ประกันชีวิต
K Research ชี้ธุรกิจประกันชีวิตปี’68 “ดอกเบี้ยลง-กำลังซื้ออ่อนแรง” กดดัน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินธุรกิจประกันชีวิตปี 2567 โตต่ำ-อำนาจซื้ออ่อนแรง ปิดปีมองโต 2.6% ส่วนปี 2568 คาดเบี้ยโตในกรอบ 2.8-3.6% ถูกกดดัน “ดอกเบี้ยลง-กำลังซื้ออ่อนแรง” 1 ม.ค.68 เริ่มบังคับใช้มาตรฐานบัญชี TFRS17
นางสาวจารุวรรณ เศรษฐวงศ์ เจ้าหน้าที่วิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (K Research) เปิดเผยว่า ธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทยปี 2567 เติบโตในระดับต่ำ ท่ามกลางอำนาจซื้อที่อ่อนแรง โดยภาพรวมเบี้ยประกันชีวิต 9 เดือนแรกของปี 2567 ขยายตัว 2.3% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) ด้วยอานิสงส์ของเบี้ยปีต่อไปที่ขยายตัวสูง ขณะที่เบี้ยใหม่โตชะลอลงจากปัจจัยทั้งอุปสงค์และอุปทาน ตามการปรับการขายผลิตภัณฑ์ที่เน้นความคุ้มครองมากขึ้น และคุมสัดส่วนการขายเบี้ยประเภทจ่ายครั้งเดียว
สำหรับในช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 ซึ่งเป็นฤดูกาลขายและเป็นช่วงสุดท้ายของการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีประจำปีนั้น คาดว่าภาพรวมเบี้ยจะขยายตัวในอัตราที่ดีขึ้นแต่ด้วยปัจจัยด้านฐานสูงในปีก่อน ทำให้เบี้ยรวมทั้งปี 2567 คงขยายตัวชะลอลงมาที่ประมาณ 2.6% (กรอบ 2.3-2.9%) เทียบกับที่ขยายตัว 3.6% ในปี 2566
ส่วนแนวโน้มธุรกิจประกันชีวิตปี 2568 ปัจจัยท้าทายเพิ่ม ขณะที่ปัจจัยเดิมยังรุมเร้า โดยประเมินภาพรวมเบี้ยประกันชีวิตในปี 2568 น่าจะยังเติบโตได้ในกรอบประมาณ 2.8-3.6% ใกล้เคียงกับปี 2566-2567 โดยคาดว่าเบี้ยรับปีต่อไปจะยังคงเป็นแรงสนับสนุนสำคัญ ร่วมกับการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปของเบี้ยรับรายใหม่
โดยปี 2568 ธุรกิจประกันชีวิตต้องรับมือปัจจัยท้าทายเพิ่มเติม โดยเฉพาะจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่ทยอยปรับลดลง ซึ่งมีผลให้รายได้จากการลงทุนลดลงและสร้างความท้าทายให้กับการนำเสนอผลตอบแทนของกรมธรรม์ที่จูงใจเพียงพอสำหรับลูกค้าใหม่
ขณะที่ปัญหาอำนาจซื้อจะยังกดดันความต้องการซื้อผลิตภัณฑ์ประกันต่อเนื่อง ท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าจะเติบโตชะลอลงเล็กน้อยมาที่ 2.4% จากปี 2567 ที่คาดว่าจะโตประมาณ 2.6%
นอกจากนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 บริษัทประกันชีวิตเริ่มจัดทำงบการเงินตามมาตรฐานบัญชี TFRS17 ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้งบการเงินของบริษัทประกันสะท้อนภาพรายได้และค่าใช้จ่ายที่สอดดล้องกับสภาพการดำเนินงานมากขึ้น อาทิ 1.การไม่นับเบี้ยประกันทั้งจำนวนเป็นรายได้ของบริษัท แต่จะนับเฉพาะรายได้ส่วนที่เป็นรายรับจากการบริการลูกด้า (คล้ายกับค่าธรรมเนียมหรือ Service Fees ที่ต้องทยอยรับรู้ตามสัญญาประกันภัย) 2.การที่ต้องรับรู้ผลขาดทุนจากการรับประกันภัยทันทีทั้งจำนวน จากเดิมที่ทยอยรับรู้ระหว่างช่วงสัญญาในรูปเงินสำรองประกันชีวิต
ทั้งนี้รูปแบบงบการเงินที่เปลี่ยนไปจากเดิม มีผลกระทบเชิงบัญชีค่อนข้างมากต่อผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสะสมทรัพย์โดยเฉพาะประเภทจ่ายครั้งเดียว แต่มีความคุ้มครองระยะยาว ซึ่งภายใต้ TFRS17 บริษัทจะมีรายได้จากการให้บริการลูกค้าหรือรายได้ค่าธรรมเนียมจากการรับประกันภัยต่ำ (อาจเหลือเพียง 10% ของเบี้ยรับ เทียบกับเดิมที่บันทึกเบี้ยรับทั้งจำนวนเป็นรายได้) ขณะเดียวกันยังต้องบันทึกผลขาดทุนที่เกิดจากการรับรองผลตอบแทนตลอดอายุสัญญาทันทีในปีแรก
มาตรฐานบัญชีใหม่นี้คงมีผลเพิ่มความซับซ้อนให้กับการวางแผนการขายผลิตภัณฑ์และรับรู้รายได้-ผลขาดทุนต่าง ๆ ของบริษัทประกันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ย้ำภาพการปรับโครงสร้างพอร์ตการรับประกันของแต่ละบริษัทในช่วงที่ผ่านมา โดยปรับเพิ่มสัดส่วนพอร์ตการรับประกันภัย และปรับลดสัดส่วนพอร์ตที่เน้นการออมเงินลง
ขณะที่ด้านการจัดการและกลยุทธ์การขายผลิตภัณฑ์ในอนาดต บริษัทประกันคงจะยังเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สอดดล้องกับผู้บริโภคมากขึ้น (Customer Centric) อาทิ การนำเสนอทุนประกันชีวิตขนาดเล็ก (Small Lot Main Policies) เพื่อลดภาระของผู้เอาประกันที่ต้องการซื้อสัญญาเพิ่มเติมอื่นเป็นหลัก เช่น ประกันสุขภาพ ประกันโรคร้ายแรง ประกันอุบัติเหตุ เป็นต้น
ปัจจัยท้าทายและการปรับตัวในปี 2568 1.เศรษฐกิจไทยยังมีความไม่แน่นอน และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังไม่กระจายตัวเท่าที่ควร กระทบกำลังซื้อของลูกค้าวัยแรงงาน (25-70 ปี) โดยเฉพาะในกลุ่มรายได้ปานกลางที่มีรายได้ต่อเดือนต่ำกว่า 30,000 บาท และต่ำกว่า 50,000 บาท ซึ่งตามฐานข้อมูลประชากรประจำปี 2564 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งเป็นฐานลูกค้าขนาดใหญ่กว่า 9 ล้านคน และ 2.6 ล้านคน ตามลำดับ
โดยการปรับตัวและการปรับผลิตภัณฑ์ของบริษัทประกันคือ 1.1.นำเสนอแบบประกันที่มีระยะเวลาการชำระเบี้ยนานขึ้น เช่น แบบตลอดชีพ แบบมรดก ซึ่งช่วยให้ลูกค้าได้รับวงเงินคุ้มครองสูง ขณะที่บริษัทรับความเสี่ยงด้านการประกันภัยเป็นหลัก
1.2.นำเสนอแบบประกันที่มีทุนประกันเล็กลง เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับลูกค้า โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยซื้อประกันมาก่อน เพื่อสร้างความคุ้นเคยในตัวผลิตภัณฑ์ประกัน และลดความเสี่ยงจากการเวนคืนหรือยกเลิกกรมธรรม์ก่อนกำหนดอันอาจทำให้ลูกค้าได้รับเงินคืนน้อยกว่าที่ชำระและมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการทำประกัน
2.อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยผ่านจุดสูงสุดและมีโอกาสขยับลง สอดคล้องกับทิศทางดอกเบี้ยในต่างประเทศ กระทบต่อรายได้จากการลงทุนซึ่งมีแนวโน้มลดลงตามดอกเบี้ย และอาจส่งผลต่อกำไรสะสมและอัตราการดำรงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (RBC) ให้ปรับลดลง
โดยการปรับตัวและการปรับผลิตภัณฑ์ของบริษัทประกันคือ 2.1.ขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์กลุ่ม High Value ที่มีลักษณะให้ความคุ้มครองภัยสูงร่วมกับการปรับลดพอร์ตผลิตภัณฑ์กลุ่มสะสมทรัพย์ (Endowment) ที่มีลักษณะรับรองผลตอบแทนคล้ายดอกเบี้ย
2.2.ปรับลดผลตอบแทนสำหรับแบบประกันที่รับรองการจ่าย (Guaranteed Benefit) เช่น ประกันสะสมทรัพย์ที่กำหนดอัตราผลตอบแทนตลอดสัญญาไว้
2.3.ขยายผลิตภัณฑ์ประเภทมีส่วนร่วมในเงินปันผล (Participating Product) ผลิตภัณฑ์ยูนิตลิงค์ (Unit Linked) และยูนิเวอร์แซลไลฟ์ (Universal Life) เพื่อให้บริษัทรับความเสี่ยงด้านการประกันภัยเป็นหลัก ขณะที่ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นทางเลือกสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้น รับความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้น โดยสามารถเลือกนโยบายการลงทุนที่สอดคล้องกับความต้องการ
3.โครงสร้างประชากรสูงวัยมีสัดส่วนสูงขึ้นทุกปี ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8-10% ต่อปี ทำให้ประกันสุขภาพและโรคร้ายแรง เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีโอกาสขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการขยายช่วงอายุของการรับประกันสุขภาพจากเดิมไม่เกิน 60 ปี เป็น 80 ปี
โดยการปรับตัวและการปรับผลิตภัณฑ์ของบริษัทประกันคือ 3.1.ควบคุมต้นทุนและควบคุมอัตราเบี้ยประกันไม่ให้แพงขึ้นสอดคล้องกับกำลังซื้อและรายได้ของผู้บริโภค 3.2.แนวทางการเคลมสินไหมในระยะต่อไป อาจมีเงื่อนไขเพิ่มขึ้น ซึ่งแม้จะช่วยควบคุมต้นทุน แต่อาจกระทบต่อผู้บริโภค ทำให้แรงจูงใจในการซื้อประกันสุขภาพลดลง เช่น ข้อกำหนดเกี่ยวกับการเคลมการเจ็บป่วยเล็กน้อย เช่น ไข้หวัด และข้อกำหนดการรับประกันแบบมีเงื่อนไขให้ผู้บริโภคต้องมีส่วนร่วมจ่ายค่ารักษา (Co-Payment) เป็นต้
กล่าวโดยสรุป โครงสร้างธุรกิจประกันชีวิตมาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านฐานลูกค้ารายหลัก ซึ่งไม่อาจผูกติดกับลูกค้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเกินไป ดังเช่นในอดีตที่อาจผลักดันการเติบโตได้ด้วยการระดมยอดขายประเภทจ่ายครั้งเดียวในกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูงแต่จำเป็นต้องขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มที่มีรายได้รองลงมาท่ามกลางข้อจำกัดของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่กดดันอำนาจซื้อ
อย่างไรก็ดีธุรกิจประกันยังสามารถต่อยอดการขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ ได้โดยเฉพาะมิติที่เกี่ยวข้องกับความคุ้มครองและประกันสุขภาพโดยที่ยังต้องเน้นการบริหารจัดการต้นทุนปรับผลิตภัณฑ์ให้เบี้ยเข้าถึงได้มากขึ้น ตลอดจนเพิ่มการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI ในการเข้าถึงลูกค้าและสามารถนำไปสู่การตัดสินใจซื้อได้ด้วยขั้นตอนที่ลดลง
X