ข่าวการเงิน
เปิดแนวทาง หมดหนี้ มีออม เกษียณก่อนแก่ สู่อิสรภาพทางการเงิน
บทความโดย "พญ.หฤทัย ไกรวพันธุ์"
MD, CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
วันที่ 17 พฤศจิกายน 2566 คำกล่าวที่ว่า “หาเงินได้ ไม่เท่ากับใช้เงินเป็น”
เป็นสิ่งที่หากฟังผ่าน ๆ หรืออ่านเพลิน ๆ
เราอาจไม่ได้ตระหนักและเห็นความสำคัญของความหมายลึกซึ้งที่อยู่ในประโยคนี้
จากประสบการณ์ในการวางแผนการเงิน
และได้พูดคุยเก็บข้อมูลกับผู้คนที่มีสายอาชีพหลากหลายนับพันคน
ตั้งแต่เด็กจบใหม่ที่พึ่งเริ่มต้นทำงาน เจ้าของกิจการขนาดเล็ก
ผู้คนในวิชาชีพแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์
ไปจนถึงผู้บริหารระดับสูงขององค์กร และเจ้าของกิจการขนาดใหญ่
สิ่งสำคัญของการมีอิสรภาพทางการเงินก่อนวัยเกษียณ
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดของรายได้ที่เราหาได้ในช่วงชีวิตการทำงานเสมอไป
และคำว่า “อิสรภาพทางการเงิน” ที่ฟังดูสบาย เป็นสุข และมีอิสระ
เป็นสิ่งที่เราทุกคนสามารถเป็นได้ และเอื้อมถึง
เพียงมีการตระหนักรู้ในการหาและใช้จ่าย รวมถึงการบริหารเงินอย่างถูกวิธี
หากเราสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้ก่อนวัยเกษียณ
ชีวิตก็จะพบกับอิสรภาพที่แท้จริง
คือการไม่ได้ใช้ชีวิตเพียงทำงานเพื่อเงิน
แต่เป็นการทำงานเพราะเราเลือกที่จะทำเพื่อให้ชีวิตของเรามีประโยชน์
มีคุณค่า และอิสรภาพนั้นจะมอบของขวัญของการเลือกใช้ชีวิตได้ตามใจปรารถนา
สามารถพึ่งตนเองได้
และมีกระแสเงินจากการวางแผนที่ดีให้เรามีเงินใช้ตลอดชีวิต
ด้วยหลักการเรียบง่ายที่ต้องนำมาใช้ในทุก ๆ วัน
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินในระยะยาว ดังนี้
Clarity ความชัดเจน
คือการรู้สถานะทางการเงินของตัวเอง ด้วยการทำบัญชีรายรับ รายจ่าย
และทำงบดุลส่วนบุคคล เรามักให้ความสำคัญกับการคำนวณเงินเกษียณอายุว่า
หากเราอยากมีอิสรภาพทางการเงิน (เกษียณก่อนแก่)
เราจะต้องมีเงินเก็บเท่าไหร่ แต่สิ่งที่มีความสำคัญไม่น้อยกว่า
นั่นคือการรู้สถานะทางการเงินของตัวเอง ณ ปัจจุบัน ด้วยการทำบัญชีรายรับ
รายจ่าย และทำงบดุลส่วนบุคคล
ซึ่งนอกจากจะทำให้เราทราบจำนวนเงินที่เหลือเพื่อใช้ในการวางแผนการออมและการลงทุนในแต่ละเดือน
เราจะมีข้อมูลที่ชัดเจนว่ารายจ่ายใดเป็นรายจ่ายที่เราสามารถลดได้
จะทำให้เราเห็นความสำคัญของรายจ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราจ่ายออกไปทุกวัน
หากเราลดรายจ่ายนั้นเปลี่ยนเป็นเงินที่นำไปลงทุน
ก็จะกลายเป็นแหล่งเงินออมเพื่อวัยเกษียณของเราได้อย่างดี
Self-Sufficiency การใช้ชีวิตพอเพียง ไม่ก่อหนี้เกินตัว
คือการมีรายได้ มากกว่ารายจ่าย ไม่ใช้เงินเกินตัว ไม่ก่อหนี้เกินความจำเป็น
หากเรามีความต้องการใช้ชีวิตที่หรูหรา เกินกว่ารายได้ที่หาได้ เช่น
อยู่บ้านหลังใหญ่ ใช้รถหรู
เราจะมีชีวิตที่วิ่งหาแต่เงินเพื่อนำเงินนั้นมาซื้อบางสิ่งบางอย่างที่เราต้องการ
เมื่อได้มาแล้ว ก็มีความปรารถนาอื่น ๆ ตามมาไม่มีที่สิ้นสุด
และเราก็ต้องดิ้นรน หาเงินมา ก่อหนี้เพื่อซื้อสิ่งที่เราอยากได้ เป็นหนี้
วิ่งหาเงิน ชีวิตที่ต้องวิ่งหาและหาและหาอยู่ตลอดเวลา
มีแต่ความเหนื่อยล้าและวุ่นวายใจ หากเพียงเราหยุดคิดสักนิดว่า
ชีวิตที่กินอิ่มนอนอุ่นในประเทศของเรา ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากมายขนาดนั้น
เมื่อใช้น้อย และหาได้มากกว่าที่ใช้ เราก็จะไม่ก่อหนี้ที่ไม่จำเป็น
ไม่ก่อหนี้เกินตัว และมีเงินเหลือเก็บออม
สิ่งสำคัญของการเกษียณก่อนแก่ นอกจากการมีเงินใช้มากพอตลอดชีวิตแล้ว
ยังหมายถึงการเป็นบุคคลที่ปลอดจากภาระหนี้สินด้วยเช่นกัน
การหมดหนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำพาเราไปสู่อิสรภาพทางการเงินก่อนวัยเกษียณได้อย่างแท้จริง
ซึ่งวิธีการวิเคราะห์สัดส่วนหนี้ที่ไม่มากเกินตัว มีหลักในการคำนวณดังนี้
• หนี้สินต่อสินทรัพย์ ควรมีค่าน้อยกว่า 50%
• หนี้สินจดจำนอง ได้แก่ เงินกู้ซื้อบ้าน เงินที่ชำระคืนต่อเดือน ไม่ควรเกิน 35-45% ของรายได้ต่อเดือน
• จำนวนหนี้ที่ต้องชำระอื่น ๆ ไม่ควรเกิน 10% ของรายได้ต่อเดือน
Breathing Room มีเงินออม 6 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน
เพื่อมีพื้นที่ว่างทางการเงินที่มากพอให้เราได้พักหายใจ
โดยเฉพาะในยามที่เกิดเหตุฉุกเฉินที่เราไม่คาดคิด
ตัวอย่างของสถานการณ์ที่เราเห็นได้ชัดเจนก็คือ สถานการณ์การแพร่ระบาดของ
COVID-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจต้องหยุดชะงัก หลายคนขาดรายได้
ต้องปิดกิจการหรือไม่มีงานทำ หรือถูกลดเงินเดือน
หากเรามีสภาพคล่องทางการเงิน อย่างน้อย 6 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน
จะทำให้เราสามารถผ่านพ้นสถานการณ์เหล่านี้ไปได้จากการดึงเงินในส่วนนี้มาใช้จ่าย
โดยไม่ต้องกู้เงินสร้างภาระหนี้สินเพิ่มเติมอีกต่อไป
Goal กำหนดเป้าหมาย
ว่าเราต้องเตรียมเงินเท่าไหร่ จึงพอใช้ในยามเกษียณ
จำนวนเงินที่ต้องใช้ในวัยเกษียณของแต่ละคน ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจ
และการเลือกวิถีการใช้ชีวิตซึ่งมีความแตกต่างตามปัจเจกบุคคล
ตัวอย่างเช่น บางคนอาจพึงพอใจกับการใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัด ชอบอยู่บ้าน
ไม่ชอบออกไปท่องเที่ยว หรือใช้จ่ายเงินนอกบ้าน หากเทียบกับค่าเงิน ณ
ปัจจุบัน อาจเท่ากับค่าใช้จ่ายประมาณ 10,000 บาทต่อเดือน
ในขณะที่บางคนอยากใช้ชีวิตท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง ได้ทานอาหารนอกบ้าน
ได้ซื้อของที่ตัวเองอยากได้ ซึ่งเทียบเท่ากับการค่าใช้จ่ายประมาณ 100,000
บาทต่อเดือน เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าเราต้องเตรียมเงินมากขึ้นแปรผันตามวิถีชีวิตที่เราพึงพอใจ
และให้นำจำนวนเงินที่เราต้องการใช้ต่อเดือน คำนวณเงินเฟ้อ
เพื่อหาจำนวนเงินที่ต้องใช้จ่ายในอนาคต
ตัวอย่าง : ชายอายุ 25 ต้องการเกษียณตอนอายุ 50 ปี และต้องการคำนวณเงินให้พอใช้จนถึงอายุ 75 ปี
ค่าใช้จ่ายในวัยเกษียณ ณ ค่าเงินปัจจุบัน = 10,000 บาทต่อเดือน 120,000 บาทต่อปี
ที่อัตราเงินเฟ้อ 3% ในอีก 25 ปีข้างหน้า = 20,938 บาทต่อเดือน 251,253 บาทต่อปี
จำนวนเงิน ณ อายุ 50 ปี ที่สมมุติฐานผลตอบแทน 5% อัตราเงินเฟ้อ 3% พอใช้ไปอีก 25 ปี
= 5,024,612.04 บาท (คิดแบบถอนเงินมาใช้ทุกต้นปี PMT : Begin)
สรุปเป็นวิธีการในการคำนวณเงินที่ต้องมีไว้ใช้ในการเกษียณอย่างง่าย ๆ คือ
20 เท่าของค่าใช้จ่ายตอนเกษียณที่เราอยากใช้ต่อปี ที่สมมติฐานผลตอบแทน 5%
อัตราเงินเฟ้อ 3% จะพอใช้หลังเกษียณอีก 25 ปี
Plan วางแผนการออมและลงทุนให้บรรลุเป้าเกษียณ
คำนวณหาจำนวนเงินที่ต้องลงทุนต่อเดือน
พร้อมเลือกลงทุนในผลตอบแทนบนความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ จากตัวอย่างข้างต้น
ชายอายุ 25 ปี หากต้องการเกษียณที่อายุ 50 ปี จะต้องเก็บเงินเดือนละ 7,500
บาทต่อเดือน ที่ผลตอบแทน 6% ต่อปี
บนความเสี่ยงที่ยอมรับได้โดยมีการกระจายการลงทุนที่ดี
เช่น ลงเงินในตราสารหนี้ 30% ที่ผลตอบแทน 2.5% ต่อปี และลงทุนในตราสารทุน
70% ต่อปี ที่ผลตอบแทนเฉลี่ย 8%
และหากเราเลือกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีด้วย
เราก็จะสามารถนำเงินที่ได้คืนจากภาษีกลับมาเป็นแหล่งเงินออมและเงินลงทุนได้อีกด้วย
ตัวอย่างของการจัดแผนดังกล่าวข้างต้น คือ นำเงิน 30%
ไปลงทุนในกลุ่มประกันสะสมทรัพย์และประกันบำนาญเพื่อสร้างระบบการออมที่ได้รับกระแสเงินสดที่แน่นอนในวัยเกษียณ
สร้างความมั่นคงและความสบายใจว่าเราจะมีเงินใช้เพื่อปัจจัย 4
และการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐาน
ทั้งในภาวะเศรษฐกิจดีหรือภาวะเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ และนำเงินอีก 70%
ไปลงทุนในกองทุน SSF หรือ RMF
ที่เน้นลงทุนในตราสารทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 8% ต่อปี
ตัวอย่างการวางแผนที่มีการออมและการลงทุนดังกล่าว จะสร้างทั้งระบบบำนาญ
และสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนให้เราได้ใช้ชีวิตอย่างที่เราปรารถนา
อีกสิ่งสำคัญนอกจากการวางแผนการออมคือ การวางแผนการโอนย้ายความเสี่ยง
โดยเฉพาะเรื่องค่ารักษาพยาบาลให้มีมากพอ
เพื่อให้แผนการเกษียณของเราไม่ล่มสลาย จากการเจ็บป่วยเรื้อรัง
หรือการเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง นอกจากนี้จากตัวอย่างการคำนวณ
จำนวนเงินที่ต้องออมต่อเดือนคือ 7,500 บาท
ซึ่งอาจเป็นจำนวนเงินที่เก็บออมมากจนเกินไปในกลุ่มคนที่อายุน้อยและพึ่งเริ่มต้นในการทำงาน
แต่รายได้ย่อมเพิ่มขึ้นตามทักษะและอายุงานที่เพิ่มขึ้น หากเราเก็บออมให้ได้
20% ต่อเดือน จะทำให้เรามีจำนวนเงินออมที่เพิ่มขึ้นตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น
จะช่วยให้เรามีเม็ดเงินในการเก็บออมเพื่อบรรลุเป้าหมายในการวางแผนเกษียณได้
Action ลงมือทำ อย่างมีวินัย ตามแผนที่วางไว้
เนื่องจากการวางแผนการเกษียณ เป็นการวางแผนในระยะยาว
เราจึงจำเป็นจะต้องเริ่มต้นลงมือทำตั้งแต่วันนี้ ทำอย่างสม่ำเสมอ
ทำอย่างต่อเนื่อง และทำอย่างเป็นระบบ เช่น
การวางแผนชำระเบี้ยประกันสะสมทรัพย์ ประกันบำนาญ
การวางแผนซื้อกองทุนรวมโดยลงทุนแบบเฉลี่ยทุกเดือน (DCA)
เพื่อเป็นการบังคับตัวเราเองให้ยังคงดำเนินการตามแผนที่เราได้ตั้งใจไว้
จะเห็นได้ว่าความสำเร็จในการวางแผนทางการเงินเพื่อการเกษียณ
เป็นสิ่งที่เราทุกคนสามารถทำได้ เพียงเราทำตาม 6 ข้อที่ได้กล่าวมา
เราทุกคนก็สามารถมีชีวิตที่หมดหนี้ มีออม และเกษียณก่อนแก่ ได้ไม่ยาก
แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์
https://www.prachachat.net/finance/news-1438435
X