ข่าวการเงิน

อิสระในการเลือกใช้ชีวิต เปิดเครื่องมือสำหรับการวางแผนเกษียณ


บทความโดย "กชจุฑา เพียรวนิช" 
ที่ปรึกษาการเงิน AFPTTM สมาคมนักวางแผนการเงินไทย

วันที่ 29 เมษายน 2567 คำว่าเกษียณอาจฟังดูน่าเบื่อและห่างไกลจากความคิดในหลาย ๆ คน คำว่าเกษียณในอดีตอาจหมายถึง คนสูงวัยที่เลิกทำงานและใช้ชีวิตทั้งวันอยู่กับบ้านเป็นส่วนใหญ่ ด้วยคำนิยามเหล่านี้อาจทำให้คนส่วนใหญ่ไม่สนใจในเรื่องวางแผนเกษียณ เพราะยังรู้สึกว่าไกลตัว

แต่ถ้านิยามคำว่าเกษียณใหม่ในยุคนี้ คำว่าเกษียณหมายถึง “อิสระ” อิสระในการเลือกใช้ชีวิตที่ต้องการและงานเป็นแค่ทางเลือกว่าจะทำงานหรือไม่ทำงานก็ได้ เพราะมีเงินเก็บเพียงพอ อาจจะเกษียณตอนอายุ 40 ปี 50 ปี หรืออาจจะทำงานไปจนถึง 70 ปี เพราะยังสนุกและมีความสุขกับการทำงาน ถ้าอยากจะมีอิสระในการใช้ชีวิตและตั้งใจเริ่มวางแผนเกษียณวันนี้มีหลักการเลือกใช้เครื่องมือวางแผนเกษียณ ดังนี้

ตรวจสอบเครื่องมือสำหรับเก็บเงินเกษียณ

เชื่อว่าหลายคนมีแผนในใจว่าอยากจะมีรายได้เท่าไหร่หลังเกษียณ บางคนอาจจะเริ่มคำนวณเงินก้อนที่จำเป็นต้องมีในวันเกษียณ เช่น 10 ล้านบาท 20 ล้านบาท แต่หลายคนอาจสงสัยหรือไม่รู้ว่าจะเก็บเงินเกษียณไว้ที่ไหนเพื่อให้ได้เงินเกษียณอย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้ ดังนั้น การเลือกเครื่องมือเก็บเงินและลงทุนเพื่อเกษียณ จึงมีความสำคัญ โดยมี 3 ปัจจัยสำคัญ ดังนี้

อาชีพ

เครื่องมือเก็บเงินเพื่อการเกษียณ ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรสามารถลงทุนได้ทั้งหมด ยกเว้นบางเครื่องมือที่มีเงื่อนไขเรื่องอาชีพที่ต้องพิจารณาเพิ่ม

1. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เฉพาะข้าราชการที่สามารถลงทุนใน กบข.
2. ประกันสังคมมีทั้งภาคบังคับและภาคสมัครใจ... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1548147

– มาตรา 33 (ภาคบังคับ) สำหรับลูกจ้างในระบบเป็นภาคบังคับต้องส่งเงินเข้ากองทุนประกันสังคม 5% ของเงินเดือน และสูงสุดไม่เกิน 750 บาท/เดือน

– มาตรา 39 (ภาคสมัครใจ) สำหรับลูกจ้างที่เคยประกันตนมาตรา 33 นำส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือนและต้องการรับสิทธิประโยชน์ต่อเนื่องจากประกันสังคม โดยส่งเงิน 432 บาท/เดือน... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1548147

– มาตรา 40 (ภาคสมัครใจ) สำหรับลูกจ้างนอกระบบหรืออาชีพฟรีแลนซ์ มีทางเลือกส่งเงิน 3 ทาง ทางเลือกที่หนึ่ง 70 บาท/เดือน ทางเลือกที่สอง 100 บาท/เดือน ทางเลือกที่สาม 300 บาท/เดือน

ซึ่งแต่ละมาตราจะได้รับผลประโยชน์ที่แตกต่างกันไป

3. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) สำหรับพนักงานบริษัททั่วไป เก็บเงินจากการหักเงินเดือนตามสัดส่วนที่เราต้องการ (2%-15%ของรายได้) และได้รับเงินสมทบจากนายจ้าง (2%-15%ของรายได้) อย่างไรก็ตามเงินสมทบจากนายจ้างขึ้นอยู่กับเงื่อนไขแต่ละบริษัทว่าจะสมทบเท่าไหร่ นอกจากนี้ Provident Fund ยังมีสิทธิประโยชน์เรื่องภาษี สามารถนำส่วนเงินสะสมไปลดหย่อนภาษีได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 15% ของเงินเดือนและสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท
4. กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เหมาะสำหรับอาชีพอิสระที่ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์จากทางภาครัฐ นักเรียน นักศึกษา ชาวไร่ชาวนา พ่อค้าแม่ค้า ฯลฯ สามารถออมเงินผ่าน กอช. ขั้นต่ำ 50 บาท/เดือน สูงสุด 1,100 บาท/เดือน และได้รับเงินสมทบจากรัฐบาล เงินออมสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30,000 บาทต่อปี

เงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับรายได้

มีบางเครื่องมือที่ต้องพิจารณาเรื่องเกณฑ์รายได้ที่ต้องเสียภาษี จึงจะเลือกเก็บเงินผ่านเครื่องมือนี้ได้ เนื่องจากมีเงื่อนไขในการลงทุน ดังนั้น ถ้ารายได้ไม่ต้องเสียภาษีก็ไม่ควรใช้เครื่องมือเหล่านี้ กองทุนรวมที่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษี (RMF / SSF)

– กองทุนสำรองเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) มีเงื่อนไขการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี คือ

ซื้อสูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษีและไม่เกิน 500,000 บาทเมื่อรวมกับเงินออมเพื่อการเกษียณอื่นๆ ( กบข. / กอช. / กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ / ประกันบำนาญ / SSF)

– กองทุนการออมระยะยาว (SSF) เงื่อนไขการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี คือ

ซื้อสูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษีและไม่เกิน 200,000 บาทเมื่อรวมกับเงินออมเพื่อการเกษียณอื่นๆ ไม่เกิน 500,000 บาท ( กบข. / กอช. / กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ / ประกันบำนาญ / RMF)

นอกจากนี้ยังมีเครื่องอื่นๆ ที่สามารถลดหย่อนภาษีได้และไม่มีบทลงโทษกรณีซื้อเกินเงื่อนไข

– ประกันบำนาญ ลดหย่อนสูงสุดสูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้และไม่เกิน 200,000 บาท เมื่อรวมกับเงินออมเพื่อการเกษียณอื่นๆ ไม่เกิน 500,000 บาท ( กบข. / กอช. / กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ / SSF / RMF)

ประกันชีวิต/ประกันสะสมทรัพย์ ลดหย่อนสูงสุด 100,000 บาท

อายุ

อายุมีส่วนสำคัญในการเลือกเครื่องมือ บางเครื่องมือสามารถซื้อได้ถึงอายุ 55 ปี หรือ 60 ปี เช่น ประกันบำนาญหรือประกันสะสมทรัพย์บางแบบ นอกจากนี้สำหรับคนอายุมาก เช่น อีก 45 ปี 50 ปี ใกล้เกษียณในอีก 5 -10 ปี ต้องเลือกลงทุนในเครื่องมือที่ความเสี่ยงไม่สูงมากเพื่อไม่ให้เงินต้นขาดทุน

เครื่องมือที่กล่าวมามีการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายและมีระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ดังนั้น ต้องเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับอายุและความเสี่ยงที่รับได้

ทำความเข้าใจสินทรัพย์การลงทุน

เครื่องมือวางแผนเกษียณแต่ละอย่างมีการลงทุนที่แตกต่างกัน ดังนั้น ต้องเรียนรู้สินทรัพย์ลงทุน (Asset Class) โดยสินทรัพย์พื้นฐานที่ควรรู้มี 5 ประเภท

1. เงินสด หรือเงินฝากธนาคาร ใช้เก็บเพื่อเป็นสภาพคล่องหรือใช้เป็นเงินฉุกเฉิน ไว้ในบัญชีออมทรัพย์ธนาคาร โดยเงินฝากจะได้รับผลตอบแทนคือดอกเบี้ย
2. ตราสารหนี้ ถ้าให้รัฐบาลกู้ยืมเงิน เรียกว่า พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลัง ถ้าให้บริษัทกู้ยืมเงิน เรียกว่า หุ้นกู้ ส่วนใหญ่แล้วตราสารหนี้จะมีความเสี่ยงต่ำถึงปานกลาง ความผันผวนต่ำถึงปานกลาง ใช้ลงทุนเพื่อสร้างสภาพคล่องหรือลงทุนเพื่อเน้นกระแสเงินสดรับอย่างต่อเนื่อง ผลตอบแทนจากตราสารหนี้ คือ ดอกเบี้ยและส่วนต่างราคา
3. หุ้น มีความเสี่ยงสูง และมีความผันผวนสูง ลงทุนเพื่อเน้นเติบโตสูงและโอกาสได้ผลตอบที่ชนะเงินเฟ้อ ผลตอบแทน คือ กำไรส่วนต่างจากราคาหุ้นและเงินปันผล
4. อสังหาริมทรัพย์ มีความเสี่ยงสูง สภาพคล่องต่ำ ลงทุนเพื่อการเติบโตของเงินลงทุนหรือสร้างกระแสเงินสดประจำจากค่าเช่า โดยสามารถลงทุนทางตรงโดยการซื้อบ้าน คอนโดหรือลงทุนทางอ้อมผ่านกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ได้เช่นกัน ผลตอบแทน คือ ส่วนต่างราคาและค่าเช่า
5. สินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทองคำ สินทรัพย์ที่หลายคนนิยมและมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (safe heaven) มักลงทุนเพื่อไว้กระจายความเสี่ยงเพราะให้ผลตอบแทนที่ดีสวนทางกับเวลาที่เศรษฐกิจไม่ดี มีสภาพคล่องสูง ผลตอบแทน คือ ส่วนต่างราคา

หากรู้จักเครื่องมือให้เหมาะสมกับอาชีพ รายได้ และระยะเวลาของตัวเอง รวมถึงการเข้าใจสินทรัพย์ลงทุน จะทำให้การบริหารเงินเพื่อการเกษียณเป็นไปอย่างประสิทธิภาพมากขึ้น ย่อมส่งผลให้การวางแผนเพื่อการเกษียณมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้นเช่นกัน


แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์

https://www.prachachat.net/finance/news-1548147

X