ่าตัด 40,000 บาท และค่าใช้จ่ายทั่วไป 40,000 บาท โดยไม่ทราบมาก่อนว่า วงเงินในบัตรมีการเปลี่ยนแปลงเราก็คิดแล้วว่า ในเมื่อเราเข้ารับบริการแล้ว เราก็ต้องจ่ายเขา แต่เจ้าหน้าที่ผู้ชายของโรงพยาบาลพูดจาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว แล้วถามเราว่า “ตกลงคุณจะไม่จ่ายใช่ไหม” เราเป็นคนไข้ เป็นลูกค้า เราไม่ใช่คนที่ตั้งใจจะเข้าไปฉ้อโกงโรงพยาบาลเราจึงถามถึงความรับผิดชอบร่วมกันจากโรงพยาบาลในครั้งนี้ว่า ในเมื่อมีการเช็คสิทธิ์และแจ้งเราว่าไม่มีส่วนต่าง แต่เป็นความสะเพร่าของเจ้าหน้าที่หรือไม่ และหากคนไข้ที่ไม่เตรียมเงินมา หรือไม่มีเงินจ่าย จะทำอย่างไรเรารอคำตอบตั้งแต่ 11 โมงเช้า จนถึงบ่าย 3 โมงกว่า โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินแจ้งแบบเดิมว่า ยังไงคนไข้ก็ต้องจ่าย 32,320 บาท โดยจะให้แบ่งจ่าย 0% เป็นจำนวน 3 เดือน เราจึงพยายามขอคุยกับคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจของโรงพยาบาล คือ ผอ. แต่เจ้าหน้าที่ไม่โอนสายให้แต่ใช้เวลาเพียง 10 นาที แจ้งว่าทางโรงพยาบาลลดให้ 10%ถามว่า เราพึงพอใจไหม เอาจริงๆ ก็ไม่ได้พอใจกับการใช้บริการครั้งนี้ เหมือนเป็นการมัดมือชกว่าเราต้องจ่าย เปรียบเหมือนเราเอารถเข้าซ่อม ทางอู่ เสนอราคามา 80,000 บาท แต่พอรับรถ บอกว่ามีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก 32,320 บาท เราก็จำเป็นต้องจ่าย เพราะเราต้องการรถออกจากอู่แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับข่าวสดออนไลน์https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_8149894

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

เอาใจสายอาร์ตเที่ยวงานมหกรรมศิลปะ "ไทยแลนด์ เบียนนาเล่ เชียงราย 2023"

29/04/2024

สัปดาห์นี้ “พี่ม้ามังกร” เอาใจสายอาร์ต พาไปเปิดโลกแนะนำสถานที่ชมผลงานศิลปะร่วมสมัยชั้นยอด ที่ถ่ายทอดความมหัศจรรย์ของการสร้างสรรค์ได้อย่างน่าทึ่ง ภายใน งานมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ ไทยแลนด์ เบียนนาเล่ เชียงราย 2023 ซึ่งจัดทำเป็นพาวิลเลียนกระจายตัวอยู่ใน จ.เชียงราย รวม 12 กลุ่ม และเปิดให้ชมจนถึงวันที่ 30 เม.ย.นี้ครับเริ่มกันที่กลุ่มแรก กลุ่มศิลปินแม่ลาว ใช้พื้นที่ของ ทุ่งนาเรียวกัง และเรียวกังอาร์ตเซนเตอร์ ใน อ.แม่ลาว สร้างสรรค์ผลงาน “แม่ลาวเล่นกับโต้ง” เป็นหุ่นไล่กาทำจากฟางขนาดใหญ่เรียงรายในทุ่งนา ร่วมกับประติมากรรมต้นไม้แห่งศรัทธา ลูกสุนัขมุดดิน และไซดักปลา สะท้อนวิถีชีวิตที่ผูกพันกับการเกษตรและวัฒนธรรมพื้นบ้าน กลุ่มที่ 2 กลุ่มสล่าเมืองพาน ซึ่งแต่งแต้มศิลปะในรูปแบบของ Street Art บน ถนนพหลโยธินสายเก่า ตั้งแต่ สามแยกชัยมงคลถึงตลาดหกแยก หวังให้จดจำขึ้นใจได้ว่า “เมืองพานบ่ใช่เมืองผ่าน” กลุ่มที่ 3 กลุ่มศิลปินสีน้ำนานาชาติ ใช้ขัวศิลปะเมืองเชียงราย โชว์ผลงานละเลงสีน้ำ เป็นภาพอัตลักษณ์ของ จ.เชียงราย โดยใช้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเป็นข้อมูลอ้างอิงกลุ่มที่ 4 เดอะคาโนปี้ โปรเจกต์ ใช้พื้นที่ หอศิลป์ร่วมสมัยเมืองเชียงราย เสนอนิทรรศการเคลื่อนที่ในรูปแบบของตู้เก็บเครื่องมือ บอกเล่าเรื่องราวของผู้คน องค์กรที่โยงใยและมีปฏิสัมพันธ์กันในโลก กลุ่มที่ 5 โปรดักชัน โซเมีย ที่บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย มีงานศิลป์ถ่ายทอดเรื่องราว การมีส่วนร่วมระหว่างผู้คนและสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติที่อาศัยอยู่ในแถบภูมิภาคติดชายแดน ไทย ลาว และเมียนมา ในช่วงการโยก ย้ายถิ่นฐานกลุ่มที่ 6 พิพิธ ภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย ใหม่เอี่ยม จัดแสดงภายใน ร้านหนังสือ เวียงทองเก่า เป็นเรื่องราวเส้นทางโบราณของพ่อค้าวัวตามคำบอกเล่าของผู้คนชาวล้านนาด้วยภาพ และเสียง กลุ่มที่ 7 พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัย ใหม่วอร์ซอว์ ซึ่งพาศิลปะเคลื่อนไปสู่สถานที่ต่างๆ อาทิ โรงเรียน ชุมชน พร้อมกิจกรรมเวิร์กช็อปกลุ่มที่ 8 พุทธศิลป กรรม จัดแสดงภายใน อาคารปฐมาศารนุสรณ์ 2542 ม.แม่ฟ้าหลวง ถ่ายทอดภูมิปัญญาเรื่องไตรภูมิ จักรวาลวิทยาในพุทธ ศาสนา กลุ่มที่ 9 แม่ญิงอาร์ตติสคอลเลคทีฟ จัดแสดงใน ศูนย์ข้อมูล ศูนย์วิปัสสนาสากลไร่เชิญตะวัน สร้างสรรค์งานศิลปะบันทึกเหตุการณ์จากฝุ่นควัน PM 2.5 โดยหวังว่าอนาคตจะมีสิทธิมีอากาศหายใจที่ดีกว่านี้กลุ่มที่ 10 รูบาน่า จัดใน ตึก RJJ ถนนบรรพปราการ ใช้เก้าอี้เป็นหลักสร้างศิลปะสื่อผสม สื่อถึงองค์ประกอบทางทัศนศิลป์ กลุ่มที่ 11 Korean pavilion ที่ สิริวัฒน์ภัตตาคาร ใน ศูนย์วิปัสสนาสากลไร่เชิญตะวัน จัดแสดงงานหัตถกรรมร่วมสมัยที่มีเอกลักษณ์เกาหลีทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต และ กลุ่มที่ 12 PLUVIOPHILE ที่ สวรรค์บนดินฟาร์มแอนด์ทีเฮ้าส์ บ้านสันตาลเหลือง นำเสนอผลงานของศิลปินจากสามจังหวัดชายแดนใต้ว่าด้วยความทรงจำร่วมสมัยในพื้นที่ท่ามกลางฤดูฝนครับ.แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2769265

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

เตรียมตัว 'ปั่นจักรยาน' อย่างไร สำหรับมือใหม่หัดปั่น

29/04/2024

ใครที่เบื่อกับการออกกำลังกายแบบเดิมๆ การ "ปั่นจักรยาน" ถือเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ ที่จะช่วยให้สุขภาพแข็งแรง ได้ทั้งความสนุก ช่วยคลายเครียด แต่หากยังไม่รู้จะเริ่มปั่นอย่างไร หรือต้องเตรียมอุปกรณ์อะไรบ้าง บทความนี้มีคำตอบในปัจจุบัน ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น โดยการออกกำลังก็มีหลากหลายรูปแบบ เช่น เดิน วิ่ง และว่ายน้ำ รวมถึงตอนนี้กระแสการ ปั่นจักรยาน ก็เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่นิยมในกลุ่มนักดูแลสุขภาพ เพราะเป็นกีฬาที่ช่วยเผาผลาญแคลอรีได้เยอะ เบิร์นพลังงานได้อย่างดี หากรู้วิธีการปั่นที่ถูกต้อง รู้จักอุปกรณ์พื้นฐานที่ควรมี และสถานที่ปั่นจักรยานชิลๆ ก็จะทำให้การขี่จักรยานของทุกคนสนุก แถมได้ประโยชน์  •  ประโยชน์ที่ได้จากการ "ปั่นจักรยาน" มีอะไรบ้าง ?นักกีฬาปั่นจักรยานได้ชี้แนะถึงการขี่จักรยานให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดไว้ว่า ควรฝึกขี่จักรยานด้วยความเร็วที่คงที่อย่างสม่ำเสมอ เช่น ถ้าขี่ด้วยความเร็ว 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็ควรให้อยู่ในความเร็วเดียวกันตลอด ขี่ให้อยู่ในระดับโซน 2 ซึ่งโซน 2 นั้น จะช่วยให้ร่างกายของคนเราเผาผลาญไขมันได้ดี เสริมสร้างความอึด และใช้ความเร็วที่ไม่มากจนเกินไป แถมป้องกันการบาดเจ็บของร่างกาย ที่สำคัญเหมาะกับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ภาพ ธนาธิป จารุพัฒน์1. ช่วยให้หัวใจ และปอดแข็งแรงผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ ถ้า ออกกำลังกาย สม่ำเสมอจะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น เนื่องจากการ ปั่นจักรยาน คือการออกกำลังกายแบบ คาร์ดิโอ หรือ Cardio Exercise ที่จะช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดให้กล้ามเนื้อหัวใจ และปอดแข็งแรงขึ้นยิ่งขึ้น2. ช่วยให้การนอนดีขึ้นใครที่นอนหลับยาก หรือหลับไม่ค่อยสนิท การปั่นจักรยานวันละ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมงต่อวัน จะช่วยให้นอนหลับง่ายเนื่องจากได้ใช้พลังงานเยอะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะมาปั่นตอนกลางคืนแล้วเข้านอน ถ้าเป็นเช่นนั้นจะยิ่งทำให้ร่างกายของทุกคนตื่นตัวและอาจทำให้นอนหลับยากกว่าเดิม แนะนำให้ออกกำลังกายทุกประเภทในช่วงเวลาที่เหมาะสม จะช่วยให้ร่างกายจะตื่นตัว และได้รับความสดชื่นในทุกๆ วัน3. ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อการปั่นจักรยานอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้กล้ามเนื้อที่ขาแข็งแรงขึ้น เมื่อกล้ามเนื้อขาแข็งแรงแล้ว อยากแนะนำให้ทุกคนออกกำลังกายเสริมสร้างกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ ด้วย อย่างเวทเทรนนิ่ง เพื่อให้ได้กล้ามเนื้อครบทุกส่วน และลดอาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุในอนาคต4. ช่วยลดน้ำหนักทุกคนคงรู้กันดีว่าการออกกำลังกายที่ใช้แรงต้านเยอะๆ จะช่วยให้เพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้ดี ยิ่งถ้าปั่นด้วยความเร็วคงที่ร่างกายจะยิ่งดึงไขมันที่ค้างในตัวมาใช้ได้มากขึ้น แต่สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่ออกกำลังกาย การคุมอาหาร เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ยิ่งจะช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง และทำให้หุ่นลีนได้ไว5. ช่วยคลายเครียด อารมณ์ดี และลดความกังวลการได้ออกไปปั่นจักรยานตามสถานที่สวยๆ ออกไปทำกิจกรรมกับผู้คน ก็จะช่วยให้สมองโล่ง สนุก และทำให้อารมณ์ดีขึ้น แถมได้สร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้คนที่มาทำกิจกรรมนั้นๆ ถือเป็นเรื่องที่ดี ที่ได้ทั้งสุขภาพ และได้มนุษยสัมพันธ์ที่เพิ่มขึ้น จากที่อ่านมาข้างต้น หลายคนอาจจะเริ่มสนใจอยาก ปั่นจักรยาน กันแล้ว ที่นี้เรามาดูกันว่าสิ่งที่ควรต้องเตรียมพร้อมมีอะไรบ้าง โดยมีอุปกรณ์พื้นฐาน ดังนี้   •  อุปกรณ์พื้นฐานที่ต้องมีสำหรับปั่นจักรยาน1. จักรยานจริงๆ จักรยานทุกประเภทที่มี ณ ตอนนี้สามารถใช้ในการออกกำลังกายได้ทั้งหมด แต่วันนี้อยากแนะนำจักรยานที่นิยมใช้ในการออกกำลังกายมีทั้งหมด 3 ประเภท ดังนี้  •  เสือหมอบ : เหมาะกับผู้ที่ชอบขับขี่ด้วยความเร็ว เน้นเส้นทางเรียบเป็นหลัก ตัวล้อมีขนาดเล็ก ตัวแฮนด์มีความโค้งต่ำภาพ ธนาธิป จารุพัฒน์  •  ไฮบริด : จักรยานลูกผสมระหว่างเสือภูเขาและเสือหมอบ ลักษณะจุดเด่นคือแฮนด์มีลักษณะตรง ท่านั่งขับขี่สบายกว่าเสือหมอบ เน้นถนนเรียบหรือขรุขระเล็กน้อย  •  เสือภูเขา : สุดท้ายรถจักรยานประเภทนี้ ออกแบบมาสำหรับผู้ขับขี่แบบลุย เน้นการขึ้นเขา ลงเนิน ทางดิน ลักษณะเด่นของตัวรถนั้น จะมีขนาดล้อที่ใหญ่และมีโช้คซับแรงกระแทกภาพ ธนาธิป จารุพัฒน์ข้อสำคัญ ควรเลือกซื้อจักรยานให้ถูกไซส์กับตนเอง และเลือกคันที่ชอบที่สุด พร้อมทั้งสามารถเข้าไปลอง Fitting ตามร้านจักรยานได้เลยเพื่อให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์การใช้งานของตนเอง2. หมวกกันน็อกสำหรับจักรยานอุปกรณ์ชิ้นนี้ ถือเป็นอีกชิ้นที่สำคัญ เพราะเป็นอุปกรณ์ที่ควรใส่ทุกครั้งในการปั่นจักรยาน จะสามารถช่วยป้องกันการกระแทกได้หากเกิดอุบัติเหตุขณะปั่น ซึ่งหมวกกันน็อคก็มีทั้งหมด 3 แบบ ดังนี้  •  หมวกเสือหมอบ : มีลักษณะเน้นความลู่ลม ไม่ต้านลม  •  หมวกเสือภูเขา มี 2 แบบ : อย่างแรกแบบหมวกครึ่งใบจะเน้นระบายอากาศ บังแดด และบังฝนได้เล็กน้อย ส่วนหมวกเต็มใบใช้เน้นความปลอดภัยรอบๆ ศีรษะ มีความคล้ายหมวกกันน็อกมอเตอร์ไซค์ แต่เบากว่า เหมาะกับรถที่ดิ่งเขา เน้นความเร็ว  •  หมวกครึ่งวงกลม : จะเน้นไปทางแนวสตรีท เน้นคล่องตัวมีขนาดเบา ไม่มีปีก และลักษณะแข็ง3. แว่นตาสำหรับจักรยานมีไว้สำหรับกันลม และกันแมลงขณะที่ปั่นจักรยาน เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายขณะปั่น โดยแว่นตาจะมีให้เลือกทั้งแบบสีใส แบบสีสัน หรือทูโทนที่ปรับตามอุณหภูมิในตอนนั้น ส่วนใครที่ใส่แว่นสายตาอยู่แล้วก็สามารถใส่แว่นตนเองปั่นได้เช่นกัน แต่หากใครไม่รู้จะต้องเลือกแว่นอย่างไรสามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจากร้านขายอุปกรณ์จักรยานเฉพาะทางได้4. เสื้อปั่นจักรยานเสื้อปั่นจักรยานต่างจากเสื้อออกกำลังกายทั่วไปอย่างไร จริงๆ ไม่ต่างกันมากนัก แต่ถ้าใส่เสื้อเฉพาะสำหรับการปั่นจักรยาน ก็จะมีข้อดีอยู่ที่จะช่วยในการระบายความร้อน ระบายเหงื่อ ระบายอากาศได้ดีกว่า ไม่ทำให้ร้อนจนเกิดฮีทสโตรก และยังทำให้ขี่จักรยานคล่องตัว เพราะหากเจอลมปะทะแรงๆ เสื้อจะไม่รั้งนักปั่น 5. กางเกงปั่นจักรยานรู้หรือไม่? กางเกงปั่นจักรยาน ไม่เหมือนกางเกงทั่วไปที่ใส่กัน ซึ่งกางเกงประเภทนี้ ทำขึ้นมาในลักษณะที่มีซับในที่ช่วงก้น เพราะจะช่วยลดอาการบาดเจ็บ เนื่องจากเบาะจักรยานที่กล่าวมาข้างต้นนั้น มีลักษณะที่แข็งและมีความเล็กบาง ไม่เหมือนกับเบาะจักรยานพาณิชย์ที่ใช้ปั่นกันทั่วไป โดยความแข็งแตกต่างกันอย่างยิ่ง จึงจำเป็นต้องใส่การเกงสำหรับปั่นจักรยานโดยเฉพาะ6. ถุงมือนักปั่นจักรยาน ปั่นเป็นเวลานานบวกกับอากาศร้อนจะทำให้มีเหงื่อออกเยอะ มือลื่นจับแฮนด์ลำบาก อาจส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุในภายหลังได้ จึงจำเป็นที่จะต้องใส่ถุงมือเพื่อรองรับ7. ถุงเท้าข้อยาวถุงเท้าที่เหมาะสมกับการปั่นจักรยานจริงๆ ควรเป็นแบบข้อยาว เนื่องจากสามารถกันกระแทกจากบันไดจักรยานได้ แต่แบบข้อสั้นก็สามารถใช้ได้เหมือนกัน แต่อาจจะไม่ได้ซัพพอร์ตเท่ากับถุงเท้าข้อยาว8. รองเท้าออกกำลังกาย หรือรองเท้าคลีทสำหรับรองเท้า สามารถใส่รองเท้าผ้าใบแบบใดก็ได้ แต่ขอให้มีลักษณะพื้นรองเท้าที่แข็ง เนื่องจากจะทำให้ส้นรองเท้าพังหากพื้นรองเท้านิ่มไป แต่ถ้าคิดจะปั่นจริงจังแล้วแนะนำให้ใส่รองเท้าคลีทโดยเฉพาะดีกว่า เนื่องจากพื้นรองเท้าจะมีตัวที่เอาไว้ล็อกกับที่เหยียบขาบันได จะช่วยให้เวลาปั่นจักรยานเป็นเวลานานๆ จะสามารถควงขาได้เรื่อยๆ ไม่ทำให้ต้องออกแรงเหนื่อยเกินและที่ขาดไม่ได้ก็คือ กระบอกน้ำ หากเวลาปั่นไปในระยะไกลเราเหนื่อยก็สามารถนำมาจิบได้ระหว่างทาง และที่สำคัญไฟหน้าและไฟท้ายควรตรวจเช็กทุกครั้งก่อนเริ่มทำกิจกรรม หากปั่นตอนดึกจะได้มีแสงไฟลดการเกิดอันตรายระหว่างทาง ส่วนปลอกแขนนั้น ไว้กันผิวไหม้จากแสงเเดด สุดท้ายก็เป็นสิ่งที่จำเป็นอีกเช่นกันคือ กระเป๋าคาดหน้าท้อง หรือเป้เล็กๆ ที่มีน้ำหนักเบา ไว้ใส่ของจำเป็นติดตัว  •  อ่านมาถึงตรงนี้กันแล้ว ผู้ที่สนใจอยากปั่น แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปปั่นที่ไหน แนะนำสถานที่ปั่นจักรยาน ดังนี้1. สนามลู่ปั่นจักรยานเจริญสุขมงคลจิต (สนามบินสุวรรณภูมิ)2. สวนหลวง ร. 93. บางกระเจ้า4. ศูนย์กีฬาทางน้ำบึงหนองบอน5. สะพานเขียวสวนลุมพินี6. สวนเบญจกิติ7. สวนรถไฟ  •  ข้อควรระวังในการขี่จักรยานทุกคนรู้ว่า การออกกำลังกาย เป็นสิ่งที่ดี และมีประโยชน์ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเหมาะกับการออกกำลังกายประเภทใดประเภทหนึ่ง ใครที่มีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งว่าตนเองเหมาะกับการออกกำลังกายแบบไหน และทุกครั้งที่ออก สิ่งที่ควรพกติดตัวเสมอคือยาโรคประจำตัว (หากถ้ามี) และขอย้ำให้ทุกคนมีสติทุกครั้งในการขับขี่ เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/travel/1116514

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

ข้อมูลเครดิตสำคัญอย่างไร ‘เครดิตบูโร’ไขข้อสงสัยที่ทุกคนควรรู้

29/04/2024

ข้อมูลเครดิตมีความสำคัญอย่างไร "เครดิตบูโร"ไขข้อสงสัย เป็นส่วนหนึ่งโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศ 3 ส่วนใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เปิดเผยความรู้ถึงความสำคัญของข้อมูลเครดิต โดยระบุว่า เครดิตบูโรเปรียบเสมือนเป็น “ถังข้อมูลที่บ่งบอกพฤติกรรมในเรื่องการก่อหนี้ การชำระหนี้” ที่ใหญ่ที่สุดของระบบการเงินไทย หากใครก็ตามที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับธุรกรรมสินเชื่อในระบบ ก็สามารถขอตรวจสอบข้อมูลเครดิตเหล่านี้ได้จากเครดิตบูโร เครดิตบูโรนับได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศ และมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทย ทั้งสามภาคส่วน ดังนี้ 1. ระบบเศรษฐกิจไทย   •  เป็นสัญญาณเตือนภัยของระบบการเงิน คือ สามารถนำเอาข้อมูลเชิงสถิติมาวิเคราะห์ให้เห็นทิศทางและความเสี่ยงของธุรกรรมสินเชื่อในระบบ   •  เป็นเครื่องมือในการอ่านสัญญาณเศรษฐกิจของสถาบันต่าง ๆ เพื่อไปคิดต่อว่าควรต้องออกมาตรการหรือต้องไปทำอะไรในเชิงการบริหารความเสี่ยง   •  เป็น “โครงสร้างพื้นฐาน” ของระบบการเงิน คือ เป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ของระบบสถาบันการเงินในการนำมาใช้บริหารความเสี่ยงด้านการให้สินเชื่อ “ป้องกันการเกิดความล่มสลายอย่างที่เกิดมาในอดีต หากระบบทุกส่วนตรงนี้ดีมีประสิทธิภาพ เชื่อว่าระบบการเงินจะไม่มีปัญหารุนแรงถึงขั้นต้องไปยุ่งกับการค้ำประกันเงินฝาก เพราะปัญหาจะถูกจัดการตั้งแต่ต้นมือ อีกทั้งก่อนที่เหตุการณ์ต่าง ๆ จะไปถึงจุดนั้น ต้องผ่านระบบการบริหารความเสี่ยงของสถาบันการเงินที่เข้มงวดเป็นอย่างมาก” 2. สถาบันการเงินในฐานะผู้ให้กู้หรือเจ้าหนี้   •  มีระบบการบริหารความเสี่ยงในการให้กู้ยืม ป้องกันการเกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ซึ่งอาจส่งผลต่อปัญหาความไม่มั่นคงแก่ระบบสถาบันการเงิน และระบบเศรษฐกิจไทยโดยรวม ผ่านการใช้ข้อมูลเครดิตบูโร   •  ตรวจเช็กอาการของลูกหนี้ เพื่อวิเคราะห์หรือทบทวนสินเชื่อ จึงจำเป็นต้องทราบฐานะทางการเงินและประวัติการชำระหนี้ของผู้กู้อย่างเพียงพอ ว่ามีประวัติการชำระหนี้อย่างไร และมีภาระหนี้อยู่กับสถาบันการเงินอื่นมากน้อยเพียงใดในขณะใดขณะหนึ่ง 3.ผู้กู้หรือลูกหนี้   •  ตรวจเช็กข้อมูลเครดิต หรือตรวจเช็กสุขภาพทางการเงินของตัวเอง เพื่อเตรียมพร้อมวางแผนก่อนจะไปขอกู้   •  ตรวจเช็กประวัติการชำระทุกข้อมูลบัญชีสินเชื่อ หากข้อมูลไม่ถูกต้อง ขอแก้ไขได้   •  มีโอกาสที่จะได้ลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้ผู้กู้ที่มีประวัติผ่อนชำระดีศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับเครดิตบูโรได้ที่ www.ncb.co.th แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับเดลินิวส์ออนไลน์https://www.dailynews.co.th/articles/3244215/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

“มีห่วง-อยากทำประกัน”...แบบไหนถึงจะเหมาะกับเรา ?

29/04/2024

ถ้าตอนนี้เราคือ ผู้ที่มีคุณค่าสำหรับคนรอบข้าง หากขาดเราไปย่อมส่งผลกระทบเชิงลบ ถ้าเป็นแบบนี้เราสมควร “วางแผนประกันชีวิต” แต่ก่อนเลือกแบบประกันชีวิตต้องมี 4 รู้ก่อนรู้เป้าหมาย“ควรมีทุนประกันชีวิตเท่าไหร่” ซึ่งวิธีการคำนวนอาจมีหลากหลายแนวคิด จะเลือกใช้แนวคิดไหนก็ได้ แต่อยากให้กำหนดเป็นช่วง “ขั้นต่ำ” และ “ขั้นสูง” เพื่อที่จะได้สามารถมาช่วยจัดสมดุลให้เหมาะสมกับความสามารถในการชำระเบี้ยตัวอย่าง นายอบอุ่น อายุ 35 ปี มีรายได้เดือนละ 100,000 บาท มีลูกชาย 1 คน อายุ 1 ปี หากวันนี้นายอบอุ่นเกิดเสียชีวิต อยากให้มีเงินให้กับครอบครัวเหมือนกับตอนที่นายอบอุ่นยังมีชีวิตอยู่จนกว่าลูกชายจะบรรลุนิติภาวะ (อายุ 20 ปีบริบูรณ์) ดังนั้นแนะนำทุนประกันที่ควรมี เท่ากับ 100,000บาท x 12 เดือน x 20 ปี = 24 ล้านบาท (แต่ถ้าหากมีอัตราการเพิ่มของเงินเดือนปีละ 4% ทุนประกันที่ควรมีจะเท่ากับ 35.7ล้านบาท)แต่ถ้ามองมุมค่าใช้จ่ายของครอบครัว ใช้เดือนละ 40,000 บาท และค่าเทอมลูกปีละ 80,000บาท ทุนประกันชีวิตที่ควรมี เท่ากับ 40,000 บาท x 12 เดือน บวกกับ 80,000บาท ทั้งหมด x 20 ปี = 11.2 ล้านบาท (แต่หากมีอัตราเงินเฟ้อ 3% ทุนประกันที่ควรมีจะเท่ากับ 15 ล้านบาท)จากตัวอย่าง เป้าหมายทุนประกันที่ควรมีจะอยู่ระหว่าง 11.2 ล้านบาท ถึง 35.7 ล้านบาทรู้ปัจจุบันรวบรวมข้อมูลการเงินในปัจจุบัน โดยอาจจะแบ่งง่ายๆ เป็น 4 ส่วนส่วนแรก: คือ สินทรัพย์ที่ไม่ต้องการเปลี่ยนเป็นเงินสดเพื่อใช้จ่ายได้ เช่น บ้านที่อยู่ปัจจุบันส่วนสอง: คือ สินทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้ แต่ต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน เช่น คอนโดปล่อยเช่า ที่ดินเกร็งกำไรส่วนสาม: คือ สินทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่าย เช่น เงินฝากในธนาคาร กองทุนรวม หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ส่วนสี่: คือ ทุนประกันชีวิตในกรมธรรม์ประกันชีวิต“ซึ่งให้รวมจำนวนเงินส่วนที่ 3 และ 4 เพื่อจะได้รู้จำนวนเงินที่ครอบครัวสามารถนำมาใช้ได้หากคุณเสียชีวิต เช่น นายอบอุ่น มีกองทุน SSF และ RMF รวม 2 ล้านบาท มีทุนประกันชีวิต 1 ล้านบาท แสดงว่านายอบอุ่นเตรียมไว้ 3 ล้านบาท”รู้สภาพคล่องดูความสามารถในการชำระเบี้ยประกัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกแบบประกันที่เหมาะสม เพราะถึงแม้จะทำทุนประกันให้เพียงพอแต่ไม่มีความสามารถในการชำระเบี้ยก็จะทำให้แผนการเงินในปัจจุบันไม่ประสบความสำเร็จตัวอย่าง นายอบอุ่น รายได้ปัจจุบัน 100,000 บาท ใช้จ่ายเดือนละ 40,000 บาท ถูกหักภาษีเดือนละ 5,000 บาท เก็บออมเพื่อยามเกษียณเดือนละ 25,000 บาท มีกระแสเงินสดคงเหลือ 100,000 – 40,000 – 5,000 – 25,000 = 30,000 บาทต่อเดือน หรือ 360,000 บาทต่อปีรู้แบบประกันแบบประกันมีทั้งหมด 4+1 ประเภทเมื่อมี 4 รู้แล้ว ก็ถึงเวลามาเลือกแบบประกันที่เหมาะสมกับโจทย์ ตัวอย่าง กรณีคุณอบอุ่นรู้เป้าหมาย: ทุนประกันที่ควรมี อยู่ระหว่าง 11.2 ล้านบาท - 35.7 ล้านบาทรู้ปัจจุบัน: เตรียมไว้แล้ว 3 ล้านบาท (ทุนประกัน 1 ล้านบาท + กองทุนภาษี 2 ล้านบาท)ดังนั้น ยังขาดทุนประกันในช่วง 8.2 ล้านบาท - 32.7 ล้านบาทรู้สภาพคล่อง: กระแสเงินสดคงเหลือ 360,000 บาทต่อปีจากนั้นมาเลือกแบบประกันที่มีความเหมาะสม โดยคุณอบอุ่น เพศชาย อายุ 35 ปี ความคุ้มครองอย่างน้อย คือ 20 ปี แบบประกันที่มีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป และเลือกที่ชำระเบี้ย 20 ปี“นี่คือเหตุผลที่ทำไมประกันถึงมีหลากหลายแบบ เพราะโจทย์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน มุมมองและความชอบต่อประกันที่ไม่เท่ากัน และมีปัจจัยสนับสนุนที่แตกต่างกันอีกด้วย ดังนั้น ก่อนที่จะเลือกทำประกันอยากให้ตั้งวัตถุประสงค์ของประกันเล่มนั้นๆ อย่างชัดเจน เพราะพิจารณาความสามารถในการชำระเบี้ยด้วย”เพราะ “การวางแผนการเงินที่ดี” คือ การรักษาสมดุลให้เหมาะสมทั้งปัจจุบันและอนาคต พร้อมป้องกันความเสี่ยงหรือพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอีกด้วยแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ wealthythaihttps://www.wealthythai.com/en/updates/wealth-management/wealth-ez/21692

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

ชะตากรรมต้นไม้ใหญ่จากผืนนาสู่เมือง : ภาพถ่าย เรื่องเล่า ธุรกิจไม้ล้อม

29/04/2024

ชวนดูนิทรรศการต้นไม้ในวารินแล็บ เจริญกรุง 36 และเรื่องเล่าต้นไม้ที่ถูกล้อม เดินชิลๆ แวะ 4 สถานที่ดูต้นไม้ใหญ่ และชวนกินไอศกรีมร้านดั้งเดิมไม้ล้อม หรือไม้ขุดล้อม เป็นธุรกิจที่ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็ทำได้ เนื่องจากลงทุนสูงในเรื่องเทคโนโลยี ทั้งการขุด ล้อม และการดูแลจัดส่งต้นไม้นอกจากนี้คนทำธุรกิจไม้ล้อม ยังต้องเสาะแสวงหาต้นไม้ใหญ่ ฟอร์มสวย ทั้งจากชุมชนและท้องนา เพื่อขุดล้อมส่งขายให้คนร่ำรวย ขั้นตอนตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง จึงมีผู้เกี่ยวข้องหลายส่วน ไม่เว้นแม้กระทั่งคนเลี้ยงวัวยิ่งเมื่อพระราชบัญญัติป่าไม้ ( ฉบับที่ 8 ) พ.ศ.2562 ยกเลิกมาตรา 7 ปลดล็อกปลูกไม้หวงห้าม และใช้ประโยชน์จากไม้หวงห้ามในที่ดินกรรมสิทธิ์ได้ สามารถตัดทิ้งได้หรือถูกขุดล้อมออกจากพื้นที่ เพื่อขายทำเงินได้มากขึ้นล่าสุดภาพเล่าเรื่องธุรกิจไม้ล้อมในนิทรรศการ Tree Mangement Agency ในแกลอรี่เล็กๆ วารินแล็บ คอนเท็มโพรารี ย่านเจริญกรุง 36 (เปิดให้ชมวันอังคาร-เสาร์ ตั้งแต่วันนี้-23 มีนาคม 67)  เลือกที่จะนำเสนอเรื่องการเคลื่อนย้ายต้นไม้ใหญ่ และการจัดการพื้นที่สีเขียวในเมืองนำเสนอโดย ประทีป สุธาทองไทย อาจารย์ภาควิชาทัศนศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และโรเบิร์ต จ้าว เหรินฮุ้ย ชาวสิงคโปร์ ศิลปินทั้งสองต้องการสื่อสารเรื่องต้นไม้ใหญ่ที่หายไปผลงานนิทรรศการ Tree Mangement Agency ในแกลอรี่เล็กๆ วารินแล็บ คอนเท็มโพรารีภาพที่เห็นในนิทรรศการ จึงไม่ใช่ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสวยงาม แต่เป็นไม้ใหญ่ที่ถูกล้อมขุด โดยศิลปินตามไปดูคนทำธุรกิจการขุดล้อมไม้ใหญ่กลางท้องนา พร้อมๆ กับคำถามมากมายเล่าเรื่องด้วยภาพ : ล้อมต้นไม้ใหญ่แม้ต้นไม้ใหญ่ฟอร์มสวยที่ถูกพรากจากอีสานจะเป็นแค่ส่วนเล็กๆ แต่เมื่อหลอมรวมกันแล้ว ย่อมมีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลกได้ไม่มากก็น้อย“การปรับพื้นที่ทำการเกษตร และการปรับกฎหมายในปี 2562 ทำให้ต้นไม้ในพื้นดินกรรมสิทธิ ไม่ว่าหวงห้ามหรือไม่ก็ตัดได้ จึงกลายเป็นสินค้าแต่งสวนในบ้านคนรวย บางต้นไปไกลถึงสิงคโปร์”อาจารย์ประทีป เล่า หลังจากเดินดูต้นไม้ใหญ่ร่วมกับกลุ่มบิ๊กทรี และวารินแล็บ คอนเท็มโพรารี เมื่อปีที่แล้วศิลปินลงพื้นที่สำรวจต้นไม้ในอำเภอคำเขื่อนแก้ว จ.ยโสธร ติดตามผู้คร่ำหวอดในธุรกิจต้นไม้ใหญ่กว่า 20 ปีไปดูการล้อมต้นไม้ใหญ่“คนไทยคิดว่าเรามีต้นไม้ใหญ่เยอะ ไม่ต้องเสียดาย จึงถูกตัดทิ้งง่ายๆ ต้นไม้ขนาดใหญ่ฟอร์มสวยเป็นที่ต้องการตลาด บางต้นล้อมไว้ก่อน รอคนซื้อ แล้วค่อยยกออกจากพื้นที่”นั่นคือที่มาของผลงานชุด UPROOT ของประทีป ส่วนโรเบิร์ตนำเสนอภาพผลงานชุด The 19 ในปี 2014 เขาเฝ้าสังเกตต้นไทรต้นหนึ่ง โดยซ่อนกล้องไว้ในต้นไม้  จนสามารถบันทึกภาพนกได้ 19 สายพันธุ์ และเมื่อต้นไทรต้นนั้นถูกล้อมและขุดออกจากพื้นที่ นกสวยๆ ก็หายไป ซึ่งเป็นความเปราะบางของระบบนิเวศที่เขาอยากสื่อสารนกที่โรเบิร์ตซ่อนกล้องถ่าย ผลงานชุดThe 19ส่วนภาพถ่ายผลงานชุด UPROOT ของประทีป สื่อถึงอุตสาหกรรมล้อมต้นไม้ เขาถ่ายภาพจัดแสงเน้นไปที่การขุดล้อมโคนต้น เพื่อให้เห็นการตัดรากให้ลงตัวก่อนขนย้ายภาพเหล่านี้เป็นเสมือนความทรงจำครั้งสุดท้ายก่อนต้นไม้จะถูกเคลื่อนย้าย โดยตั้งคำถามกับการพัฒนาเมืองและความยั่งยืน“จากเดิมชาวบ้านปลูกต้นไม้ ไว้สร้างบ้านและให้ร่มเงา แต่ทุกวันนี้มีมูลค่า มีคนมาขอซื้อต้นไม้ใหญ่ในที่ดิน บางทีซื้อจากชาวบ้านหลักพัน แต่พอมาอยู่ในตลาดหลักหมื่นหลักแสน หรือไม่ก็เจ้าของที่ดินตัดต้นไม้เพื่อปรับพื้นที่ทำนา เพราะร่มเงาทำให้ต้นข้าวไม่โต”ประทีป เล่า“นิทรรศการนี้ ผมทำขึ้นเพื่อให้คนตระหนักและเห็นมิติอื่นๆ จะโทษธุรกิจอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องเข้าใจปัจจัยชีวิตคนในชุมชนด้วย จะโลกสวยอนุรักษ์อย่างเดียว ก็ไม่ใช่”ศิลปินตามไปดูล้อมต้นไม้ใหญ่ ก่อนถ่ายภาพไม้ใหญ่ ฟอร์มสวย ต้องอีสานแหล่งต้นไม้ใหญ่ฟอร์มสวย ไม่ว่าตะแบก ชุมแสง หว้า เสม็ดแดง มะขาม ต้องภาคอีสาน เนื่องจากมีพื้นที่แห้งแล้ง น้ำท่วมถึง ทำให้ต้นไม้ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด จึงมีรูปทรงแปลกๆ“คนซื้อต้นไม้ไปจัดสวนก็คิดแค่การมองเห็น แต่ไม่รู้สึก คนทำธุรกิจไม้ล้อมก็คิดว่าช่วยต้นไม้ให้รอดตายเป็นความหวังดีต่อต้นไม้ แต่ในความเป็นจริง อาจไม่ใช่" ประทีป เล่า นั่นเพราะกระบวนการขนย้ายต้นไม้ ตัดกิ่งก้านสาขาต้นไม้ให้กว้างไม่เกินสามเมตรเพื่อใส่รถบรรทุก แม้จะตัดรูปทรงสวยแค่ไหน แต่ต้นไม้ที่เติบโตในธรรมชาติ ย่อมสวยงามกว่าธุรกิจล้อมขุดต้นไม้ใหญ่ธุรกิจไม้ล้อมที่ศิลปินไปพบเห็นและเก็บข้อมูล พอสรุปคร่าวๆ ได้ว่า  •  ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่คร่ำหวอดในวงการ ทั้งรับจัดหา ล้อมต้นไม้ ขนส่ง ออกแบบงานประดับ ทำแบบครบวงจร  •  มีการทำสัญญาซื้อขายถูกต้องในฐานะทรัพย์สินมีมูลค่า จะเคลื่อนย้ายเมื่อมีผู้ตกลงซื้อ  •  ลูกค้าต้นไม้ล้อม ส่วนใหญ่เป็นเศรษฐี ข้าราชการชั้นสูง นิยมปลูกต้นไม้ใหญ่ประดับบ้าน เพื่อแสดงบารมี โดยผู้ทำธุรกิจนี้จัดส่งให้นักออกแบบ หรือทีมจัดสวน  •  ในการเสาะแสวงต้นไม้ใหญ่ หากคนในพื้นที่ชอบพอกับผู้มาขอซื้อ อาจยกต้นไม้ในที่ดินของตนให้ฟรีๆ หรือขายในราคาถูก เนื่องจากต้องการเอาต้นไม้ออก เพื่อใช้เป็นพื้นที่ทำกิน   •  การยกเลิกวรรคหนึ่งของมาตรา 7 ในพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2562 ว่าไม้ทุกชนิดที่ขึ้นในที่ดินกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน ไม่เป็นไม้หวงห้าม ทำให้เกิดขายซื้อขายและขนย้ายต้นไม้ออกจากที่ดินเป็นจำนวนมาก  •  ไม้ล้อมที่มีราคาสูง พิจารณาจากขนาด รูปทรง พุ่มยอด และการแตกกิ่ง โดยเฉพาะความแปลกของรูปทรง ปูดโปน (คล้ายไม้ดัด) โคนใหญ่ ราคาจะสูงเป็นพิเศษ ทั้งนี้ต้นไม้ต้องมีสภาพสมบูรณ์ ไม่มีแผลการจากถูกเผาไม้มาก่อน  •  ไม้ล้อมแต่ละต้น จะต้องถูกตัดแต่งกิ่งก้าน ให้มีขนาดที่สามารถขนย้ายด้วยรถได้ ไม้ล้อมจึงเสียรูปทรงกิ่งก้านที่มีอยู่เดิมจากการถูกย้ายร้านฮาร์โมนิค เยื้องๆ ห้องสมุดดรุณบรรณาลัย เจริญกรุง 34 (ภาพ : BIG Trees)เดินดูต้นไม้ใหญ่กับบิ๊กทรีเป็นครั้งแรกที่กลุ่มบิ๊กทรีทำงานร่วมกับวารินแล็บ คอนเท็มโพรารี เพื่อสร้างความเข้าใจเรื่องต้นไม้ใหญ่กิจกรรมเดินดูต้นไม้ใหญ่ครั้งนี้ ฐิติพร คูณเจริญ รุกขกร และอรยา สูตะบุตร ผู้ก่อตั้งกลุ่มบิ๊กทรี นำชมและให้ความรู้ 4 สถานที่    •  1. ด้านหน้าวารินแล็บ ซอยเจริญกรุง 36 ข้างๆ มีร้านอาหาร มีต้นไม้ขนาดกลางจัดเป็นสวนเล็กๆ มีที่นั่งพักเหนื่อย แม้จะเป็นช่วงบ่ายๆ ที่แดดจัด ต้นไม้เป็นร่มเงาได้ดีทีเดียวแนน- ฐิติพร รุกขกร ชี้ชวนให้ดูต้นไม้ใหญ่บริเวณนั้น กิ่งก้านแบบไหนตัดไม่ถูกวิธี ทำให้ลำต้นฉีกมีแผล หรือไม่ก็งตัดลึกเกินคอกิ่ง รวมถึงแผลโพรงต้นไม้ที่เกิดเชื้อราและที่สุดก็ตาย รวมถึงตัดบั่นยอด เทปูนทับโคนต้นไม้ ซึ่งไม่ดีต่อต้นไม้สารพัดเรื่องราวการตัดแต่งต้นไม้ผิดวิธี รุกขกร แนะว่า ถ้าตัดต้นไม้ผิดหลัก ต้นไม้จะตกใจ ออกเป็นกิ่งเล็กๆ หรือกิ่งกระโดงเยอะมาก หรือเวลาต้นไม้ป่วย สังเกตได้ว่าใบจะค่อยๆ แห้ง ไม่เขียว ไม่มัน“ส่วนใหญ่เราไม่ค่อยสังเกตต้นไม้ที่มีกิ่งผุ หรือมีโพรง มันพร้อมจะหักโคนลงมา ก่อให้เกิดอุบัติเหตุโดยไม่ทันตั้งตัว”ร่มรื่นชวนนั่งอ่านหนังสือที่ห้องสมุดดรุณบรรณาลัย  •  2. ห้องสมุดดรุณบรรณาลัย ซอยเจริญกรุง 34 เป็นบ้านโบราณอายุเกือบ 100 ปี เป็นห้องสมุดหนังสือภาพสำหรับเด็กปฐมวัยแห่งแรกของไทย มีที่นั่งอ่านหนังสือ ภายในมีต้นมะม่วงสูงใหญ่สี่ต้น คาดว่าจะปลูกมาตั้งแต่สร้างบ้าน เสียดายว่า โคนต้นไม้ใหญ่ถูกปกคลุมด้วยผืนหญ้าเทียม เพื่อสะดวกในการดูแลรักษาห้องสมุดนี้เปิดทุกวันพุธ-อาทิตย์ เวลา 10.00-17.00 น. ในวันเสาร์-อาทิตย์มักมีกิจกรรมพิเศษสำหรับเด็กๆ ที่น่าสนใจโดยพี่ๆ บรรณารักษ์และอาสาสมัคร  •  3. ร้านฮาร์โมนิค เยื้องๆ ห้องสมุดดรุณบรรณาลัย เป็นอีกร้านที่คนแนะนำอาหาร เรียกว่า ร้านลับ ที่น่าสนใจคือ ภายในร้านมีต้นไทรขนาดใหญ่สองต้น บรรยากาศต่างจากร้านอาหารทั่วไป แม้อายุต้นไม้จะอายุไม่เท่าบ้านร้อยปี แต่มีอายุพอๆ กับร้านอาหารที่เปิดมา 30-40 ปี  และเป็นอีกร้านที่ชาวต่างชาติชื่นชอบรสอาหารและบรรยากาศเปิดบริการทุกวันจันทร์-เสาร์ เวลา 11.00-22.00 น.(ปิดวันอาทิตย์) เบอร์ติดต่อ 02 6306270ภาพเฟซบุ๊ค พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก  •  4. พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก เคยเป็นสมบัติของอาจารย์วราพร สุรวดี ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของกรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่ซอยเจริญกรุง 43 ตรงข้ามไปรษณีย์กลาง เดินเข้าซอยไม่ไกล ปากซอยตึกด้านซ้ายมีร้านไอศกรีมโบราณ ฮงฮวด ซึ่งเป็นร้านเก่าแก่ รสชาติอร่อยไม่หวานมากภายในพิพิธภัณฑ์ชาวบางกอกมี4 อาคาร อาคารไม้หลังแรกเป็นทรงปั้นหยารุ่นปลาย มุ่งกระเบื้องว่าวสีแดง สร้างในปี 2480 ด้านในมีของเก่าเก็บให้ดูจำนวนมาก ภายในมีต้นไม้ร่มรื่นน่าเดินเที่ยวสำหรับคนที่เสพติดร้านกาแฟ ข้างๆ พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก มีร้าน Enjoy One Craft & Eatery บรรยากาศดีต้นไม้เยอะพิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก เปิดวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 10.00-16.00 น. เข้าชมไม่เสียค่าใช้จ่ายแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1117888

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

Top 6 พาสปอร์ตทรงอิทธิพลที่สุดในโลกประจำปี 2024

21/03/2024

เชื่อหรือไม่ว่ามีการจัดอันดับความ “ทรงพลัง” ของพาสปอร์ตด้วย และผลปรากฏว่า พาสปอร์ตสหรัฐอเมริกาไมได้อยู่อันดับต้นๆตามดัชนี Henley Passport Index ประจำปี 2024 พลเมืองของ 6 ประเทศ ถือครองพาสปอร์ตที่ทรงพลังที่สุดในโลก ได้แก่ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และสเปนถือเป็นครั้งแรกในรอบ 19 ปี ที่ดัชนีนี้จัดทำขึ้น ที่มีถึง 6 ประเทศครองอันดับ 1 ร่วมกัน ซึ่งหมายความว่า ผู้ถือพาสปอร์ตเหล่านี้สามารถเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางส่วนใหญ่ทั่วโลกโดยไม่ต้องขอวีซ่า โดยสามารถเดินทางเข้าได้ถึง 194 ประเทศ จากทั้งหมด 227 ประเทศตามมาติดๆ ด้วยเกาหลีใต้ สวีเดน และฟินแลนด์ ซึ่งสามารถเดินทางได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า 193 ประเทศ ส่วนอันดับ 3 ร่วม ได้แก่ ออสเตรีย เดนมาร์ก ไอร์แลนด์ และเนเธอร์แลนด์ ผู้ถือพาสปอร์ต 4 ประเทศนี้สามารถเดินทางได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า 192 ประเทศพาสปอร์ตอเมริกาอยู่อันดับ 7 ของโลก พลเมืองอเมริกันถือพาสปอร์ตที่ทรงพลังเป็นอันดับ 7 ของโลก โดยสามารถเดินทางไปยัง 188 ประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่าย้อนกลับไปในปี 2014 สหรัฐอเมริกาเคยครองอันดับ 1 ร่วมกับสหราชอาณาจักร แต่ปัจจุบันอันดับของพาสปอร์ตอเมริกาได้ตกลงมาอยู่ที่ 7ขอขอบคุณข้อมูล :usatodayแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1447183/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ภาษี

นักออมเงินทราบหรือไม่ ดอกเบี้ยเงินฝากต้องเสียภาษี?

20/03/2024

ปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ของผู้มีรายได้ จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ทำให้กรมสรรพากรสามารถทราบรายได้ของคุณได้ จากการส่งข้อมูลดอกเบี้ยเงินฝากโดยสถาบันการเงินส่งให้กับกรมสรรพากร และหากมีรายได้ผิดปกติมีผลให้ถูกตรวจสอบ ตลอดจนถูกเรียกเก็บภาษีได้ โดยทั่วไปบัญชีเงินฝากออมทรัพย์จะคิดดอกเบี้ยให้ผู้ฝากทุกวัน แต่จะจ่ายดอกเบี้ยให้ผู้ฝากปีละ 2 ครั้ง คือ ในเดือนมิถุนายนและธันวาคม ซึ่งดอกเบี้ยที่ได้รับในแต่ละงวดก็จะมารวมเป็นเงินต้นสำหรับคิดดอกเบี้ยในแต่ละวันต่อไปด้วย ซึ่งในปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ของผู้มีรายได้ จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ทำให้กรมสรรพากรสามารถทราบรายได้ของคุณได้ จากการส่งข้อมูลดอกเบี้ยเงินฝากโดยสถาบันการเงินส่งให้กับกรมสรรพากร และหากมีรายได้ผิดปกติมีผลให้ถูกตรวจสอบ ตลอดจนถูกเรียกเก็บภาษีได้ หากรายได้และดอกเบี้ยของคุณถึงเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งในครั้งนี้จะขออธิบายเรื่องของดอกเบี้ยเงินฝากเพิ่มเติมดังนี้ ตัวอย่างการคำนวณดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์แบบคร่าวๆ ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยที่ได้แจกแจงรายละเอียดการคำนวณดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์โดยยกตัวอย่างดังนี้ เมื่อวันที่ 1 มกราคม นาย A ฝากเงินธนาคารไว้ 20,000 บาท โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี มี 6 เดือนระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน ถึง 31 ธันวาคมของทุกปี ดังนั้น นาย A จึงฝากเงิน 20,000 บาทไว้ทั้งปี และไม่ถอนออกหรือฝากเพิ่ม ซึ่งดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ที่นาย A จะได้รับในปีนี้สามารถคำนวณได้ดังนี้ เงินฝาก (ณ วันที่ 1 มกราคม) เงินต้น 20,000 บาท เงินฝาก+ดอกเบี้ย (ณ วันที่ 30 มิถุนายน) เงินต้น 20,197.26 (คิดดอกเบี้ย 2%) เงินฝาก+ดอกเบี้ย (ณ วันที่ 31 ธันวาคม) เงินต้น  20,203.63 (คิดดอกเบี้ย 2%) ระยะเวลาในการคำนวณจำนวนวันในการฝากเงินจะคำนวณถึงวันก่อนวันที่จ่ายดอกเบี้ย คือ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 29 มิถุนายน รวม 180 วัน ระยะเวลาในการคำนวณจำนวนวันในการฝากเงินจะคำนวณถึงวันก่อนวันที่จ่ายดอกเบี้ย คือ ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน ถึง 31 ธันวาคม รวม 184 วัน ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ที่ นาย A จะได้รับในปีนี้จะเท่ากับมูลค่าของเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม ลบด้วยมูลค่าของเงินฝาก ณ วันที่ 1 มกราคม = 20,203.63 บาท ลบด้วย 20,000.00 บาท หรือเท่ากับ 203.63 บาท ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม หาก นาย A ไม่ได้ถอนเงินต้นและดอกเบี้ยออกมา แต่ฝากเงินจำนวนดังกล่าวต่อเนื่องไป เงินต้นที่ถูกใช้ในการคำนวณดอกเบี้ยในปีถัดไปจะเท่ากับ 20,203.63 บาท ดอกเบี้ยออมทรัพย์แบบไหนที่ได้รับการยกเว้นภาษี จากตัวอย่างการคำนวณดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ที่ได้กล่าวไปแล้ว จะเห็นได้ว่าดอกเบี้ยประจำปีที่ผู้ฝากได้รับคือ 203.63 บาท ซึ่งดอกเบี้ยที่ได้รับนี้ ทางสถาบันการเงินของผู้ฝากจะต้องส่งข้อมูลให้กับกรมสรรพากร นอกจากนี้ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ ยังอาจจะต้องถูกหักภาษีด้วย แต่มีบางกรณีที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หากเข้าเงื่อนไงดังนี้ - ดอกเบี้ยและผลตอบแทนเงินฝากทุกบัญชีรวมกัน มีจำนวนไม่เกิน 20,000 บาทตลอดปีภาษี - ชื่อบัญชีเงินฝากและเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรที่ใช้ในการเปิดบัญชีเงินฝาก ต้องเป็นของผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยและผลตอบแทนเงินฝาก   - ผู้มีเงินได้ต้องแจ้งธนาคารซึ่งเป็นผู้จ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝาก ว่าไม่ให้นำส่งข้อมูลดอกเบี้ย และผลตอบแทนเงินฝากให้กับกรมสรรพากร ดอกเบี้ยออมทรัพย์ที่ต้องเสียภาษี เชื่อว่าหลายคนคงทราบดีอยู่แล้วเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ภาษีของกรมสรรพากร หากมีเงินอยู่ในบัญชีของผู้มีรายได้ไม่ว่าจะเป็นรายได้เงินฝากหรือเงินผ่านช่องทางบัตรเครดิต จากสถาบันการเงินต่างๆ มีหน้าที่ส่งข้อมูลไปยังกรมสรรพากร ซึ่งมีเงื่อนไขในการส่งข้อมูลคือ - เงินที่ฝากเข้าบัญชี 3,000 ครั้ง/ปี/บัญชี โดยไม่คำนึงถึงมูลค่าของแต่ละครั้ง  - จำนวนการฝาก 400 ครั้ง/ปี/บัญชี และยอดรวม (เฉพาะฝาก) เกิน 2 ล้านบาท และทางกรมสรรพากรยังได้กำหนดให้ธนาคารส่งข้อมูลเกี่ยวกับดอกเบี้ยออมทรัพย์แก่กรมสรรพากรโดยอัตโนมัติ โดยผู้มีเงินได้ที่ไม่ประสงค์ให้ธนาคารส่งข้อมูลให้กับกรมสรรพากรจะต้องแจ้งให้ธนาคารทราบ พร้อมกับต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย สำหรับดอกเบี้ยในอัตรา 15% โดยทางธนาคารจะดำเนินการหักภาษี ณ ที่จ่าย และให้ธนาคารซึ่งเป็นผู้จ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝาก นำส่งข้อมูลดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากของผู้ที่มีเงินได้ตามรูปแบบและวิธีการที่กำหนดบนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร และเก็บหลักฐานการยินยอมไว้เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ระยะเวลาในการนำส่งภายในกำหนดเวลา ดังนี้ - ข้อมูลการจ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากทั้งปี ซึ่งได้จ่ายก่อนหรือในวันที่ 31 ธันวาคม ให้นำส่งภายในเดือนมกราคมของปีถัดไป - ข้อมูลที่เกี่ยวกับการคำนวณเพื่อจ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากทั้งปี โดยคำนวณถึงวันที่ 15 พฤศจิกายนให้นำส่งภายในวันที่ 20 พฤศจิกายนของปีนั้น  - ข้อมูลที่เกี่ยวกับการคำนวณเพื่อจ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากในครึ่งปีแรก โดยคำนวณถึงวันที่ 15 พฤษภาคม ให้นำส่งภายในวันที่ 20 พฤษภาคมของปีนั้น - ข้อมูลการจ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนเงินฝากในครึ่งปีแรก ซึ่งได้จ่ายเงินก่อนหรือในวันที่ 30 มิถุนายน ให้นำส่งภายในเดือนกรกฎาคมของปีนั้น กล่าวโดยสรุป ตามประกาศของกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้จากดอกเบี้ยออมทรัพย์ หากผู้ได้รับดอกเบี้ยจากบัญชีออมทรัพย์รวมทุกบัญชีจากธนาคารเดียวกันเกิน 20,000 บาทในปีภาษีนั้น ธนาคารมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย 15% แต่ถ้ามีการฝากออมทรัพย์ในหลายๆ ธนาคารและมีดอกเบี้ยรับรวมกันเกินกว่า 20,000 บาทในปีภาษีนั้น ผู้ฝากมีหน้าที่แจ้งแก่ธนาคารผู้จ่ายดอกเบี้ย เพื่อให้ดำเนินการหักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่งกรมสรรพากรต่อไป แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับโพสต์ทูเดย์ออนไลน์https://www.posttoday.com/columnist/699146

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X