การวางแผนทางการเงิน
เปิด 5 เรื่องควรรู้ ก่อนลงทุนกองทุนรวม
บทความโดย "สมาคมนักวางแผนการเงินไทย"
ปัจจุบันมีกองทุนรวมที่นำเสนอขายให้นักลงทุนมีจำนวนหลายพันกองทุน ที่สำคัญมีนโยบายการลงทุนหลากหลาย ทำให้เกิดคำถามว่า ควรเลือกลงทุนในกองทุนรวมอย่างไรเพื่อให้เหมาะสมกับสไตล์การลงทุนของตัวเองและสร้างความมั่นใจได้มากขึ้น
ดังนั้น การเลือกลงทุนในกองทุนถือเป็นกระบวนการที่สำคัญ ต้องมีความละเอียด รัดกุม พิจารณาหลาย ๆ ปัจจัย เช่น วัตถุประสงค์ของการลงทุน ระยะเวลาที่ต้องการลงทุน ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เข้าใจในการลงทุน เป็นต้น ในเบื้องต้นก่อนตัดสินใจลงทุนควรพิจารณา 5 เรื่อง ดังนี้
1. นโยบายการลงทุน ก่อนตัดสินใจเลือกลงทุนกองทุนรวมสักกอง สิ่งที่ต้องพิจารณาที่ลืมไม่ได้ คือ นโยบายการลงทุนของกองทุนนั้น ๆ เพื่อให้รู้ว่ากองทุนที่สนใจเป็นกองทุนประเภทไหน นำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อะไร เช่น หุ้นขนาดใหญ่ กลาง เล็ก หุ้นปันผล หุ้นเติบโต หุ้นในประเทศ หุ้นต่างประเทศ หรือลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น ตราสารหนี้ ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น อีกทั้ง นโยบายการลงทุนยังมีข้อมูลอื่น ๆ ให้พิจารณา โดยเฉพาะสัดส่วนการลงทุน ความเสี่ยง นโยบายจ่ายปันผล จำนวนเงินขั้นต่ำในการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป อายุกองทุน โดยควรศึกษาให้ละเอียด เพื่อให้เลือกกองทุนที่เหมาะกับเป้าหมายและสไตล์การลงทุนของตัวเอง
2. เลือกประเภทกองทุนที่เหมาะสม ควรทำความเข้าใจก่อนว่ากองทุนนั้นเป็นกองทุนประเภทไหน ผู้จัดการกองทุนมีแนวทางในการบริหารกองทุนอย่างไร โดยหลัก ๆ แบ่งเป็นการบริหารแบบเชิงรับ (Passive Fund) เน้นการสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงให้มากที่สุด ข้อดี คือ มีค่าธรรมเนียมการบริหารกองทุนและความเสี่ยงต่ำ
ถัดมาเป็นกองทุนแบบเชิงรุก (Active Fund) มีเป้าหมายในการลงทุน คือ สร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าดัชนีอ้างอิง (Benchmark) หรือการพยายามเอาชนะตลาด เป็นนโยบายลงทุนแบบเชิงรุก ผู้จัดการกองทุนจะหาจังหวะเหมาะสมในการลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ดีกว่าค่าเฉลี่ย จึงมีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุนแบบ Passive Fund แต่ก็มีโอกาสได้กำไรสูงกว่า
3. วิเคราะห์ผลงานของกองทุน ก่อนพิจารณาลงทุนควรดูผลตอบแทนเพราะมีทั้งกองทุนรวมที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลและไม่จ่ายเงินปันผล หากกองทุนที่จ่ายปันผลต้องพิจารณา Total Return ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่รวมเงินปันผลเข้าไปแล้ว ขณะที่กองทุนที่ไม่จ่ายปันผล ให้พิจารณา Price Return ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่ไม่รวมการจ่ายเงินปันผล
นอกจากนี้ให้พิจาณาผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี (Annualized Return) เป็นวิธีการหาแบบค่าเฉลี่ยต่อปี ด้วยการนำผลตอบแทนในแต่ละปีมาบวกกันแล้วก็หารจำนวนปีที่ต้องการดูค่าเฉลี่ย ถัดมาให้พิจารณาผลตอบแทนแบบสะสม (Cumulative Return) ซึ่งเป็นการนำผลตอบแทนปีแรกกับผลตอบแทนที่ต้องการคำนวณปีล่าสุดมาดู
เมื่อพิจารณาผลตอบแทนแล้ว ไม่ควรลืมด้านความเสี่ยงของกองทุนนั้น ๆ ด้วยการพิจารณาค่าความผันผวน (Standard Deviation) หากค่าความผันผวนยิ่งต่ำยิ่งดี หมายความว่า ความผันผวนของผลตอบแทนต่ำ มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) จะไม่เหวี่ยงมาก แต่หากค่าความผันผวนสูง หมายความว่า ผลตอบแทนจะมีความผันผวนมาก ส่งผลให้ NAV จะเหวี่ยงมากตามไปด้วย
ถัดมาให้พิจารณาค่าใช้จ่าย โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ค่าใช้จ่ายด้านค่าธรรมเนียมการซื้อ (Front-End Fee) ค่าธรรมเนียมการขาย (Back-End Fee) กับ Total Expense Ratio เช่น ค่าธรรมเนียมการจัดการ ค่าธรรมเนียมผู้ดูแลผลประโยชน์ ค่าสอบบัญชี โดยค่าใช้จ่ายจะมีผลต่อผลตอบแทน หากต้นทุนต่ำ ก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสุทธิในระยะยาวสูง ตรงกันข้ามหากค่าใช้จ่ายสูง ก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสุทธิในระยะยาวลดลงตามไปด้วย
4. วางแผนกลยุทธ์การลงทุน ข้อดีของกองทุนรวม คือ ลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภทจึงช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์เพียงตัวเดียว มีผู้เชี่ยวชาญจัดการมืออาชีพคอยคัดเลือกสินทรัพย์และบริหารจัดการเงินลงทุนให้งอกเงย ลงทุนได้ง่ายผ่าน บลจ. ตัวแทน หรือเปิดบัญชีผ่านแอปพลิเคชั่น ดังนั้น กองทุนรวมจึงเหมาะกับการลงทุนระยะยาว โดยทางเลือกที่ดีในการลงทุนระยะยาว คือ การลงทุนแบบถัวเฉลี่ย (DCA) เป็นการทยอยลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุนอย่างสม่ำเสมอ ด้วยจำนวนเงินที่เท่ากันทุกงวด (เช่น รายสัปดาห์ รายเดือน)โดยข้อดีการลงทุนรูปแบบนี้มีหลายประการ เช่น
• การลดความเสี่ยงและบริหารเงินทุนได้ง่าย ช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากการลงทุนทั้งหมดในช่วงเวลาเดียวกัน โดยการแบ่งเงินลงทุนออกเป็นรายงวด ตามช่วงเวลาที่กำหนด เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาด
• การลงทุนต่อเนื่อง ช่วยสร้างนิสัยการลงทุนต่อเนื่อง ทำให้ง่ายต่อการลงทุนเป็นระยะ ๆ เป็นการตัดปัจจัยทางด้านอารมณ์ ความรู้สึกออกไป
• การลงทุนในช่วงราคาต่ำ เมื่อตลาดตกต่ำ ช่วยให้ซื้อหน่วยลงทุนในราคาต่ำ ทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนในระยะยาวเพิ่มสูงขึ้น
• การเพิ่มมูลค่าในระยะยาว ช่วยให้มีโอกาสในการสะสมทรัพย์สินในระยะยาว โดยส่งผลให้มีโอกาสในการเพิ่มมูลค่าของการลงทุนในระยะยาว
5. ติดตามสถานการณ์อย่างสม่ำเสมอ เมื่อลงทุนกองทุนไปแล้วก็ต้องติดตามสถานการณ์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ปรับตัวได้ทันหากสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง ได้แก่
• การตรวจสอบผลการดำเนินงานของกองทุน ควรตรวจสอบผลการดำเนินงานของกองทุนรวมเป็นประจำ เช่น นโยบายการลงทุน ผลตอบแทนการลงทุนเมื่อเทียบกับดัชนีชี้วัด (Benchmark) รวมถึงเทียบกับกองทุนกองอื่น ๆ ในกลุ่มเดียวกัน
• การปรับปรุงหรือปรับเปลี่ยนกองทุน หากพบว่าผลการดำเนินงานของกองทุนไม่ได้ตรงตามคาดหวัง เช่น ผลตอบแทนปรับลดลงเรื่อย ๆ หรือขาดทุนต่อเนื่อง ควรพิจารณาขายเพื่อนำเงินไปลงทุนในกองทุนกองอื่น ๆ ที่ดีกว่า
• ติดตามความเคลื่อนไหวในตลาด ติดตามและทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจ ตลาดโดยรวม และเหตุการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อกองทุนรวมที่ลงทุน
X