คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ภาษี

เตือนถูกหวยรางวัลที่ 1 แพลตฟอร์มเอกชน ไม่ได้ขึ้นเงินเอง อาจถูกประเมินภาษีสูงสุด 35%

30/04/2024

บนโซเชียลฯ แชร์ ผู้ที่ถูกรางวัลจากแพลตฟอร์มออนไลน์เอกชน รางวัลใหญ่ไม่ได้ขึ้นเงินกับสำนักงานสลากฯ เอง อาจไม่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ และถูกประเมินภาษีเงินได้สูงถึง 35% พบประเด็นนี้เป็นที่ถกเถียงเมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา วันนี้ (20 ธ.ค.) บนโซเชียลฯ มีการแชร์ข้อความจากผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ระบุว่า "แจ้งข่าวร้ายให้ผู้ที่ถูกรางวัลจากแพลตฟอร์มออนไลน์เอกชนทราบครับ ผู้ที่ถูกรางวัลใหญ่ แต่ไม่ได้ขึ้นเงินกับสำนักงานสลากฯ เอง แต่ให้แพลตฟอร์มออนไลน์ที่ตัวท่านเองซื้อขึ้นเงินรางวัลให้ โดยไม่มีการหักค่าใช้จ่ายใดๆ จากท่าน โดยอ้างว่าจ่ายภาษีให้แทนนั้น ท่านจะไม่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นะครับ ถ้าท่านถูกรางวัลตั้งแต่ 6 ล้านบาทขึ้นไป ท่านจะต้องถูกสรรพากรประเมินภาษีเงินได้สูงถึง 35% ยกตัวอย่างเช่น ถูกรางวัลที่ 1 รับ 6 ล้าน ต้องเสียภาษี 2.1 ล้านบาท เพราะกฎหมายยกเว้นให้เฉพาะคนที่ขึ้นเงินกับสำนักงานสลากเท่านั้น คำยืนยันจากประธานบอร์ดสำนักงานสลากฯ (อธิบดีกรมสรรพากร) และ ผอ.สำนักงานสลากฯ ป.ล.ช่วยกันประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบด้วยครับ" อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวตรวจสอบเรื่องราวดังกล่าว พบว่าเมื่อวันที่ 28 ก.ย. ที่ผ่านมา มีรายงานข่าวจากกรมสรรพากร ระบุว่า อยู่ระหว่างพิจารณากรณีที่แพลตฟอร์มขายสลากออนไลน์ของเอกชนหลายราย ใช้วิธีการทางการตลาด โดยนำเงินสดไปมอบให้ลูกค้าในกรณีที่ถูกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลจำนวนมาก เช่น รางวัลที่ 1 หลายใบ เงินรางวัลหลาย 10 ล้านบาท เพื่อจูงใจให้ลูกค้ามาซื้อสลาก โดยอ้างว่าไม่หักค่าใช้จ่าย ที่ผ่านมามีการตั้งข้อสังเกตว่า การนำเงินสดไปมอบให้ลูกค้าโดยตรงอาจเข้าข่ายเป็นเงินได้ ต้องนำมาคำนวณเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีหรือไม่ ต่างจากการนำสลากมาขึ้นเงินรางวัลเอง ที่จะเสียเฉพาะค่าอากรแสตมป์ 0.5% ของเงินรางวัล เช่น รางวัลที่ 1 ที่ 6 ล้านบาท เสียอากรแสตมป์ 30,000 บาท แต่ประมวลรัษฎากร จะมีการยกเว้นไม่ต้องมาเสียภาษีเงินได้อีก หากพิจารณาแล้วว่า การรับเงินรางวัลในลักษณะดังกล่าว ต้องเสียภาษีเงินได้ ก็อาจจะมีผลย้อนหลังกับผู้ที่ได้รับเงินรางวัลจากแพลตฟอร์มเอกชนไปก่อนหน้านี้ รวมถึงผู้ที่ได้รับเงินรางวัลในปีนี้ทั้งหมดที่ต้องยื่นแบบคำนวณรายได้ เพื่อใช้เสียภาษี แต่กรมฯ ต้องไปดูให้ชัดเจนก่อนว่าวิธีการจ่ายเงินรางวัลของแพลตฟอร์มเอกชนให้กับลูกค้า ว่ามีรายละเอียดเป็นอย่างไร ขณะที่ นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร ในฐานะประธานกรรมการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 30 ก.ย. ที่ผ่านมา กล่าวถึงกรณีผู้ถูกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่ซื้อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ อาจต้องเสียภาษีเงินได้ ว่า หลักการถ้ามีเงินได้ถึงเกณฑ์ก็ต้องมีการเสียภาษีอย่างถูกต้อง ถ้ามีคนเอาเงินมาให้ ถือเป็นได้หรือไม่ ต้องไปดู ต่างจากการซื้อสลากดิจิทัลผ่านแอปเป๋าตัง ที่คนถูกรางวัลมาขึ้นเงินรางวัล เป็นชื่อคนรับรางวัล จ่ายภาษีตรงตัวจากอากรแสตมป์ 0.5% ทั้งนี้ กฎหมายระบุชัดว่า การถูกรางวัล คนที่ถือสลากต้องถือมารับรางวัลเอง ดังนั้นเวลามาขึ้นเงิน คนที่ไม่โดนภาษีคือคนที่มาขึ้นเงิน ส่วนกรณีที่มาขึ้นเงินรางวัลกับกรุงไทย ธ.ก.ส. ออมสิน ที่มีการระบุว่าต้องเสียภาษีด้วยหรือไม่ ถือเป็นจ่ายตรง คนรับเงินรางวัลที่ถือสลากมา มีการจ่ายอากรแสตมป์ มีใบกำกับภาษีครบหมด ถึงกระนั้น พบว่ามีแพลตฟอร์มเอกชนรายหนึ่ง แถลงข่าวตอบโต้เรื่องดังกล่าว อ้างว่าหากลูกค้าถูกรางวัลกับแพลตฟอร์มของตนเอง ทางบริษัทจะโอนเงินให้เต็มจำนวนโดยไม่หักค่าใช้จ่าย ส่วนสลากกินแบ่งรัฐบาลใบจริง จะรับมอบอำนาจจากลูกค้าให้ไปขึ้นเงินรางวัลโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะอำนวยความสะดวกจ่ายภาษีให้กับลูกค้า และกรณีที่ถูกรางวัลที่ 1 จะไปลงบันทึกประจำวัน ถ้ายังต้องเสียภาษี ยินดีจะจ่ายให้ ไม่อยากให้ลูกค้ากังวลกับข่าวที่เกิดขึ้น รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า สำหรับกรณีที่ถูกรางวัลที่ 1 ได้รับเงินรางวัล 6 ล้านบาท แล้วนำสลากตัวจริงไปขึ้นเงินรางวัลที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี ถ้าเป็นสลากกินแบ่งรัฐบาล จะเสียค่าอากรแสตมป์ 30,000 บาท หรือคิดเป็น 0.5% ของเงินรางวัลที่ได้รับ และจะได้รับเงินสั่งจ่ายเป็นเช็ค 5,970,000 บาท ส่วนสลากการกุศล จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 60,000 บาท หรือคิดเป็น 1% ของเงินรางวัลที่ได้รับ แต่ไม่เสียค่าอากรแสตมป์ และจะได้รับเงินสั่งจ่ายเป็นเช็ค 5,940,000 บาท โดยจะมีหลักฐานเป็นใบรับเงินรางวัลและคิดเงินอากร/ภาษีไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งผู้ถูกรางวัลจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ไม่ต้องนำเงินรางวัลไปยื่นภาษีประจำปีอีก แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์ https://mgronline.com/onlinesection/detail/9650000120371

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันสังคม

ประกันบำนาญ กับคำถามที่ต้องตอบ

30/04/2024

“ประกันบำนาญ” หนึ่งในผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การมีรายได้หลังเกษียณโดยเฉพาะ แต่กลับยังได้รับความนิยมน้อยเมื่อเทียบกับประกันตัวอื่นๆ ซึ่งจากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) พบว่า จำนวนกรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีผลบังคับใช้ ณ สิ้นปี 2564 ของประกันบำนาญคิดเป็น ร้อยละ 0.85 ของจำนวนกรมธรรม์เท่านั้น ซึ่งหากเทียบกับประกันสะสมทรัพย์ที่มีสัดส่วนถึงร้อยละ 43.6 ของจำนวนกรมธรรม์ นั้น ถือว่ามีความแตกต่างกันอย่างน่าตกใจทำไม “ประกันบำนาญ” ถึงมีความสำคัญไม่แพ้ “ประกันสะสมทรัพย์” ?ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ทั้ง “ประกันสะสมทรัพย์” และ “ประกันบำนาญ” ต่างเป็นแบบประกันเพื่อออมเงินและได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีตามเกณฑ์ที่สรรพากรกำหนดทั้งคู่ แต่แตกต่างกันที่ระยะเวลาและรูปแบบการจ่ายผลประโยชน์ โดยส่วนใหญ่ประกันสะสมทรัพย์จะมีความคุ้มครองระยะสั้นถึงกลางและจ่ายผลประโยชน์เป็นผลตอบแทนเงินคืนหรือเป็นเงินก้อนเมื่อครบกำหนดตามระยะเวลา จึงตอบโจทย์เป้าหมายทางการเงินที่ไม่ได้ยาวมาก เช่น ซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือเพื่อการศึกษาบุตร เป็นต้น  ขณะที่ประกันบำนาญ จะทยอยจ่ายผลประโยชน์เป็นรายเดือนหรือปีในช่วงหลังเกษียณอายุ 55 ปี เป็นต้นไป ถึงอายุ 99 ปี ซึ่งเหมาะกับเป้าหมายทางการเงินระยะยาว อย่างการเกษียณอายุมากกว่า และยิ่งนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ก้าวหน้า ส่งผลให้ในปัจจุบัน (พ.ศ. 2565) อายุขัยเฉลี่ยของคนไทยได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 78 ปีแล้ว และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นไปได้ถึง 100 ปีในอนาคต ทำให้เราต้องหันมาใส่ใจเรื่องการวางแผนหลังเกษียณที่มีกระแสนเงินสดที่มั่นคงมากขึ้นด้วยประกันบำนาญกองทุน RMF VS ประกันบำนาญ...อะไรดีกว่ากัน?สำหรับผู้ที่กำลังวางแผนลดหย่อนภาษีและวางแผนเกษียณไปพร้อมกัน พบว่าคนส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับการลงทุนผ่านกองทุน RMF มากกว่า ซึ่งจากข้อมูลของ Google Trends ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีการค้นหาคำว่า “RMF” ผ่านเว็บไซต์ Google มากกว่าคำว่า “ประกันบำนาญ” กว่าเท่าตัวในช่วงสิ้นปีภาษี บ่งชี้ว่าคนส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับการสร้างผลตอบแทนมากกว่า แต่การสร้างผลตอบแทนในปัจจุบันก็มีความไม่แน่นอน จากสภาวะตลาดที่มีความผันผวนมากขึ้น ทั้งประเด็นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวจนเข้าสู่สภาวะถดถอย ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศที่รุนแรงขึ้น ทำให้เป้าหมายเกษียณที่วางไว้ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน ดังนั้น การมีประกันประกันบำนาญจึงเป็นตัวช่วยที่ดีและสร้างความมั่นคงในการรองรับค่าใช้จ่ายหลังเกษียณได้มั่นคงมากขึ้น แม้ว่าประกันบำนาญจะยังไม่ได้รับความนิยมเท่ากับผลิตภัณฑ์ทางการเงินตัวอื่น แต่ก็ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการวางแผนเกษียณ เพราะนอกจากจะช่วยการันตีรายได้แล้ว ยังรองรับค่าใช้จ่ายตามไลฟ์สไตล์ที่เราต้องการอีกด้วย ทำให้เราสามารถใช้ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างมีคุณภาพและมีความสุขแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับwealthythaihttps://www.wealthythai.com/en/updates/insurance/12147

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

ความผิดพลาด 3 ข้อที่เรามักจะพลาดกันมากที่สุด

30/04/2024

ครั้งหนึ่ง นักลงทุนระดับตำนานอย่างโจเอล กรีนแบล็ตต์ (Joel Greenblatt) เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าข้อผิดพลาด 3 ข้อที่นักลงทุนมักจะผิดพลาดกันมากที่สุด ประกอบไปด้วย 1. ใช้อารมณ์มากเกินไป สิ่งที่คนส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญมากที่สุด คือราคาหุ้น และราคาหุ้น คือ สิ่งที่หลอกเราได้มากที่สุด  เมื่อเราเอาราคาหุ้นเป็นที่ตั้ง หมายความว่าเราได้ปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำ ตัดสินใจซื้อขายหุ้นตามอารมณ์ตลาด ณ เวลานั้น 2. ลงทุนแบบไม่รู้เรื่อง ประวัติศาสตร์ได้บอกเราไว้เสมอว่า  ลงทุนแบบไม่รู้เรื่อง ไม่สามารถทำให้เรามั่งคั่งได้ในระยะยาว เราอาจจะได้เงินในเวลาสั้นๆ แต่สุดท้ายเราก็ต้องเสียให้มันไปอยู่ดี  ถ้าเราไม่เรียนรู้ที่จะประเมินมุลค่าบริษัท นั่นหมายความว่าเรากำลังลงทุนแบบไม่รู้เรื่องอะไร  การประเมินมูลค่าบริษัทเป็นเรื่องยาก เพราะไม่มีสูตรสำเร็จหรือทฤษฏีที่ใช้ได้ 100%  นี้จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมมีนักลงทุนไม่ถึง 2% สามารถสร้างความมั่งคั่งจากการลงทุนได้ ... สิ่งแรกที่โจเอลแนะนำ คือ ไปเรียนรู้เรื่องของการประเมินมูลค่าหุ้น ก่อนจะลงทุนหุ้นแบบจริงๆจังๆ 3. ให้ความสำคัญกับผลประกอบการล่าสุดมากเกินไป เรามักจะให้ความสำคัญกับผลประกอบการล่าสุดมากเกินไป  แต่สิ่งที่สำคัญกว่า คือ "ที่มาของกำไร" มาจากอะไร หุ้นที่ผลประกอบการแย่ ไม่ได้หมายความมันจะแย่เสมอไป บางทีมันอาจจะมีอะไรดีๆซ่อนอยู่ก็ได้ เช่น รายได้ลดลงแต่กำไรสุทธิมากขึ้นจากการที่ Net Margin ดูดีขึ้น หรือธุรกิจใหม่ของบริษัทเริ่มมีกำไรดูดีขึ้น .. สิ่งที่ควรทำ คือ การประเมินอนาคต ไม่ใช่การมองอดีต แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ stock2morrow https://stock2morrow.com/article/5082

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

9 เคล็ดลับ "ออมเงิน" แบบง่ายๆ แถมไม่ต้องเสีย "ภาษี"

30/04/2024

ทำความรู้จัก "เงินออม" แต่ละประเภท พร้อมหลักการออมเงินไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ ที่นอกจากจะต้องดูกันที่ "ดอกเบี้ย" หรือผลตอบแทนที่แตกต่างกันแล้ว ยังต้องเข้าใจเรื่อง "ภาษี" อีกด้วย เพราะการออมเงินแต่ละประเภทนั้น เสียภาษีไม่เหมือนกัน ในยุคที่ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างราคาสูงขึ้นแบบไม่มีลดละ ทำให้คนจำนวนมากเริ่มหันมาประหยัดอดออมเงิน และ "การออมเงิน" นั้นก็มีหลากหลายวิธี แต่อาจมาพร้อมกับความเสี่ยงที่จะต้อง "เสียภาษี" ด้วย 9 เคล็ดลับ ออมเงินแบบง่ายๆ ที่ไม่ต้องเสียภาษี คุณสามารถ ออมเงินแบบง่ายๆ ที่ ไม่ต้องเสียภาษี เพียงศึกษาเงื่อนไขที่แตกต่างกันของการออมแต่ละประเภท ดังนี้ 1. เงินฝากออมทรัพย์ เนื่องจากเงื่อนไขสำหรับการฝากเงินแบบออมทรัพย์ ทุกบัญชีและทุกธนาคาร หาก "ดอกเบี้ยรับ" รวมเกิน 20,000 บาทต่อปี จะต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย 15% เฉพาะดอกเบี้ยตั้งแต่บาทแรก ไม่เกี่ยวกับเงินต้น แต่หากดอกเบี้ยไม่เกิน 20,000 บาท จะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี โดยในกรณีที่ได้รับดอกเบี้ยเงินฝากเกิน 20,000 บาท หากลงทะเบียนยินยอมให้ธนาคารส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรเท่านั้น ก็จะได้สิทธิ์ยกเว้นภาษีเหมือนเดิม 2. เงินฝากประจำ เงินฝากประจำ เป็นบัญชีที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์ทั่วไป ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่ต้องการออมเงินเป็นอย่างมาก เพราะมีข้อกำหนดต้องฝากทุกเดือนติดต่อกัน 24 เดือน โดยไม่สามารถถอนออกมาได้จนกว่าจะครบกำหนด หรือรวมทั้งหมดไม่เกิน 600,000 บาท จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี โดยบางแห่งมีการกำหนดขึ้นต่ำในการเริ่มต้นฝากประจำ รวมไปถึงกำหนดให้เปิดได้เพียงคนละหนึ่งบัญชีเท่านั้น และในกรณีที่ฝากเงินประจำแล้วมีการขาดส่งเกิน 2 ครั้ง ก็จะไม่ได้รับสิทธิ์ยกเว้นภาษีทันที 3. เงินฝากประจำสำหรับผู้มีอายุ 55 ปีขึ้นไป เงินฝากประจำสำหรับผู้มีอายุ 55 ปีขึ้นไป ที่มีระยะเวลาฝากขั้นต่ำ 1 ปี และเมื่อรวมกับดอกเบี้ยฝากประจำทุกประเภทแล้วไม่เกิน 30,000 บาท จะได้รับยกเว้นภาษี 4. เงินฝากเผื่อเรียกหรือออมทรัพย์ของธนาคารของรัฐ สำหรับ เงินฝากเผื่อเรียก ของธนาคารรัฐจะได้รับยกเว้นภาษี ซึ่งประกอบด้วย ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ แต่อัตราดอกเบี้ยอาจจะไม่ได้สูงกว่าการฝากออมทรัพย์ธนาคารพาณิชย์อื่นๆ แต่ได้รับยกเว้นภาษีอย่างแน่นอน 5. สลากออมสินของรัฐบาล สลากออมสิน ของรัฐบาลเป็นแนวทางการออมเงินที่ไม่ต้องเสียภาษีสำหรับบุคคลธรรมดา และยังสามารถลุ้นรางวัลได้ยาวนานตลอดระยะเวลาของการฝาก ที่สำคัญเงินรางวัลที่ได้รับก็ไม่เสียภาษีเช่นกัน ซึ่งสลากออมทรัพย์จะมีรูปแบบคล้ายกับบัญชีเงินฝากประจำ มีการนำเงินเหล่านี้ไปซื้อสลากออมทรัพย์เป็นระยะเวลาหนึ่ง โดยราคาของสลากจะมีราคาหน่วยที่ต่างกันออกไป ตามแต่ละธนาคารกำหนด ซึ่งจะไม่สามารถถอนออกมาก่อนได้ และดอกเบี้ยที่ได้รับจากสลากออมทรัพย์จะได้รับการยกเว้นภาษี รวมถึงเงินรางวัล 6. เงินฝากออมทรัพย์จากสหกรณ์ สำหรับข้าราชการหรือพนักงานของหน่วยงานรัฐต่างๆ เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือโรงพยาบาล จะได้รับสิทธิ์ฝากเงินกับสหกรณ์ออมทรัพย์ของหน่วยงานนั้นๆ ได้ เช่น สหกรณ์ออมทรัพย์ของสำหรับข้าราชการ ซึ่งดอกเบี้ยจะสูงกว่าการฝากออมทรัพย์ทั่วไป และมีเงินปันผลให้แก่สมาชิกที่ถือหุ้นสหกรณ์ โดยได้รับการยกเว้นภาษี 7. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พนักงานประจำที่ทำ "กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ" กับบริษัท ถือเป็นการออมเงินระยะยาว และยังได้เงินส่วนสมทบจากนายจ้าง และกำไรจากการดำเนินงานของกองทุนอีกด้วย ซึ่งจะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีทั้งจำนวน อีกทั้งผู้ที่จ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพยังสามารถนำเงินนั้นไปใช้เป็นค่าลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่กฎหมายกำหนดในอัตราไม่เกิน 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท 8. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ออมเงิน ด้วยการลงทุนใน กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ถือเป็นการออมเงินระยะยาว เพื่อใช้ในการวางแผนการเงินหลังเกษียณ ซึ่งจะได้รับการยกเว้นภาษี ผู้ลงทุนจะสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้เมื่อมีอายุมากกว่า 55 ปีขึ้นไป ส่วนต่างของมูลค่าหน่วยลงทุน เงินปันผลในบางกองทุน สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ โดยค่าซื้อหน่วยลงทุน RMF จะหักได้ 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท 9. ซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เป็นการออมเงินในหุ้น กำไรจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ สำหรับบุคคลธรรมดาที่เป็นผู้โอนขายหุ้น จะได้รับการยกเว้นภาษีทั้งจำนวน สรุป รูปแบบการออมเงินต่างๆ นี้ สามารถเป็นทางเลือกให้กับผู้ที่อยากออมเงิน ได้ใช้พิจารณาให้เหมาะกับตนเองและความต้องการของแต่ละบุคคล รวมถึงหากการออมเงินได้รับยกเว้นภาษีด้วย ก็จะช่วยให้คุณออมเงินได้เพิ่มขึ้นนั่นเอง - ---------------------------------- Source : Inflow Accounting แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจ https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1040107

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

เมื่อเงินสมมติสร้างหายนะ

30/04/2024

ธุรกิจคริปโตเงินสมมติเงินอุปโลกน์ขึ้นมาโดยหวังว่าจะเป็นเงินดิจิทัลได้สร้างธุรกิจแนวใหม่ให้นักลงทุนในความเสี่ยงรุ่นใหม่ได้รับการส่งเสริมสารพัดคนแห่ลงทุนทำให้บิทคอยน์มีค่าสูงเกือบ 7หมื่นดอลลาร์เมื่อพุ่งขึ้นสูงสุด ปัจจุบันมูลค่าที่พยายามประคองอยู่เหนือ 1.6หมื่นดอลลาร์ยังมีคนตั้งความหวังว่าธุรกิจนี้จะฟื้นตัวทั้งที่คนหลายล้านคนอยู่ในสภาพสิ้นเนื้อประดาตัว เป็นความล่มสลายของระบบค้าเงินคริปโตและรายใหญ่ที่ล้มดังมี Terraและ Lunaซึ่งตัวผู้บริหารหลักนายDo Kwonเผ่นหนีไปซุกตัวอยู่ในประเทศเซอร์เบีย ช่วงรุ่งสุดขีดมีมูลค่าสูงถึง 4.2หมื่นล้านดอลลาร์นายDo Kwonอ้างกับผู้ลงทุนว่าจะไม่หนีแต่ก็ไปหลบที่เซอร์เบียซึ่งไม่มีสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนกับเกาหลีแต่ทางการเซอร์เบียก็บอกว่าพร้อมจะให้ความร่วมมือเต็มที่ การจะส่งตัวนายDo Kwonกลับไม่ใช่เรื่องง่ายถ้ามีเงินก็จ้างทนายเก่งสู้คดีสามารถยื้อได้หลายปีถ้าสำเร็จก็รอดคุกชีวิตจะมีความสุขหรือไม่เป็นอีกเรื่อง ไม่มีใครประเมินว่าธุรกิจเงินคริปโตนั้นได้สร้างความหายนะให้นักลงทุนไปเท่าไหร่ที่ผ่านมาก็ล้มเป็นโดมิโนไปอย่างน้อย 5รายใหญ่ล่าสุดก็เป็น BlockFi ล่าสุดรายใหญ่ที่โดนกฎหมายเล่นงานคือนายแซมแบงก์แมน-ฟรีด (Sam Bankman-Fried)อดีตซีอีโอและผู้ก่อตั้งกระดานเทรดคริปโต FTXที่โดนทางการบาฮามาสจับกุมถูกส่งตัวไปยังสหรัฐฯเพื่อถูกดำเนินคดีข้อหาฉ้อฉลทางการเงิน คดีอื่นๆคงตามมาเป็นหางว่าวเพราะโจทย์เป็นกรรมการควบคุมการซื้อขายหลักทรัพย์ Securities and Exchange Commissionต้องข้อหาว่านายSamใช้เวลากว่า 1ปีวางแผนแยบยลในการสมรู้ร่วมคิดต้มตุ๋นระดมเงินถึง 1.8พันล้านดอลลาร์ ประธานของ SECนายGary Genslerกล่าวหาเจ้าพ่อ FTXว่าได้สร้างอาณาจักรการลงทุนบนโครงสร้างที่เปราะบางการบริหารงานผิดพลาดไร้ความเป็นมืออาชีพสร้างความเสียหายให้นักลงทุนมากกว่า 1ล้านราย เฉพาะรายใหญ่ 50รายนั้นมีวงเงินลงทุนมากกว่า 1พันล้านดอลลาร์ นักลงทุนทั้งรายใหญ่สถาบันมีชื่อเสียงเช่น SoftBankของญี่ปุ่นและ Temasekของสิงคโปร์ก็เอาเงินไปจมหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นที่คาดการณ์ว่าโอกาสจะได้เงินคืนจาก FTXนั้นมีน้อยเหลือเกินก่อนหน้าที่นายSamได้ยื่นคำร้องขอล้มละลายวันที่ 11เดือนที่ผ่านมาเงินแทบไม่เหลือทั้งยังอ้างว่าบริษัทโดนเจาะและขโมยไปประมาณ 600ล้านดอลลาร์ เจ้าพ่อ FTXที่ล้มละลายถูกจับกุมวันจันทร์ที่ผ่านมาในบาฮามาสและอยู่ในกระบวนการถูกส่งตัวไปดำเนินคดีในสหรัฐฯโดยอัยการศาลแขวงเขตใต้ของนิวยอร์ก ช่วงที่ยังรุ่ง Samได้บริจาคเงินให้พรรคเดโมแครตองค์กรการกุศลและองค์กรของยิวถือว่าเป็นนักบริจาครายใหญ่ทางการเมืองเพื่อให้สมาชิกสภาสหรัฐฯได้ออกกฎเพื่อส่งเสริมและอวยธุรกิจค้าเงินคริปโตการสืบสวนจะสาวไปหาผู้รับบริจาคด้วย จะมีข้อหาฟอกเงินด้วยหรือไม่ต้องรอดูว่าทางการสหรัฐฯมีหลักฐานหรือไม่ไม่กี่วันที่ล่มจำนวนเงินลงทุนมากถึง 3.2หมื่นล้านดอลลาร์สร้างประวัติการณ์ว่า Samเป็นนักลงทุนรุ่นใหม่ทาบชั้นมหาเศรษฐีนักเล่นหุ้น Warren Buffetนั่นเลย Samใช้เวลาตั้ง FTXจากปี 2019จนดังระเบิดแต่ร่วงในวัยเพียง 30ปี ในด้านการเงินการธนาคาร Samได้รับการยกย่องว่าอยู่ในระดับ J.P. Morganนักการธนาคารเจ้าแห่งตำนานของ J.P. Morgan Bankและบริษัทในเครือ ให้สัมภาษณ์สื่อไม่เว้นแต่ละวันสร้างกระแสและความน่าเชื่อถือโดยสื่อหลักดึงดูดนักลงทุนสถาบันและรายย่อยมีหลายรายที่ทุ่มเงินออมทั้งชีวิตใน FTX จากการเปิดโปงโดยสื่อทำให้รู้ความจริงว่ากลุ่ม FTX มีพนักงาน 300 คนแต่ผู้บริหารหลักมี 6-7 คนอยู่ในวัยใกล้เคียงกับ Samไม่มีการบริหารอย่างเป็นระบบ ทำงานอยู่ในคอนโดฯกินนอนที่นั่นมีความสัมพันธ์ทางเพศในกลุ่มด้วยก่อนหน้านั้นไม่มีใครรู้ว่าการบริหารของบริษัท FTXจะเละไร้ระบบเช่นนั้น นักลงทุนที่เล็งผลเลิศแห่ตามกันด้วยเงินที่มีอยู่หวังว่า FTX จะสร้างผลตอบแทนและความมั่งคั่งโดยเร็วเมื่อเห็นผลตอบแทนก็ยิ่งเพิ่มเงินลงทุน ผลสุดท้ายมีรายใหญ่ถอน 6พันล้านดอลลาร์ภายใน 3วันทำให้ขาดสภาพคล่อง Samขอร้องให้นักค้าคริปโตรายใหญ่ Binance เข้ามารับซื้อกิจการแต่ถอนตัว นั่นทำให้ FTX ล่มรายใหญ่สูญเสียการลงทุนระดับหลายร้อยล้านดอลลาร์รายย่อยทั้งเงินกองทุนเกษียณกลุ่มเงินออมของผู้ชราไม่เหลือเงินคืนให้ผู้ลงทุน เป็นการช็อกโลกอีกครั้งหลังจากมี 4-5บริษัททยอยล่มก่อนหน้านี้ คนเหล่านั้นอยู่ในสภาพสิ้นเนื้อประดาตัวหมดโอกาสได้ฟื้นฟูและยังไม่รู้ว่าจะเอาเงินที่ไหนเลี้ยงชีพในวัยชราที่ยังเหลือลมหายใจอยู่ ในบ้านเราการล่มของบริษัทค้าเงินคริปโตและการหลอกให้ลงทุนธุรกิจค้าเงินทั้งของจริงและการต้มตุ๋นทำให้คนที่หวังรายได้งามมากกว่าเงินฝากต้องเสียเงินมหาศาลบางรายเอาทรัพย์สินไปจำนองเอาเงินมาลงทุนสุดท้ายไม่เหลืออะไร กฎหมายในบ้านเราจะช่วยได้มากแค่ไหนเพราะการค้าเงินคริปโตที่เจ๊งไปไม่มีทางจะฟื้นตัวได้ตัวการยังไม่มีติดคุกหรือถูกดำเนินคดีถูกมองว่าเป็นพวกเส้นใหญ่ ตอนนี้นักลงทุนเฝ้ารอดูว่า Bitcoinและ Binance จะมีสภาพอย่างไรต่อไปความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะเป็นอย่างไรเมื่อหลายประเทศออกกฎห้ามและคุมเข้ม แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์ https://mgronline.com/daily/detail/9650000118614

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

Gen Y จ่ายหนี้ไม่ไหว กลายเป็นเอ็นพีแอลมากขึ้น

30/04/2024

เครดิตบูโรเผย กลุ่มเจนวาย (อายุ 25-42 ปี) มีปัญหาการจ่ายหนี้ไม่ไหว กลายเป็นเอ็นพีแอลมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะสินเชื่อบุคคล นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) หรือเครดิตบูโร เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ประเด็นตัวเลขหนี้ภาคครัวเรือนไทยปัจจุบันอยู่ที่ 14.7 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 88% ของจีดีพี (16.7 ล้านล้านบาท) ปัจจุบันพบว่าหนี้ครัวเรือนทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบุคคล (พีโลน) สินเชื่อรถ สินเชื่อบ้าน รวมถึงบัตรเครดิต ผู้บริโภคกลุ่มเจนวาย (อายุ 25-42 ปี) คือกลุ่มที่เป็นฐานลูกค้าใหญ่ ขณะเดียวกัน ก็เป็นกลุ่มที่มีปัญหาในการชำระหนี้มากที่สุด และมีแนวโน้มหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งในแง่ของจำนวนบัญชีและวงเงินหนี้ และจากข้อมูลพบว่า ขณะนี้ปัญหาหนี้เสียของกลุ่มเจนวายเริ่มก่อตัวมากขึ้นในสินเชื่อบุคคล ซึ่งเป็นการก่อหนี้เพื่อการบริโภค และกำลังเห็นสัญญาณว่าปัญหาจะลามไปที่สินเชื่อรถ และสินเชื่อบ้านเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มวัยทำงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด ทำให้รายได้ลดลง อย่างไรก็ตาม กลุ่มเจนวายคือกลุ่มมนุษย์แรงงานที่จะมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ถ้ากลุ่มนี้กลายเป็นหนี้เสียก็จะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมากขึ้น “กลุ่มลูกหนี้เจนวายเป็นกลุ่มที่มีการก่อหนี้ตลอดเวลา และมีการก่อหนี้สะสมมาโดยตลอด และภายหลังจากเกิดปัญหาโควิด-19 ทำให้เกิด income shock ทำให้ปัญหาไม่สามารถชำระหนี้ต่าง ๆ ที่ก่อไว้ได้ ส่งผลให้ตัวเลขหนี้เสียของกลุ่มเจนวายเพิ่มขึ้นชัดเจน” นายสุรพลกล่าวอีกว่า ประเภทสินเชื่อที่น่าเป็นกังวลมากที่สุดก็คือ “สินเชื่อส่วนบุคคล” ยอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 2.5 ล้านล้านบาท ณ ไตรมาส 3/65 ตัวเลขเอ็นพีแอลอยู่ที่ราว 10.3% และตัวเลขที่กำลังจะเสีย (SM) อีก 2.9% รวม 2 ตัวนี้จะเพิ่มเป็น 13.2% ซึ่งถือเป็นระดับที่สูง และผลิตภัณฑ์ที่กำลังจะสร้างปัญหาในอนาคตคือบริการ “ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง” (Buy Now Pay Later) ซึ่งขณะนี้มีผู้ให้บริการออกมาโปรโมตการทำตลาด เพราะดอกเบี้ยจูงใจผู้ประกอบการ 25% ต่อปี สูงกว่าบัตรเครดิตที่อยู่ 16% ต่อปี ทำให้หลายบริษัทให้ความสนใจทำธุรกิจนี้ ซึ่งยิ่งเป็นการกระตุ้นการก่อหนี้เพื่อการบริโภค จับจ่ายซื้อสินค้าไม่จำเป็นมากยิ่งขึ้น “หากดูในต่างประเทศมีรายงานออกมาว่า ถ้าจะเปิดให้สินเชื่อในลักษณะนี้จะต้องควบคุมให้ดี เพราะขณะนี้บริการประเภท Buy Now Pay Later กำลังเป็นปัญหาหนี้เสียสูงมาก แต่ประเทศไทยกำลังโปรโมต ซึ่งปัญหาของโปรดักต์นี้คือดอกเบี้ย หากเพดานดอกเบี้ย 15% ต่อปี ก็ถือว่าช่วยกลุ่มคนไม่มีสภาพคล่อง แต่ตอนนี้ใช้อัตราดอกเบี้ยส่วนบุคคลสูงถึง 25% ต่อปี” กลุ่มเจนวาย (อายุ 25-42 ปี) มีปัญหาการจ่ายหนี้ไม่ไหวกลายเป็นเอ็นพีแอลมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำให้กลุ่มเจนวายกลายเป็นหนี้เสียสินเชื่อพีโลน 2.98 ล้านบัญชี (มูลหนี้ 1.18 แสนล้านบาท) จากสิ้นปี 2563 มีจำนวน 1.81 บัญชี (มูลหนี้ 7.99 แสนล้านบาท) แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์ https://www.prachachat.net/finance/news-1139269

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

เปิดสถิติ กว่าเงินบาทจะกลับมาแข็งค่า ตั้งแต่ต้นปีอ่อนค่าลงไปกี่ครั้ง ?

30/04/2024

ย้อนดูสถิติเงินบาทปี 2565 อ่อนค่าลงไปกี่ครั้ง ? ก่อนดีดกลับมาแข็งค่าสุดในรอบกว่า 5 เดือนครึ่งอีกครั้งที่ 34.76 บาทต่อดอลลาร์ วันที่ 5 ธันวาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาหลังจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายและดำเนินมาตรการ QT ลดสภาพคล่องเงินดอลลาร์ในตลาด และส่งผลให้เกิดความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยทำให้คนหันไปถือเงินดอลลาร์และซื้อพันธบัตรมากขึ้น เนื่องจากเชื่อว่าเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยท่ามกลางสถานการณ์แบบนี้ เป็นผลให้ค่าเงินทั่วโลกดิ่งอ่อนค่าลงในหลายประเทศไม่ว่าจะเป็น เงินเยนของญี่ปุ่น เงินยูโรของฝั่งยุโรป และอีกหลาย ๆ ประเทศรวมถึงเงินบาทของประเทศไทย ก็ได้รับผลกระทบและอ่อนค่าลงไปทำจุดต่ำสุดเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2565 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 34.76 บาทต่อดอลลาร์ หลังแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 5 เดือนครึ่งที่ 34.71 บาทต่อดอลลาร์ ในระหว่างสัปดาห์ “ประชาชาติธุรกิจ” พาย้อนดูสถิติค่าเงินบาทตั้งแต่ต้นปี 2565 กว่าจะกลับมาแข็งค่า อ่อนค่าลงไปกี่ครั้ง ? มกราคม : บาทผันผวนหนัก เงินบาทสัปดาห์แรกของปี 2565 ผันผวนหนัก เริ่มต้นด้วยแข็งค่า ก่อนจะพลิกกลับมาอ่อนค่าสุดในรอบ 2 สัปดาห์ในขณะนั้น โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงวันทำการแรก ๆ ของปีสอดคล้องกับสัญญาณเงินทุนไหลเข้า โดยเฉพาะแรงซื้อสุทธิในพันธบัตรระยะสั้นและหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ดีเงินบาทก็พลิกกลับมาอ่อนค่า แต่โดยภาพรวมในเดือนมกราคมเงินบาทยังอยู่ในทิศทางแข็งค่า กุมภาพันธ์ : บาทแข็งค่าที่สุดในรอบ 7 เดือน เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 7 เดือนในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ 32.20 บาทต่อดอลลาร์ หรือแข็งค่าขึ้นมาแล้วประมาณ 3.8% เมื่อเทียบกับระดับสิ้นปี 2564 และกลายเป็นสกุลเงินที่แข็งค่าที่สุดในเอเชีย จากการที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวดี บริษัทจดทะเบียนมีกำไรดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ เป็นปัจจัยดึงดูดเงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดพันธบัตร และตลาดหุ้นต่อเนื่องจากปลายปีก่อน โดยมีแรงซื้อสุทธิหุ้นไทยสะสม 64,580 ล้านบาท พร้อม ๆ กับเพิ่มการถือครองพันธบัตรไทยอีก 127,778 ล้านบาท ทำให้ยอดถือครองพันธบัตรไทยโดยนักลงทุนต่างชาติขยับสูงขึ้นไปแตะ 1.15 ล้านล้านบาท มีนาคม : บาทผันผวนจากสงคราม “รัสเซีย-ยูเครน” จากสถานการณ์ระหว่างรัสเซีย-ยูเครนตั้งแต่หลังวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นต้นมา การปะทุของสงครามรัสเซีย-ยูเครนนำพาโลกเข้าสู่ความยุ่งเหยิงและความไม่แน่นอน สร้างความเสี่ยงครั้งใหญ่ต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงเศรษฐกิจไทยและค่าเงินบาท และเงินบาทมีการผันผวนและอ่อนค่า โดยเงินบาทอ่อนค่าลงตามแรงเทขายสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ขณะที่เงินดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นอย่างแข็งแกร่งในฐานะสกุลเงินปลอดภัยและมีสภาพคล่องสูงท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของสถานการณ์ระหว่างยูเครน-รัสเซีย รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่อาจได้รับผลกระทบมากขึ้นจากราคาน้ำมัน และเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น เมษายน : เงินบาทอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 4 เดือน ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องจนอยู่ระดับที่อ่อนค่าที่สุดในรอบ 4 เดือน และกลายเป็นสกุลเงินที่อ่อนค่าที่สุดในภูมิภาคที่ 33.95 บาทต่อดอลลาร์ จากเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นรับเศรษฐกิจสหรัฐที่ฟื้นตัวและการคาดการณ์ถึงโอกาสของการขึ้นดอกเบี้ยแบบรุนแรงของเฟดเพื่อสกัดเงินเฟ้อสหรัฐ นอกจากนี้เงินบาทยังมีปัจจัยลบเพิ่มเติมจากแรงขายของต่างชาติในตลาดพันธบัตรไทย พฤษภาคม : บาทอ่อนค่าสุดในรอบ 5 ปี เงินบาทอ่อนค่าในรอบ 5 ปี ทะลุ 34 บาทต่อดอลลาร์ จากทิศทางนโยบายดอกเบี้ยขาขึ้นของเฟด ที่ในขณะนั้นนักลงทุนคาดกันว่าจะขึ้นดอกเบี้ยแบบรุนแรง ประกอบกับความกังวลเรื่องเศรษฐกิจจีนชะลอตัว ทำให้เงินทุนไหลออกจากประเทศไทยกลับไปสู่สกุลดอลลาร์ที่ถูกมองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น เป็นสาเหตุที่ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าหนัก ไม่ได้มีประเทศไทยเท่านั้น หลายประเทศในในฝั่งเอเชียก็ต่างพากันอ่อนค่ากันถ้วนหน้า แต่ในช่วงกลางเงินบาทก็สามารถกลับมาแข็งค่าขึ้นได้สูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ ก่อนที่จะกลับมาอ่อนค่าลงอีกครั้งในช่วงสิ้นเดือน มิถุนายน : บาทอ่อนต่อเนื่องตลอดทั้งเดือน เงินบาทยังคงอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าโดยในมิถุนายนอ่อนค่าลงไปต่ำสุดในรอบ 5 ปี 3  เดือน ที่ 35.05 บาทต่อดอลลาร์ โดยเงินบาทอ่อนค่าลงตามทิศทางสกุลเงินอื่น ๆ ในภูมิภาค ซึ่งปัจจัยหลักคืออ่อนลงตามดอลลาร์แข็งค่ารวมถึงตลาดและนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ยถึง 0.75% นอกจากนี้เงินบาทยังมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากสถานะขายสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยของต่างชาติด้วยในเดือนนี้ กรกฎาคม : เงินบาทสวิงใกล้อ่อนค่าสุดรอบ 16 ปี ค่าเงินบาทอ่อนค่าไปที่ระดับ 36.65 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งยังเป็นการอ่อนค่าสูงสุดในรอบ 7 ปีอยู่ เนื่องจากในปี 2015 (พ.ศ. 2558) ค่าเงินบาทอ่อนค่าสูงสุดที่ 36.665 บาทต่อดอลลาร์ อย่างไรก็ดี ถือว่าเข้าใกล้ระดับอ่อนค่าที่สุดในรอบ 16 ปีแล้ว จากแรงกดดันจากดอลลาร์ที่แข็งค่ามาก หลังเงินเฟ้อสหรัฐออกมาเหนือกว่าที่ตลาดคาดไว้ ทำให้แทบทุกสินทรัพย์ถูกเทขาย เงินไหลกลับเข้าสกุลดอลลาร์ทำให้เงินบาทอ่อนค่าอย่างมาก ทั้งนี้ท่ามกลางปัจจัยกดดันจากการแข็งค่าของเงินเหรียญสหรัฐ รวมถึงความกังวลแนวโน้มทางการจีนอาจใช้มาตรการล็อกดาวน์เข้มงวด เพื่อควบคุมการระบาดโควิด-19 ทำให้เงินบาทยังคงเสี่ยงอ่อนค่าต่อเนื่อง สิงหาคม : บาทแกว่งตัวผันผวน เงินบาทยังคงผันผวนแกว่งตัวอย่างหนักตลอดทั้งเดือน ทั้งนี้เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบประมาณ 3 สัปดาห์ที่ 36.33 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงแรกท่ามกลางทิศทางที่อ่อนค่าของสกุลเงินเอเชียและเงินหยวน หลังจากธนาคารกลางจีนเพิ่มการผ่อนคลายทางการเงินด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ย LPR ลงเพื่อบรรเทาแรงกดดันในตลาดอสังหาริมทรัพย์และเศรษฐกิจจีนในภาพรวม นอกจากนี้เงินดอลลาร์ ยีังขยับขึ้นตามทิศทางบอนด์ยีลด์สหรัฐ ท่ามกลางการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งอาจจะมากกว่า 50 bps. ในการประชุมเดือน ก.ย. กันยายน : บาทอ่อนทะลุ 37 บาทต่อดอลลาร์ เงินบาทอ่อนทะลุ 37 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงราว 0.41% ถือเป็นระดับการอ่อนค่าที่สุดในรอบ 16 ปี ปัจจัยส่วนใหญ่มาจากการดีดตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ นอกจากนี้เงินบาทลดช่วงบวกทั้งหมดลงและพลิกอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องจนถึงช่วงปลายสัปดาห์ หลังอัตราเงินเฟ้อ CPI และ Core CPI ของสหรัฐ ออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาด ซึ่งหนุนแนวโน้มการเร่งคุมเข้มนโยบายการเงินของสหรัฐ แม้เสียงส่วนใหญ่จะมองว่าเฟดน่าจะขึ้นดอกเบี้ย 75  bps. แต่ตลาดบางส่วนเริ่มมองความเป็นไปได้ที่เฟดอาจจะขึ้นมากกว่านั้นในการประชุม 20-21 ก.ย. ส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ตุลาคม : บาทร่วงอ่อนค่าทะลุ 38 บาทต่อดอลลาร์ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันอ่อนค่าค่าลงตามทิศทางภาพรวมของสกุลเงินเอเชีย โดยเงินบาทร่วงแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 16 ปีที่ 38.46 บาทต่อดอลลาร์ โดยมีปัจจัยจากดอลลาร์ที่กลับมาแข็งค่าอีกรอบหลังจากตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐออกมาดี ขณะที่สมาชิกธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ก่อนการประกาศรายงานการประชุมเฟดกับรายงานเงินเฟ้อสหรัฐ ในวันที่ 13 ต.ค. 65 โดยดัชนีดอลลาร์ปรับตัวขึ้นมาสู่ระดับ 114 จุด ส่งผลให้ค่าเงินสกุลต่าง ๆ อ่อนค่าลงตามไปด้วย พฤศจิกายน : บาทแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 3 เดือน เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 3 เดือนอยู่ที่ 35.92 บาทต่อดอลลาร์ ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ ทั้งเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลัก และสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชีย ทั้งนี้เงินดอลลาร์ ปรับตัวอ่อนค่าลง โดยเฉพาะหลังการรายงานตัวเลขอัตราเงินเฟ้อในเดือน ต.ค. ของสหรัฐ ที่ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ และบอนด์ยีลด์สหรัฐ ยังมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากท่าทีของเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งสะท้อนว่า เฟดอาจปรับขนาดการขึ้นดอกเบี้ยให้มีความแข็งกร้าวน้อยลงในการประชุม FOMC รอบถัด ๆ ไป ธันวาคม : เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดรอบ 5 เดือนครึ่ง เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 5 เดือนครึ่ง อยู่ที่ 34.76 บาทต่อดอลลาร์ โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับสกุลเงินเอเชียอื่น ๆ โดยมีแรงหนุนจากถ้อยแถลงของประธานเฟด ซึ่งกระตุ้นการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มการชะลอขนาดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ ในการประชุมรอบสุดท้ายของปี นอกจากนี้การแข็งค่าของเงินบาทยังสอดคล้องกับสถานะพอร์ตการลงทุนระหว่างวันที่ 28 พ.ย.-2 ธ.ค. 2565 ของนักลงทุนต่างชาติที่เข้าซื้อสุทธิพันธบัตรและหุ้นไทย 25,269 ล้านบาท และ 4,493 ล้านบาท ตามลำดับ ทั้งนี้ ห้องค้ากสิกรไทยประเมินทิศทางเงินบาท มีโอกาสแข็งค่าต่อ จากการที่ทิศทางตลาดการเงินโลกถึงจุดกลับตัว หลังเงินเฟ้อสหรัฐต่ำกว่าคาดการณ์ และเฟดแสดงท่าทีเตรียมชะลอการขึ้นดอกเบี้ย ทำให้การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในระยะถัดไปมีจำกัด อย่างไรก็ตามนักลงทุนยังคงต้องตืดตามสถานการณ์ต่าง ๆ ในเดือน ธ.ค.ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขเศรศฐกิจไทย รวมถึงในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์ https://www.prachachat.net/prachachat-wealth/news-1139304

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

แบ่งเงินออมไว้ปีหน้า-คาดดอกเบี้ยเงินฝากขยับแรง

30/04/2024

แนวโน้มโปรโมชันเงินฝากมีมากขึ้นหลัง กนง.ส่งสัญญาณดอกเบี้ยไปต่อ ศูนย์วิจัยกสิกรฯ ประเมินดอกเบี้ยไตรมาสแรกปี 2566 อาจขยับมากกว่า 0.5% เหตุแบงก์ส่งเงินสมทบกองทุนฟื้นฟูฯ เพิ่ม แนะคนออมแบ่งเงินเลือกโปรโมชันที่เหมาะกับตัวเอง เตือนเงินฝากไม่เสียภาษี สรรพากรให้สิทธิแค่ไม่เกิน 2 หมื่น ถ้าเลือกออมหลายรายการมีโอกาสที่จะเกิน ต้องเสียภาษี 15% ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 คณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.00% เป็น 1.25% ต่อปี โดยให้มีผลทันที เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนจะยังเป็นแรงส่งสำคัญของเศรษฐกิจในระยะต่อไป และช่วยลดทอนผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2566 มีแนวโน้มสูงกว่าประมาณการครั้งก่อนจากราคาพลังงานในประเทศเป็นสำคัญ แต่จะยังคงโน้มลดลงและกลับสู่กรอบเป้าหมายในปี 2566 คณะกรรมการฯ เห็นว่าการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังเป็นแนวทางการดำเนินนโยบายที่สอดคล้องกับทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและแนวโน้มเงินเฟ้อ จึงเห็นควรให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี ในการประชุมครั้งนี้ เป็นอันว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยในไทยยังมีโอกาสที่จะปรับขึ้นต่อได้อีก นั่นหมายถึงจากนี้ไปโอกาสที่จะมีโปรโมชันระดมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ออกมาช่วงชิงเงินออมอาจจะเริ่มขึ้น หลังจากช่วงที่ผ่านมา ธนาคารรัฐออกโปรโมชันเงินฝากมาช่วงชิงเงินออมแล้วหลายตัว คาดปีหน้าดอกเบี้ยแรง ศูนย์วิจัยกสิกรไทยออกบทวิจัย การแข่งขันราคาเงินฝากทยอยชัดเจนขึ้น หนึ่งในจุดที่น่าสนใจทางศูนย์วิจัยฯ มองว่าแม้เงินฝากจะไม่ได้เติบโตในอัตราเร่ง แต่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากน่าจะปรับสูงขึ้นในลักษณะที่ชันขึ้นอีก โดยมาจากแรงส่งทั้งการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายและอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ (ก่อนกำหนดการปรับเพิ่มอัตรานำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ อีก 0.23% ในช่วงต้นปี 2566) ทำให้มีโอกาสที่จะเห็นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากปรับขึ้นมากกว่า 0.50% ภายในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 สำหรับผู้มีเงินออม ราคาหรืออัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่เพิ่มขึ้น รวมถึงแคมเปญเงินฝากที่ทยอยออกมามากขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงปลายปี คงทำให้ผู้มีเงินออมที่รับความเสี่ยงได้น้อยมีทางเลือกในการออมเงินที่ให้ผลตอบแทนดีขึ้น หรือมีผลิตภัณฑ์ที่ให้ผลตอบแทนถี่ขึ้นกว่ารายครึ่งปี อันอาจช่วยตอบโจทย์การนำดอกผลไปใช้จ่ายเพื่อดำรงชีวิตประจำวันได้ดีขึ้นกว่าเดิม กระนั้นก็ดี ด้วยเงินเฟ้อที่คาดว่าจะมีค่าเฉลี่ยสูงกว่า 2.5% ในปีหน้ายังทำให้การออมในรูปของเงินฝาก โดยเฉพาะเงินฝากระยะสั้นยังให้ผลตอบแทนที่ติดลบ โอกาสคนมีเงินออม การขยับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเริ่มมาตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายน 2565 ก่อนที่ กนง.ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจาก 0.5% เป็น 0.75% เมื่อ 10 สิงหาคม 2565 หลังจากที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น เมื่อ กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยจาก 0.75% เป็น 1% เมื่อ 28 กันยายน 2565 ธนาคารพาณิชย์จึงเริ่มปรับดอกเบี้ยเงินฝากขึ้น ทั้งฝั่งออมทรัพย์และบัญชีเงินฝากประจำ แต่ไม่มีการออกโปรโมชันเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ออกมา มีเพียงธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็กที่ออกเงินฝากเกิน 12 เดือน ให้ดอกเบี้ยเกือบ 2% ส่วนใหญ่เป็นฝากประจำต้องเสียภาษีอีก 15% แต่โปรฯ เงินฝากที่ออกมามากคือ ธนาคารรัฐส่วนใหญ่เป็นเงินฝากเพื่อการเกษียณ อย่างธนาคารออมสิน ออกโปรเงินฝากเพื่อการเกษียณออกมาแล้ว 3 รุ่น 10 ปี 7 ปี และล่าสุด 12 ปี คนที่ออมเงินจำนวนหนึ่งเลือกที่จะออมผ่านเงินฝากของสถาบันการเงิน แน่นอนว่ากลุ่มคนที่เน้นเงินฝากนั้นเป็นกลุ่มที่ต้องการความมั่นคง เงินต้นต้องไม่สูญ มีทั้งกลุ่มผู้สูงอายุ วัยกลางคนหรือคนที่ไม่นิยมความเสี่ยง แม้ต้องแลกด้วยผลตอบแทนที่อาจน้อยกว่าการออมเงิน หรือลงทุนผ่านช่องทางอื่น สำรวจตัวเองก่อนเลือกโปรฯ ตอนนี้เริ่มมีผลิตภัณฑ์เงินฝากออกมามากขึ้น หนึ่งในผู้ออมเงินแนะนำว่า อันดับแรกคุณต้องทราบว่าวันนี้อายุเท่าไหร่ ถ้าอายุการทำงานยังเหลืออีกนานและไม่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนที่จะนำไปหาผลตอบแทน โปรฯ เงินฝากยาวๆ คงไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าอยู่ในวัยใกล้เกษียณ อีกไม่กี่ปีต้องใช้เงินออมที่มี ไม่ควรเลือกเงินฝากที่ต้องฝากนาน แน่นอนว่าถ้าเลือกฝากไม่นานก็ต้องแลกด้วยดอกเบี้ยที่น้อยกว่า เรื่องแบบนี้ไม่มีสูตรสำเร็จ ทุกอย่างอยู่ที่ความจำเป็นของผู้มีเงินออม หากเงินออมบางก้อนยังไม่รีบใช้ก็นำไปหาผลตอบแทนที่นานขึ้นได้ หรือยอมรับได้ว่าเงินฝากอาจครบกำหนดเมื่อตัวเองพ้นวัยทำงานไปราว 2-3 ปี ขึ้นอยู่กับว่าท่านใช้เงินออมในการดำรงชีพช่วงพ้นวัยทำงานมากน้อยเพียงใด เรื่องนี้เป็นการบริหารจัดการชีวิตของตนเองให้เหมาะสมกับสถานะความเป็นอยู่ ประการต่อมา หากสนใจโปรโมชันเงินฝากของสถาบันการเงินใดควรอ่านรายละเอียดให้ครบถ้วน เพื่อการตัดสินใจที่เกิดประโยชน์สูงสุดของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าไม่สามารถฝากได้ตามเงื่อนไขตามที่กำหนด หรือถอนก่อนกำหนด ธนาคารบางแห่งอาจให้แค่ดอกเบี้ยตามช่วงเวลานั้น หรือปรับดอกเบี้ยลงมาเหลือแค่ออมทรัพย์ แต่บางธนาคารอาจมีค่าปรับ เช่น คิดค่าธรรมเนียม 1% หรือขั้นต่ำ 500 บาท ตรงนี้ต้องพิจารณาให้ดี ออมทรัพย์ไม่เสียภาษีอย่าเกิน 2 หมื่น อีกประการหนึ่งคำว่าเงินฝากไม่เสียภาษีนั้น ท่านควรทราบข้อยกเว้นของกรมสรรพากรที่ยกเว้นการเก็บภาษีสำหรับดอกเบี้ยที่ได้จากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ไม่เกิน 2 หมื่นบาท คือขณะนี้ธนาคารรัฐออกบัญชีออมทรัพย์ (เผื่อเรียก) ไม่เสียภาษีออกมาหลายรอบ หากท่านใช้สิทธิฝากบัญชีลักษณะนี้หลายๆ โปรโมชัน พึงคำนึงถึงข้อยกเว้นดังกล่าวให้ดี แม้ว่ารายการฝาก 1 รายการดอกเบี้ยรับอาจไม่เกิน 2 หมื่นบาท แต่หากรวมกับหลายๆ บัญชีออมทรัพย์ที่เปิดไว้ดอกเบี้ยรวมมีโอกาสที่จะเกิน 2 หมื่นบาทได้ ตรงนี้จะทำให้ท่านต้องเสียภาษี 15% เดิมดอกเบี้ยออมทรัพย์ หรือเผื่อเรียกของแต่ละแบงก์จะต่ำมาก เช่น 0.25% ท่านต้องมีเงินฝากหลายล้านจึงจะเข้าข่ายดอกเบี้ยเกิน แต่ตอนนี้ดอกเบี้ยตามโปรโมชันขยับขึ้นไปเกินกว่า 3.5% ในบางโปรโมชัน ทำให้โอกาสที่ท่านจะได้รับดอกเบี้ยเกินกว่า 2 หมื่นบาทก็มีความเป็นไปได้หากท่านเปิดบัญชีตามโปรฯ ใหม่ๆ ที่แบงก์ออกมา ดีที่สุดเพื่อป้องการการเสียโอกาส ท่านควรทำบันทึกเงินฝากไว้ทุกรายการ รายการที่ได้สิทธิยกเว้นภาษีก็ควรรักษาไว้เพื่อไม่ให้เสียสิทธิดังกล่าว หากคำนวณแล้วดอกเบี้ยรับจากบัญชีฝากออมทรัพย์ใกล้เคียงหรือเกิน 2 หมื่นบาท ก็ควรเปลี่ยนไปออมไปช่องทางอื่น อาจต้องยอมเสียภาษี 15% บ้าง เช่น ซื้อพันธบัตรรัฐบาล หรือบางคนอาจขยับขึ้นไปซื้อหุ้นกู้ที่มีความเสียงมากกว่าการฝากเงินกับธนาคาร ดูเงื่อนไขดอกเบี้ย ยังมีรายการปลีกย่อยอีกที่ผู้ออมควรต้องทราบ เช่น ดูเรื่องการจ่ายอัตราดอกเบี้ยด้วย บางธนาคารมีข้อเสนอให้ผู้ฝากเงินจ่ายดอกเบี้ยเป็นรายเดือน อย่างเช่นพันธบัตรรัฐบาลรุ่นที่ผ่านมา ได้ปรับการจ่ายดอกเบี้ยจาก 6 เดือนครั้ง มาเป็น 3 เดือนครั้ง เงินฝากบางรุ่นก็มีเงื่อนไขจ่ายดอกเบี้ยเมื่อครบกำหนดฝาก แบบนี้ผู้ฝากต้องรอดอกเบี้ยเมื่อครบกำหนด บางค่ายอาจใช้เวลาเป็นปี นอกจากนี้ ต้องดูด้วยว่าเงินฝากบางประเภทฝากครั้งเดียว หรือต้องฝากต่อเนื่อง เช่น 24 เดือน หรือ 36 เดือน ท่านสามารถทำได้หรือไม่ ตัวดอกเบี้ยที่เห็นอาจดูสูง แต่ต้องอ่านรายละเอียดดีๆ เช่น ดอกเบี้ยสูงสุด หรือเงินฝากบางประเภทให้ดอกเบี้ยสูงเฉพาะช่วงเงินฝากที่กำหนดเท่านั้น หรือเป็นดอกเบี้ยแบบขั้นบันไดที่ต้องมาหาค่าเฉลี่ย รักสลากเปลี่ยนบ้างก็ได้ อย่างไรก็ตาม หลายท่านอาจลืมเรื่องการคุ้มครองเงินฝากไปเลยอยากย้ำว่า ทางสถาบันคุ้มครองเงินฝากจะให้ความคุ้มครองเงินฝากของผู้ฝากเงินไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อ 1 รายผู้ฝากต่อสถาบันการเงิน มีผลมาตั้งแต่ 11 สิงหาคม 2564 ช่วงที่ดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างนี้ควรแบ่งเงินออมที่มีกระจายหาผลตอบแทน เพราะไม่มีใครรู้ได้ว่าดอกเบี้ยของค่ายใดจะเป็นดอกเบี้ยที่สูงที่สุด ออมแบบสั้นบ้าง ยาวบ้างสลับกัน น่าจะเป็นอีกทางออกหนึ่งในยามดอกเบี้ยขาขึ้น สำหรับผู้ที่ออมผ่านสลากของรัฐบาลทั้ง 3 แห่ง ซึ่งเคยเป็นที่พึ่งในช่วงที่ดอกเบี้ยในประเทศต่ำ อันเนื่องมาจากสถานการณ์โควิด ตอนนี้น่าจะทำให้ท่านมีทางเลือกในการพิจารณามากขึ้นกว่าเดิม หากเงินที่ซื้อสลากครบอายุท่านอาจเลือกที่จะออมต่อผ่านสลากหรือถ้าเห็นว่าผลตอบแทนได้น้อยเกินไปก็อาจเปลี่ยนมาเป็นออมแบบเงินฝากรูปแบบอื่นๆ ได้ตามความพอใจ ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :https://m.facebook.com/SpecialScoopMan agerOnline/?locale2=th_TH Instragram :https://instagram.com/special.scoop.m gronline?utm_medium=copy_link Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4jv แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์ https://mgronline.com/specialscoop/detail/9650000115292

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ภาษี

ภาษีขายหุ้น คิดคำนวณยังไง เริ่มเมื่อไหร่ สรุปสำหรับนักลงทุน

30/04/2024

การเก็บภาษีขายหุ้น หรือ Financial Transaction Tax ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบให้กระทรวงการคลังดำเนินการจัดเก็บนั้น รัฐประเมินว่า ในปีแรกคาดว่าจะเก็บได้ประมาณ 8,000 ล้านบาท (จากการจัดเก็บที่อัตรา 0.055%) และในปีต่อ ๆ ไปคาดว่าจะจัดเก็บได้ประมาณปีละ 16,000 ล้านบาท (จากการจัดเก็บที่อัตรา 0.11%) เริ่มเก็บ “ล้านละ 550 บาท” ปีต่อไป “ล้านละพัน” “ประชาชาติธุรกิจ” ได้รับการยืนยันจากกระทรวงการคลังว่า จะเก็บจากธุรกรรมการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ นับตั้งแต่บาทแรก ตามที่นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เคยให้สัมภาษณ์ไว้ก่อนหน้านี้ เพียงแต่ช่วงแรก จนถึงสิ้นปี 2566 จะจัดเก็บที่อัตรา 0.055% เท่ากับว่า หากนักลงทุนขายหุ้น 100 บาท ก็จะเสียภาษี 0.055 บาท หรือขายหุ้น 1,000 บาท ก็จะเสียภาษี 0.55 บาท หรือขายหุ้น 10,000 บาท ก็จะเสียภาษี 5.5 บาท หรือขายหุ้น 100,000 บาท ก็จะเสียภาษี 55 บาท หรือขายหุ้น 1 ล้านบาท ก็จะเสียภาษี 550 บาทนั่นเอง ส่วนปีต่อ ๆไปก็จะจัดเก็บที่ “ล้านละ 1,000 บาท” คาดเริ่มจัดเก็บภาษีไตรมาส 2 ปี 2566 ส่วนที่ว่าจะเริ่มเก็บภาษีนี้เมื่อใดนั้น ตามร่างพระราชกฤษฎีกาตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะและกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ ฉบับที่… พ.ศ. … ที่กระทรวงการคลังเสนอ มีการกำหนดช่วงระยะเวลาผ่อนผัน (Grace period) เพื่อให้เวลาบริษัทหลักทรัพย์ หรือโบรกเกอร์ต่าง ๆ ในการทำระบบข้อมูล และเตรียมพร้อมเรื่องการนำส่งภาษีให้กับกรมสรรพากรเป็นเวลา 90 วัน นับตั้งแต่กฎหมายมีผลบังคับใช้ “หรือจะเริ่มเก็บในวันที่ 1 ของเดือนที่ 4 หลังจากที่กฎหมายมีผลบังคับใช้นั่นเอง” ดังนั้น หากกฎหมายมีผลบังคับใช้ได้อย่างเร็วที่สุด คือตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2565 นี้ การเก็บภาษีขายหุ้นก็จะเริ่มได้ในเดือน มี.ค. 2566 อย่างไรก็ดี ภาษีประเภทนี้จะจัดเก็บเหมือนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ผู้จัดเก็บจะต้องนำส่งกรมสรรพากรทุกเดือน ดังนั้น จึงคาดว่าน่าจะเริ่มได้ในเดือน เม.ย. 2566 หรือตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2566 เป็นต้นไป ซึ่งสอดคล้องกับการประเมินของบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ที่คาดว่าการจัดเก็บน่าจะเริ่มได้ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปีหน้าเป็นต้นไปเช่นเดียวกัน “ตลท.-บล.” เตรียมความพร้อมระบบจัดเก็บ นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ภายหลัง ครม.รับร่างหลักการการจัดเก็บภาษีขายหุ้น เบื้องต้นทางตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังทำงานร่วมกับสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (บล.) ในการเตรียมการสำหรับกระบวนการจัดเก็บภาษีขายหุ้น (Financial Transaction Tax) เพื่อให้มีภาระต้นทุนที่ต่ำ และมีประสิทธิภาพในการทำงานของทั้งอุตสาหกรรม นอกจากนี้ จะมีการเตรียมข้อเสนอในรายละเอียดการจัดเก็บภาษีให้กับกระทรวงการคลัง เพื่อไม่ให้เกิดการจัดเก็บภาษีซ้ำซ้อนจากผู้ลงทุนในบางประเภทธุรกรรมหากมีการจัดเก็บ ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะแจ้งข้อมูลความคืบหน้าให้ทราบต่อไป แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์ https://www.prachachat.net/finance/news-1134218

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

จะให้สร้างตัวในเศรษฐกิจแบบนี้? ‘ปล่อยให้เน่าไป’ แนวคิดล่าสุดของหนุ่มสาวชาวจีนที่ขอยอมแพ้กับชีวิต

30/04/2024

เรียนจบแล้วก็ต้องเข้าเมืองใหญ่มาหางานทำ บ้านก็ต้องเช่า ข้าวก็ต้องซื้อ เงินก็ต้องส่งให้ที่บ้าน แต่ก็ต้องประสบความสำเร็จ มีรถ มีบ้าน มีครอบครัวให้ได้ เมื่อสังคมกดดันและคาดหวังในตัวหนุ่มสาวรุ่นใหม่ แต่เศรษฐกิจดันเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ขนาดนี้จะให้ทำอย่างไร ‘ปล่อยให้เน่าไป’ หรือ ‘摆烂’ เป็นคำภาษาจีนที่กำลังมาแรงในหมู่หนุ่มสาวชาวจีนผู้สิ้นหวัง เพื่อบรรยายความรู้สึกที่ตัวเองมีกับชีวิตในตอนนี้ พวกเขาไม่ต้องการตะเกียกตะกายสู่ความสำเร็จอีกต่อไป แค่อยากจะมีชีวิตแบบนี้แหละ ถ้าราคาบ้านมันแพงนักก็ปล่อยมันสิ เช่าเขาอยู่ไปตลอดชีวิตเลยแล้วกัน หรือถ้าการหางานในเมืองมันยากก็เอาเถอะ กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปประทังชีวิตอยู่บ้านเอาก็ได้ เดิมทีคำว่า 摆烂 มาจากวงการบาสเกตบอล หมายถึงการที่นักบาสเกตบอลอ่านเกมแล้วยังไงก็ต้องแพ้แน่นอน ก็เลยไม่ได้หวังจะชนะแล้ว เน้นเล่นต่อไปให้จบเกมอย่างเร็วที่สุด เพื่อที่จะแข่งในเกมต่อไป หรือจะให้อธิบายเป็นศัพท์เกมเมอร์ชาวไทยก็คือ ‘โยนเกม’ นั่นเอง หนุ่มสาวชาวจีนที่สิ้นหวังกับการดิ้นรนในเมืองใหญ่ก็เลยรวมตัวกันแชร์เรื่องราวของตัวเองผ่านแฮชแท็กนี้ ซึ่งดูเหมือนเป็นการประชดประชันเสียดสีที่ดูตลก แต่ถ้ามองให้ลึกลงไป นี่เป็นการต่อต้านโครงสร้างครั้งยิ่งใหญ่ ทั้งการแข่งขันที่สูงในหมู่คนหนุ่มสาวด้วยกัน วัฒนธรรมการทำงานแบบ 996 ที่ทำให้คนตายมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่ต่อต้านด้วยแนวคิดที่ว่า ถ้าไม่มีใครคิดจะปรับโครงสร้างก็ปล่อยให้อนาคตของประเทศมันเน่าไปให้หมดเนี่ยแหละ ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ชาวจีนกว่าหลายร้อยล้านคนต้องอาศัยอยู่แต่ในบ้านด้วยสถานการณ์โควิดและนโยบาย Zero-COVID ซึ่งสิ่งนี้ก็ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจของจีนอยู่มากพอสมควร นักเศรษฐศาสตร์ออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับแนวคิดของหนุ่มสาวชาวจีนรุ่นใหม่ว่า นี่อาจทำให้เศรษฐกิจจีนที่กำลังอยู่ในภาวะตกต่ำอยู่แล้วยิ่งตกต่ำขึ้นไปอีก รวมถึงจะส่งผลกับอัตราการเกิดที่ตอนนี้ก็ต่ำมากเป็นประวัติการณ์อยู่แล้วเช่นกัน “ที่จริงมันอาจเป็นแค่คนกลุ่มเล็กๆ เท่านั้นที่คิดจะปล่อยให้เน่าไปจริงๆ แต่การที่คำนี้กลายเป็นเทรนด์ขึ้นมาและถูกพูดถึงบ่อยบนโลกออนไลน์ ก็สามารถสร้างผลกระทบบางอย่างกับเศรษฐกิจได้” ศ.ซือเหลย จากมหาวิทยาลัยฟูตัน กล่าวถึงเทรนด์ครั้งนี้ ทางด้านของหนุ่มสาวก็ได้ให้เหตุผลของการที่จะ ‘ปล่อยให้มันเน่าไป’ เอาไว้ว่า คนหนุ่มสาวสมัยนี้ต้องแบกภาระและความคาดหวังอันหนักอึ้งเอาไว้ ซึ่งสถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่มีใครเดาอะไรได้เลย พวกเขาไม่สามารถวางแผนระยะยาวให้ชีวิตตัวเองได้ด้วยซ้ำ เพราะโรคระบาดและสภาพเศรษฐกิจที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อยู่ตลอดเวลา พวกเขาไม่รู้อีกต่อไปว่าใน 5 ปีข้างหน้ามันจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อคาดการณ์อะไรไม่ได้เลย พวกเขาจึงเลือกที่จะยอมแพ้และ ‘ปล่อยให้มันเน่าไป’ ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาใจเสาะหรือไม่อดทนเลยไม่อยากสู้ แต่สิ่งที่พวกเขาสู้อยู่ไม่ใช่สิ่งเล็กๆ ที่ใครสักคนจะสู้จนตัวตายเพื่อแก้ไขได้ แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องอาศัยการแก้ไขโดยผู้มีอำนาจที่อยู่เบื้องบนต่างหาก อ้างอิง:   •  https://www.insider.com/chinese-people-letting-it-rot-social-protest-trend-2022-10   •  https://www.theguardian.com/world/2022 /may/26/the-rise-of-bai-lan-why-chinas-frustrated-youth-are-ready-to-let-it-rot แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับthestandard https://thestandard.co/chinese-letting-it-rot/?fbclid=IwAR1XtkpbwbudV793YZTpskkLJBCk-T1V08l3PLr33EpxPfzUHllzJHXm4Us

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X