Everyday knowledge for you
ประกันสุขภาพ
31/05/2024
สมาคมประกันวินาศภัยไทย ชงข้อเสนอคลังขอเพิ่มสิทธิลดหย่อนภาษี “ประกันสุขภาพ” คู่สมรสและบุตร ให้ลดหย่อนได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท ขณะที่ประชาชนอายุ 45 ปีขึ้นไป เสนอให้สามารถนำเบี้ยหักลดหย่อนได้เพิ่มอีก 10,000-20,000 บาท/ราย รวมถึงเปิดทางลูกค้าซื้อประกันสุขภาพลดหย่อนภาษีได้ถึง 100,000 บาท ขณะที่ “คปภ.” ให้ศึกษาผลกระทบรายได้รัฐเพิ่มเติม คาดใช้เวลา 1 เดือน คาดได้ข้อสรุปเสนอคลังได้ภายในเดือน ก.ค.นี้นายปิยะพัฒน์ วนอุกฤษฏ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แปซิฟิค ครอส ประกันสุขภาพ จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานคณะกรรมการประกันภัยอุบัติเหตุและสุขภาพ สมาคมประกันวินาศภัยไทย (TGIA) เปิดเผยว่า สมาคมคาดการณ์เบี้ยประกันสุขภาพในอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยในปี 2567 จะมีอัตราการเติบโต 10.5-11.5% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) หรือมีเบี้ยรับประมาณ 17,300-17,400 ล้านบาทโดยพันธกิจเร่งด่วน (Quick Win) ของสมาคมเกี่ยวกับการประกันสุขภาพจะมีด้วยกัน 3 เรื่องสำคัญคือ 1.เพิ่มสิทธิการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพื่อจูงใจให้คนมาซื้อประกันสุขภาพมากขึ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงในอนาคต 2.การควบคุมค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลให้มีความเหมาะสม และ 3.การจัดตั้งคณะแพทย์ที่ปรึกษาของสมาคมสำหรับเรื่องเพิ่มสิทธิการลดหย่อนภาษี สมาคมได้แต่งตั้งคณะทำงานด้านภาษี และสรุปเป็นข้อเสนอ 3 แนวทางคือ 1. ให้สิทธิลดหย่อนค่าเบี้ยประกันสุขภาพของคู่สมรสและบุตรได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท โดยเสนอแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 47 (1) (ง) แห่งประมวลรัษฎากร โดยเพิ่มหรือแก้ไขให้รองรับกรณีที่ผู้มีเงินได้ ได้จ่ายไปสำหรับการประกันสุขภาพให้แก่บุตรหรือคู่สมรสด้วย เสมือนเงื่อนไขการลดหย่อนภาษีของกรมธรรม์ประกันภัยลูกกตัญญูที่ลูกซื้อให้กับพ่อแม่โดยประกันสุขภาพจะต้องให้ความคุ้มครองการรักษาพยาบาลจากการเจ็บป่วยและบาดเจ็บ การชดเชยทุพพลภาพและการสูญเสียอวัยวะจากการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ และการประกันอุบัติเหตุ เฉพาะที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล การทุพพลภาพ การสูญเสียอวัยวะ และการแตกหักของกระดูก รวมถึงคุ้มครองโรคร้ายแรง2. เสนอให้ประชาชนที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป สามารถนำเบี้ยประกันมาหักลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นอีก 10,000-20,000 บาท/ราย จากเดิม 100,000 บาท เป็น 110,000-120,000 บาท/ราย ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดความเสี่ยงของทางรัฐบาล และกระจายความเสี่ยงให้ทางเอกชนมากขึ้นและ 3. เสนอให้ค่าลดหย่อนภาษี ทั้งประกันชีวิตและค่าเบี้ยประกันสุขภาพ ที่คิดรวมกันได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ไม่ต้องกำหนดแยกสำหรับค่าเบี้ยประกันสุขภาพ ที่ให้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 25,000 บาท หมายความว่าลูกค้าจะซื้อประกันสุขภาพลดหย่อนภาษีเท่าใดก็ได้ในวงเงินลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตที่ 100,000 บาท ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ลูกค้าวางแผนรองรับความเสี่ยงได้ดีในอนาคตเมื่อเกิดการเจ็บป่วย“สมาคมได้ทำหนังสือส่งไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เรียบร้อยแล้ว โดยทาง คปภ.ได้ตั้งคณะทำงานชุดย่อยขึ้นมาพิจารณาเรื่องนี้ และได้สั่งให้ทางสมาคมกลับไปศึกษาผลกระทบที่รัฐบาลจะต้องสูญเสียจากข้อเสนอภาษีตรงนี้ ดังนั้น ระหว่างนี้สมาคมต้องรวบรวมข้อมูล คาดว่าจะใช้เวลาราว 1 เดือน ก่อนส่งกลับให้ คปภ. และคาดว่าภายในเดือน ก.ค. 2567 น่าจะเสนอกระทรวงการคลังได้”ส่วนเรื่องการควบคุมค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ปัจจุบันนี้สมาคมประกันวินาศภัยไทยและสมาคมประกันชีวิตไทย ได้ร่วมจัดทำร่างแนวปฏิบัติสำหรับการพิจารณากลุ่มโรคการเจ็บป่วยเล็กน้อยทั่วไป (Simple Disease) ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเคลมประกันสุขภาพในอัตราที่สูง ซึ่งจะนำเสนอให้สำนัก คปภ.พิจารณาและลงความเห็นชอบร่วมกันโดยสมาคมได้ร่วมมือสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เพื่อกำหนดมาตรการการใช้ใบเสร็จรับเงินค่ารักษาพยาบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) รวมทั้งร่วมมือกับภาครัฐ โดยกรมการแพทย์และภาคประกันสุขภาพเอกชนต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการทำงานอย่างใกล้ชิด“ตอนนี้ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลถือเป็นต้นทุนหลักในการเสนอผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพ ดังนั้นหากค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ เบี้ยประกันสุขภาพก็จะต้องแพงขึ้นต่อเนื่อง และทำให้ประชาชนเข้าถึงประกันสุขภาพเอกชนได้ยาก สุดท้ายแล้วประชาชนต้องไปต่อคิวตั้งแต่เวลาตี 5 เพื่อแย่งเข้ารักษาในโรงพยาบาลของรัฐบาล ซึ่งไม่อยากให้ประชาชนมีประสบการณ์แบบนั้น จึงต้องผลักดันให้เบี้ยประกันสุขภาพถูกลง โดยการควบคุมค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลให้เหมาะสม โดยเบี้ยประกันสุขภาพเอกชนที่เหมาะสมจะเฉลี่ย 25,000 บาท/ราย”นายปิยะพัฒน์กล่าวอีกว่า ส่วนการจัดตั้งคณะแพทย์ที่ปรึกษาของสมาคมจะมีทั้งหมด 12 ราย เพื่อวัตถุประสงค์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริหารจัดการสินไหมทดแทน รวมทั้งเข้าไปมีส่วนในการเข้าไปช่วยรัฐบาลและประชาชน โดยจะเป็นแพทย์ปฏิบัติงานในบริษัทประกันวินาศภัย 8 ราย แพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิจากกระทรวงสาธารณสุข 1 ราย แพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิจากแพทยสภา 1 ราย และคณะทำงานสมาคม 2 ราย โดยมีนายแพทย์เทอดศักดิ์ โรจน์สุรกิตติ เป็นประธานคณะแพทย์ที่ปรึกษาของสมาคมผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในปี 2566 ธุรกิจประกันสุขภาพในอุตสาหกรรมประกันภัยของประเทศไทย มีเบี้ยรับรวมทั้งระบบ 125,455 ล้านบาท มาจากบริษัทประกันชีวิต 109,786 ล้านบาท เติบโต 5.93% และบริษัทประกันวินาศภัย 15,669 ล้านบาท ลดลง 0.9% เมื่อเทียบจากปี 2565แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1573690
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
31/05/2024
แหล่งท่องเที่ยวหลาย ๆ แห่ง ทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ นอกจากความสวยงาม แปลกตา น่าทึ่ง ของตัวแหล่งท่องเที่ยว สถานที่ที่ไปเยือน บรรยากาศ และเรื่องราวระหว่างทางแล้ว “ป้าย” ตามแหล่งท่องเที่ยวนั้น ๆ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งแม่เหล็กดึงดูดให้คนไปถ่ายรูปคู่กับป้ายเป็นที่ระลึกกันไม่น้อยยิ่งเป็นป้ายประเภทมีความสวยงาม มีเรื่องราว มีอัตลักษณ์โดดเด่น ก็ยิ่งกลายเป็นอีกหนึ่งจุดเช็กอินสำคัญเคียงคู่แหล่งท่องเที่ยวนั้น ๆป้ายสูงสุดแดนสยาม ดอยอินทนนท์และนี่ก็คือ 3 แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังในบ้านเราที่มีจุดถ่ายรูปคู่กับป้ายอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปถ่ายรูป-เช็กอิน ยามเมื่อมีโอกาสไปเยือนแหล่งท่องเที่ยวนั้น ๆป้ายจุดสูงสุดแดนสยาม ดอยอินทนนท์ดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นขุนเขาที่มียอดสูงที่สุดในประเทศไทย ด้วยเหตุนี้ทางอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ผู้ดูแลพื้นที่จึงได้จัดสร้างป้าย “สูงสุดแดนสยาม” ไปติดตั้งไว้บริเวณยอดดอยสูงสุด เพื่อให้เป็นจุดถ่ายรูปเช็กอิน เมื่อขึ้นไปเยือนดอยอินทนนท์ป้ายสูงสุดแดนสยาม อีกหนึ่งจุดเช็กอินยอดฮิตของนักท่องเที่ยวป้ายสูงสุดแดนสยามเป็นป้ายไม้ที่มีทั้งภาษาไทย-อังกฤษ ระบุข้อมูลบริเวณนี้ว่า มีระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 2,565.3341 เมตร ถือเป็นหนึ่งในบ้ายของฮิตของแหล่งท่องเที่ยวป้ายเรา เพราะคนส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวดอยอินทนนท์ มักจะไม่พลาดการมาถ่ายรูปกับป้ายแห่งนี้จากป้ายสูงสุดแดนสยามจะมีเส้นทางเดินไปยัง “สถูปของพระเจ้าอินทรวิชยานนท์” เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ บุคคลสำคัญที่ทำให้ดอยแห่งนี้เปลี่ยนจากชื่อเดิมคือ “ดอยหลวง” และ “ดอยอ่างกา” มาเป็น “ดอยอินทนนท์”เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกาส่วนถ้าเดินต่อไปจะไปออกที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว แล้วข้ามถนนไปจะเป็น “เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา” ที่มีบรรยากาศดูคล้าย “ป่าโบราณ” หรือ “ป่าดึกดำบรรพ์” ที่ดูสวยงามแปลกตาด้วย “ต้นไม้ใส่เสื้อผ้า” ซึ่งมีมอสเฟินปกคลุมลำต้นกิ่งก้านอย่างหนาแน่น รวมถึงมี “ข้าวตอกฤาษี” มอสที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองไทยให้ชมกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งนี่ถือเป็นเส้นทางเดินป่าอันสวยงามและน่าทึ่งแห่งหนึ่งของเมืองไทยป้ายใต้สุดสยาม เบตงป้ายใต้สุดสยาม เบตงอำเภอเบตง จังหวัดยะลา เป็นอำเภอที่ตั้งอยู่ใต้สุดของประเทศไทย ทางภาครัฐจึงสร้างป้าย “ใต้สุดสยาม” ไว้บริเวณด่านชายแดนไทย-มาเลเซีย (รัฐเปรัค) ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองเบตงไปราว 7 กิโลเมตรป้ายใต้สุดสยามสร้างจากหินอ่อน มีตัวหนังสือและรูปแผนที่ประเทศไทยเป็นสีทอง ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดถ่ายรูปเช็กอินยอดนิยมของผู้ที่ล่องใต้ไปเที่ยวเบตง โดยมีคำกล่าวว่า “ถ้าไม่ได้มาถ่ายรูปคู่กับป้ายใต้สุดสยาม ถือได้ว่ามาไม่ถึงเบตง”ป้ายใต้สุดสยาม อีกหนึ่งจุดถ่ายรูปยอดนิยมขอิงนักท่องเที่ยวอย่างไรก็ดีบริเวณที่ตั้งป้ายใต้สุดสยามนั้น ไม่ใช่ตำแหน่งที่อยู่ใต้สุดของเมืองไทย แต่จุดที่อยู่ใต้สุดของประเทศไทยหรือจุดใต้สุดสยามจริง ๆ คือที่จุดสิ้นสุดประเทศไทย หมู่ 1 ต.ธารน้ำทิพย์ อ.เบตง ซึ่งมีการสร้าง หลักเขต 54 A ไว้เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของเบตงป้ายอักษร OK BETONGนอกจากนี้ในอำเภอเบตงยังมีจุดถ่ายรูปคู่กับป้ายเด่น ๆ ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปถ่ายรูปด้วยอีกหลายจุด อย่างเช่น ป้ายเบตงใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน หน้าอุโมงเบตงมงคลฤทธิ์ (ฝั่งสนามกีฬา) ที่มีประติมากรรมพี่ตูนยืนอยู่เคียงข้าง, ป้ายอักษรไทย-อังกฤษตัวโตของสกายวอล์คทะเลหมอกอัยเยอร์เวง, ป้ายอักษรโอเคเบตง (OK BETONG) ที่อยู่ริมทางฝั่ง (จากยะลา) ขาเข้าเมืองเบตงที่นำมาจากชื่อภาพยนตร์ รวมถึงป้ายรถยนต์ “ทะเบียนเบตง” ที่เป็นป้ายรถยนต์ให้ทะเบียนเป็นชื่ออำเภอหนึ่งเดียวในเมืองไทย เป็นต้นป้ายผู้พิชิตภูกระดึงผาหล่มสัก สัญลักษณ์แห่งภูกระดึงภูกระดึง อุทยานแห่งชาติภูกระดึง จ.เลย เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวเดินป่าขึ้นเขาระดับตำนานดาวค้างฟ้าที่ยังคงได้รับความนิยมนับจากอดีตมาจนถึงปัจจุบันภูกระดึง เป็นภูเขายอดตัดราบรูป (คล้าย) “หัวใจ” หรือ “ใบบอน”มีพื้นที่ราว 60 ตารางกิโลเมตร มีความสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 400-1,200 เมตร โดยมียอดสูงสุด ตั้งอยู่บนความสูง 1,288 เมตรจากระดับน้ำทะเลเดินเท้าขึ้นสู่ยอดภูกระดึงบนยอดภูกระดึง มีการเปิดพื้นที่บางส่วนเป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยมีสถานที่ท่องเที่ยวเด่น ๆ อาทิ ผาหล่มสัก ผานกแอ่น ผาหมากดูก ป่าสน สระอโนดาต น้ำตกต่าง ๆ เช่น น้ำตกโผนพบ เพ็ญพบ ถ้ำสอเหนือ เป็นต้นอย่างไรก็ดีการจะขึ้นสู่ยอดภูกระดึงปัจจุบันต้องเดินเท้าขึ้นเขาอย่างเดียว โดยจากจุดเริ่มต้นที่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว บ้านศรีฐาน มีระยะทางประมาณ 5.5 กิโลเมตร เดินขึ้นเขาชันผ่านซำต่าง ๆ สู่ “หลังแป” ที่เป็นจุดเหยียบสัมผัสแรกบนภูกระดึง ซึ่งต้อนรับเราด้วยป้าย “ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง”ป้ายครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง ที่หลังแปป้ายผู้พิชิตภูกระดึงป้ายนี้ที่หลังแป แม้ว่าจะเป็นป้ายธรรมดา ๆ ตามมาตรฐานทั่ว ๆ ไปของกรมอุทยานแห่งชาติฯ แต่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งป้ายในตำนานการท่องเที่ยวของบ้านเรา ทั้งยังเป็นป้ายที่มีคุณค่าทางจิตใจต่อนักท่องเที่ยวหลาย ๆ คน เพราะกว่าจะดั้นด้นเดินขึ้นเขาจากด้านล่างมาถึงหลังแปนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยป้ายครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง ที่มีคุณค่าทางจิตใจของเหล่าผู้พิชิตภูกระดึงและนี่ก็คือตัวอย่างเพียงส่วนน้อยนิดของป้ายแหล่งท่องเที่ยวในบ้านเราที่นักท่องเที่ยวนิยมไปถ่ายรูปคู่ด้วย ซึ่งในบรรดาป้ายชื่อตามสถานที่หรือแหล่งท่องต่าง ๆ ป้ายหลาย ๆ แห่งมีมากกว่าฟังก์ชั่นในการบอกชื่อสถานที่หรือบอกตำแหน่ง แต่มันยังเป็นจุดถ่ายรูปเช็กอินของนักท่องเที่ยว เป็นแลนด์มาร์ก เป็นเอกลักษณ์คู่เมือง บางป้ายก็มีคุณค่าทางจิตใจดังนั้นการจะเปลี่ยนป้ายต่าง ๆ ต้องทำด้วยความรอบคอบ อย่าทำชุ่ย ๆ และไม่ทำสนองความโว้ค หรือทำเพื่อหาเรื่องกินงบประมาณ เพราะสุดท้ายแล้วก็จะถูกสังคมก่นด่าเละเทะ แม้กระทั่งผู้แข็งแกร่งที่สุดในปฐพีก็ยังมิอาจต้านทานแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000046620
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ภาษี
30/05/2024
คุยกับกูรูเศรษฐกิจ ชี้ปัจจัยทำไมคนไทยจ่ายภาษีน้อย มองโครงสร้างมีจุดบกพร่อง อาจถึงเวลาต้องปฏิรูประบบ!ผู้อ่านทุกคนคงพอจะทราบกันเบื้องต้นอยู่แล้วว่า โดยทั่วไป 'ภาษี' เป็นสิ่งที่รัฐเรียกเก็บจากประชาชน เพื่อนำไปใช้สำหรับการพัฒนาประเทศด้านต่างๆ เช่น เศรษฐกิจ การศึกษา คมนาคม สาธารณสุข การรักษาความสงบภายในชาติ และอื่นๆ จะเห็นได้ว่า 'ภาษี' ดูจะมีข้อดีมากเลยทีเดียวแต่ข้อมูลจากรายงาน ภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี 2567 ของสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ ซึ่งทำการศึกษาเรื่อง ทัศนคติของประชาชนต่อหน้าที่การยื่นแบบฯ และการจ่ายภาษี ร่วมกับบริษัท ศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ จำกัด (SAB) พบว่าการศึกษากลุ่มตัวอย่างจำนวน 3,846 คน ทำให้ทราบว่าปี 2565 มีผู้ยื่นแบบฯ 35.7% และผู้อยู่ในเกณฑ์แต่ไม่ยื่นแบบฯ 50.5% โดยกลุ่มยื่นแบบฯ เป็นกลุ่ม Gen Y 60.0% ส่วนกลุ่มอยู่ในเกณฑ์แต่ไม่ยื่นแบบฯ กระจายอยู่ในกลุ่ม Gen X, Gen Y และ Baby Boomer จากการศึกษากลุ่มตัวอย่าง พบว่า ภาพรวมมีความรู้เกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ในระดับต่ำ ประมาณ 57.9% ไม่รู้เลยถึงรู้ระดับต่ำ อีกทั้งส่วนใหญ่มองว่า ระบบการจัดเก็บภาษีเงินได้ มีความเป็นธรรมในระดับปานกลางถึงค่อนข้างต่ำ โดย 51.7% มองว่า เป็นธรรมปานกลาง 24.1% มองว่า เป็นธรรมน้อย มีเพียงไม่ถึง 1 ใน 4 ที่เห็นว่าระบบมีความเป็นธรรมถึงมากที่สุดโดยกลุ่มที่เห็นว่าระบบไม่เป็นธรรม ระบุสาเหตุว่า ระบบตรวจสอบยังไม่ครอบคลุม, ผู้มีรายได้สูงบางกลุ่มใช้ช่องโหว่ทางกฎหมาย และเกณฑ์เงินได้ขั้นต่ำที่ต้องเสียภาษีฯ ต่ำเกินไป ทั้งนี้ 65.9% ของกลุ่มที่อยู่ในเกณฑ์แต่ไม่ยื่น ระบุว่า เต็มใจยื่นแบบฯ หากได้รับสวัสดิการที่มากขึ้นจากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้น ดูจะสอดคล้องกับความคิดเห็นของ 'ผศ.ดร.สันติ ชัยศรีสวัสดิ์สุข' คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ซึ่งเรามีโอกาสได้สนทนาถึงปัญหาของระบบภาษีไทยคนเสียภาษีน้อย เพราะได้รับการยกเว้น :บทเริ่มต้นของการสนทนาเรื่องนี้ ผศ.ดร.สันติ กล่าวว่า ภาษีที่เรากำลังจะพูดถึง คือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งเก็บจากคนที่ทำงานกินเงินเดือน คนที่ทำฟรีแลนซ์ หรือรับจ๊อบเสริมเป็นหลัก ส่วนภาษีเงินได้นิติบุคคล เก็บจากพวกบริษัทหรือห้างร้านที่ทำกำไรได้ ปัจจุบันอัตราเสียภาษีของกลุ่มนี้อยู่ที่ 20% และภาษีอีกกลุ่มหนึ่งที่ถือว่าเป็นกลุ่มใหญ่ ก็คือภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือที่เราเรียกว่า Vat เป็นภาษีที่เก็บจากสินค้าและบริการ คราวนี้ภาษีที่เรามองว่ามันเหมือนเป็นปัญหา เพราะคนเสียภาษีน้อย คือกลุ่มภาษีประเภทเงินได้บุคคลธรรมดา มีข่าวอ้างอิงกันออกมาว่า เรามีคนอยู่ในวัยทำงานตั้ง 38 ล้านคน ต้องยื่นแบบภาษีประมาณ 10 ล้านคน แต่สุดท้ายเหลือผู้ต้องจ่ายภาษีแค่ประมาณ 3-5 ล้านคน"ผมต้องเรียนว่า จริงๆ แล้วตัวเลขมันก็ประมาณนี้แหละ เพราะแม้ว่าผู้ต้องยื่นแบบจะมีถึงหลัก 10 ล้าน แต่สุดท้ายจะมีปัจจัยที่ทำให้หลายคนได้รับการยกเว้นเสียภาษี เช่น รายได้ต่ำกว่าระดับที่ต้องเสีย นอกจากนั้นยังมีอีก 2-3 ข้อ ที่เป็นเหตุได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี นี่จึงเป็นที่มาว่าทำไมประเทศไทยเหลือคนเสียภาษีน้อย"ผศ.ดร.สันติ กล่าวยกตัวอย่างว่า ผมสมมติว่าคนคนหนึ่งมีรายได้ทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 200,000 บาท ถ้านำ 12 (เดือน) ไปหาร ก็เท่ากับว่ามีรายได้ต่อเดือนประมาณ 16,000 บาท ก็เป็นกลุ่มคนเพิ่งเริ่มทำงาน เด็กจบใหม่ ซึ่งพวกเขาต้องยื่นแบบภาษี แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เสียภาษี เพราะยังอยู่ในอัตราที่ได้รับการยกเว้น ดังนั้น หากอยากให้พวกเขาเสียภาษี ก็ต้องมีมาตรการยกระดับรายได้ให้สูงขึ้นโดยโครงสร้างแล้ว ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะเสียภาษีแบบขั้นบันไดที่เรียกว่า 'อัตราก้าวหน้า' ซึ่งมีอัตราเสียสูงสุด 35% แต่ส่วนใหญ่แล้วรายได้ของคนไทยจะอยู่ในเรตที่ต้องเสีย 10% เฉลี่ยเสียภาษีต่อคนอยู่ที่ 17% ไม่เกิน 20%ปัญหาของโครงสร้างภาษี :เมื่อเราถามว่า ปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้คนไม่อยากเสียภาษี? ผศ.ดร.สันติ ได้ให้คำตอบกับเราว่า คงต้องบอกว่าความคิดคนเรามีหลากหลายต่างกันออกไป แต่โดยธรรมชาติของคนยังไงก็ไม่อยากเสียภาษี เขาอยากจะเลี่ยงกันหมด เพียงแต่ว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นเรื่องที่เลี่ยงค่อนข้างยากกว่าภาษีประเภทอื่น เพราะเงินเดือนเข้าระบบคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น การหลบเลี่ยง หรือหลีกเลี่ยงของคนกลุ่มนี้มีไม่เยอะหรอก"คราวนี้เราต้องมาดูว่า จะคุยกันเรื่องจำนวนคนเสียภาษี หรือจะดูตัวเงินที่เก็บจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หากเอาเรื่องคน ก็อย่างที่บอกไปว่า มีคนเข้าข่ายไม่เสียภาษีจำนวนมาก ทำให้มีคนเสียภาษีน้อย แต่ถ้าถามว่า เงินที่จัดเก็บจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ทำไมน้อย หรือปัจจัยใดทำให้น้อย ส่วนตัวผมไม่คิดว่ามันน้อยนะ เพราะคนที่ยื่นแบบฯ แล้วต้องเสียภาษีจริงๆ เขาเสียกันไม่น้อยหรอก"อย่างไรก็ดี อาจารย์สันติ มองว่า มี 2 ปัจจัยที่ทำให้การเก็บภาษีมีปัญหา!ผศ.ดร.สันติ ระบุถึงปัญหาแรกว่า เป็นผลสืบเนื่องจากโครงสร้างของการเก็บภาษีนิติบุคคล ซึ่งอยู่ที่ 20% จากในอดีตที่เคยเก็บ 35% แต่สมัยหนึ่งที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล คุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เขาบอกว่า ประเทศในอาเซียนเก็บภาษีนิติบุคคลต่ำกว่าประเทศไทย ทำให้ไม่มีธุรกิจไหนอยากมาตั้งในไทย ตราบใดที่เราไม่ลดภาษีนิติบุคคลลง เขาจึงเสนอนโยบาย และออกกฎหมายให้ภาษีนิติบุคคลเหลือ 20%ประเด็นเลยอยู่ตรงที่ว่า ภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลงเหลือ 20% แต่ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่ลด ทำให้คนที่ทำงานแล้วมีรายได้เพิ่มขึ้น ต้องเสียภาษีในอัตราที่ก้าวกระโดดขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อเขาอยู่ในระดับที่ต้องเสียภาษี 25% เขาก็จะเริ่มมองว่า ทำไมต้องมาเสียภาษีมากขนาดนี้ จึงเลือกไปจดทะเบียนตั้งบริษัท แล้วโอนรายได้ของตัวเองเข้าไป จะได้ไม่เสียภาษีเกิน 20%"เมื่อเป็นรูปแบบบริษัท ก็ไปหาค่าใช้จ่ายเอามาหัก ไปหาใบเสร็จนู่นนี่นั่นเยอะแยะไปหมด ในทางปฏิบัติมันคือการเลี่ยงภาษี เพราะเอารายได้ของตัวเองไปไว้ในนามบริษัท แล้วก็บอกว่าตัวเองมีรายได้นิดเดียว เพื่อเลี่ยงการเสียภาษี"กูรูด้านเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างว่า สมมติคุณมีรายได้เดือนละ 100,000 บาท เท่ากับปีหนึ่งมีรายได้ 1,200,000 บาท ถ้าเสียภาษีรายได้แบบบุคคลธรรมดา คุณก็จะโดนเยอะ เอาไปใส่ในนามบริษัทก็เสียภาษีน้อยกว่า เพราะฉะนั้น เมื่อโครงสร้างภาษีเป็นเช่นนี้ เราเลยเห็นคนที่เขารับจ้างทำจ๊อบเสริม เลือกจะไปยื่นเป็นนิติบุคคลแทน จุดนี้ทำให้จำนวนคนที่ต้องเสียภาษีน้อยลงไปอีกนิติบุคคลเสียภาษีจากกำไร :จุดที่ 2 ที่อาจารย์สันติมองว่าเป็นปัญหา เป็นสิ่งสืบเนื่องจากปัญหาแรก เพราะถ้าเป็นนิติบุคคล จะเสียภาษีจาก 'กำไร' แปลว่า สามารถหารายจ่ายมาหักได้ เช่น คนในบริษัทไปกินเลี้ยงสังสรรค์กัน ก็ไปขอใบเสร็จมายื่นตอนเสียภาษีว่า นี่เป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายของบริษัท ทำให้กำไรที่ได้ดูน้อยลง ตัดรายจ่ายที่ต้องเสียภาษีไปอีกแต่ถ้าคุณเป็นบุคคลธรรมดา เขาจะให้คุณหักแค่ค่าลดหย่อน 60,000 บาท ซึ่งค่าลดหย่อนพวกนี้ไม่ได้ปรับมาเป็นเวลานานมากแล้ว ค่าลดหย่อนที่กำหนดไว้ไม่เกิน 60,000 บาท ถามว่า ปีหนึ่งเราใช้จ่ายแค่ 60,000 บาท ตกเดือนละ 5,000 บาทหรือไม่ ก็ไม่ใช่ เพราะความเป็นจริงในแต่ละวัน เรามีค่าใช้จ่ายกันมากมาย ทั้งค่าอาหารและค่าเดินทาง ผมถึงพยายามบอกว่า ถึงเวลาที่ต้องปรับแล้ว"เปรียบเทียบง่ายๆ ค่าใช้จ่ายของคนก็เหมือนต้นทุนของบริษัท ซึ่งระบบให้บริษัทหักต้นทุนทั้งหมดได้ แล้วใช้แค่กำไรในการคิดเพื่อเสียภาษี แต่เมื่อเป็นบุคคลธรรมดา ระบบจำกัดให้ลดหย่อนแค่ 60,000 บาท ในขณะที่ค่าครองชีพถีบตัวสูงขั้น แต่ระบบยังให้ลดหย่อนเท่าเดิม แบบนี้ใครอยากจะเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา""ดังนั้น สำหรับผมไม่ใช่คนไม่รู้ว่าต้องเสียภาษี เพราะอย่างไรตามกฎหมายเขาก็ต้องเสียกันอยู่แล้ว แต่ความรู้สึกของพวกเขามองว่าแบกรับไม่ไหว และรู้สึกไม่เป็นธรรม เพราะในขณะที่ตนเองต้องเสียเต็มที่ แต่มีคนไม่ได้เสียภาษีอีกเยอะ เพราะมีช่องทางหลบเลี่ยงหรือยกเว้น" อาจารย์สันติ แสดงความคิดเห็นกับเราปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยา :หลายคนอาจจะเคยเห็นข้อความประมาณว่า ไม่อยากจ่ายภาษีเพราะรัฐสวัสดิการไม่ดี หรือไม่อยากจ่ายเพราะไทยยังมีการทุจริตให้เห็นอยู่มาก คำพูดลักษณะนี้ กูรูด้านเศรษฐศาสตร์จากนิด้า ยอมรับว่า เรื่องดังกล่าวมีผลทางจิตวิทยาผศ.ดร.สันติ ระบุว่า อย่างไรก็ตาม ในทางเศรษฐศาสตร์ เมื่อจะนำข้อมูลมาวิเคราะห์ เราจะแยกฝั่งรายได้และรายจ่ายออกจากกัน ฝั่งรายได้ของรัฐที่ไปเก็บภาษี มันเป็นหน้าที่ของคนที่ต้องจ่าย ไม่ว่ารัฐจะเอาเงินไปใช้จ่ายอย่างไร สุดท้ายคนก็ต้องเสียภาษี จะมาอ้างว่ารัฐใช้จ่ายไม่ได้เรื่อง ใช้จ่ายไม่ถูกใจ แล้วจะไม่เสียภาษีแบบนี้ก็ไม่ได้ประเด็นหรือปัจจัยข้างต้นมันเลยมีผลแค่ทางจิตวิทยา เพราะตามกฎหมายยังต้องจ่ายภาษีอยู่ดี เพียงแต่ว่าอีกมุมหนึ่งในทางจิตวิทยา ถ้ารัฐทำอะไรที่สมเหตุสมผล มีประสิทธิภาพ คนก็จะรู้สึกว่า ยอมจ่ายภาษีก็ได้ ไม่ต้องไปเลี่ยงหรือหลบ"การจะดูเรื่องประสิทธิภาพ ว่ารัฐมอบสวัสดิการให้เราได้มากแค่ไหน มันเป็นเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์ยาก เพราะต้องบอกว่า แม้สวัสดิการบางอย่างที่คุณไม่ได้ แต่ก็ยังมีกลุ่มคนที่เขาได้รับ เช่น สวัสดิการผู้สูงอายุ ที่แม้วันนี้คนวัยทำงานจะไม่ได้ แต่ในอนาคตก็อาจจะได้รับ"เศรษฐกิจดีขึ้น รัฐเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น :ภาพรวมของโครงสร้างทั้งหมดตอนนี้ ทำให้อาจารย์สันติมองว่า ถ้าจะว่ากันจริงๆ เราขาดดุลงบประมาณ แปลว่า เราเก็บภาษีได้น้อยกว่ารายจ่าย ซึ่งเราขาดดุลงบประมาณมาเป็นสิบปีแล้ว ตั้งแต่ปี 1997 ที่มีวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเป็นต้นมา ผมก็ยังไม่รู้ว่าเราเกินดุลไปกี่ปี ซึ่งทุกวันนี้เรายังต้องทำขาดดุลงบประมาณ ถ้าไปดูแผนการคลังระยะกลางของกระทรวงการคลัง เขาวางแผนไว้แล้วว่า จะต้องขาดดุลไปอีกอย่างน้อย 5 ปี "งบประมาณปี 2568 ที่เข้าสภา เพิ่งผ่านความเห็นชอบของ ครม. เราขาดดุลอีก 6-7 แสนล้าน แล้วถ้าเราต้องเป็นแบบนี้ไปอีก 5 ปี คิดง่ายๆ ว่าตัวเลขที่ต้องขาดดุลสูงถึงประมาณ 3 ล้านล้านบาท หากถามว่า สามารถลดการขาดดุลได้ไหม ก็ต้องดูว่าจะลดรายจ่ายได้หรือเปล่า การที่จะไปบอกกระทรวงต่างๆ ว่า อย่าใช้จ่ายเยอะ มันก็ทำไม่ได้ เพราะเขาต้องใช้งบ"เมื่อลดรายจ่ายไม่ได้ ก็ต้องหารายได้เพิ่ม ซึ่งวิธีก็คือต้องทำให้เศรษฐกิจโตได้อย่างน้อย 10% ถึงจะพูดได้ว่า สามารถเก็บภาษีได้มากกว่าเดิม เพราะการที่จะเก็บภาษีจากนิติบุคคล และ VAT ได้ดีขึ้นก็มาจากเศรษฐกิจโตขึ้น ส่วนภาษีรายได้บุคคลธรรมดา จะเก็บได้มากขึ้นก็ต่อเมื่อพวกเขามีเงินเดือนสูงขึ้นกูรูเศรษฐศาสตร์เลกเชอร์ข้อมูลให้ทีมข่าวฯ ฟังว่า ภาษีหลักของประเทศมี 3 ตัว คือ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยโครงสร้างแล้ว 56-58% เป็นภาษี VAT ภาษีเงินได้นิติบุคคลอันดับสอง ส่วนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอันดับ 3 ที่เหลือเป็นภาษีอื่นๆ ซึ่งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ถ้าจะพูดกันจริงๆ มันมีสัดส่วนเพียง 10% ของรายได้รัฐในกรณีของ VAT จริงๆ มันก็สามารถปรับขึ้นจาก 7% ได้ เพราะตอนที่เปลี่ยนจากภาษีการค้ามาใช้ภาษี VAT รัฐประกาศเก็บที่ 10% ไม่ใช่ 7% แต่ช่วงนั้นเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ เลยเปลี่ยนมาใช้ 7% เป็นการชั่วคราว แต่ปัจจุบันยังไม่มีการปรับกลับจนกลายเป็นถาวร แต่ครั้นตอนนี้จะให้เปลี่ยนไปเป็น 10% นักการเมืองไม่ทำหรอก เพราะเขารู้ว่ายังไงคนก็ไม่ชอบ คนต้องออกมาโวยวาย เพราะคนจะมองว่าเป็นการเพิ่มภาระให้ เลยไม่ใช่นโยบายที่นักการเมืองอยากทำ"ปัญหาภาษีมันยังมีอีกมากมาย ถึงเวลาที่กระทรวงการคลังต้องมานั่งคิดว่า จะปฏิรูประบบภาษีของเรายังไง ในมุมมองของผม การดำเนินงานระยะสั้น คือ ช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไม่ดีแบบนี้ ต้องมีการปรับโครงสร้างให้สมดุล เช่น เรื่องลดหย่อนภาษี แต่มันก็แล้วแต่กระทรวงการคลัง ส่วนการดำเนินงานระยะยาว มองว่าอาจจะต้องปรับ VAT""การเก็บภาษีได้มากหรือน้อย มันแปรตามสภาพเศรษฐกิจ ถ้าเศรษฐกิจดี บริษัทก็มีกำไร รัฐจะเก็บภาษีนิติบุคคลเพิ่มได้อัตโนมัติ อีกทั้งถ้าเศรษฐกิจดี คนมีงานทำ ได้ปรับรายได้ มีโบนัส เขาก็จะเสียภาษีเพิ่ม ต่อให้จำนวนคนเสียภาษีไม่เพิ่ม แต่รัฐยังไงก็ได้เงินเพิ่ม ดังนั้น ยังไงมันก็อยู่ที่สภาพเศรษฐกิจ"แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2789396
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
30/05/2024
ยกระดับประสบการณ์ใหม่ของนิทรรศการและการประมูลในเมืองไทยอีกครั้ง เมื่อ The Art Auction Center จับมือกับ 66 Tower พาผู้ชมออกเดินทางผ่านชั้นสตราโตสเฟียร์แห่งความคิดสร้างสรรค์และปลดปล่อยจินตนาการ ผ่านผลงานศิลปะคัดสรรถึง 127 ชิ้น ภายใต้แนวคิด “สรรพสิ่งถือกำเนิดเกิดจากแสง เมื่อแสงตกกระทบลงบนผลงาน ดวงตาจึงมองเห็น สะท้อนภาพสู่ห้วงความคิดให้ตกตะกอน ก่อนจะซึมลึกลงสู่จิตใจของผู้ชม” โดยเฉพาะ 12 ผลงานไฮไลต์จากศิลปินระดับ Old Master และศิลปินรุ่นใหม่ ที่ทำให้บรรยากาศในการประมูลลุกเป็นไฟ ท่ามกลางผู้เข้าร่วมชมนิทรรศการและการประมูลศิลปะทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ก่อนจะสิ้นสุดการประมูลด้วยยอดรวม 43 ล้านบาทถือเป็นบทพิสูจน์ความสำเร็จของวงการประมูลงานศิลปะไทยอีกครั้ง หลังจาก STRATOSPHERE ได้นำพาผู้ชมทะยานสู่จุดสูงสุดใหม่ของการแสดงออกทางศิลปะใจกลางกรุง บนชั้น 21 อาคาร 66 Tower ที่อบอวลไปด้วยคนรักงานศิลปะ ท่ามกลางการตกแต่งที่แบ่งนิทรรศการเป็น 4 โซน เพื่อสะท้อนมนต์เสน่ห์ของ 4 บรรยากาศบนท้องฟ้าในแต่ละห้วงเวลา และประดับประดาด้วยงานศิลป์ที่เข้ากับแต่ละโซนคือ Aurora Awakening (แสงแรกอันนุ่มนวลยามรุ่งอรุณ ปลุกสรรพชีวิตให้ตื่นจากการหลับใหล) Zenith Radiance (ดวงตะวันอันเจิดจ้าที่ส่องประกายสวยงามทรงพลัง พร้อมนำพาสู่การผจญภัยที่รออยู่เบื้องหน้า) Twilight Serenade (บทเพลงแห่งแสงสุดท้ายที่ขับขาน ยามตะวันลับขอบฟ้า) และ Darkness Descent (ความงดงามแห่งราตรีกาล นำพาผู้คนสู่ห้วงฝันและจินตนาการอันไม่รู้จบ)12 ไฮไลต์งานศิลปะในนิทรรศการและการประมูล “STRATOSPHERE” Art Auctionท่ามกลางผลงานศิลปะชิ้นเยี่ยมของศิลปิน Old Master และศิลปินรุ่นใหม่มาแรงของไทย หลายชิ้นจัดเป็นงานหาชมยากและเป็นของรักของหวงของเหล่านักสะสม โดยมี 12 ผลงานไฮไลต์ที่เปรียบเสมือนเพชรยอดมงกุฎของการประมูล STRATOSPHERE ที่สร้างสีสันให้คนรักงานศิลป์ร่วมประมูลกันอย่างดุเดือด ไม่ว่าจะเป็น1. กินรี ผลงานของจักรพันธุ์ โปษยกฤต ปิดประมูลที่ 4,061,750 บาท ผลงานที่เลื่องชื่อในการถ่ายทอดความงดงามของผิวพรรณที่ดูเปล่งปลั่งมีชีวิตชีวา ทั้งดวงตา ใบหน้า และสัดส่วน รังสรรค์ออกมาได้งดงามดุจเทวเนรมิต พร้อมการตัดเส้นอย่างละเมียดบนเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ที่ดูราวกับจะพลิ้วไหวได้จริงยามขยับกาย ดังภาพเขียนมีชีวิตและลมหายใจ2. State of The Subconscious 2 (ภาวะของจิตใต้สำนึก 2) ผลงานของเกียรติศักดิ์ ชานนนารถ ปิดประมูลที่ 2,669,150 บาท ผลงานแสดงภาวะของจิตใต้สำนึกผ่านตัวตนที่เป็นรูปธรรมภายนอกเหนือความเป็นจริงที่เป็นสามัญ มีความสลับซับซ้อนทางมิติ ซึ่งล้วนเป็นสัจธรรมตามธรรมชาติที่กวนจิตใต้สำนึกให้กังวลและหวาดกลัว3. Universe ผลงานของประเทือง เอมเจริญ ปิดประมูลที่ 2,321,000 บาท ผลงานลำดับแรก ๆ ในการเริ่มต้นชุด “จักรวาล” ที่มีชื่อเสียงที่สุดของศิลปิน ต่อยอดจากภาพวาดที่ได้แรงบันดาลใจจากแสงอาทิตย์ นำไปสู่การแต่งเติมเส้นสายขับเน้นรายละเอียดของสรรพสิ่งสอดประสานกันในธรรมชาติ จนเข้าตานักสะสมและได้รับความนิยมในระดับนานาชาติ4. The Met Bag ผลงานของนที อุตฤทธิ์ ปิดประมูลที่ 2,204,950 บาท ประติมากรรมรูปทรงถุงกระดาษเป็นการกระตุ้นแนวความคิดในแง่ของการมีอยู่ของศิลปะเชิงพาณิชย์ ด้วย The Metropolitan Museum of Art หรือ The Met มาเปิดร้านขายศิลปะจำลองของพิพิธภัณฑ์ที่กรุงเทพฯ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้คนที่ปรารถนาจะครอบครองผลงานของศิลปินระดับโลก อีกนัยหนึ่งเป็นการยกระดับการจำลองแบบให้กลายเป็นศิลปะชั้นสูง5. Mental Force (พลังจิต) ผลงานของประเทือง เอมเจริญ ปิดประมูลที่ 1,508,650 บาท ผลงานที่ศิลปินได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่อง “Lust of Life” หรือ “แรงปรารถนาเพื่อชีวิต” ที่ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตอาภัพของวินเซนต์ แวนโก๊ะ นำพาให้ประเทืองเบนเข็มสู่การสร้างผลงานศิลปะที่ค่อย ๆ พัฒนาจากภาพอึมครึม เศร้าหมอง สู่การนั่งมองการเปลี่ยนแปลงของแสงอาทิตย์จนเกิดแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานบรรยากาศเหนือตาเห็น6. The Dhammapada (ธรรมบท) ผลงานของถวัลย์ ดัชนี ปิดประมูลที่ 1,392,600 บาท “ธรรมบท” ถือเป็นหัวใจหลักที่สรุปคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างครอบคลุมที่สุด แสดงธรรมในรูปแบบของการอุปมาอุปไมย ผลงานแสดงให้เห็นร่างทั้งร่างอัดแน่นอยู่ในภาพ ประหนึ่งอัดแน่นอยู่ในกรอบความคิด ความเคลื่อนไหวในผลงานเป็นการย้ำเตือนให้เห็นถึงความพยายามดิ้นรนหลุดพ้นจากความชั่ว เพราะหากเรายิ่งเฉื่อยชา จิตก็จะชินชาและกลืนหายไปกับความชั่วนั้น7. ช้าง ผลงานของถวัลย์ ดัชนี ปิดประมูลที่ 1,276,550 บาท ผลงานชั้นครูของศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) พ.ศ. 2544 และบูรพศิลป์ สาขาทัศนศิลป์ พ.ศ. 25618. บิฮูหยิน ผลงานของชัยยศ จินดากุล ปิดประมูลที่ 1,044,450 บาท ศิลปินผู้หลงใหลในหุ่นกระบอกจีนและหุ่นไทยโบราณ แปรเปลี่ยนระนาบผ้าใบให้เกิดมิติทับซ้อนด้วยเส้นร่างอันขึงขัง แต่งเติมน้ำหนักขับเน้นให้ภาพหุ่นโบราณเต็มไปด้วยมนต์สะกด9. Untitled ผลงานของ Alex Face (พัชรพล แตงรื่น) ปิดประมูลที่ 986,425 บาท10. Before Despair ผลงานของ MACKCHA (ชรารัตน์ สาระอาภรณ์) ปิดประมูลที่ 928,400 บาท MACKCHA สร้าง Chalotte จากตัวตนของเธอ เพื่อเป็นภาพแทนในการแสดงมิติของอารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลาย ซับซ้อน และสร้างสรรค์ผลงานด้วยโทนสีน้ำเงิน-ขาวเป็นหลัก สอดแทรกคาแร็กเตอร์ของสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลในทุกชิ้นงาน เพื่อสื่อถึงความหลงใหลที่เธอมีให้กับท้องทะเล11. The Boy from Darkness ผลงานของ GONGKAN (กันตภน เมธีกุล) ปิดประมูลที่ 812,350 บาท ศิลปินผู้แจ้งเกิดจากมหานครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของผลงานชุด ‘Teleport’ ที่มีเอกลักษณ์และแนวคิดที่สามารถเชื่อมโยงครอบคลุมประเด็นหลากหลาย ผลงานของเขาประสบความสำเร็จอย่างสูงและขายหมดอย่างรวดเร็วในทุกครั้งที่จัดนิทรรศการ เช่นเดียวกับผลงานประติมากรรมชิ้นนี้ที่ได้จากนิทรรศการเดี่ยวครั้งแรกของ GONGKAN ที่จัดขึ้น ณ ศูนย์การค้าริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก ในปี พ.ศ. 256212. Untitled ผลงานของชาติชาย ปุยเปีย ปิดประมูลที่ 812,350 บาท ผลงานชิ้นเยี่ยมของศิลปินศิลปาธร สาขาทัศนศิลป์ พ.ศ. 2549 ที่ได้รับการตีพิมพ์ลงในหนังสือ “Chatchai is dead. If not, he should be”STRATOSPHER ยังรวบรวมผลงานศิลปะที่สร้างความประทับใจและดึงดูดให้ผู้ยกประมูลแข่งกันยกป้ายประมูลกันอย่างดุเดือด เช่น After Adam & Eve ผลงานของกิตติ นารอด, ผลงานสร้างสรรค์ด้วยเทคนิคคอลลาจสื่อผสม ของอุดมศักดิ์ กฤษณมิษ, ผลงานเหรียญ โดย ศิลป์ พีระศรี, ธ ธง ผลงานของคามิน เลิศชัยประเสริฐและ River in Gold ผลงานของนิติ วัตุยา เป็นต้นแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/celebonline/detail/9670000046462
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/05/2024
กรุงเทพฯ 30 พฤษภาคม 2567 - กองทุนเปิด เอไอเอ ยูเอส 500 อิควิตี้ ฟันด์ (AIA-US500) ซึ่งบริหารจัดการโดย บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนเอไอเอ (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับการจัดอันดับ 5 ดาว จาก Morningstar Thailand ประเภทกองทุน US EQUITY ทั้งในส่วนของผลตอบแทนโดยรวมและผลตอบแทน 3 ปี โดยกองทุนที่จะได้รับการจัดอันดับนั้นต้องมีผลตอบแทนอย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป จึงสะท้อนให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญและศักยภาพที่ยอดเยี่ยมของ บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) ในการบริหารจัดการกองทุนเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่ตรงตามความคาดหวังของผู้ถือกรมธรรม์เอไอเอ ยูนิต ลิงค์ ซึ่งวิธีการจัดอันดับนั้นใช้วิธีคำนวณเดียวกันทั่วโลก โดยมาจากค่าที่เรียกว่า Morningstar Risk Adjusted Return (MRAR) ซึ่งกองทุนที่ได้รับ Morningstar 5 ดาว คือ กองทุนที่มีค่า MRAR % Rank อยู่ในกลุ่ม Top 10%สำหรับกองทุนเปิด เอไอเอ ยูเอส 500 อิควิตี้ ฟันด์ (AIA-US500) เป็นกองทุนรวมตราสารทุน ที่ลงทุนในหน่วยลงทุนกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว (Feeder Fund) ได้แก่ กองทุน iShares Core S&P 500 ETF (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งเป็นกองทุนรวมอีทีเอฟ ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (New York Stock Exchange, NYSE Arca) ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยกองทุน iShares Core S&P 500 ETF (กองทุนหลัก) มุ่งเน้นลงทุนให้ใกล้เคียงกับการลงทุนในดัชนี S&P500 ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้เทียบวัดผลการดำเนินงานของหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 500 บริษัท ซึ่ง บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) ยังคงมุ่งมั่นอย่างยิ่งบริหารจัดการกองทุนทั้งในและต่างประเทศเพื่อให้ลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์เอไอเอ ยูนิต ลิงค์ ได้รับผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสนับสนุนให้ลูกค้ามีสุขภาพชีวิตและการเงินที่มั่นคง
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
30/05/2024
ใครกำลังวางแผน ท่องเที่ยวญี่ปุ่น ช่วงฤดูใบไม้ร่วง ไปสัมผัสกับความสวยงาม ของช่วงเวลาของใบไม้เปลี่ยนสี จากสีเขียวเป็นสีแดง ไล่สีสวยงาม ดื่มด่ำกับบรรยากาศที่เย็นสบาย พร้อมวิวทิวทัศน์ที่ตระการตาของธรรมชาติ มาดูกันว่าจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีช่วงฤดูใบไม้ร่วง มีที่ไหนน่าสนใจบ้างขอบคุณรูปภาพจาก en.japantravel.com l จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ประเทศญี่ปุ่นได้ ที่เกียวโตจุดเด่นของการชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่นขอบคุณรูปภาพจาก livejapan.com • ชมใบไม้เปลี่ยนสีของใบเมเปิ้ลเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ได้ตามสถานที่ท่องเที่ยว ทั่วประเทศญี่ปุ่น • ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ตรงกับช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ประเทศญี่ปุ่น ทำให้อากาศนั้นเย็นสบาย เป็นฤดูที่เหมาะแก่การมาเที่ยวสำหรับสายคู่รัก สุดโรแมนติก • ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็สามารถเดินทางชมความสวยงามของ ชมใบไม้เปลี่ยนสีได้ตามสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะแก่การเที่ยวช่วงฤดูใบ้ไม้ร่วง ได้เช็คลิสต์นี้ช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่น ตรงกับช่วงเวลาไหนขอบคุณรูปภาพจาก kyuhoshi.com l สถานที่ชมใบไม้แดงในญี่ปุ่น ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ของญี่ปุ่นช่วงเปลี่ยนผ่านจากฤดูร้อนที่ปกติจะให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลินกับความเขียวชอุ่มของธรรมชาติ เปลี่ยนผ่านมาสู่ ฤดูใบไม้ร่วง อากาศในญี่ปุ่นจะเริ่มมีความเย็นลงมากขึ้น เหมาะมากในการทำกิจกรรมนอกบ้าน อาทิ เดินเล่นสวนสาธารณะ ปิกนิก เที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญขึ้นชื่อ เป็นต้นช่วงฤดูใบไม้ร่วง ในญี่ปุ่น จะตรงกับเดือนกันยายน ตุลาคม และปลายเดือนพฤศจิกายน ทำให้ต้นไม้ทั้งหลายในประเทศญี่ปุ่นจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง โดยเฉพาะต้นเมเปิ้ล ที่ถือเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่มีชื่อเสียง ที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวได้ไปเพลิดเพลินกับความสวยงามของใบไม้เปลี่ยนสีนี้โดยเฉพาะเทศกาลฤดูใบไม้ร่วงที่ดีที่สุดช่วงฤดูของใบไม้ร่วงของญี่ปุ่นถือเป็นช่วงที่มีสภาพอากาศที่เหมาะแก่การจัดนิทรรศการต่างๆ ที่มีชื่อเสียง ในญี่ปุ่น และคุณจะได้สัมผัสกับประเพณีท้องถิ่นมากมาย ตามแต่ละเมืองต่างๆ ไม่ว่าจะท่องเที่ยวที่เมืองไหน รับรองว่าคุณจะได้เพลิดเพลินไปกับเทศการ จุดชมวิว ที่สวยงามมากมายช่วงนี้ขอบคุณรูปภาพจาก © NPTA (สมาคมการประชุมและการท่องเที่ยวจังหวัดนางาซากิ)1 ในเทศกาลในฤดูใบไม้ร่วงที่พลาดไม่ได้ นั่นก็คือ "เทศกาลนางาซากิคุนจิ" (Nagasaki Kunchi) จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง เทศกาลนี้จะจัดขึ้นในช่วงต้นเดือนตุลาคม จัดขึ้นเป็นเวลาถึง 3 วัน ตั้งเเต่วันที่ 7 ตุลาคม ในเทศกาลนี้คุณจะได้พบกับ อาหารประจำเทศกาลซึ่งได้แรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมที่หลากหลาย การแสดงจากกลุ่มต่างๆ ในนางาซากิ การเต้นระบำญี่ปุ่นพื้นเมืองและการเชิดมังกรตามแบบจีน ซึ่งน่ามาดูด้วยตัวเองมากๆขอบคุณรูปภาพจาก © NPTA (สมาคมการประชุมและการท่องเที่ยวจังหวัดนางาซากิ)ขอบคุณรูปภาพจาก © NPTA (สมาคมการประชุมและการท่องเที่ยวจังหวัดนางาซากิ)วิธีการเดินทาง : • จากสถานีนางาซากิ ให้นั่งรถรางไปยังป้ายรถรางสุวะจินจะ แล้วเดินเท้าต่ออีกไม่ไกลก็จะถึงบริเวณศาลเจ้ามาต่อกันที่เมือง "เกียวโต (Kyoto)"ขอบคุณรูปภาพจาก travel.mthaiขอบคุณรูปภาพจาก travel.mthaiในช่วงเวลาช่วงปลายเดือนตุลาคม ชาวเมืองเกียวโต (Kyoto) จะมีการเฉลิมฉลองเทศกาลจิไดมัตสึริ (Jidai Matsuri) ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะเทศกาลที่สำคัญของเมือง จัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงการก่อตั้งศาลเจ้าเฮอันจิงงุ โดยในเทศกาลคุณจะได้พบกับ ขบวนแห่เกี้ยวศาลเจ้ามิโกชิ (Mikoshi) ชาวบ้านทุกคนจะใส่ชุดซามูไร ต่อด้วยการแสดงดนตรีพื้นบ้าน ขบวนนี้จะแห่สิ้นสุดที่ ศาลเจ้าเฮอันจิงงุวิธีการเดินทาง : • คุณสามารถเดินทางมายังเส้นทางที่ขบวนพาเหรดจิไดมัตสึริผ่านได้โดยรถไฟ รถบัส แท็กซี่ หรือเดินเท้าจากสถานีเกียวโตเทศกาลที่สำคัญในเมืองอื่นๆ รอทุกคนไปเพลิดเพลินกับวัฒนธรรมของแต่ละเมืองมากมาย ไม่ว่าจะเป็น งานฤดูใบไม้ร่วงกินซ่า ในโตเกียว และเทศกาลโคมไฟนิฮงมัตสึ (Nihonmatsu) ในฟุกุชิมะ (Fukushima)สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ ที่เหมาะแก่การเที่ยวในฤดูใบไม้ร่วง หรือช่วงใบไม้เปลี่ยนสีมหานครโตเกียวขอบคุณรูปภาพจาก ภาพจาก cowardlion / shutterstock.comเมื่อใกล้จะสิ้นเดือนพฤศจิกายน ใบไม้จะเปลี่ยนเป็นสีแดงหรือสีเหลืองมีเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกให้มาชม ณ ที่เมืองแห่งนี้ ด้วยสภาพอากาศที่เย็นสบาย ทำให้คนญี่ปุ่นนิยมออกมาทำกิจกรรมนอกบ้านหรือปิกนิก ในตัวเมืองเกียวโต ก็มีสวนสาธารณะที่เหมาะแก่การผักผ่อนหย่อนใจมากๆ ใครไปเที่ยวช่วงเวลานี้ ก็ห้ามพลาดที่จะไปพักผ่อนกันที่นี่ขอบคุณรูปภาพจาก Takashi Images / shutterstock.com l ใบไม้เปลี่ยนสี โตเกียวไฮไลท์ที่พลาดไปไม่ได้ กับจุดชมวิวของใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามที่สุด แห่งเมืองโตเกียว ต้องที่นี่ "สวนนิคุกิเอน" หรือ "สวนพฤกษศาสตร์โคอิชิคาวะ" โดยในกลางคืนตามต้นเมเปิ้ล จะถูกประดับตกแต่งด้วยไฟต่างๆ ทำให้เห็นวิวของใบเมเปิ้ลที่เปลี่ยนเป็นสีแดง และต้นไม้ ใบไม้ที่ร่วงโรยรายตามช่วงฤดู สวยงามมากๆวิธีการเดินทาง : • สถานีที่อยู่ใกล้สวนริคุกิเอ็นมากที่สุดคือสถานีโคมาโกเมะ (Komagome) ของรถไฟ JR สายยามาโนะเตะ (Yamanote Line) ทางออกทิศใต้ (South Exit) หรือรถไฟโตเกียวเมโทร (Tokyo Metro) สายนัมโบคุ (Namboku Line) ทางออก 2 เดินไปยังประตูหน้าของสวน 7 นาที • หรือใช้สถานีเซ็งโกคุ (Sengoku) ของรถไฟโทเอ (Toei) สายมิตะ (Mita Line) เดินประมาณ 10 นาทีKlook recommend: • เดินทางเที่ยวเมืองโตเกียวแบบสุดคุ้ม จองเลย ที่นี่ • Klook Pass โตเกียว จองเลย ที่นี่ • บัตรโดยสารรถไฟสกายไลเนอร์และรถไฟใต้ดินโตเกียวแบบคอมโบ จองเลย ที่นี่เมืองเกียวโต ในภูมิภาคคันไซวัดคินคะคุจิ หรือ วัดทอง (Kinkaku-Ji)ขอบคุณรูปภาพจาก Saleshere l นักท่องเที่ยวสามารถชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงาม ได้ที่วัดคิงกะกุ (Kinkaku Ji)วัดคินคะคุจิ (Kinkaku-Ji) หรือ วัดทอง (Golden Pavilion) เป็นวัดเก่าแก่ที่สวยงาม สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวทั่วไป ซึ่งเมื่อก่อนสถานที่แห่งนี้เคยเป็นสถานที่พักตากอากาศของ โชกุน โยชิมิสึ แห่งตระกูลอาชิคางะ จากภาพยนต์อนิเมะชื่อดังเรื่อง เณรน้อยเจ้าปัญญา อิคคิวซัง การ์ตูนเรื่องโปรดสมัยเราเด็กๆ เลยขอบคุณรูปภาพจาก Saleshere l นักท่องเที่ยวสามารถชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงาม ได้ที่วัดคิงกะกุ (Kinkaku Ji)สิ่งที่พลาดไม่ได้ของวัดแห่งนี้ คือ การมาท่องเที่ยวในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ตัวอาคารที่มีสีทองรับกับแสงแดด พร้อมรายล้อมไปด้วยต้นไม้ ที่มีใบไม้แดงอย่างเพอร์เฟกซ์ ยิ่งไปกว่านั้นภาพตัววัดที่สะท้อนลงบนผิวน้ำ ก็ถือเป็นอีกจุดฮิตที่ต้องถ่ายรูปเก็บความประทับใจไว้ ซึ่งที่นี่ยังได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็น มรดกโลก ในปี ค.ศ. 1994พิกัดที่ตั้ง : https://goo.gl/maps/oXKEn8w1GJA2NzyGAวัดเอคันโดะ (Eikan-do Temple) เมืองเกียวโตขอบคุณรูปภาพจาก Paul Cuoco l gray concrete staircase near trees during daytimeขอบคุณรูปภาพจาก hitthetrailjack l a stream running through a lush green forestวัดเอคันโดะ (Eikando Temple) หรือ วัดเซ็นรินจิ (Zenrinji Temple) แห่งนี้ ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเกียวโต ใครที่มีโอกาสมาเที่ยวเกียวโต ต้องแวะที่นี่ให้ได้ เพราะเป็นสถานที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่งดงามอีกแห่งของญี่ปุ่นเลยทีเดียวเวลาทำการ: • ตอนกลางวัน: 9:00 – 17:00 น. (เข้าก่อน 16:00 น.) • ตอนกลางคืน: 17:30 – 21:00 น. (เข้าก่อน 20:30 น.)วิธีการเดินทาง : • รถไฟใต้ดินสาย Tozai Line เดินประมาณ 15 นาที เดินทางจากสถานี Kyoto ให้นั่งรถไฟสาย Karasuma Line มาที่สถานี Karasuma Oike แล้วเปลี่ยนเป็นรถไฟสาย Tozai Line มาลงที่สถานี Keageนอกจากนี้ยังมี สวนโฮโจ (Hojo) ที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงาม และจะมีความสวยงามที่สุดในช่วงฤดูใบไม้ร่วงอีกด้วย เพราะทางวัดจะจัดแสดงไฟในตอนกลางคืนให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมนั่นเองขอบคุณรูปภาพจาก Tomoko Kamishimaพิกัดที่ตั้ง : https://goo.gl/maps/z8sXxtqyASWnoRgm7วัดบิชามอนโด (Bishamon-do Temple) เกียวโตขอบคุณรูปภาพจาก uncledoctorvacationขอบคุณรูปภาพจาก uncledoctorvacationวัดบิชามอนโด (Bishamon-do Temple) เป็นวัดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาในแถบยามาชินะ (Yamashina) ของเกียวโต เป็นวัดที่ใช้สักการะ 1 ใน 7 ของ เทพเจ้าแห่งโชคลาภ คือ เทพเจ้า Bishamonten ทำให้มีผู้คนแวะวเวียนมาไม่ขาดสาย มีความเชื่อที่ว่าถ้าได้มาสักการะหรือขอพรที่นี่ จะทำให้การค้าขายเจริญรุ่งเรือง มีโชคลาภ และครอบครัวมีความสุขปลอดภัยจากอันตรายต่างๆและที่สำคัญที่ วัดบิชามอนโด มีชื่อเสียงในสถานที่เหมาะแก่การมาชมใบไม้เปลี่ยนสีในช่วงฤดูใบไม้ร่วงอีกด้วยพิกัดที่ตั้ง : https://goo.gl/maps/myFpG4aGM1GoqbX59จังหวัดอาโอโมริ ภูมิภาคโทโฮคุขอบคุณรูปภาพจาก Seiya Maeda l เที่ยวอาโอโมริ ภูมิภาคโทโฮคุในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีจังหวัดอาโอโมริ (Aomori) ภูมิภาคโทโฮคุ ตั้งอยู่เหนือสุดของเกาะฮอนชูซึ่งเป็นเกาะหลักของประเทศญี่ปุ่น และจังหวัดอโอโมรินั้นจะเข้าสู่ฤดูใบไม้เปลี่ยนสีตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายนจนถึงปลายเดือนตุลาคม โดยจะมีการเก็บเกี่ยวผลผลิตพร้อมทั้งใบไม้ก็จะมีการเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีแดง เป็นสีเหลือง ทุกคนสามารถชมใบไม้เปลี่ยนสีแดง ที่สวยงามได้ทีนี่นอกจากนี้ฤดูใบไม้เปลี่ยนสียังเป็นฤดูแห่งการเก็บเกี่ยวแอปเปิ้ลอีกด้วย เริ่มเก็บเกี่ยวตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายน จนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน นักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินกับการเที่ยวเก็บผลแอปเปิ้ลตามสวนที่อยู่ทั่วเมืองอะโอโมริ ต่อด้วย "อนเซ็นแอปเปิ้ล" ดื่มด่ำไปกับการแช่ในบ่อน้ำแร่ที่เต็มไปด้วยผลแอปเปิ้ลสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสียอดนิยมของจังหวัดอะโอโมริ (Aomori) ได้แก่ • ลำธารโออิระเซะ (Oirase Stream) • ทะเลสาบโทวาดะ (Lake Towada) • ภูเขาฮักโคดะ (Mt. Hakkoda) • สวนสาธารณะฮิโระซะกิ (Hirosaki Park) • เทือกเขาชิระคะมิซันจิ (Shirakami-sanchi Mountain Range) • อนเซ็นซุคายุ (Sukayu Onsen) • ภูเขานากาโนะ โมมิจิ (Nakano Momiji Mountain)เกาะมิยาจิมะ (Miyajima) , ฮิโรชิม่าขอบคุณรูปภาพจาก Lorenzo Lamonica l เกาะมิยาจิมะ (Miyajima) , ฮิโรชิม่า ไปชมใบไม้เปลี่ยนสีได้ที่นี่ ที่สวนโมมิจิดานิท่องเที่ยวที่ "สวนโมมิจิดานิ"เกาะมิยาจิมะขอบคุณรูปภาพจาก japanjourneysขอบคุณรูปภาพจาก japanjourneysขอบคุณรูปภาพจาก japanjourneys l เที่ยวชมใบไม้แดง ใบไม้เปลี่ยนสีเกาะมิยาจิมะ (Miyajima) เกาะนี้ได้รับสมญานามให้เป็นเกาะศักดิ์สิทธิ์ ชื่อเกาะมิยาจิมะนั้นแปลตรงตัวว่า เกาะศาลเจ้า ที่นี่มี เสาโทริอิ ตั้งอยู่กลางทะเล ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลก อีกด้วย เป็นสถานที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ น่าให้มาเที่ยวชมมากๆ เที่ยวชมใบไม้แดง ใบไม้เปลี่ยนสีขอบคุณรูปภาพจาก japanjourneysแต่สำหรับฤดูใบไม้ร่วงแบบนี้ พลาดไม่ได้ที่จะเพลิดเพลินไปกับการเดินเล่นที่ สวนโมมิจิดานิ (Momijidani) หรือที่หลายคนเรียกว่า หุบเขาเมเปิ้ล หรือ หุบเขาใบไม้แดง เชื่อว่าหลายๆคนจะต้องถูกใจวิวที่สวยงาม ณ ที่แห่งนี้ แน่นอนพิกัดที่ตั้ง :https://goo.gl/maps/pYLp2LdK59deyc4n7โมมิจิ ไคโร (Momiji Kairo) อุโมงค์ใบเมเปิ้ล ทะเลสาบคาวากุจิโกะขอบคุณรูปภาพจาก Aika Kohamaโมมิจิ ไคโร (Momiji Kairo) อุโมงค์ใบเมเปิ้ล หรือ ทางเดินสายต้นเมเปิล ที่ตั้งอยู่ในบริเวณชายฝั่งทางตอนเหนือของ ทะเลสาบคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) ซึ่งที่นี่ขึ้นชื่อและมีชื่อเสียงของสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้แดงที่สวยที่สุดโรแมนติดแห่งหนึ่ง พร้อมเเบล็กกราวน์ดเป็นภูเขาฟูจิ ทำให้ที่นี่ให้คุณได้ดื่มด่ำกับวิวสวยงามแบบขั้นสุด! ต้องมาให้ได้ขอบคุณรูปภาพ when or where l ที่เที่ยวสำหรับชมใบไม้เปลี่ยนสีได้ที่นี่ ทะเลสาบคาวากุจิโกะขอบคุณรูปภาพ when or where l ที่เที่ยวสำหรับชมใบไม้เปลี่ยนสีได้ที่นี่ ทะเลสาบคาวากุจิโกะวิธีการเดินทาง : กรุงโตเกียว - ทะเลสาบคาวากุจิโกะ • นั่งรถไฟสาย LTD. Express ที่ สถานี Shinjuku และแวะไปเปลี่ยนสายที่ สถานี Otsuki เพื่อขึ้นรถไฟขบวน Fujikyu Railway ไปยัง สถานี Kawaguchiko • สำหรับใครที่จะเดินทางด้วยรถบัส ให้ไปขึ้น Highway Bus ที่วิ่งระหว่างโตเกียว - คาวากูจิโกะ ที่ สถานี Shinjuku Expressway Bus Terminal ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที แนะนำให้ดูตารางเวลาก่อนออกเดินทางเมืองนิกโก้ (Nikko)ขอบคุณรูปภาพจาก AXP Photographyนิกโก้ (Nikko) ตั้งอยู่ในจังหวัดโทชิกิ (Tochigi) ภูมิภาคคันโต (Kanto Region) ทางทิศตะวันตกของ ประเทศญี่ปุ่น ห่างจากกรุงโตเกียวประมาณ 140 กิโลเมตร เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรมอย่างมากขอบคุณรูปภาพจาก AXP Photography l สถานที่ชมใบไม้สีแดง ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีและยังได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเมืองมรดกโลกของประเทศญี่ปุ่น และสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากถึง 12 ล้านคนต่อปีเลยทีเดียว ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญในนิกโก้จะแบ่งออกเป็น 2 โซนใหญ่ๆ คือ โซนมรดกโลก และ โซนธรรมชาติขอบคุณรูปภาพจาก AXP Photography l จุดชมใบไม้แดง ต้นเมเปิ้ล ใบแปะก๊วยทะเลสาบชูเซ็นจิ (Chūzenjiko) เป็นทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในจังหวัดโทชิกิ ตั้งอยู่ตรงตีนเขาของ ภูเขานันตาอิ เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อ 200,000 ก่อนจนเกิดเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่มีทิวทัศน์ที่สวยงาม โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ต้นไม้ทั่วทั้งเขาแห่งนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นสีสันโทนอบอุ่นสลับกับสีเขียว นักท่องเที่ยวสวนใหญ่จะนิยมไปพายเรือชมวิวที่ทะเลสาบ และท่องเที่ยวตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติเป็นระยะทาง 25 กิโลเมตรรอบๆ ทะเลเมืองโอซาก้าชมใบไม้แดง ในวันที่อากาศสดใส เย็นสบายในฤดูใบไม้ร่วง ญี่ปุ่นเมืองโอซาก้า เมื่องยอดฮิตของนักท่องเที่ยวคนไทย และยังเป็นหนึ่งในจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยที่สุดในภูมิภาคคันไซของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย โดยช่วงที่พีคที่สุดของช่วงใบไม้เปลี่ยนสี เหมาะแก่การเป็นจุดชมใบไม้แดงที่สวยที่สุดแห่งนี้ ที่โอซาก้า คือช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน – ต้นเดือนธันวาคมมองไปทางก็จะเห็นแต่ใบไม้เปลี่ยนสี เป็นสีเหลือง ส้ม แดง สลับกันไปมาสวยงามมากซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะจะเป็นจุดชมใบไม้แดง มีอะไรบ้าง ไปดูกันเลยKlook recommend : • ทัวร์เดินเที่ยวโอซาก้าครึ่งวันหรือเต็มวันแบบส่วนตัว จองเลย ที่นี่ • ทัวร์เที่ยวกลางคืนสุดพิเศษในโอซาก้า จองเลย ที่นี่ • ทัวร์เต็มวันชมปราสาทโอซาก้า, ตลาดคุโรมง, โดทงโบริ และพิพิธภัณฑ์บ้านและความเป็นอยู่ จองเลย ที่นี่ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle)ขอบคุณรูปภาพจาก SAMART BOONYANG / canva.com l ชมใบไม้แดง แปะก๊วยสีสันสวยงามจุดชมใบไม้แดง ที่เมืองโอซาก้า ที่ควรมา นั่นก็คือ ปราสาทโอซาก้า จุดแลนด์มาร์คอันดับหนึ่งที่ใครมาที่นี่แล้วไม่มาเช็คอินที่นี่ก็เหมือนมาไม่ถึง! โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเข้าฤดูใบไม้ร่วง ตัวปราสาทที่ว่ายิ่งใหญ่อลังการแล้ว พอมาอยู่ในฉากที่มีต้นแปะก๊วยและเมเปิ้ลสีเหลืองสลับแดงล้อมรอบ ก็ยิ่งดูสวยงามขึ้นไปอีก ถ่ายรูปยังไงก็สวย วิวสวยงามมากๆวิธีการเดินทาง : • นั่งรถไฟมาลงสถานี Osakajo-koen หรือ สถานี Tanimachi Yonchome แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาทีพิกัดที่ตั้ง : https://goo.gl/maps/TfNUGNFVZurqFkLq8อุทยานโฮชิดะ (Hoshida Park)ขอบคุณรูปภาพจาก osaka-info.jpมาต่อกันที่ อุทยานแห่งชาติโฮชิดะ รายล้อมด้วยหุบเขาและป่าอุดมสมบูรณ์ ที่นี่ยังเป็นอีกหนึ่งจุดไฮไลท์ จุดแลนด์มาร์กที่พลาดไม่ได้ นั่นก็คือ "สะพานแขวน โฮชิ โนะ บุรังโกะ" (Hoshi no Buranko) โดยมีความยาวกว่า 280 เมตร สูงจากพื้นดินประมาณ 50 เมตร ตั้งผ่านหุบเขา ให้เราได้เดินสูดอากาศบริสุทธิ์ไปพร้อมๆ กับดื่มด่ำความสวยงามของทะเลใบไม้สีส้มแดงรอบๆ แบบ 360 องศาขอบคุณรูปภาพจาก Visit Japan l ที่เที่ยวที่เหมาะแก่การชมใบไม้เปลี่ยนสีได้ขอบคุณรูปภาพจาก Visit Japan l ที่เที่ยวที่เหมาะแก่การชมใบไม้เปลี่ยนสีได้ขอบคุณรูปภาพจาก Visit Japan l ที่เที่ยวที่เหมาะแก่การชมใบไม้เปลี่ยนสีได้วิธีการเดินทาง : • นั่งรถไฟ Keihan สาย Katanosen มาลงที่สถานี Kisaichi แล้วเดินทะลุเส้นทางเดินป่าเข้ามาอีกประมาณ 40 นาที • นั่งรถไฟ JR สาย Gakkentoshisen มาลงที่สถานี Hoshida Station แล้วเดินทะลุเส้นทางเดินป่าเข้ามาอีกประมาณ 70 นาทีพิกัดที่ตั้ง : https://goo.gl/maps/YXxbywfNS6hCTZq2Aสวนสาธารณะไดเซ็น (Daisen Park)ขอบคุณรูปภาพจาก jnto.or.th l ชมใบไม้แดง ที่สวนสาธารณะไดเซ็นขอบคุณรูปภาพจาก Japan Kakkoii l ชมใบไม้แดง ที่สวนสาธารณะไดเซ็นสวนสาธารณะไดเซ็น จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีในโอซาก้า ที่เต็มไปด้วยความสำคัญทางประวัติศาสต์ พร้อมรายล้อมไปด้วยธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ผนวกกับความสวยงามของการจัดสวนสไตล์ญี่ปุ่น เมื่อถึงช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ทั้งสวน คุณจะได้เห็นใบไม้หลากสี สีสันสวยงามมากๆวิธีการเดินทาง : • นั่งรถไฟมาลงที่สถานี JR Mozu แล้วเดินต่ออีกประมาณ 5 นาทีKlook recommend : • บัตร JR Pass สำหรับทุกภูมิภาคในญี่ปุ่น (7, 14 หรือ 21 วัน) จองเลย ที่นี่พิกัดที่ตั้ง : https://goo.gl/maps/ctbxUjghaxSJh2z47แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1438671/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวทั่วไป
29/05/2024
ในรายงานภาวะสังคมฉบับล่าสุดของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ แนะภาครัฐเร่งกำกับดูแลอินฟลูเอ็นเซอร์ เนื่องจากคอนเทนต์ที่ไม่ได้อยู่ในการควบคุมเหล่านี้ อาจสร้างผลกระทบ ‘ทางลบ’ ต่อสังคม เช่น คอนเทนต์ ‘อวดร่ำอวดรวย’ และการแต่งภาพบุคคลให้ ‘ดูดีเกินจริง’ อาจนำไปสู่การก่อหนี้เพื่อมาซื้อสินค้าและบริการได้ทั้งนี้ อินฟลูเอ็นเซอร์ (Influencer) หมายถึงบุคคลทั่วไปที่มีอิทธิพลต่อความคิด และมีกลุ่มผู้ติดตาม (Follower) จำนวนมากโดยผลการสำรวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เกี่ยวกับ 10 อาชีพในฝันของเด็กรุ่นใหม่ในปี 2567 พบว่า อาชีพ Influencer, Streamer และ YouTuber เป็นอาชีพในฝันอันดับที่ 4 สูงกว่าทนายความ นักบิน และข้าราชการเสียอีกขณะที่ข้อมูลจาก Nielsen ระบุว่า ในปี 2565 ประเทศในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) มีจำนวนอินฟลูเอ็นเซอร์รวมกันมากถึง 13.5 ล้านคน โดยประเทศไทยมีจำนวนกว่า 2 ล้านคน เป็นอันดับ 2 รองจากประเทศอินโดนีเซีย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการเป็นช่องทางสร้างรายได้โดยมูลค่าทางการตลาดอินฟลูเอ็นเซอร์สูงถึง 19.01 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2566 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 140.33 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2573 หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 7.4 เท่า ภายใน 7 ปีอินฟลูเอ็นเซอร์อาจสร้างคอนเทนต์ทางลบต่อสังคมสภาพัฒน์ได้ออกมาเตือนว่า อินฟลูเอ็นเซอร์อาจผลิตคอนเทนต์ที่มีอิทธิพลทางลบต่อสังคมในด้านต่างๆ ตัวอย่างเช่น • การนำเสนอข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง รวมไปถึงข่าวปลอม เช่น กรณีอินฟลูเอ็นเซอร์เผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนว่า การดื่มน้ำต้มผสมข่า ตะไคร้ และใบเตย ติดต่อกัน 7 วัน และเว้น 7 วัน สามารถช่วยล้างไตและขับปัสสาวะ • การชักจูงหรือชวนเชื่อที่ผิดกฎหมาย เช่น การโฆษณาเว็บพนันออนไลน์ผ่านอินฟลูเอ็นเซอร์ • การละเมิดสิทธิ เช่น การนำเสนอข่าวอาชญากรรมราวกับละคร เพื่อสร้างความตื่นเต้นเร้าใจ แต่ไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อผู้เสียหาย ครอบครัว หรือบุคคลใกล้ชิด และการนำภาพหรือวิดีโอของผู้อื่นมาตัดต่อลงคอนเทนต์โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือไม่มีแหล่งที่มา เป็นต้น • การสร้างค่านิยมที่ผิดต่อสังคม ตัวอย่างเช่น เนื้อหาการอวดความร่ำรวยเช่น แบรนด์เนม การบริการประทับใจ ไลฟ์สไตล์ รวมทั้งการแต่งภาพบุคคลให้ดูดีเกินจริง ซึ่งอาจสร้างค่านิยมที่ผิดให้แก่เยาวชน และอาจนำไปสู่การก่อหนี้ได้ประเทศอื่นกำกับดูแลอินฟลูเอ็นเซอร์อย่างไรทั้งนี้ ในต่างประเทศเริ่มมีการออกกฎหมายเฉพาะกำกับดูแลอินฟลูเอ็นเซอร์แล้ว โดยสภาพัฒน์แนะว่า รัฐบาลไทยอาจศึกษาแนวทางการกำกับหรือการควบคุมอินฟลูเอ็นเซอร์ของรัฐบาลต่างประเทศ เพื่อนำมาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทสังคมไทย ตัวอย่างเช่นจีน • สั่งห้ามเผยแพร่เนื้อหาอวดความร่ำรวย และการใช้ชีวิตแบบกินหรูอยู่สบายเกินจริง เช่น การโชว์เงินสด รถยนต์หรูหรา และการกินอาหารแบบทิ้งขว้าง เนื่องจากเป็นการสร้างค่านิยมในทางที่ผิดต่อสังคม • โครงการรณรงค์ ‘Diligent and Thrifty’ เพื่อเน้นย้ำถึงความประหยัด และการใช้จ่ายอย่างมีเหตุผล • ยกเลิกการจัดอันดับความนิยมด้านชื่อเสียงเฉพาะบุคคล เพื่อให้ความสำคัญกับคุณภาพผลงานมากขึ้นสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) • มีการออกกฎหมายให้ผู้ที่เป็นอินฟลูเอ็นเซอร์จะต้องจดทะเบียน และได้รับใบอนุญาตจากสภาสื่อแห่งชาติ (NMC) เพื่อป้องกันการโฆษณาเนื้อหา หรือกิจกรรมที่ผิดกฎหมายบนโซเชียลมีเดียนอร์เวย์ • ออกกฎหมายกำหนดให้อินฟลูเอ็นเซอร์ต้องแจ้งรายละเอียดภาพบุคคลที่ใช้สำหรับการขายและโฆษณาสินค้าบนโซเชียลมีเดียต่อหน่วยงานรัฐ • แสดงเครื่องหมายกำกับลงบนภาพหากผ่านการปรับแต่ง เพื่อลดปัญหาความกดดันทางสังคมต่อมาตรฐานความงามที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนสหราชอาณาจักร • อยู่ระหว่างพิจารณาร่างกฎหมายสำหรับรูปภาพที่ผ่านการปรับแต่งดิจิทัล • กำหนดให้ผู้โฆษณา ผู้ผลิตสิ่งพิมพ์ รวมถึงอินฟลูเอ็นเซอร์ต้องแสดงเครื่องหมายลงบนภาพที่มีการปรับแต่งส่วนหนึ่งส่วนใดบนร่างกายกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมอินฟลูเอ็นเซอร์ในไทยสำหรับประเทศไทย แม้มีกฎหมายในการควบคุมอย่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 และ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522รวมทั้งอยู่ระหว่างพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. …. ที่มีความพยายามปรับปรุงการกำกับดูแล การนำเสนอข้อมูลให้เท่าทันสื่อในปัจจุบันแต่ยังไม่มีการกำหนดกฎระเบียบสำหรับอินฟลูเอ็นเซอร์ที่ชัดเจน นอกจากนี้ แนวทางการกำกับดูแลส่วนใหญ่เน้นไปที่การตรวจสอบและเฝ้าระวังการนำเสนอ การตักเตือน และแก้ไขสภาพัฒน์แนะว่า หากจะขยายขอบเขตการกำกับดูแลให้ครอบคลุม อาจต้องทบทวนการกำหนดนิยามของสื่อออนไลน์อย่างชัดเจน รวมถึงควรมีแนวทางการกำกับดูแลที่สอดคล้องกับการผลิตเนื้อหาของสื่อกลุ่มต่างๆเครดิตภาพปก: FG Trade / Getty Images แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ thestandardhttps://thestandard.co/influencer-content/?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTAAAR0nk4jlJrZwsrtF8jd853o9iFwxihBxcGDEBRbAh2mg--1l1s5itQofy7k_aem_ZmFrZWR1bW15MTZieXRlcw
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
29/05/2024
นายสาระ ล่ำซำ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยว่า ไตรมาสแรก ปี 2567 (มกราคม – มีนาคม) ธุรกิจประกันชีวิตมีเบี้ยประกันภัยรับรวม (Total Premium) อยู่ที่ 163,959 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 4.72 จำแนกเป็น เบี้ยประกันชีวิตรายใหม่ (New Business Premium) 45,890 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.07 และเบี้ยประกันชีวิตปีต่อไป (Renewal Year Premium) 118,068 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.79 และมีอัตราความคงอยู่ร้อยละ 83สำหรับเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ ประกอบด้วย1.) เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (First Year Premium) จำนวน 29,841 ล้านบาท เติบโตลดลงร้อยละ 3.592.) เบี้ยประกันภัยรับจ่ายครั้งเดียว (Single Premium) จำนวน 16,050 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.56เมื่อจำแนกเบี้ยประกันภัยรับรวม (Total Premium) ในช่วงไตรมาสแรก ปี 2567 แยกตามช่องทางการจำหน่าย มีรายละเอียดดังต่อไปนี้อันดับ 1 การขายผ่านตัวแทนประกันชีวิต จำนวน 78,013 ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 47.58 หรือเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.20 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมาอันดับ 2 การขายผ่านธนาคาร จำนวน 66,044 ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 40.28 หรือเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.49 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมาอันดับ 3 การขายผ่านช่องทางนายหน้า จำนวน 11,228 ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 6.85 หรือเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.90 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมาอันดับ 4 การขายผ่านช่องทางโทรศัพท์ 3,090 ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 1.88 หรือเติบโตลดลงร้อยละ 11.62 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมาอันดับ 5 การขายผ่านช่องทางดิจิทัล 313 ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 0.19 หรือเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.91 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมาอันดับ 6 การขายผ่านช่องทางไปรษณีย์ 4 ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 0.002 หรือเติบโตลดลงร้อยละ 39.79 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมาส่วนการขายผ่านช่องทางอื่นๆ (Others) เช่น การขาย Worksite การขายผ่านการออกบูธ Walk-in และ การขายผ่านร้านค้าสะดวกซื้อ เป็นต้น มีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 5,266 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.21 หรือเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.30 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมาสำหรับผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ได้รับความนิยมและมีอัตราการเติบโตในไตรมาสแรก ปี 2567 คือ สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพและคุ้มครองโรคร้ายแรง (Health และ CI) ที่มีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 32,776 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.48 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 19.99 ซึ่งหลักๆ มาจากการที่ประชาชนใส่ใจดูแลสุขภาพและเริ่มตระหนักถึงความสำคัญในการทำประกันคุ้มครองสุขภาพและประกันคุ้มครองโรคร้ายแรงมากขึ้น เพื่อบริหารความเสี่ยงและรับมือกับค่ารักษาพยาบาลที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น (Medical Inflation)ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบบำนาญ (Pension) ก็ได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นอย่างมาก ส่วนหนึ่งมาจากการที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มตัว (Aged Society) รวมถึงเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการวางแผนทางการเงินช่วงวัยเกษียณมากขึ้น โดยมีเป้าหมายหลักที่จะต้องมีเงินออมที่เพียงพอต่อการใช้จ่ายช่วงวัยเกษียณ พร้อมทั้งได้รับความคุ้มครองชีวิต และ สิทธิการลดหย่อนภาษีอีกด้วย จึงส่งผลให้ เบี้ยประกันภัยรับรวม ของ ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบบำนาญ (Pension) อยู่ที่ 2,604 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.80 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.59นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน (Unit – Linked และ Universal life) ก็ได้รับความสนใจเช่นเดียวกัน โดยมีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 8,979 ล้านบาทเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.98 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.48 ส่วนหนึ่งมาจากการที่ประชาชนเริ่มเลือกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สามารถตอบโจทย์ได้ทั้งเรื่องการลงทุนและความคุ้มครอง ที่มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการปรับลดเงินลงทุนหรือทุนประกันภัย ซึ่งตอบโจทย์เป้าหมายทั้งด้านการเงินและการบริหารความเสี่ยงในเวลาเดียวกัน นายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวในตอนท้ายแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับซีเคว้ล ออนไลน์https://www.sequelonline.com/?p=165238
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
29/05/2024
ศูนย์การค้าบลูพอร์ตหัวหิน จ.ประจวบฯ เตรียมจัดงาน “BLUPORT PRIDE CELEBRATION 2024” เพื่อร่วมฉลอง Pride Month กับทั่วโลก เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในหัวหิน โดยมุ่งเปิดกว้างแก่คนทุกเพศทุกกลุ่ม ตลอดเดือนตั้งแต่ 1-30 มิถุนายน 67ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์การค้าบลูพอร์ตหัวหิน จ.ประจวบฯ ร่วมกับบริษัท ทิพยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยหน่วยงานพันธมิตร ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เตรียมจัดงาน “BLUPORT PRIDE CELEBRATION 2024” ครั้งแรกของเมืองหัวหินอย่างยิ่งใหญ่ ตลอดเดือนมิถุนายน 2567 ซึ่งปีนี้มีความพิเศษ เพราะกิจกรรมเฉลิมฉลองเดือนแห่ง Pride ที่ถือเป็นการเปิดฤดูกาลส่วนหนึ่งในงาน Pride ของประเทศไทย พร้อมกับ Pride Month ทั่วโลกบลูพอร์ตหัวหิน ในฐานะที่เป็นสถานที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเมืองหัวหิน จึงได้จัดกิจกรรมในครั้งนี้ มุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมความเท่าเทียมสำหรับทุกคน ทำให้เกิดการยอมรับในสังคมโดยไม่คำนึงถึงรสนิยมทางเพศ หรืออัตลักษณ์ทางเพศ และเพื่อเฉลิมฉลองความหลากหลายของกลุ่ม LGBTQ+ ผ่านกิจกรรมต่างๆ ภายใน บลูพอร์ต อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวหัวหินให้เป็นจุดหมายปลายทาง สำหรับนักท่องเที่ยว LGBTQ+ กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการในเมืองหัวหินเพิ่มขึ้น และเพื่อเป็นการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศให้ได้รับการยอมรับในสังคมปัจจุบันน.ส.วจี กลมเกลี้ยง กรรมการบริหาร บริษัท หัวหิน แอสเสท จำกัด กล่าวว่า ช่วงเดือนมิถุนายนของทุกปี ในระดับนานาชาติทั่วโลก ยกให้เป็นเดือนแห่งความหลากหลายทางเพศ LGBTQ+ Pride Month และเมืองหัวหินเป็นเมืองท่องเที่ยวชายทะเล เป็นเมืองยอดนิยมที่นักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเลือกเป็นจุดหมายปลายทางในการมาพักผ่อนตากอากาศ มีชายทะเลที่สวยงาม ร้านอาหารอร่อยๆ มากมาย และยังเป็นเมืองที่ได้รวบรวมความหลากหลายทางวัฒนธรรม และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่ในแต่ละปีมีผู้คนมากมาย ล้วนเดินทางมาเยี่ยมเยือน บลูพอร์ตหัวหิน จึงได้ร่วมมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน จัดกิจกรรมนี้ขึ้นมาเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในเมืองหัวหิน แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวและทำให้คนได้รู้จักหัวหินในมุมมองต่างๆ มากยิ่งขึ้นกรรมการบริหาร บริษัท หัวหิน แอสเสท จำกัด กล่าวด้วยว่า งานครั้งนี้ยังเป็นการเปิดกว้างในเรื่องของการท่องเที่ยวให้ตอบสนองความต้องการของกลุ่มคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกรุ่น โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียม พร้อมที่จะเป็นสถานที่ที่โอบรับทุกคนจากทั่วโลกที่มีความหลายหลาก ด้วยความอบอุ่นและรอยยิ้ม สร้างซอฟต์พาวเวอร์ให้ชาวต่างชาติได้รู้จัก สร้างความประทับใจ และเผยแพร่วัฒนธรรมพร้อมสร้างสีสันแห่งความสุขมอบให้แก่ทุกคนที่มาเยือน พร้อมทั้งผลักดันให้หัวหิน เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางหลักของนักท่องเที่ยว Top LGBTQ+ Friendly Destination ต่อไปตั้งแต่วันที่ 1-30 มิถุนายน 2567 พบกับนิทรรศการแสดงผลงานศิลปะ Art of Pride และ People of Pride โดยศิลปินหลากหลายแขนงจากทั่วประเทศ ที่ลานเอเทรียม ชั้น G, วันที่ 8 มิถุนายน พิธีเปิดงานนิทรรศการ Pride Art ด้วยความร่วมมือจากองค์กร และศิลปินในท้องถิ่น ร่วมเสวนาและศิลปินในท้องถิ่น ร่วมเสวนาพูดคุยกับศิลปินชื่อดังจากหมู่บ้านศิลปินหัวหิน ความงามที่หลากหลายของกลุ่ม LGBTQ+ และถ่ายทอดออกมาเป็นงานศิลปะที่นำมาจัดแสดง พร้อมชมแฟชั่นโชว์ โดยผลงานการออกแบบจากนักศึกษามหาวิทยาลัยรังสิตสำหรับในวันที่ 29 มิถุนายน พบกับไฮไลต์สุดพิเศษ BLUPORT PRIDE PARADE 2024 ขบวนพาเหรด LGBTQIAN+ ครั้งแรกในเมืองหัวหิน จากหลากหลายองค์กร หลากหลายกลุ่มคนที่มาร่วมเฉลิมฉลองกับเทศกาล Pride Month พร้อมทั้งขบวนคาราวานรถคลาสสิก จากสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย จากหอนาฬิกาหัวหิน มุ่งหน้าสู่ลานเดอะสแควร์ ด้านหน้าบลูพอร์ตหัวหินในโอกาสนี้ จึงขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวให้มาร่วมดื่มด่ำเฉลิมฉลองกับบรรยากาศสุดพิเศษที่บลูพอร์ตหัวหิน นำมามอบให้กับทุกท่านในงาน “BLUPORT PRIDE CELEBRATION 2024” พร้อมด้วยสีสันความสนุกของกิจกรรมต่างๆ และแคมเปญส่วนลดพิเศษกับโปรโมชัน Mid-Year Sale ช้อปทำถึง เพื่อร่วมฉลอง Pride Month ไปด้วยกันกับสีสันแห่งความสนุกสุดมันส์ยาวตลอดทั้งเดือนมิถุนายนนี้ที่บลูพอร์ตหัวหิน.แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/news/local/localbusiness/2789046
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
29/05/2024
แจกพิกัด 5 สวนสาธารณะ Pet Friendly วันหยุดนี้พาเหล่าเจ้านายไปวิ่งเล่นกันเถอะหากใครที่กำลังมองหาสถานที่พักผ่อนในวันหยุด แต่ไม่อยากไปไหนไกล หรือห่างจากเจ้านาย (น้องหมา ,น้องแมว) วันนี้เรามีสวนสาธารณะที่สามารถพาสัตว์เลี้ยงเข้าได้ ทั้งในกรุงเทพและปริมณฑลมาฝากทุกคนกัน รับรองว่าครบที่สุดสำหรับไลฟ์สไตล์คนรักสัตว์ ให้เจ้าของและสัตว์เลี้ยงตัวโปรดได้พักผ่อนบนผืนหญ้าอันกว้างใหญ่ พร้อมทั้งเดินเล่นได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกลัวใครว่า จะมีที่ไหนกันบ้างนั้น ตามเรามาดูกันเลย1. สวนเบญจกิติเริ่มกันที่ สวนสาธารณะ Pet Friendly ที่แรก สวนเบญจกิติ สวนสาธารณะใจกลางกรุงที่เปิดพื้นที่ Dog Park ให้เหล่าน้องๆ แก๊งสี่ขา เข้ามาภายในสวนสาธารณะได้ (เพิ่งเปิดเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา) โดยมีข้อปฏิบัติที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด จะต้องใช้สายจูงทุกครั้งที่พาสัตว์เลี้ยงเข้ามา , ต้องได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว รวมถึงต้องลงทะเบียนการใช้บริการสวนสาธารณะสำหรับสุนัขก่อนเข้าใช้บริการ และสวนแห่งนี้ยังมีจุดให้น้ำ, ตู้ฉุกเฉิน และ Dog Toilet ให้บริการ แต่เจ้าของต้องนำถุงอึมาเองน้า • พิกัด : goo.gl/maps/iEe3j8ypiuooKXWM8 • เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ 05.00 – 21.00 น.2. สวนวัชราภิรมย์ ( BMA DOG PARK ) รามอินทรา เขตบางเขนสวนสาธารณะแห่งแรกของประเทศไทย (และในกรุงเทพฯ) ที่ได้จัดพื้นที่ให้มี Dog Park ที่แห่งนี้อยู่ใต้ทางพิเศษและทางแยกต่างระดับวัชรพล ถือได้ว่าเป็นสวนสาธารณะที่เหมาะแก่การพาสัตว์เลี้ยงมามาก ภายในสวนสาธารณะจะมีลานออกกำลังกายสำหรับสุนัขพันธุ์ เล็ก – ใหญ่ และมีจุดปล่อยสายจูงให้น้องได้วิ่งเล่นอย่างอิสระ อีกทั้งยังมีจุดให้น้ำ จุดล้างตัว นอกจากนี้ยังมีถุงเก็บอึให้บริการด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นก่อนเข้าใช้บริการต้องลงทะเบียนสุนัขกันก่อนนะ • พิกัด : goo.gl/maps/qiAkpJGUH7QPZrBR6 • เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ 07.00 – 20.00 น.3. สวนสาธารณะบึงหนองบอน เขตประเวศสวนสาธาณะบึงหนองบอน หรือ ศูนย์กีฬาทางน้ำบึงหนองบอน สถานที่แห่งนี้อยู่ติดกับสวนหลวง ร.9 ภายในสวนสาธารณะต้องบอกเลยว่ามีกิจกรรมให้ทำเยอะมาก ทั้งกีฬาทางน้ำ ฟิตเนสที่นี่ก็มีให้พร้อมเลย อีกทั้งยังมีพื้นที่ให้เราพาสัตว์เลี้ยงมาวิ่งเล่นได้ด้วยนะ ถึงแม้ว่าที่นี่จะไม่ต้องลงทะเบียนก่อนเข้าใช้บริการ แต่ก็ต้องใช้สายจูงสุนัข และช่วยกันรักษาความสะอาดด้วย • พิกัด : goo.gl/maps/CVWDRTGCX9a3RZ3cA • เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ 05.00 – 21.00 น.4. สวนเทียนทะเลพฤกษาพัฒนาภิรมย์ เขตบางขุนเทียนมาถึงฝั่งธนบุรีกันบ้าง โดยสถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ที่อยู่บนถนนบางขุนเทียนชายทะเล เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ที่นี่มีโซน Dog Park สามารถพาสุนัขเข้าได้ แต่ต้องลงทะเบียนสุนัขที่จุดคัดกรองก่อน และเจ้าของสัตว์เลี้ยงต้องเป็นสมาชิกสวนฯ ก่อน ข้างในมีพื้นที่ให้เหล่าเจ้านายทำกิจกรรมเยอะมาก ทั้งโซนฝึกสุนัข พื้นที่ทางเดินสำหรับเดิน-วิ่ง สำหรับสุนัขโดยเฉพาะ และพื้นที่บริการให้น้ำสุนัข โดยจะมีเจ้าหน้าที่ช่วยดูแลและคัดกรองสุนัขด้วย • พิกัด : goo.gl/maps/Lzuvf3kY7vQ2LfHU6 • เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ 05.00 – 21.00 น.5. สวนสาธารณะบางแคภิรมย์ปิดท้ายกันที่สวนสาธารณะบางแคภิรมย์ หรือสวนสาธารณะสำหรับสุนัข แห่งที่ 2 ของกรุงเทพ สวนสาธารณะขนาดใหญ่แห่งนี้ ตั้งอยู่ที่ซอยเพชรเกษม 69 ที่มีพื้นที่สำหรับสุนัขโดยเฉพาะ ภายในประกอบไปด้วยพื้นที่คัดกรองสุนัข ทางเดิน – วิ่ง สำหรับจูงสุนัข พร้อมกับมีจุดให้น้ำสุนัขเพื่ออำนวยความสะดวก นับว่าเป็นพื้นที่สีเขียวที่คนรักสุนัขย่านฝั่งธนต้องมากันเลย • พิกัด : goo.gl/maps/qMM4FpLwSirxhKSs6 • เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ 05.00 – 21.00 น.และทั้งหมดนี้ก็เป็นสถานที่ ที่เรานำมาแนะนำกัน หากใครที่จะพาสัตว์เลี้ยงของตนไปเที่ยว ก็อย่าลืมเช็กสุขภาพร่างกายของเหล่าเจ้านายของตัวเองด้วยนะ อีกหนึ่งอย่างเลยก็คืออย่าลืมพกอุปกรณ์ที่เพิ่มความปลอดภัยให้เหล่าเจ้านาย รวมถึงบุคคลรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นรถเข็น ปลอกคอ สายจูง และ อุปกรณ์อื่น ๆที่สำคัญ! ต้องรักษาความสะอาด ปฏิบัติตามกฎระเบียบของสถานที่นั้นๆอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยของคนรอบข้าง และหมา-แมวตัวอื่นที่มาใช้บริการ หากใครอยู่ใกล้สวนสาธารณะแถวไหน ก็ไปตามพิกัดที่เราบอกได้เลยน้าาขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก thaipost tatcontactcenter matichon thairath salehere punproแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1444075/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
17/01/2025
30/04/2024
14/06/2024
29/04/2024
29/04/2024