Everyday knowledge for you
ห้องแสดงนิทรรศการ
20/11/2024
สตาร์ทขุมพลังแรงขับเคลื่อนกับ “DRIVEN” นิทรรศการและการประมูลงานศิลปะจาก The Art Auction Centerเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับประสบการณ์สุดพิเศษในนิทรรศการและการประมูลผลงานศิลปะ “DRIVEN” โดย The Art Auction Center บริษัทประมูลศิลปะอันดับหนึ่งของไทย พบกับงานศิลปะทรงคุณค่าจากศิลปินชั้นนำของวงการจำนวน 133 ชิ้น ที่คุณจะได้ชื่นชมอย่างใกล้ชิดพร้อมนำชิ้นที่ใช่กลับไปเติมเต็มคอลเลคชั่นส่วนตัวพิเศษสุด! ผู้ร่วมงานจะได้สัมผัสกับสุดยอดยนตรกรรม โดย 911 Assistant ศูนย์บริการ Porsche ระดับแนวหน้าของประเทศ ได้นำรถหรูรุ่นพิเศษที่แสดงถึงดีไซน์อันประณีตและสมรรถนะที่เป็นเลิศมาจัดแสดงเคียงข้างกับงานศิลปะ“การจัดแสดงศิลปะและยนตรกรรมคู่กันในนิทรรศการ “DRIVEN” เป็นการผสมผสานที่แม้จะดูแตกต่าง แต่สามารถเชื่อมโยงกันได้อย่างลงตัว ด้วยต่างมีพลังดึงดูดใจในแบบของตัวเอง และสัมพันธ์กันด้วยความตั้งใจ ความประณีต และแรงบันดาลใจจากผู้สร้างในโอกาสนี้ ผู้ชมจะได้สัมผัสประสบการณ์ที่หลากหลาย ทั้งในแง่ของศิลปะและเทคโนโลยี ซึ่งช่วยสร้างแรงบันดาลใจและเปิดโลกทัศน์ใหม่ ๆ กับการได้พบค้นความงดงามที่ขยายขอบเขตออกไปมากกว่าผลงานศิลปะ และยังช่วยให้เราได้สัมผัสถึง 'แรงขับเคลื่อน' ซึ่งเป็นหัวใจของทั้งสองโลก” พิริยะ วัชจิตพันธ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง The Art Auction Center กล่าวถึงความน่าสนใจของงานด้วยว่า ในการจุดเครื่องยนต์แห่งชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในงานศิลปะหรือยนตรกรรม ต่างล้วนเริ่มต้นด้วยประกายไฟ แรงขับที่ผลักดันเราไปข้างหน้าให้มุ่งสู่จุดหมายปลายทาง...’“DRIVEN” เปรียบดั่งพาหนะชั้นเยี่ยมที่จะนำพาทุกคนพุ่งทะยานไปสัมผัสประกายไฟแห่งพลังและจิตวิญญาณของศิลปินงานนี้นับเป็นโอกาสทองของทุกคนที่จะได้สัมผัสผลงานศิลปะชั้นเยี่ยมซึ่งหาชมได้ยากและร่วมการประมูลซึ่งจะเปิดโอกาสให้คุณได้ค้นหาและเป็นเจ้าของชิ้นงานซึ่งสะท้อนตัวตนอันเป็นเอกลักษณ์เจาะลึกไฮไลท์งานศิลปะใน “DRIVEN”ประเทือง เอมเจริญ “UNIVERSAL LOVERS / คู่รักจักรวาล” (ปี 2537) สีน้ำมันบนผ้าใบ‘ผลงานชิ้นนี้ถูกตีพิมพ์ในหนังสือ "จิตวิญญาณศิลปะ" เอกภพกว้างใหญ่มีถัดไปไร้สิ้นสุด ชั่วขณะที่ดวงดาวนับล้านกำลังสูญสลายแตกตับ บ้างระเบิดเพื่อก่อเกิดสายธารดาราใหม่ ท่ามกลางความอ้างว้างที่สสารกระจัดกระจายวุ่นวาย พลังของจักรวาลก็ดึงดูดเข้าหา นำพาคู่รักโคจรมาพบกัน ประเทือง ถ่ายทอดความงามของปรากฏการณ์นามธรรมนั้น ด้วยคู่สีจัดจ้าน รายละเอียดเส้นสายบรรจงขับเน้นพลังของดาวฤกษ์ที่ปลดปล่อยสู่กันและกัน หากเปรียบเป็นเส้นทางนับพันปีแสง ชีวิตมนุษย์นั้นยืนยาวเพียงแสงดาวตกที่คาดผ่านฟ้า แต่ในช่วงเวลาเพียงพริบตานั้น ความรักของเราได้พบพาน’ถวัลย์ ดัชนี “FISHING BOAT / ตังเก” (ปี 2510) สีน้ำมันบนผ้าใบ‘เส้นสายที่ชับซ้อนทรงพลังและสีโทนฟ้าสุขุมถ่ายทอดความเงียบสงบและความลึกลับของท้องทะเล ภาพกึ่งนามธรรมของเรือที่แสดงอยู่บนฉากหลังของสีเขียวและฟ้าตัดสลับกันอย่างนุ่มนวลอัดแน่นไปด้วยอารมณ์ การเล่นแสงและเงา ที่จับเอาจังหวะการเคลื่อนไหวของระลอกคลื่น ปาดป้ายด้วยเกรียงเรียงตัวสอดประสานในรูปร่างเรขาคณิตสไตล์คิวบิสก์ ผลงานชิ้นสำคัญนี้ถูกแขวนประตับ ณ ห้องอาหารขององค์กร JUSMAGTHAI ในช่วงระหว่างสงครามเวียดนาม นับเป็นผลงานหายากที่ได้รับอิทธิพลตะวันตกอย่างชัดเจน ในยุคที่ ถวัลย์ เพิ่งสำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ’ดำรง วงศ์อุปราช “GOLDEN MOUNT / ภูเขาทอง” (ปี 2504) สีน้ำมันบนแผ่นไม้‘ผลงานหายากชิ้นสำคัญของ ตำรง ที่ส่องประกายตังเพชรเม็ดงามชิ้นนี้ สร้างสรรค์ขึ้นในยุคที่ศิลปินชนะรางวัล ศิลปกรรมแห่งชาติ ภาพนี้สะท้อนรายละเอียดอันประณีต ผ่านองค์ประกอบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพื้นผิวลวดลายขัดสานของไม้ ลายแผ่นกระดานของฝาผนัง และพื้นผิววัสดุมุงหลังคา ที่ถูกวาดอย่างพิถีพิถันคงความสมจริง นำเสนอภาพภูเขาทอง ความงามของสถาปัตยกรรมบ้านเรือนและวิถีชีวิตอย่างไทยที่กลั่นผ่านห้วงความคิดของศิลปิน อาศัย มุมมองนำเสนอในแนวตั้งแบบศิลปะสมัยใหม่ สะท้อนความเชื่อมโยงของชีวิตและศรัทธาทางศาสนาที่ถูกรวมเข้าไว้ด้วยกัน’ถวัลย์ ดัชนี “ปลา” (ปี 2510) หมึกบนกระดาษ‘ห้วงเวลาสำคัญในชีวิตของถวัลย์ ดัชนี ที่ส่งผลต่อรูปแบบงานอันโด่งดังมากมาย คือช่วงที่ได้ไปศึกษาต่อ ณ กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์โดยได้รับทุนค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายพอประทังชีวิต แต่ก็ไม่สามารถกินอยู่หรูหรา การจะได้ลิ้มลองอาหารจานโตในภัตตาคารจึงเป็นไต้เพียงสิ่งเพ้อฝันแต่ด้วยต้นทุนฝีมือ จึงสามารถวาดโลกจากจินตนาการให้ออกมาเป็นภาพ สองมือแบแผ่ออกประหนึ่งแสดงตนว่าเป็นผู้ได้แหะเนื้อเถือหนังปลาบนจานให้เหลือเพียงกระดูก’ชาติชาย ปุยเปีย “UNTITLED” (ปี 2556) สีน้ำมันบนผ้าใบ‘ธรรมชาติ เวลา ฤดูกาลผันผ่าน ชีวิตมนุษย์เวียนวน ก่อกำเนิดบุรุษบรรจบแล้วดับหาย ชาติชาย ปุยเปีย ถ่ายทอดความสันโดษ การแสวงหาและตระหนัก รู้ของจิตภาวะภายใน สะท้อนความคิดและอารมณ์ในใจ แสดงความสงบออกผ่านสีหน้าและการใช้สีในงาน เหล่าผีเสื้อบินตอมดอมดม แทนสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงและเติบโตในมนุษย์ การเข้าใจ โอบรับและกลับคืนสู่สามัญนำมนุษย์หวนคืนสู่ธุลีดิน’จักรพันธุ์ โปษยกฤต “พระพุทธมหาปารมีนุภาพพิสุทธิ์อนุตตรสังคามวิชัย” (ปี 2553) “สมเด็จพระพุทธเมตตามหาบพิตร” (ปี 2557) “พระพุทธมหาวชิราวุธานุสรณ์” (ปี 2556) เรซิน‘พรสวรรค์ที่ครอบคลุมศิลปะแทบทุกแขนงของ จักรพันธุ์ เป็นที่ประจักษ์ต่อวงการศิลปะไทยปัจจุบันอย่างไร้ข้อกังขา ทั้งยังได้รับความไว้วางใจให้เป็น ผู้ออกแบบและตรวจการปั้นหล่อพระพุทธรูปในโอกาสสำคัญ 1) พระพุทธมหาปารมีนุภาพพิสุทธิ์อนุตตรสังคามวิชัย พระพุทธรูปปางมารวิชัย ออกแบบขึ้นเพื่อเป็นพระประธานในการแสดงหุ่นกระบอก เรื่อง "ตะเลงพ่าย" 2) สมเด็จพระพุทธเมตตามหาบพิตร พระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบบนฐานบัวออกแบบขึ้นในโอกาสพิเศษ ครบรอบ 80 ปีแห่งการสถาปนาคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 3) พระพุทธมหาวชิราวุธานุสรณ์ พระพุทธรูปปางสมาธิ ออกแบบขึ้นเนื่องในโอกาส 100 ปี โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย’มือบอญ “WHAAM!” (ปี 2565) สีอะคริลิก, สีกวอช, และสเปรย์เพ้นท์บนผ้าลินินผลงานชิ้นนี้ถูกจัดแสดงในนิทรรศการเดี่ยว "WHAAM!" ที่ Black Book Gallery เมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2565 ‘ผลงานชิ้นนี้วิพากษ์ศิลปะแนวป๊อปอาร์ตได้อย่างแยบยลในรูปแบบการ์ตูนคอมิกที่ดูสนุกสนาน ด้วยกองทัพนกน้อยแสนน่ารักทำหน้าที่เป็นกบฏทางปรัชญา ตั้งคำถามต่อแนวคิดการสร้างสรรค์ศิลปะร่วมสมัยในยุคแห่งการชื่นชมทางวัฒนธรรม การพิสูจน์ทราบแหล่งที่มาของความคิดในผลงานที่ใคร ๆ ก็เข้าถึงได้ หรือนี่จะเป็นเพียงการยืมมืออัตถิภาวนิยมเข้ามายกระดับภาพลักษณ์สิทธิบริโภคนิยม ติดป้ายให้เป็นศิลปะชั้นสูง แทนที่ข้อเท็จจริงด้วยความเชื่อศรัทธาสร้าง ความจริง อันบิดเมือนขึ้นมา มือบอญ อ้างอิงไอคอนของกระแสป๊อปอาร์ตลงในผลงาน ทั้งด้วยความยกย่องและตั้งคำถามไปพร้อมกัน’ทองไมย์ เทพราม “WHERE DID WE COME FROM? WHY WERE WE BORN? WHERE ARE WE GOING?” (ปี 2565) สีอะคริลิกและดินสอบนผ้าลินิน‘ผลงานจิตรกรรมร่วมสมัยขนาดใหญ่ของ ทองไมย์ นำเสนอการตั้งคำตามใคร่ครวญถึงชีวิต การเดินทางของตัวละครสรรพสัตว์ เอกลักษณ์การใช้สีสัน สดใส จัดจ้าน การแรเงาที่สร้างมิติรูปร่างให้ชัดเจนปรากฏในผลงาน อีกทั้งการนำหลักคิดทางพระพุทธศาสนาเป็นหัวใจในการสื่อสาร กล่าวถึงชีวิตที่ดำเนินไปตามวิถี เมื่อมีผู้ตื่นรู้และมีปัญญาเป็นแสงแห่งความรู้แจ้งนำทาง ย่อมมีผู้คนที่หลงย่ำเดินอยู่ในความมืด แต่เมื่อใดที่พวกเขาเลือกถอดผ้าผูกนั้นออก ตาของพวกเขาก็จะไม่มืดบอดอีกต่อไป’ก้องกาน - กันตภณ เมธีกุล “SHADE OF SUMMER” (ปี 2562) สีอะคริลิกบนผ้าใบ‘อดีต ปัจจุบัน และกาลข้างหน้าเป็นสายธารที่เชื่อมต่อกันมายาวนาน ก่อนที่มนุษย์จะรู้จักกับเวลา และจะดำเนินต่อไปเช่นนี้ แม้กาลอวสานจะมาถึง ในโลกที่หมุนอยู่ภายใต้กรอบของสังคมกดดันให้ชีวิตต้องดิ้นรนแข่งขัน แต่กฎของเวลาคือผู้กำหนดที่แท้จริง เพราะมนุษย์นั้นมีอดีตเป็นความทรงจำ ความจริงคือ ปัจจุบัน และความหวังอยู่ในอนาคต ก้องกาน นำเสนอแนวคิดด้วยลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์และสีสันของท้องฟ้าที่อบอุ่นใจ ผ่านตัวละครหญิงสาวที่พบเห็นได้ไม่บ่อยในงานของเขา’ประยูร อุลุชาฎะ “BOY/เด็กชาย” (ปี 2539) สีพาสเทลบนกระดาษ‘ปลายพู่กันจุดแต้มสีสันด้วยเทคนิค Pointillism (เทคนิคการสร้างสรรค์จิตรกรรมที่ใช้จุดเล็ก ๆ ต่างสีกันผสานอย่างกลมกลืน) สร้างมิติการรับรู้ภาพ ผ่านระยะต่าง ๆ ผสานความเป็นอิมเพรสชันนิสม์เข้ากับนามธรรมอย่างงดงาม ช่วยเสริมความเข้มข้นทางอารมณ์ให้กับภาพ พื้นหลังที่ดูเคลื่อนไหวอย่างเลือนรางราวกับภาพในความฝัน ระยิบระยับได้ด้วยแสงกระจัดกระจาย ผ่านปริซึม มีภาพเด็กชายแทนความเป็นจริงที่ทั้งเป็นส่วนหนึ่งแต่ก็แบ่งแยกออกจากโลกรอบตัว สะท้อนถึงความไร้เตียงสาของขวบปีที่เรื่องราวของ ชีวิตยังรอการเข้าใจ’ประหยัด พงษ์ดำ “LOY KRATONG (River Goddess Worship Ceremony) ลอยกระทง”กิตติ นารอด “LONDON BRIDGES”ทวี นันทขว้าง “BIRD OF PARADISE”ประเทือง เอมเจริญ “Natural Phenomenon / ปรากฎการณ์ธรรมชาติ”นอกจากนี้ยังมีผลงานศิลปะอันโดดเด่นจากศิลปินชั้นนำที่สะท้อนเอกลักษณ์และมุมมองเฉพาะตัว ที่น่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็น สมโภชน์ อุปอินทร์ กับงาน “TRIO”, ประเทือง เอมเจริญ “Natural Phenomenon / ปรากฎการณ์ธรรมชาติ”, กิตติ นารอด “LONDON BRIDGES”, ประหยัด พงษ์ดำ “LOY KRATONG (River Goddess Worship Ceremony) ลอยกระทง”, ทวี นันทขว้าง “BIRD OF PARADISE” ฯลฯสมโภชน์ อุปอินทร์ กับงาน “TRIO”ทุกผลงานเปี่ยมไปด้วยความหมายและเรื่องราวที่น่าค้นหา รอให้ผู้ชมได้มาสัมผัสและสำรวจอย่างใกล้ชิด“DRIVEN” • นิทรรศการ “DRIVEN” เปิดให้ชมระหว่างวันที่ 21-24 พฤศจิกายน 2567 เวลา 11.00 – 19.00 น. ที่ ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก, RCB Artery (ชั้น 1) และ ห้อง RCB Galleria 4 (ชั้น 2) • และการประมูลผลงาน จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน 2567 เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป ที่ ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อกแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.sanook.com/travel/1450059/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
20/11/2024
ปักหมุดไว้เลย! "กรมชลประทาน" ชวนเช็กอิน 3 เขื่อนภาคเหนือ สัมผัสธรรมชาติ สูดอากาศบริสุทธิ์ และดื่มด่ำกับวิวสวย ๆ ริมเขื่อน ท่ามกลางบรรยากาศสุดฟินในช่วงปลายปีนี้ใครกำลังมองหา ที่เที่ยวหน้าหนาว ทาง "กรมชลประทาน" ชวนเช็กอิน 3 เขื่อนภาคเหนือ ที่อยากไปให้ฟินในช่วง ฤดูหนาว ปลายปี ส่วนจะมีที่ไหนบ้าง ไปดูกัน • เขื่อนแม่สรวย อ.แม่สรวย จ.เชียงราย แหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจของชาวแม่สรวย รับลมชมวิวธรรมชาติ ต้นไม้ ท้องฟ้า ภูเขา แม่น้ำ พร้อมบริการร้านอาหารและร้านกาแฟ ครบจบในที่เดียว โดยเขื่อนแห่งนี้สามารถส่งน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคและการเกษตรในฤดูแล้งให้กับพื้นที่ชลประทานโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่ลาวได้เกือบหนึ่งแสนไร่ ปัจจุบันมีปริมาณเก็บกักน้ำรวมประมาณ 65 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 90 ของความจุอ่างฯ • เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ จุดเช็กอินกลางหุบเขาที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจไปกับบรรยากาศธรรมชาติ สวย สงบ อันซีนไปกับวิวพระอาทิตย์ตกดินสุดโรแมนติก ถูกใจสายธรรมชาติ โดยเขื่อนแห่งนี้เป็นเขื่อนขนาดใหญ่ มีความจุอยู่ที่ 265 ล้าน ลบ.ม. ส่งน้ำสนับสนุนพื้นที่ท้ายอ่างเก็บน้ำและพื้นที่การเกษตรได้กว่า 180,000 ไร่ เรียกได้ว่าเป็นที่มาแห่งความอุดมสมบูรณ์ของชาวแม่แตง • เขื่อนแม่กวงอุดมธารา อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ แหล่งท่องเที่ยวห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่เพียง 30 นาที ไฮไลต์สำคัญคือ "สะพานแขวนเชื่อมใจ" ที่สามารถเดินถ่ายรูปพร้อมชมวิวเขื่อนที่รายล้อมด้วยขุนเขาแบบ 360 องศา หรือจะตั้งแคมป์ รับลมหนาว ก็ได้ฟีลเต็มสิบ ปัจจุบันมีปริมาณน้ำประมาณ 209 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 80 ของความจุอ่างฯ ส่งน้ำสนับสนุนให้กับพื้นที่ท้ายน้ำได้อย่างเพียงพอตลอดทั้งปีในช่วงฤดูหนาวปลายปีนี้ กรมชลประทาน จึงขอเชิญชวนประชาชนและนักท่องเที่ยว แวะมาสัมผัสความสวยงามของ เขื่อนภาคเหนือ ท่ามกลางธรรมชาติและบรรยากาศสุดฟินแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/corporate-moves/lifestyle/travel/1151833
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
20/11/2024
เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ เป็นตัวแทนรับรางวัล “บริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมดีเด่น ประจำปี 2567” หรือ “2024 AMCHAM Corporate Social Impact Award 2024” ระดับ Platinum จากความสำเร็จของโครงการ “เอไอเอ แชร์ริ่ง อะ ไลฟ์” (AIA Sharing A Life) ครั้งที่ 11 หรือวันทำดีร่วมกันของชาวเอไอเอ ซึ่งรางวัลดังกล่าวจัดขึ้นโดยสภาหอการค้าอเมริกันแห่งประเทศไทย (The American Chamber of Commerce in Thailand: AMCHAM) ในงานได้รับเกียรติจาก นายโรเบิร์ต โกเดค เอกอัครราชทูตประจำสถานทูตอเมริกาในประเทศไทย และนาย Simon Denye, AMCHAM Board Governor เป็นประธานมอบรางวัลในพิธี ณ โรงแรม อวานี พลัส ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ สำหรับโครงการ “เอไอเอ แชร์ริ่ง อะ ไลฟ์” ครั้งที่ 11 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “For Better Health” ด้วยการมอบบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ให้แก่ประชาชนและผู้ด้อยโอกาสโดยไม่มีค่าใช้จ่ายจำนวนทั้งสิ้น 10,000 เข็ม ใน 11 แห่งทั่วประเทศ โดยได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรชั้นนำ ได้แก่ โรงพยาบาลในเครือ BDMS และซาโนฟี่ บริษัทชั้นนำด้านสุขภาพระดับโลก และแรงสนับสนุนจากเพื่อนพนักงาน พลังตัวแทน รวมถึงประชาชนในชุมชนต่าง ๆ ในการขับเคลื่อนกิจกรรมในครั้งนี้จนประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยมสำหรับรางวัล “บริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมดีเด่น” หรือ AMCHAM Corporate Social Impact Award 2024 นี้ นับเป็นรางวัลอันทรงคุณค่า ซึ่งเอไอเอ ประเทศไทย ได้รับติดต่อกันต่อเนื่องมาเป็นเวลา 13 ปี จากการเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโดยยึดหลัก ESG โดยมุ่งรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และบรรษัทภิบาล มาตลอดระยะเวลากว่า 86 ปีในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ตลอดจนยังมีการส่งเสริมด้านกิจกรรมเพื่อตอบแทนสังคมไทยมาอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำในด้านการดูแลสุขภาพเพื่อสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจ AIA One Billion ที่เอไอเอมุ่งสนับสนุนผู้คนกว่าหนึ่งพันล้านคนทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ภายในปี 2573
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
19/11/2024
บทความโดย "กชจุฑา เพียรวนิช" นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทยคำว่าเกษียณอาจฟังดูไกลตัวสำหรับคน GEN Z (เกิด พ.ศ.2540-2565) หรือ GEN Y (เกิด พ.ศ. 2523-2540) แต่อาจใกล้ตัวสำหรับคน GEN X (เกิด พ.ศ. 2508-2522) จนหลาย ๆ คนลืมให้ความสำคัญในการวางแผนเกษียณเกษียณไม่จำเป็นต้องเป็นคนแก่หรือคนอายุ 60 ปี แต่จริง ๆ แล้ว การเกษียณ หมายถึง “วันที่คุณเป็นอิสระ” อิสระจากความกังวลเรื่องเงิน อิสระจากการทำงานประจำ อิสระที่จะเลือกใช้ชีวิตในแบบที่คุณต้องการ อิสระในการเลือกมีช่วงเวลาดีดีให้กับครอบครัวและเพื่อนดังนั้นถ้าคุณมองเรื่องอิสระที่จะควบคุมชีวิตตัวเองได้ คุณควรเริ่มวางแผนเกษียณตั้งแต่ตอนนี้ เพราะการวางแผนเกษียณต้องใช้เวลาใช้ความสม่ำเสมอในการเก็บเงินและลงทุนอย่างถูกต้อง เพื่อสร้างกระแสเงินสดหรือรายได้ในอนาคตให้กับคุณคุณสามารถเริ่มวางแผนเกษียณด้วยหลักการง่าย ๆ ที่คุณสามารถจัดสรรเงินได้เอง ด้วยวิธีหาเงิน 3 ก้อน คือ อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต • ก้อนที่ 1: เงินในอดีตคือเงินเก็บที่ผ่านมารวบรวมเงินออม เงินลงทุน ทรัพย์สินทั้งหมดที่คุณมี เช่น เงินฝากธนาคาร กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หุ้น หุ้นกู้ กองทุนรวม สลากออมสิน ทองคำ บ้าน ที่ดิน เป็นต้น เพื่อเตรียมไปคำนวณเงินในอนาคตสำหรับเกษียณ • ก้อนที่ 2: เงินในอนาคตคือเงินก้อนที่ใช้หลังเกษียณตอบคำถามตัวเอง 3 ข้อนี้ให้ได้ก่อน1. ต้องการเกษียณ (อิสระ) อายุเท่าไร2. คุณอยากมีเงินใช้หลังเกษียณต่อเดือนเท่าไร? และ3. อายุที่คุณคาดว่าจะจากโลกนี้ไปการประเมินเงินใช้หลังเกษียณมี 2 วิธี 1. ประเมินจากรายได้ในปัจจุบัน หรือ 2. ประเมินจากค่าใช้จ่าย แต่อย่างไรก็ตามถ้าคุณอายุน้อยหรืออยู่ในวัย GEN Z การใช้รายได้ในปัจจุบันประเมินอาจไม่สมเหตุสมผล เพราะไม่รู้ว่าในอนาคตอีกยาวไกล รายได้เพิ่มมากขึ้นน้อยลง ดังนั้นผู้เขียนแนะนำให้คาดการณ์เงินใช้หลังเกษียณ จากระดับค่าใช้จ่ายในปัจจุบันจะเหมาะสมกว่าประเมินจากค่าใช้จ่ายจำเป็น เช่น อาหาร เดินทาง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าซ่อมรถ ซ่อมบ้าน และประกันสุขภาพ เป็นต้น รวมกับค่าใช้จ่ายผันแปร เช่น ค่าช็อปปิง ท่องเที่ยว หรือค่าใช้จ่ายตามไลฟ์สไตล์ของคุณ เป็นต้น • ก้อนที่ 3: เงินปัจจุบันคือ ความสามารถในการเก็บออมจากรายได้ของคุณในปัจจุบันเงินที่คุณสามารถแบ่งมาวางแผนเกษียณอย่างน้อย 15% ของรายได้ก่อนเสียภาษี เพื่อให้ถึงเป้าหมายตามก้อนที่ 2ตัวอย่าง คุณโฟกัส สาวโสดอายุ 40 ปี ทำธุรกิจส่วนตัวรายได้เฉลี่ยประมาณ 120,000 บาทต่อเดือน ค่าใช้จ่ายปัจจุบัน70,000 บาทต่อเดือน คุณโฟกัสต้องเกษียณอายุตอน 55 ปี และต้องการมีเงินใช้หลังเกษียณเดือนละ 50,000 บาทจนถึงอายุ 90 ปี • เริ่มต้นหาเงินก้อนที่ 1: เงินเก็บในอดีต คุณโฟกัส มีเงินเก็บฉุกเฉิน 600,000 บาท เงินเก็บในกองทุนรวมและสลากออมสิน 1,500,000 บาท • ก้อนที่ 2: เงินก้อนที่ใช้หลังเกษียณ คำนวณหาเงินก้อนที่ต้องมี ณ วันเกษียณ ปัจจุบันอายุ 40 ปี เกษียณ 55 ปี มีเวลาเก็บเงิน 15 ปี รายได้ที่ต้องการ 50,000 บาท/เดือนหรือ 600,000 บาท/ปี และใช้เงินก้อนนี้เป็นเวลา 35 ปี (อายุ 55 – 90 ปี)คำนวณหารายได้หลังเกษียณเงินก้อนที่คุณโฟกัสต้องมี ณ อายุ 55 ปี คือ 600,000 บาท x 35 ปี = 21 ล้านบาท เงินก้อนนี้ไม่ได้คำนวณเงินเฟ้อเข้าไปด้วย ถ้าคำนวณเงินเฟ้อที่ 3% ต่อปี จำนวนเงินที่โฟกัสต้องเก็บเท่ากับ 27,771,992 บาท • ก้อนที่ 3: เงินปัจจุบันใช้สำหรับวางแผนเกษียณคุณโฟกัสคำนวณเงินเกษียณที่ต้องมีคือ 21 ล้านบาท ต้องวางแผนเก็บเงินให้ได้ตามนี้ ลำดับแรกดูเงินที่เตรียมเก็บไว้อยู่แล้ว เงินก้อนที่ 1 = 1,500,000 บาท (ไม่รวมเงินฉุกเฉิน) นำเงิน 1.5 ล้านบาทไปลงทุนในกองทุนได้รับผลตอบแทนเฉลี่ย 5% ต่อปี ลงทุนเป็นเวลา 15 ปี เงินลงทุนเติบโตเท่ากับ 3.1 ล้านโดยประมาณดังนั้นเงินที่ต้องคำนวณเก็บเพิ่ม = เงินก้อนที่ 2 (อนาคต) – เงินก้อนที่ 1(อดีต)= 21 ล้านบาท หัก 3.1 ล้านบาท เท่ากับประมาณ 17.8 ล้านบาท(ขอประมาณตัวเลขกลมๆ ที่ 18 ล้านบาท เพื่อง่ายต่อการคำนวณ)ดังนั้นคุณโฟกัสต้องเก็บเงินเพิ่มปีละ 1ล้าน 2 แสนบาทโดยประมาณหรือ เดือนละ 100,000 บาท เป็นเวลา 15 ปี (อายุ 40-55 ปี) เพื่อจะมีเงินก้อนเกษียณ 18 ล้านบาท จากตัวเลขเก็บเงิน 100,000 บาท/เดือน (เท่ากับ 83% ของรายได้) เป็นตัวเลขที่สูงเกินกว่าที่คุณโฟกัสจะสามารถเก็บออมได้ คุณโฟกัสสามารถปรับเปลี่ยนแผนเกษียณใหม่ ได้ 3 ทางเลือก คือ1. เลื่อนอายุเกษียณออกไป หรือ2. นำเงินเก็บไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนเพิ่มมากกว่าเดิม3. เลื่อนอายุเกษียณออกไปและหาผลตอบแทนการลงทุนเพิ่มด้วย • ทางเลือก 1: เลื่อนอายุเกษียณจาก 55 ปีเป็น 60 ปี เงินก้อนที่ต้องใช้หลังเกษียณ เท่ากับ 600,000 x 30 = 18,000,000 บาทหักเงินออมที่มี (1,500,000 บาทลงทุน 5% ต่อปี ระยะเวลา 20 ปี) เท่ากับ 3.9 ล้านบาทเหลือเงินที่ต้องออมเพิ่ม เท่ากับประมาณ 14 ล้านบาท ดังนั้นคุณโฟกัสต้องเก็บเงินเพิ่มประมาณ 7 แสนบาท/ปี หรือเดือนละ58,416 บาท เป็นเวลา 20 ปี (อายุ 40-60 ปี) เพื่อจะมีเงินก้อนเกษียณ 14,020,054 บาท • ทางเลือก 2: เกษียณอายุ 55 ปีเหมือนเดิม แต่ต้องนำเงินเก็บไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนเพิ่มเงินออมที่ต้องเก็บเพิ่ม 18 ล้านบาท เก็บเงินเป็นเวลา 15 ปี (อายุ 40-55 ปี) นำเงินออมไปลงทุนได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7% ต่อปี คุณโฟกัสจะต้องเก็บเงินปีละประมาณ 6 แสนบาท/ปี หรือเดือนละ 55,786 บาทจะเห็นว่ายิ่งหาผลตอบแทนจากการลงทุนได้มากขึ้น จะทำให้เก็บเงินต่อเดือนน้อยลง ในทางตรงกันข้ามถ้าหาผลตอบแทนได้น้อยก็ต้องเก็บเงินต่อเดือนมากขึ้น • ทางเลือกที่ 3: เลื่อนอายุเกษียณเป็น 60 ปีและนำเงินเก็บไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนเพิ่มเงินออมที่ต้องเก็บเพิ่มประมาณ 14 ล้านบาท เก็บเงินเป็นเวลา 20 ปี (อายุ 40-60 ปี) นำเงินออมไปลงทุนได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7% ต่อปี คุณโฟกัสจะต้องเก็บเงิน ปีละสามแสนบาทโดยประมาณ หรือเดือนละ 26,634 บาทจากแผนเกษียณของนางสาวโฟกัสจะทำให้คุณพบว่าปัจจัยสำคัญในการวางแผนเกษียณมี 3 อย่างคือ1. จำนวณเงินเก็บรายเดือนหรือรายปี (เงินต้น)2. ระยะเวลาการลงทุน3. ผลตอบแทนจากการลงทุนปัจจัยทั้ง 3 มีผลต่อเงินก้อนสำหรับการเกษียณทั้งสิ้น เช่น ถ้าจำนวนเงินเก็บเท่ากัน การลงทุนระยะเวลานานกว่าและหาผลตอบแทนได้มากกว่าเงินเติบโตมากกว่า หรือ ระยะเวลาลงทุนเท่ากัน จำนวนเงินเก็บและผลตอบแทนสูงจะทำให้เงินเติบโตมากกว่า เป็นต้นดังนั้นไม่ว่าตอนนี้คุณจะอายุเท่าไหร่ ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการเริ่มต้นวางแผนเกษียณ ขอให้คุณเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้เพราะความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้เสมอในชีวิต ไม่แน่ว่า งานที่คุณทำวันนี้อาจจะหายไปในวันพรุ่งนี้หรือคุณอาจเจ็บป่วยกะทันหัน ดังนั้นวางแผนเกษียณตามที่คุณต้องการ ดีกว่าเกษียณด้วยความจำเป็นเพราะมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดบังคับให้คุณต้องเกษียณแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1688538
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
19/11/2024
“โห โชคดีมากเลยนะพี่ ที่รอดมาได้” “คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองนะพี่” “ถือว่าฟาดเคราะห์ไปนะครับ” ฯลฯหลากหลายประโยคที่ให้กำลังใจผู้ป่วย ผู้ซึ่งเพิ่งผ่านพ้นวิกฤติรุนแรงในชีวิต ไม่ว่าจากอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วย แม้โชคดีที่รอดชีวิตมาได้ แต่อาจโชคร้ายที่ต้องกลายเป็นบุคคลทุพพลภาพ และใช้ชีวิตไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ลองจินตนาการดูว่า หากต้องอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ จะรับมืออย่างไร เช่น การจัดสรรผู้ที่มาดูแลผู้ป่วย ค่าใช้จ่ายต่างๆ ซึ่งประเด็นเหล่านี้หลายคนอาจไม่เคยนึกถึง เพราะดูเหมือนเป็นเรื่องที่ไกลตัว“หลายท่านที่ทำ ‘ประกันชีวิต’ จดจำได้แต่เพียงว่ามีทุนประกันชีวิตเท่าไหร่ แต่ไม่คุ้นกับสัญญาเพิ่มเติมประกันทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ดังนั้น หากเปิดกรมธรรม์ แล้วพบสัญญาแนบท้ายกรมธรรม์นี้ อาจจะเป็นความหวังดีของตัวแทนขาย ที่แนบสัญญานี้เพิ่มเข้าไป เนื่องจากเบี้ยประกันไม่สูงมากนักหรือบางแบบประกัน แถมสัญญาเพิ่มเติมนี้ฟรีด้วย โดยสัญญาเพิ่มเติมต่างๆ ที่แนบกับประกันชีวิต จะเป็นสัญญาปีต่อปี สามารถแจ้งยกเลิกสัญญาเพิ่มเติมในภายหลังได้” “ทุพพลภาพ” อ่านว่า ทุบ-พน-ละ-พาบ ตามความหมายในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 หมายถึง หย่อนกำลังความสามารถที่จะประกอบการงานได้ตามปรกติ“ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง” คือ ไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปรกติอย่างสิ้นเชิง“ประกันภัยทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง” หรือ “TPD” (Total Permanent Disability) เป็นสัญญาประกันภัยเพิ่มเติม (Rider) ที่สามารถซื้อแนบกับสัญญาประกันชีวิต ซึ่งผู้เอาประกันจะซื้อเพิ่มเติม หรือไม่ก็ได้โดยบริษัทประกันจะจ่ายเงินตามจำนวนเงินเอาประกันของสัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ให้แก่ผู้เอาประกันภัย แยกเป็น 2 กรณี คือ1. กรณีผู้เอาประกันภัยตกเป็นบุคคลทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง อันเป็นผลมาจากการบาดเจ็บหรือการเจ็บป่วย ซึ่งการบาดเจ็บหรือการเจ็บป่วยนั้น ทำให้ผู้เอาประกันภัย ไม่สามารถประกอบหน้าที่การงานในอาชีพใดๆ ได้โดยสิ้นเชิง และการทุพพลภาพนั้นต้องเป็นต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่า 180 วัน นับตั้งแต่วันที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นบุคคลทุพพลภาพ และการบาดเจ็บหรือการเจ็บป่วยนั้น ไม่สามารถรักษาให้หายเป็นปกติและทำให้ผู้เอาประกันภัย ไม่สามารถประกอบหน้าที่การงานในอาชีพใดๆ ได้โดยสิ้นเชิงตลอดไป2. กรณีผู้เอาประกันภัยสูญเสียอวัยวะ ตามเงื่อนไข ดังต่อไปนี้1. สูญเสียสายตาทั้งสองข้าง และไม่สามารถรักษาให้หายเป็นปกติได้2. สูญเสียมือ สองข้าง หรือ เท้าสองข้าง หรือ มือหนึ่งข้างและ เท้าหนึ่งข้าง โดยการตัดออกตั้งแต่ข้อมือหรือข้อเท้า3. สูญเสียสายตา หนึ่งข้าง และไม่สามารถรักษาให้หายเป็นปกติได้ และสูญเสียมือหรือเท้า ข้างหนึ่ง โดยการตัดออกตั้งแต่ข้อมือหรือข้อเท้า (ที่มา: บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต)ตัวอย่าง นายเอ ทำประกันชีวิตด้วยทุนประกัน 2 ล้านบาท และซื้อสัญญาเพิ่มเติมทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ด้วยทุนประกัน 2 ล้านบาท ต่อมานายเอ ประสบอุบัติเหตุ จนต้องสูญเสียมือทั้งสองข้างตั้งแต่ข้อมือ สามารถเคลมสินไหม ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงได้ 2 ล้านบาทนาย บี ทำประกันชีวิตด้วยทุนประกัน 1 ล้านบาท ซื้อประกันภัยโรคร้ายแรง 2 ล้านบาท ซื้อสัญญาเพิ่มเติมทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 1 ล้านบาท ต่อมานายบีตรวจพบว่าเป็นมะเร็งที่สมอง ระยะรุนแรง และได้ทำการผ่าตัดแล้ว แต่ผลจากการผ่าตัด ทำให้ต้องเป็น อัมพาต นอนติดเตียง เป็นระยะเวลาเกิน 180 วัน “กรณีของนายบี เคลมสินไหมโรคร้ายแรงได้ 2 ล้านบาท และต่อมา เคลมสินไหมทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงได้อีก 1 ล้านบาทสัญญาเพิ่มเติมโรคร้ายแรงและ สัญญาเพิ่มเติมทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ทั้งสองสัญญาเป็นอันยุติความคุ้มครอง ไม่ต้องชำระเบี้ยต่ออายุประกันอีกต่อไป เหลือเพียงเบี้ยประกันชีวิต ที่คนในครอบครัว ชำระเบี้ยต่ออายุประกันชีวิต หากนายบีเสียชีวิตในเวลาต่อมา สามารถเคลมสินไหมเสียชีวิตได้ 1 ล้านบาท”(หากซื้อสัญญาเพิ่มเติม ยกเว้นเบี้ยประกันชีวิต (WP; wave premium) ก็ไม่ต้องชำระเบี้ยประกันชีวิต)จะเห็นได้ว่า กรณีเจ็บป่วยหรือประสบอุบัติเหตุ ถ้าโชคดีที่ไม่เสียชีวิต แต่หากโชคร้าย ที่ต้องกลายเป็นบุคคลทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องพึ่งพาบุคคลในครอบครัวช่วยเหลือดูแล หรือบางครอบครัว ต้องจ้างบุคคลภายนอกมาดูแล มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ซึ่งค่าใช้จ่ายนี้ จะดำเนินต่อไปจนกว่าจะเสียชีวิตกันเลยทีเดียว หากมีโอกาสได้ตัดสินใจทำประกันชีวิตแล้ว แนะนำว่า ควรซื้อสัญญาเพิ่มเติมทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงแนบเข้าไปด้วย ซึ่งเบี้ยประกันภัยทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง (TPD) นั้นไม่ได้สูงมากนัก (ที่มา: บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต)ดังตัวอย่างต่อไปนี้เพศชาย อายุ 25 ปี เบี้ยประกันทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ทุนประกัน 2 ล้านบาท =960 บาทต่อปีเพศชาย อายุ 35 ปี เบี้ยประกันทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ทุนประกัน 2 ล้านบาท = 960 บาทต่อปีเพศชาย อายุ 45 ปี เบี้ยประกันทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ทุนประกัน 2 ล้านบาท =1,280 บาทต่อปีเพศชาย อายุ 55 ปี เบี้ยประกันทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ทุนประกัน 2 ล้านบาท =2,400 บาทต่อปีเพศหญิง อายุ 25 ปี เบี้ยประกันทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ทุนประกัน 2 ล้านบาท =260 บาทต่อปีเพศหญิง อายุ 35 ปี เบี้ยประกันทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ทุนประกัน 2 ล้านบาท = 360 บาทต่อปีเพศหญิง อายุ 45 ปี เบี้ยประกันทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ทุนประกัน 2 ล้านบาท =640 บาทต่อปีเพศหญิง อายุ 55 ปี เบี้ยประกันทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ทุนประกัน 2 ล้านบาท =1,540 บาทต่อปีสำหรับ “ความคุ้มครอง” และ “ข้อยกเว้นความคุ้มครอง” ของแต่ละบริษัทประกันก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกัน ซึ่งสามารถศึกษารายละเอียดก่อนทำประกัน กับ “นักวางแผนประกันชีวิต” ได้ ดังนั้น หากมีโอกาส “วางแผนทำประกันชีวิต” อย่าลืมเพิ่มสัญญาเพิ่มเติม “ประกันภัยทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง” (TPD) ด้วยแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ wealthythaihttps://www.wealthythai.com/en/updates/wealth-management/wealth-ez/23469
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
19/11/2024
หากชื่นชอบศิลปะภาพวาดและการผสานวัฒนธรรม ไม่ควรพลาดงานนิทรรศการ “BAILEMOS" จากฝีมือการสร้างสรรค์ของ David Rodriguez (เดวิด โรดริเกซ) ศิลปินลูกครึ่งโคลอมเบีย-ฝรั่งเศส ซึ่งจัดโดยสถานเอกอัครราชทูตโคลอมเบียประจำประเทศไทย ร่วมกับกลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ เพื่อสานสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมระหว่างประเทศไทยและโคลอมเบีย ผ่านภาพเขียนที่เต็มไปด้วยการผสมผสานทางวัฒนธรรม ตั้งแต่วันนี้ถึง 24 พฤศจิกายน 2567 ณ Art Exhibition Space ชั้น 5 สยามดิสคัฟเวอรี่ ดิเอ็กซ์พลอราทอเรียมนิทรรศการ BAILEMOS เป็นโปรเจกต์งานศิลปะของศิลปินชื่อดัง David Rodriguez ที่มีความโดดเด่นในเรื่องของการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ผ่านผลงานภาพวาดที่สะท้อนถึงเรื่องราวของการผสมผสานความรุ่มรวยของวัฒนธรรมไทยเข้ากับวัฒนธรรมโคลอมเบียDavid Rodriguez (เดวิด โรดริเกซ) ศิลปินลูกครึ่งโคลอมเบีย-ฝรั่งเศสโดยการนำความงดงามของนาฏศิลป์ไทย อย่างรำไทย และโขน มาผสมผสานกับการเต้นรำอันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของโคลอมเบีย ออกมาเป็นผลงานภาพวาดล่าสุดที่นำมาจัดแสดงเป็นครั้งแรก ที่สะท้อนผ่านการสร้างสรรค์ที่ศิลปินสะท้อนให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวอย่างมีจังหวะของการร่ายรำนั้นไม่แตกต่างจากลายเส้นของภาพวาดบนผืนผ้าใบที่ต่างทิ้งร่องรอยของสีสันและรูปทรงอันสดใสไว้เบื้องหลัง เมื่อลายเส้นและรูปทรงหลอมรวมกันคือจังหวะของการเต้นรำ โดยมีองค์ประกอบที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม และที่สุดแล้ว BAILEMOS คือการเคลื่อนไหวอย่างรื่นเริง เป็นการแสดงออกที่เต็มไปด้วยพลังแห่งความมีชีวิตชีวาของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม และประสบการณ์ของศิลปินนอกจากนั้นยังมีผลงานภาพวาดอันเป็นผลงานศิลปะที่นำพาให้ David ได้เดินทางไปจัดแสดงนิทรรศการมาแล้วทั่วโลก ซึ่งเป็นผลงานที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขันและความอยากรู้อยากเห็นที่นำไปสู่การตั้งคำถามเชิงลึกเกี่ยวกับการสำรวจตนเองและการแสดงตัวตนของมนุษย์ภายในงานเปิด David ยังได้โชว์ Live Painting ยกสตูดิโอจัดแสดงการวาดภาพผสมผสานทางวัฒนธรรมสุดพิเศษให้แขกที่มาร่วมงานได้ชมอย่างใกล้ชิด ร่วมสัมผัสประสบการณ์การถ่ายทอดเรื่องราวที่เต็มไปด้วยการผสมผสานความงดงามทางวัฒนธรรมของไทยและโคลอมเบียด้วยผลงานภาพวาดอันทรงคุณค่าในงานนิทรรศการ BAILEMOS ได้ในวันที่ 14-24 พฤศจิกายน 2567 ณ Art Exhibition Space ชั้น 5 สยามดิสคัฟเวอรี่ ดิเอ็กซ์พลอราทอเรียมแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2826238
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
19/11/2024
ทะเลสาบลาร์นาคา หรือ ลาร์นากา (Larnaka, Larnaca) เป็นทะเลสาบน้ำเค็มขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในประเทศไซปรัส ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองลาร์นาคา ครอบคลุมพื้นที่ราว 2.2 ตารางกิโลเมตรภาพ: สำนักข่าวซินหัวความสำคัญของทะเลแห่งนี้ ได้รับการประกาศให้เป็นพื้นที่คุ้มครองภายใต้กฎหมายไซปรัสเพื่อการคุ้มครองและการจัดการธรรมชาติและสัตว์ป่า และภายใต้คำสั่งที่อยู่อาศัยของยุโรป ในปี ค.ศ. 1997ทะเลสาบลาร์นาคา จึงนับเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่สำคัญอีกแห่งของยุโรป เป็นหนึ่งในแหล่งที่อยู่อาศัยสำหรับนกน้ำ นานาชนิดภาพ: สำนักข่าวซินหัวในช่วงฤดูหนาว ทะเลสาบจะเต็มไปด้วยน้ำและเป็นที่อยู่อาศัยของบรรดานกอพยพ รวมถึง “นกฟลามิงโก” จำนวนหลายพันตัวที่จะมาอาศัยอยู่ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคม พร้อมด้วยเป็ดป่าและนกน้ำชายฝั่งอื่นๆภาพ: สำนักข่าวซินหัวองค์ประกอบพื้นฐานที่สุดของห่วงโซ่อาหารในระบบนิเวศของทะเลสาบ คือ กุ้งน้ำเค็มขนาดเล็ก ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก จนกระทั่งเมื่อนกฟลามิงโกและนกน้ำอื่นๆ ไม่สามารถหากุ้งเจอได้ พวกมันจะอพยพและเดินทางต่อไปยังทะเลสาบแห่งอื่นแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000110371
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
การทำงาน
19/11/2024
• เพื่อนร่วมงาน 29% มองชาว Gen Z เป็นคนที่น่ารำคาญที่สุดในการทำงาน โดย 3 อันดับแรกของลักษณะที่น่ารำคาญของวัยทำงานรุ่นนี้คือ ขาดจรรยาบรรณ พฤติกรรมขี้บ่น และการเรียกร้องสิทธิ • แต่ไม่ใช่ผู้ใหญ่ทุกคนที่มองวัยทำงานรุ่นใหม่เป็นแบบนั้น มีคนออกมาโต้แย้งว่า คนรุ่นใหม่ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป พวกเขาไม่ใช่คนเกียจคร้าน แต่มีวิสัยทัศน์มากกว่ารุ่นก่อนๆ • โดยทั่วไปแล้ว คนรุ่นก่อนๆ มักจะมีแนวโน้มที่จะทำมากกว่าที่เจ้านายคาดหวังไว้ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความเหนื่อยล้าก็ตาม แต่คนรุ่น Gen Z ไม่ยอมทำงานหนักเกินไปทำไมวัยทำงานคนรุ่นใหม่มักถูกมองว่าแปลกประหลาดในที่ทำงาน โดยที่ผ่านมามีการศึกษาวิจัยและผลสำรวจจำนวนไม่น้อยที่ชี้ว่า Gen Z ซึ่งมีอายุระหว่าง 18-27 ปี (ในปี 2024) นั้น มักจะใช้วิธีสื่อสาร วิธีทำงานที่ต่างออกไป หรือแม้แต่นำพาวัฒนธรรมแปลกๆ มาสู่ที่ทำงาน ล่าสุดมีรายงานจาก New York Post อ้างถึงผลสำรวจอีกชิ้นหนึ่งของ LLC.org (ผู้ให้บริการดูแลโครงสร้างทางธุรกิจในสหรัฐฯ) ที่สำรวจเกี่ยวกับลักษณะของวัยทำงานชาว Gen Z เช่นกัน โดยเผยผลสำรวจพบว่า เพื่อนร่วมงาน 29% มองชาว Gen Z เป็นคนที่น่ารำคาญที่สุดในการทำงาน ทั้งนี้ นักวิจัยจาก LLC.org ระบุด้วยว่า 3 อันดับแรกของลักษณะที่น่ารำคาญของวัยทำงานรุ่นนี้ก็คือ การขาดจรรยาบรรณในการทำงาน พฤติกรรมขี้บ่น และการเรียกร้องสิทธิตลอดเวลายิ่งไปกว่านั้น วัยทำงานคนรุ่นใหม่ยังจัดอยู่ในกลุ่มคนที่ “มีประสิทธิผลการทำงานน้อยที่สุด” เมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมงานในกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนียล (Gen Y), Gen X , Baby Boomerแซม เทย์เลอร์ (Sam Taylor) ผู้เชี่ยวชาญของ LLC.org กล่าวในแถลงการณ์ว่า “คนทุกเจเนอเรชันต่างก็มีนิสัยและทัศนคติที่แตกต่างกันไปในสถานที่ทำงาน แต่สำหรับคนรุ่น Gen Z ความหงุดหงิดบ่อยๆ ของพวกเขา ดูเหมือนจะมาจากแนวทางการรักษาสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงาน รูปแบบการสื่อสาร และความรู้สึกว่าตนมีสิทธิ์ในสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ” • พฤติกรรมของวัยทำงานคนรุ่นใหม่ ที่คนรุ่นก่อนไม่เข้าใจ-มองว่าแปลก วัยทำงานชาว Gen Z เป็นกลุ่มเด็กจบใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ไม่กี่ปี พวกเขามักจะได้รับผลกระทบจากที่ทำงาน เช่น ความเครียด ความเหนื่อยหน่าย เนื่องจากแนวทางการทำงานที่แปลกใหม่ของพวกเขา อาจเข้ากันไม่ได้กับวัฒนธรรมองค์กรส่วนใหญ่ พวกเขาตกเป็นเป้าล้อเลียนในหลายๆ กรณี ยกตัวอย่างเช่น มีเด็กจบใหม่หลายคนที่พาพ่อแม่ไปสัมภาษณ์งานด้วย (เพื่อขอการสนับสนุน), พวกเขาขอออกจากงานก่อนเวลาเมื่อทำภารกิจทั้งหมดเสร็จแล้ว, พวกเขาอยากได้ความยืดหยุ่นในการทำงาน, พวกเขามีทัศนคติที่ไม่ใส่ใจ, ขาดประสบการณ์ในโลกแห่งความเป็นจริง ฯลฯ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้คนรุ่นก่อนๆ บางคนมองว่าพวกเขาขี้เกียจ บริษัทบางแห่งถึงขั้นไล่พวกเขาออกจากงานแต่ไม่ใช่ผู้ใหญ่ทุกคนที่มองวัยทำงานรุ่นใหม่เป็นแบบนั้น มีคนเจนอื่นๆ ที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับ Gen Z หลายคนออกมาโต้แย้งว่า คนรุ่นใหม่ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป ยกตัวอย่างเช่น แซม ฮาร์ต (Sam Hart) คอนเทนต์ครีเอเตอร์ด้านโลกการทำงานและองค์กร รุ่น Gen Y ยืนกรานว่า เพื่อนร่วมงานของเธอกลุ่มคนรุ่นใหม่ ไม่ใช่คนเกียจคร้าน พวกเขามีวิสัยทัศน์มากกว่าเพื่อนร่วมงานรุ่นก่อนๆ แต่วัฒนธรรมการทำงานบางอย่างผลักให้พวกเขาไม่เข้ากับตลาดงาน “คนรุ่น Gen Z มีสิ่งสวยงามในตัว พวกเขาไม่ได้มีจรรยาบรรณในการทำงานที่แย่เสมอไป แต่เนื่องจากคนรุ่นนี้เกิดมาในยุคเศรษฐกิจตกต่ำและต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในชีวิตประจำวัน คนหนุ่มสาวเหล่านี้จึงเรียนรู้ว่าไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการดูแลตัวเอง” เธออธิบาย • คนรุ่นก่อนทำงานหนักเกินไปในสายตาชาว Gen Zฮาร์ต ได้เปรียบเทียบวิธีคิดของคนรุ่น Gen Z กับกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนียล กลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 28-42 ปี ที่มุ่งมั่นทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักจะมีแนวโน้มที่จะทำมากกว่าที่เจ้านายคาดหวังไว้ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความเหนื่อยล้าก็ตาม “โลกการทำงานของยุคก่อน มันเป็นสถานที่ที่บ้าคลั่งที่สุดจริงๆ” ฮาร์ตกล่าว เอริก้า เบิร์กเก็ตต์ (Erica Burkett) วัย 27 ปี เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เธอเล่าว่า การที่ผู้ใหญ่หลายคนมองว่าคนรุ่นใหม่ขี้เกียจนั้นไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง แทนที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงทัศนคติที่แปลกประหลาด แต่คนรุ่นใหม่ควรได้รับการเคารพในแง่ของการแสวงหาชีวิตที่มีสุขภาพดี นอกเหนือจากการตรากตรำทำงานเพื่อเงินเพียงอย่างเดียว “เราไม่ได้ผูกมัดชีวิตของเราทั้งหมดไว้กับงานประจำ ที่นายจ้างไม่สนใจว่าเราจะอยู่หรือตาย คนรุ่นใหม่หลายคนก็ทำงานหนัก แถมมีความคิดสร้างสรรค์ในการทำงานมากกว่าคนรุ่นก่อนๆ ซึ่งเป็นพวกคลั่งงานที่ทำงานหนักเกินไป คนรุ่นใหม่เพียงแค่พยายามก้าวออกจากกรอบชีวิตแบบนั้น” เธอ อธิบาย • Gen Z เติบโตมาในโลกที่ต่างออกไป ไม่แปลกที่พวกเขามองโลกการทำงานเป็นอีกแบบเทย์เลอร์ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในโลกธุรกิจ มองตรงกันและบอกว่า วัยทำงานคนรุ่นใหม่เติบโตมาโดยเห็นคนรุ่นเก่าหมดไฟในการทำงาน ไม่แปลกที่พวกเขาจะต่อต้านความคิดแบบนั้น คนรุ่น Gen Z เติบโตมาในโลกที่แตกต่างออกไป และพวกเขากำลังนำค่านิยมและความคาดหวังใหม่ๆ มาสู่ที่ทำงาน ซึ่งทุกฝ่ายควรปรับตัวเข้าหากันหนึ่งในวิธีที่จะช่วยสร้างความกลมกลืนระหว่าง “วิถีการทำงานยุคใหม่” และ “วัฒนธรรมการทำงานดั้งเดิม” ให้ได้นั้น เทย์เลอร์แนะนำว่า นายจ้างต้องส่งเสริมให้เกิดการสนทนาเชิงบวกระหว่างพนักงานด้วยกัน รวมไปถึงการสนทนาที่น่ารำคาญด้วย ซึ่งทุกกลุ่มอายุต้องอดทนและพยายามเข้าใจกัน เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและส่งเสริมการเข้าใจกันให้มากขึ้นแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/1153078
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
18/11/2024
ธีร์วริศ วิกรัยชยากูร และวิชิตพงศ์ นิธิเลิศวิวัฒน์เพราะศิลปะเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจและแนวคิดการใช้ชีวิตให้กับใครหลายคนได้ โดยล่าสุด วิชิตพงศ์ นิธิเลิศวิวัฒน์ และธีร์วริศ วิกรัยชยากูร ผู้ก่อตั้ง “THE HAPPY MAISON” และ “THM ART SPACE” ได้จัดงานเปิดตัว “THM ART SPACE” จุดนัดพบคนรักงานศิลปะแห่งใหม่ ย่านศรีนครินทร์ สมุทรปราการ พื้นที่สำหรับศิลปินและผู้ที่รักในงานศิลปะทุกเพศทุกวัยให้ได้มาพบปะ แลกเปลี่ยน และสร้างสรรค์ผลงานร่วมกัน เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับคนรักงานศิลปะทุกคนประภัสสร กาญจนสูตรโดยนิทรรศการเฉลิมฉลองการเปิดตัว “THM ART SPACE” จะพาทุกคนไปสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษกับนิทรรศการศิลปะที่ชื่อว่า “จบแบบนี้ดีที่สุด” จากศิลปินแห่งยุค “เตยยี่” (teayii) หรือ เตย-ประภัสสร กาญจนสูตร ศิลปินชื่อดังที่มาสะบัดปลายปากกาสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกให้กับผู้ชมผลงานได้อย่างลึกซึ้งและเชื่อว่าคำภาษาไทยจะสามารถสร้างสรรค์ให้เป็นงานศิลปะได้ธีร์วริศ วิกรัยชยากูร , ประภัสสร กาญจนสูตร และวิชิตพงศ์ นิธิเลิศวิวัฒน์วิชิตพงศ์ นิธิเลิศวิวัฒน์ กล่าวถึงจุดเด่นของอาร์ตสเปซแห่งนี้ว่า “เรามีความตั้งใจที่อยากจะให้ศิลปะเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และไม่จำเป็นต้องเดินทางเข้าเมืองเพื่อไปชมอาร์ตแกลลอรี่เสมอไป จึงเปิดอาร์ตสเปซแห่งนี้ขึ้นเพื่อเป็นหนึ่งในตัวเลือกของคนรักงานศิลปะ ด้วยการนำเสนอพื้นที่ให้ศิลปินสามารถแสดงผลงานได้ โดยไม่ต้องเดินทางไปยังแกลเลอรี่ในกรุงเทพฯ พร้อมมอบบรรยากาศที่เป็นมิตรและสร้างสรรค์ ช่วยให้ผู้คนได้ใช้เวลาร่วมกัน ไม่ว่าจะมาเป็นครอบครัว เพื่อน หรือคู่รัก ภายในอาร์ตสเปซแห่งนี้ ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการสร้างความสุขและส่งต่อแรงบันดาลใจผ่านงานศิลปะได้ นอกจากนี้ยังเป็นการสนับสนุนศิลปินรุ่นใหม่ในการแสดงผลงานและสร้างพื้นที่การแสดงออกทางศิลปะที่หลากหลายยิ่งขึ้น”สำหรับนิทรรศการ “จบแบบนี้ดีที่สุด” ผลงานศิลปินชื่อดัง “เตยยี่” (teayii) ที่มีผลงานอันโดดเด่นในการใช้คำเป็นสื่อกลางในการสะท้อนความรู้สึกภายในผลงาน โดยครั้งนี้จะนำเสนอการเล่าเรื่องความรักที่จบลงผ่านศิลปะประเภท Text Art ที่จะพาผู้ชมสัมผัสกับจุดจบของความรักผ่านเรื่องราวที่หลากหลาย จากการสัมภาษณ์บุคคลจำนวน 15 คนที่ยังเก็บของใช้แฟนเก่าเอาไว้ และนำของเหล่านั้นมาจัดแสดงร่วมกับของศิลปินอีก 5 ชิ้น พร้อมสร้างสรรค์ Text Art ขึ้นมา โดยของจัดแสดงทั้ง 20 ชิ้นนี้ ได้เล่าถึงความทรงจำที่เคยงดงามผ่านปลายปากกา ผู้ชมจะได้สำรวจความเปลี่ยนแปลงและความผูกพันที่แม้จะจบลงแต่ก็ยังสร้างความรู้สึกใหม่ที่ดีขึ้นได้เตยยี่ (teayii) กล่าวถึงคอนเซ็ปต์ของงานครั้งนี้ว่า “แนวคิดงานครั้งนี้มาจากคำว่า เคารพในความรักที่จบลงแล้ว เคารพในห้วงเวลาหนึ่งที่เราต่างได้รู้สึกผูกพัน และบางครั้งความทรงจำไม่จำเป็นต้องเจ็บปวดเสมอไป โดยทุกเรื่องราวในนิทรรศการนี้ล้วนเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับผู้คนรอบตัวเรา ทุกคนจะได้สัมผัสกับของใช้ที่เต็มไปด้วยความทรงจำ และได้รับแรงบันดาลใจในการก้าวผ่านความเจ็บปวดและเริ่มต้นชีวิตใหม่”ด้าน สานุพัฐ ศิริเสาร์ ผู้อำนวยการศิลป์ “THM ART SPACE” และ “Happy Group (1988)” ได้ร่วมออกแบบการจัดสรรพื้นที่กว่า 300 ตารางเมตร ร่วมกับศิลปินให้ตรงตามคอนเซ็ปต์และประสบการณ์ความรักในรูปแบบต่างๆ ผ่านนิทรรศการครั้งนี้ด้วยไปรยา อนันตรทรัพย์ด้าน มิ้วกี้-ไปรยา อนันตรทรัพย์ คนดังที่มาร่วมชมนิทรรศการครั้งนี้ได้เผยถึงมุมมองที่มีต่อความรักว่า “ส่วนตัวเรายังคงเชื่อว่าความรักคือสิ่งที่สวยงามอยู่เสมอ แม้ว่าเราจะผ่านเรื่องราวต่างๆ มาทั้งดีและไม่ดี หรือไม่ได้ประสบความสำเร็จในเรื่องของความรักอย่างที่คิด แต่ความรักในแต่ละครั้งก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องราวมากมายอยู่เสมอ อย่างตอนนี้แม้จะโสดสนิทเราก็ได้เรียนรู้หลายสิ่งในความสัมพันธ์ที่หลากหลาย ทำให้เข้าใจว่าคนเรามีลักษณะที่แตกต่างกันก็ย่อมมีความคิดที่แตกต่างกันออกไป และเข้าใจถึงมุมมองความรักที่เปิดกว้างมากขึ้น ว่าความรักไม่ได้มีแค่เธอกับฉัน มันมีอะไรที่มากกว่านั้น และเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าบทสรุปของความรักอาจไม่ได้ลงเอยแบบแฮปปี้เสมอไป ซึ่งงานที่จัดขึ้นนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นนิทรรศการที่เราจะได้สัมผัสเรื่องราวความรักที่ผ่านมาของใครหลายคน และจะทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่า ไม่ว่าความสัมพันธ์จะจบแบบไหนก็อยากให้ทุกคนยอมรับในสิ่งที่ได้ตัดสินใจไปแล้ว และอยู่กับปัจจุบันที่เราเป็นคนเลือกเอง อยากให้ทุกคนมาดูนิทรรศการครั้งนี้เพราะคิดว่าน่าจะช่วยสร้างมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับความรักได้”ธนายุทธ ฐากูรอรรถยา และพงศกร พลสันติกุลนิทรรศการแห่งนี้จะพาผู้ชมดำดิ่งสู่โลกของความรู้สึกและความทรงจำผ่านตัวอักษรที่ถ่ายทอดเรื่องราวของความรักที่จบลง โดยเปิดให้เข้าชมฟรีตลอด 2 เดือนส่งท้ายปี ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ถึง 27 ธันวาคม 2024 ในเวลา 10.00 น. - 18.00 น. ปิดทุกวันพุธมรุวุตม์ บูรณศิลปินสำหรับผู้ที่สนใจไม่ควรพลาดโอกาสที่จะได้ชื่นชมผลงานศิลปะที่เต็มไปด้วยความรู้สึกและกลับบ้านไปพร้อมกับความเข้าใจใหม่ใน ‘การเปลี่ยนแปลง’ โดยสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมและนิทรรศการใหม่ๆ ได้ทาง Social Media ของ THM Art Space และ The Happy Maison ได้แก่ Instagram/Facebook: thehappymaison, THM.artspace, Official Line: @thehappymaison, Call: 06-4138-5566 และทาง Website: www.thehappymaison.comอาภากร ฮ้อแสงชัยแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/celebonline/detail/9670000105946
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
18/11/2024
อุทยานแห่งชาติแกรนด์แคนยอน (Grand Canyon National Park) นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของอเมริกา มีผู้มาเยือนเกือบ 5 ล้านคนในแต่ละปี และในบรรดานักท่องเที่ยวเหล่านั้น มีจำนวนราว 270,000 คน มาเที่ยวในช่วงฤดูหนาว เนื่องจากผู้คนไม่มาก และไม่ต้องกังวลกับความร้อนระอุแกรนด์แคนยอน ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากเมืองวิลเลียมส์ รัฐแอริโซนา ประมาณ 96 กิโลเมตร เป็นสถานที่ที่เหล่านักท่องเที่ยวรู้จักกันดีในเรื่องทัศนียภาพอันน่าทึ่ง ด้วยขนาดของโตรกผา และขุนเขาสูงตระหง่านPhoto: Facebook Grand Canyon National Parkภูเขาที่มียอดแบนและลาดชัน จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะในฤดูหนาว เป็นการเปลี่ยนแปลงทิวทัศน์ตามฤดูกาลที่โดดเด่น สภาพอากาศอาจคาดเดาไม่ได้ ดังนั้นกรมอุทยานแห่งชาติจึงแนะนําให้นักท่องเที่ยวตรวจสอบรายงานสภาพอากาศบ่อยๆ และเตรียมพร้อมสําหรับสภาพหิมะ น้ําแข็ง และ/หรือโคลนการเที่ยวชมส่องสัตว์ป่าในหุบเขา ก็เป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมตลอดทั้งปี และสัตว์จํานวนมากยังคงปรากฏตัวในช่วงฤดูหนาว ดังนั้นจึงมีโอกาสที่ดีที่จะได้เห็นกวางเอลค์ หรือแร้งแคลิฟอร์เนียในช่วงนอกฤดูPhoto: Facebook Grand Canyon National Parkโดยปกติแกรนด์แคนยอน แบ่งออกเป็น 3 พื้นที่หลักที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม ได้แก่ Grand Canyon West, South Rim และ North Rim (ปิดช่วงฤดูหนาว)ในขณะที่ North Rim ปิดในช่วงฤดูหนาว Grand Canyon West หรือฝั่งตะวันตก ยังเปิดให้บริการ และคงความงดงาม และเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวจะพบ Grand Canyon Skywalk ที่มีชื่อเสียง หนึ่งในสะพานกระจกที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นสะพานรูปเกือกม้าสูงประมาณ 150 ถึง 240 เมตร เหนือพื้นหุบเขาด้านล่าง เป็นจุดที่สามารถเพลิดเพลินกับทัศนียภาพอันงดงามได้hoto: Facebook Grand Canyon National Parkอย่างไรก็ตาม อาจกล่าวได้ว่าส่วนที่สวยงามที่สุดของหุบเขา คือ South Rim และนั่นคือภาพที่คนส่วนใหญ่คาดหวังที่จะได้เจอเมื่อมาเยือนอุทยานแห่งชาติแห่งนี้South Rim เปิดให้เที่ยวชมในฤดูหนาว โดยมีตัวเลือกมากมายสําหรับการพักผ่อนหย่อนใจ รวมถึงเส้นทางเดินป่า การดูดาว รวมถึงพิพิธภัณฑ์ในสถานที่ และศูนย์บริการนักท่องเที่ยวผู้เข้าชมยังสามารถขึ้นรถไฟแกรนด์แคนยอนได้อีกด้วย ตามที่ระบุไว้ในเว็บไซต์ Grand Canyon Railway & Hotel รถไฟออกเดินทางทุกวันจากวิลเลียมส์ โดยมีรถรางโบราณพาผู้โดยสารไปยัง South Rim ของแกรนด์แคนยอน นักดนตรีและตัวละครคาวบอยคอยมอบความบันเทิงตลอดการเดินทางซึ่งใช้เวลา 2 ชั่วโมง 15 นาทีข้อมูลเพิ่มเติม https://www.nps.gov/grca/index.htmhoto: Facebook Grand Canyon National Parkแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000110605
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
28/05/2024
30/04/2024
19/11/2024
06/04/2024
25/09/2024