คลังความรู้

Everyday knowledge for you

หุ้น

หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์

29/04/2024

โดย คุณทัณฑิกา นิมิตพงษ์   บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หากพูดถึงหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ หรือที่คุ้นเคยกันดีกับชื่อเรียกภาษาอังกฤษว่า Perpetual Subordinated Bond เป็น ตราสารที่ได้รับความนิยมในหมู่นักลงทุน เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูงกว่าตราสารหนี้ประเภทอื่น อะไรทำให้หุ้นกู้ดังกล่าวเป็นที่นิยม และการลงทุนในตราสารประเภทนี้ ต้องพิจารณาเรื่องอะไรบ้าง มาหาคำตอบกันค่ะ   หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ หรือ ชื่อทางการ คือ “หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน” หุ้นกู้ประเภทนี้มาพร้อมลักษณะพิเศษที่แตกต่างไปจากหุ้นกู้ประเภทอื่น ๆ หลายประการดังนี้   1. จัดเป็นหุ้นกู้ด้อยสิทธิ จึงได้รับการชำระหนี้ในลำดับ “หลัง” จากเจ้าหนี้รายอื่น ๆ แต่มีสิทธิได้รับเงิน “ก่อน” ผู้ถือหุ้นสามัญ  ซึ่งผู้ลงทุนอาจได้รับเงินคืนทั้งหมด บางส่วน หรือไม่ได้รับคืนก็ได้   2. เนื่องจากหุ้นกู้มีลักษณะคล้ายทุน กล่าวคือไม่มีวันครบกำหนดอายุเหมือนหุ้นกู้แบบปกติ จึงมีลักษณะใกล้เคียงกับหุ้นทุน ดังนั้น จะได้รับชำระหนี้เมื่อบริษัทเลิกกิจการตามลำดับสิทธิที่ได้กล่าวไปแล้วในข้อ 1 หรือเมื่อบริษัทผู้ออกมีการไถ่ถอนหุ้นกู้ ทำให้ผู้ลงทุนจะไม่ทราบกำหนดเวลาที่แน่นอนในการได้รับเงินต้นคืนจากการลงทุนในขณะที่ถือหุ้นกู้ดังกล่าว   3. ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิในการเลื่อนชำระดอกเบี้ยพร้อมสะสมดอกเบี้ยจ่าย โดยจะไปชำระเมื่อใดก็ได้ ไม่จำกัดระยะเวลาและจำนวนครั้งในการเลื่อนจ่ายดอกเบี้ย ดังนั้น แม้ผู้ลงทุนจะได้รับดอกเบี้ยที่สูงเมื่อเทียบกับหุ้นกู้ประเภทอื่น ๆ แต่แลกมากับความไม่แน่นอนในการได้รับผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยจ่ายเหมือนกับหุ้นกู้แบบปกติ 4. กรณีผู้ออกหุ้นกู้ผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ตัวอื่น ๆ จะไม่ถือว่าผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ประเภทนี้ด้วย กล่าวคือ ไม่มีเงื่อนไขการผิดนัดไขว้ หรือ Cross-Default ซึ่งหมายถึงผู้ถือหุ้นกู้ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้ผู้ออกหุ้นกู้ชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ย นอกเหนือจากลักษณะพิเศษข้างต้นแล้ว ข้อสังเกตเพิ่มเติมที่นักลงทุนต้องพึงตระหนักเมื่อจะลงทุนในหุ้นกู้ชั่ว        นิรันดร์ มีดังนี้ 1. เนื่องจากสิทธิของตราสารด้อยกว่าตราสารประเภทอื่น  จึงทำให้อันดับความน่าเชื่อถือของตราสารมักจะต่ำกว่าอันดับ ความน่าเชื่อถือของผู้ออก หรือตราสารแบบไม่ด้อยสิทธิของผู้ออกตราสารนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น บริษัท ก. ได้รับการจัดอันดับ ความเชื่อถือที่ระดับ A- หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิของบริษัท ก. ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ A-  หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ของบริษัท ก. อันดับความน่าเชื่อถือมักจะต่ำกว่า A- เสมอ   2. หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ที่ออกและเสนอขายส่วนใหญ่ มักมีเงื่อนไขให้ผู้ออกสามารถไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนด (Call Option) ซึ่งมักจะอยู่ที่ระยะเวลา 5 ปี นับจากวันที่ออกตราสาร1 สิทธิไถ่ถอนก่อนกำหนดของผู้ออกตราสารทำให้นักลงทุนที่วางแผนลงทุนในระยะเวลาที่ยาวนานกว่า 5 ปี อาจได้รับผลตอบแทนน้อยกว่าที่คาดหวังไว้ตั้งแต่ตอนต้นเมื่อลงทุนในหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์แล้วมีการไถ่ถอนก่อนกำหนด นอกจากนี้ ราคาไถ่ถอนมักจะเท่ากับ ”มูลค่าที่ตราไว้” ของหุ้นกู้ ซึ่งอาจจะน้อยกว่าหรือมากกว่า 1 TRIS Rating พิจารณาให้หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ที่กำหนดสิทธิไถ่ถอนครั้งแรกห่างจากวันที่ออกตราสารอย่างน้อย 5 ปี มีความเป็นทุนระดับปานกลาง (Intermediate Equity Content) ซึ่งจะส่งผลให้การคำนวณอัตราส่วนทางการเงินเพื่อจัดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสาร จะนับเป็นส่วนทุน 50% และนับเป็นหนี้ 50% ในช่วง 5 ปีแรก ทำให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุนไม่สูงมากจนเกินไปเมื่อเทียบกับการออกหุ้นกู้ตามปกติ (ที่มา: https://www.trisrating.com/files/7316/2484/8515/Hybrid_28_Jun21-t.pdf) ราคาตลาดของหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ในขณะนั้น และเมื่อได้รับเงินคืน ผู้ซื้อต้องพิจารณาทางเลือกในการลงทุนใหม่ (Reinvestment) ซึ่งในขณะนั้น อาจจะหากการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนเทียบเท่ากับที่เคยคาดหวังไว้ไม่ง่ายนัก   3. ปริมาณการออกและเสนอขายหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ในตลาดตราสารหนี้ไทยยังมีน้อยมาก เมื่อเทียบกับหุ้นกู้ระยะยาวที่จดทะเบียนในตลาดตราสารหนี้ (ThaBMA)  ข้อมูล ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 พบว่ามีหุ้นกู้ระยะยาวที่จดทะเบียนใน ThaiBMA ประมาณ 4.39 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ประมาณ 0.12 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนที่น้อยกว่า 3% ของมูลค่าหุ้นกู้ระยะยาวทั้งหมด จึงทำให้การซื้อขายในตลาดรองทำได้ยาก เนื่องจากปริมาณออกเสนอขายมีต่ำ และนักลงทุนส่วนใหญ่นิยมถือครองถือในระยะยาวมากกว่านำมาขายในตลาดรอง   นักลงทุนจะเห็นได้ว่า หุ้นกู้ประเภทนี้ มีเงื่อนไขพิเศษ ดอกเบี้ยที่สูงอาจทำให้นักลงทุนให้ความสนใจลงทุน แต่ผลตอบแทนที่สูงนั้น ก็แลกมากับความเสี่ยงที่สูงกว่าหุ้นกู้ประเภทอื่นเช่นกัน ดังนั้น นักลงทุนที่เลือกลงทุนในหุ้นกู้ประเภทนี้ จึงต้องสามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับสูง และไม่มีแผนการใช้เงินจำนวนดังกล่าวในระยะสั้น เนื่องจากหุ้นกู้ประเภทนี้มักมีข้อกำหนดในการห้ามไถ่ถอนก่อน 5 ปีแรกหลังจากการออกหุ้นกู้ชนิดนี้ หากท่านเป็นผู้หนึ่งที่จะเริ่มลงทุนในหุ้นกู้ประเภทนี้ ขอให้ศึกษาและทำความเข้าใจข้อมูลของตราสาร และเงื่อนไขของตราสารนั้นๆ ก่อนการลงทุนอย่างละเอียดทุกครั้ง แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/mutualfund/detail/9670000000497?tbref=hp

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

ก.ต่างประเทศเปิดทำพาสปอร์ตทันใจ ทำแล้วได้เลยภายใน 1 วัน เริ่มต้น 1,000 บาท

29/04/2024

เพจกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ โพสต์ข้อความแจ้งเรื่องการทำพาสปอร์ตทันใจ ทำเช้าได้บ่าย จ่ายในอัตราปกติ โดยมีข้อความว่า"ของขวัญปีใหม่ 2567 จาก กระทรวงการต่างประเทศ1) พาสปอร์ตทันใจ ทำเช้า ได้บ่าย จ่ายในอัตราปกติมอบความสุขระหว่างวันที่ 2 - 12 ม.ค. 67 (ยกเว้นวันเสาร์ - วันอาทิตย์)* จำนวนจำกัด 100 คน/วัน (ทั้งผู้ที่จองคิวออนไลน์และ WALK-IN)*** ไม่ใช่การทำพาสปอร์ตฟรี แต่มีค่าธรรมเนียม 1,000 บาทสำหรับเล่ม 5 ปี และ 1,500 บาทสำหรับเล่ม 10 ปียื่นคำร้องก่อน 11.30 น. ที่กรมการกงสุล ถนนแจ้งวัฒนะ และสำนักงานหนังสือเดินทาง ฯ ทุกแห่งรอรับเล่มภายในวันเดียว เวลา 14.30 - 16.30 น. ที่กรมการกงสุล ถนนแจ้งวัฒนะ แห่งเดียว2) บริการทำพาสปอร์ตในวันเสาร์ - วันอาทิตย์ ตลอดทั้งปี   •  สำนักงานหนังสือเดินทางฯ ปทุมวัน (MBK CENTER)   •  สำนักงานหนังสือเดินทางฯ บางใหญ่ (CENTRAL WEST GATE)ทั้งในรูปแบบบูธปกติ และเครื่องทำหนังสือเดินทางด้วยตัวเอง (KIOSK)3) บริการกงสุลสัญจร "ของขวัญตลอดปี" การให้บริการหนังสือเดินทางเคลื่อนที่ในพื้นที่ต่างจังหวัดทั่วประเทศ เดือนละ 1 ครั้ง รวม 12 ครั้ง ตลอดปี 2567 เพื่อบริการประชาชนในจังหวัดที่ไม่มีสาขาสำนักงานหนังสือเดินทางตั้งอยู่4) บริการแปลเอกสารภาษาอังกฤษ (ฟรี) (จำกัดคนละ 1 เอกสาร โดยต้องเป็นเอกสารของตนเอง และเอกสารนั้นแปลเพื่อทำนิติกรณ์เอกสารเท่านั้น)ตั้งแต่วันที่ 2 - 12 ม.ค. 2567 (ยกเว้นวันเสาร์ - วันอาทิตย์) ณ กรมการกงสุล ถนนแจ้งวัฒนะ สำนักงานหนังสือเดินทางฯ ภูเก็ต , เชียงใหม่ และพัทยา5) บริการรถทะเบียนเคลื่อนที่ (BANGKOK MOBILE SERVICE) โดยกรมการกงสุลร่วมกับกรุงเทพมหานครตั้งแต่วันที่ 15 - 26 ม.ค. 2567 (ยกเว้นวันเสาร์ - วันอาทิตย์) ณ ลานจอดรถกรมการกงสุล ถนนแจ้งวัฒนะ   •  บริการทำบัตรประจำตัวประชาชนใหม่   •  บริการคัดสำเนาเอกสาร (ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ) ได้แก่ ทะเบียนบ้าน สูติบัตร และมรณบัตรสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : Call Center กรมการกงสุล 0 2572 8442แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับsanookhttps://www.sanook.com/travel/1444563/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

เสี่ยอี้“Chinese Xieyi"สุนทรียศิลป์แห่งจีนประเพณี

29/04/2024

ร่วมสมัย / ชะมวง พฤกษาถิ่น : ส่งท้ายปี 2566 กับนิทรรศการ “Chinese Xieyi" เสี่ยอี้ สุนทรียศิลป์แห่งจีนประเพณี ผลงานศิลปะร่วมสมัยจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งชาติจีนพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป กรมศิลปากร ร่วมกับพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งชาติจีน สาธารณรัฐประชาชนจีน จัดแสดงนิทรรศการ “Chinese Xieyi" เสี่ยอี้ สุนทรียศิลป์แห่งจีนประเพณี ผลงานศิลปะร่วมสมัยจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งชาติจีน เป็นนิทรรศการศิลปะครั้งสำคัญส่งท้ายปี 2566 คัดเลือกผลงานที่สร้างสรรค์อย่างยอดเยี่ยมทั้งสิ้น 63 รายการ ทั้งจิตรกรรมและประติมากรรม จากศิลปินที่มีชื่อเสียงในประเทศจีน 42 ท่าน โดยหยิบยก "เสี่ยอี้" มาเป็นหัวข้อหลักของนิทรรศการ และใช้จิตรกรรมจีนร่วมสมัย จิตรกรรมสีน้ำมัน จิตรกรรมสีน้ำ และประติมากรรม มาสร้างสรรค์เป็นเนื้อหาสำคัญเพื่อแสดงถึงจิตวิญญาณและรูปแบบเฉพาะของเสี่ยอี้ ทั้งยังสะท้อนถึงรูปแบบการสร้างสรรค์ และวิวัฒนาการร่วมสมัยของจิตวิญญาณเสี่ยอี้การจัดแสดงผลงานศิลปะจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งชาติจีนในครั้งนี้ เป็นการเผยแพร่ผลงานทัศนศิลป์ร่วมสมัยอันทรงคุณค่าของศิลปินจีนสู่สายตาประชาชนไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรก เพื่อให้ชาวไทยได้เข้าใจศิลปะร่วมสมัยของจีนได้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประตูสู่การเรียนรู้ทางด้านทัศนศิลป์ระหว่างกัน อีกทั้งยังเป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นนิทรรศการ “Chinese Xieyi" เสี่ยอี้ สุนทรียศิลป์แห่งจีนประเพณี ผลงานศิลปะร่วมสมัยจากประเทศจีน จัดแสดงอยู่เวลานี้จนถึง 18 กุมภาพันธ์ 2567 ณ อาคารนิทรรศการถาวร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ถนนเจ้าฟ้า กรุงเทพฯ วันพุธ – วันอาทิตย์ มีค่าเข้าชม พิเศษกรมศิลปากรส่งความสุขปีใหม่ เปิดให้เข้าชมฟรีถึงวันที่ 5 มกราคม 2567แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับสยามรัฐออนไลน์https://siamrath.co.th/n/503555

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมมือกับ ดีป้า (depa) เดินหน้าสนับสนุนโครงการ AIA Coding School ส่งเสริมองค์ความรู้ในการพัฒนาทักษะโค้ดดิ้ง ให้แก่เยาวชนไทยทั่วประเทศ

29/04/2024

เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ ร่วมงานแถลงข่าวโครงการ Coding for Better Life สร้างรากฐานอนาคตประเทศไทย ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า (depa) ภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อมุ่งสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่พร้อมรองรับการพัฒนาทักษะด้านโค้ดดิ้งอย่างยั่งยืนผ่านการยกระดับศูนย์การเรียนรู้ด้านโค้ดดิ้งให้แก่โรงเรียนทั่วประเทศ ควบคู่ไปกับการเสริมทักษะพร้อมสร้างความตระหนักรู้ให้แก่เยาวชน ครูผู้สอน บุคลากรการศึกษา ผู้ปกครอง และประชาชนทั่วไปผ่านหลักสูตรและกิจกรรมต่าง ๆ โดยภายในงานได้รับเกียรติจากนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ Coding for Better Life และพิธีประกาศความร่วมมือด้านการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและการยกระดับการเรียนรู้ด้านโค้ดดิ้ง รวมถึงด้านการส่งเสริมองค์ความรู้ในการพัฒนาทักษะโค้ดดิ้ง โดยมี ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) รวมไปถึงเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน คณะครู นักเรียน และผู้บริหารสถาบันการศึกษาร่วมในพิธี ณ อาคารสยามสเคป เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมาโดยในปี 2566 เอไอเอ ประเทศไทย ได้มอบเงินสนุบสนุนโครงการ AIA Coding School เพื่อส่งเสริมและพัฒนาศูนย์การเรียนรู้โค้ดดิ้ง หรือ E-Learning Center ให้แก่โรงเรียนทั่วประเทศทั้งหมด 10 แห่ง โดยหนึ่งในโรงเรียนที่ได้รับการสนับสนุนโครงการฯ ได้แก่ โรงเรียนโสตศึกษาทุ่งมหาเมฆ ซึ่งเป็นโรงเรียนที่รองรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน และทางสติปัญญา โดยภายในงานตัวแทนนักเรียนจากโรงเรียนโสตศึกษาทุ่งมหาเมฆได้ร่วมนำเสนอโครงงานสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัว ระบบช่วยชีวิตอัจฉริยะด้วย AI (Artificial Intelligence) โดยได้พัฒนาขึ้นเพื่อการช่วยเหลือผู้ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เช่น ผู้พิการ ผู้ป่วย รวมถึงผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในบ้านเพียงลำพัง โดยสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัว สามารถช่วยลดเหตุร้าย และลดระดับความรุนแรงเมื่อเกิดอุบัติเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยผลงานในครั้งนี้เป็นฝีมือการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ภายใต้โครงการ AIA Coding School ทั้งนี้ สำหรับปี 2567 เอไอเอ ประเทศไทย ยังคงเดินหน้าสนับสนุนโครงการฯ ให้แก่ 17 โรงเรียนทั่วประเทศเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นกว่า 500,000 บาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานภายใต้กลยุทธ์ ESG ของเอไอเอ ที่มุ่งมั่นพัฒนาสังคมในด้านต่าง ๆ ตลอดจนมุ่งส่งเสริมเยาวชนให้ก้าวสู่การเป็นบุคลากรดิจิทัลของประเทศในอนาคต สอดคล้องกับคำมั่นสัญญาของเอไอเอ ‘Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวทั่วไป

มากดปุ่ม “รีเซ็ท” เริ่มต้นชีวิต ในปีใหม่นี้กันเถอะ

29/04/2024

ต้องเริ่มจากเลิกใช้ชีวิตและวิธีคิดในแบบเดิมๆ เหมือนที่ผ่านมา ลองทำอะไรใหม่ๆ กับ 7 วิธีรีเซ็ทชีวิตใหม่1. JoyFul   มีความเบิกบาน สนุกสนาน  ละทิ้งความคิดและความรู้สึกที่ทำให้เรารู้สึกท้อแท้หรือเกินจะรับไหว เมื่อเรารู้ตัวว่ากำลังมีความคิดหรือความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้น ให้เตือนตัวเองว่านั่นเป็นเพียงความคิดในใจเท่านั้น แล้วหันไปสนใจอะไรที่มีประโยชน์ต่อชีวิตมากกว่าเรื่องพวกนี้ดีกว่า 2. Start New Year  เริ่มต้นสนุกไปกับเทศกาลฉลองปีใหม่ ไปเที่ยวกับเพื่อน และครอบครัว  มีความสุขอิ่มเอมไปกับกิจกรรมที่ร่วมทำด้วยกัน การอยู่กับความวิตกกังวลมากๆ จะกลายเป็นความเครียดสะสมส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเรา  3. Make friends เปิดใจมองหาเพื่อนใหม่ ๆ  ยิ่งอยู่ในวัยทำงานเราก็มักจะเจอแต่คนเดิมๆ สิ่งแวดล้อมเดิมๆ เพื่อนเก่าๆ ก็ทำงานหรือไปทำธุรกิจของตัวเอง หรือมีครอบครัวจนแทบไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย  เปิดใจหาเพื่อนใหม่ที่จะทำให้เราพบคนเจ๋ง ๆ ที่อาจกลายเป็นเพื่อนสนิทในอนาคต   ลองเลือกไปเข้าร่วมกิจกรรมสักอย่าง เช่น การเรียนทำขนม เวิร์คช็อปงานฝีมือหรืออาสาสมัครทำงานเพื่อสังคม เป็นต้น  อาจจะเปิดโลก พบเพื่อนใหม่ก็เป็นไปได้ 4. Globalization อัพเดทเทรนด์ต่างๆ ให้ทันยุค ทันสมัย เท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลง รู้จักคน รู้จักเทคโนโลยี  เพราะต้องยอมรับตอนนี้ คือยุคดิจิทัล ไม่ว่าจะวัยไหนๆ วัยเด็ก วัยรุ่น วัยเก่า ก็ต้องรู้จักเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง  เข้ามามีบทบาทในชีวิตการงาน ชีวิตความเป็นอยู่ของเรา อย่าคิดว่าเราไม่อยากรู้ ไม่อยากเรียนแล้ว ทำให้เราจะคุยกับใครไม่รู้เรื่อง 5. Health มีเงินเยอะแค่ไหนก็ซื้อสุขภาพไม่ได้ ดังนั้นการดูแลรักษาสุขภาพร่างกายของตัวเราเองอย่างถูกต้องและเหมาะสม การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การพักผ่อนอย่างเพียงพอ ดูแลสภาพจิตใจ ปรับทัศนคติความคิด รวมถึงปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตไม่ให้ทำลายสุขภาพ จะช่วยให้เรามีสุขภาพกายและใจดีขึ้น ทั้งแข็งแรงและสดใส 6. Life Long Learning  เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เสมอ สมองของมนุษย์มีไว้เพื่อคิด แก้ปัญหา สร้างสรรค์งาน ถ้าเราไม่ให้โอกาสตัวเองที่จะตั้งคำถาม สุดท้ายเราจะลงท้ายด้วยความเบื่อ ซึมเศร้า และไม่รู้จะไปทางไหนดี การเรียนรู้สิ่งใหม่จะช่วยให้สมองแก่ช้าลง ให้เซลล์สมองใหม่ได้โต ช่วยเพิ่มความคิดและทักษะความยืดหยุ่นในเชิงสร้างสรรค์  และสิ่งสำคัญทำให้เรามีความสุข สนุก กับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ  7. สุดท้ายซึ่งถือว่า สำคัญมากที่สุด คือ  การให้ความสำคัญกับสุฃภาพใจของเรา เริ่มจากการแบ่งปันความสุขให้คนอื่น ลดความเห็นแก่ตัวลง ขึ้นชื่อว่า การแบ่งปัน ไม่มีข้อกำหนด ไม่มีรูปแบบ หรือขอบเขตที่จะมากะเกณฑ์แบบตายตัว การแบ่งปันเป็นการให้ที่ผู้ให้มุ่งที่จะช่วยเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายหรือขาดแคลนให้แก่อีกฝ่ายคือ ผู้รับ  และที่สิ่งที่ผู้ให้ได้กลับคืนมา คือ ความสุขในใจนั่นเอง ผู้ให้ข้อมูล   ศ.นพ.รณชัย คงสกนต์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล BMHH - Bangkok Mental Health Hospital แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับsanookhttps://www.sanook.com/women/246449/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

วิจัยเผย แค่ 'วางแผนเที่ยว' ก็เพิ่มความสุขและบูสต์สมองให้กระฉับกระเฉงได้!

29/04/2024

นักวิทยาศาสตร์เผย แค่ "วางแผน" ทริป "ท่องเที่ยว" ก็ช่วยเพิ่มความสุขและบูสต์สมองให้กระฉับกระเฉงได้ แม้ยังไม่ได้เที่ยวจริง แต่ถ้าได้เที่ยวจริงตามแผนก็ยิ่งดี เพราะเชื่อมโยงกับความพึงพอใจ ความเห็นอกเห็นใจ และเพิ่มความคิดสร้างสรรค์   •  แค่คิด “วางแผนเที่ยว” ก็ทำให้คนเราแฮปปี้แล้ว! นักวิทยาศาสตร์เปิดเผยถึงงานวิจัยหลายชิ้นที่บ่งชี้ถึงประโยชน์ของการวางแผนท่องเที่ยวต่อสุขภาพจิต    •  การจินตนาการถึงอนาคตสามารถเป็นแหล่งของความสุขได้ หากเรารู้ว่ามีสิ่งดีๆ กำลังมา และการเดินทางก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้สึกดีอย่างยิ่ง   •  นักจิตวิทยา ชี้ การค้นหาเที่ยวบิน โรงแรม การค้นคว้าจุดหมายปลายทางล่วงหน้า ฯลฯ สิ่งเหล่านี้สามารถช่วยให้คนเรารู้สึกว่าควบคุมชีวิตตนเองได้ จึงช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลรู้หรือไม่? แค่คิด “วางแผนเที่ยว” ก็เพิ่มความสุขให้ชีวิตได้มากขึ้น นักวิทยาศาสตร์เปิดเผยถึงงานวิจัยหลายชิ้นที่บ่งชี้ถึงประโยชน์ของการวางแผนท่องเที่ยวต่อสุขภาพจิตใจของผู้คน พวกเขาค้นพบว่าการวางแผนและคาดการณ์การเดินทางนั้นเกือบจะสนุกพอๆ กับการไปเที่ยวจริง ยกตัวอย่างการศึกษาของมหาวิทยาลัย Cornell ที่เจาะลึกในหัวข้อ “การคาดหวังประสบการณ์การเดินทางจากการวางแผนท่องเที่ยว” ซึ่งมีผลวิจัยพบว่า การวางแผนเที่ยวสามารถเพิ่มความสุขของบุคคลได้มากกว่าการซื้อสิ่งของที่อยากได้เสียอีก   •  การจดจ่อกับรายละเอียด 'วางแผนเที่ยว' ส่งผลดีต่อจิตใจ“อามิต คูมาร์” อดีตหนึ่งในทีมวิจัยชิ้นดังกล่าว (ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยเท็กซัส) อธิบายว่า การจดจ่ออยู่กับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของการวางแผนการเดินทาง มีประโยชน์ในแง่การสร้างและรับรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ ซึ่งมีคุณค่าทางจิตใจมากกว่าประสบการณ์ของการซื้อและครอบครองสิ่งของต่างๆ ไม่เพียงเท่านั้น “แมทธิว คิลลิงส์เวิร์ธ” ผู้ร่วมวิจัยของคูมาร์ และปัจจุบันเป็นนักวิชาการในมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ก็ได้ให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า การวางแผนทริปท่องเที่ยวสามารถส่งเสริมการมองโลกในแง่ดีให้คนเราได้ “มนุษย์เราส่วนใหญ่มักใช้ชีวิตไปกับจินตนาการถึงอนาคต การคำนึงถึงอนาคตของคนเราสามารถเป็นแหล่งของความสุขได้ หากเรารู้ว่ามีสิ่งดีๆ กำลังมา และการเดินทางก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้สึกดีอย่างยิ่ง และทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอย” แมทธิว อธิบายมีเหตุผลหลายประการที่ทำให้ แมทธิว มองว่าการวางแผนการเดินทางสามารถสร้างความสุขและสร้างประสบการณ์เชิงบวกให้คนเราได้ ประการแรก คือ การเดินทางท่องเที่ยวมักเป็นกิจกรรมที่ใช้เวลาสั้นๆ เพียงครั้งคราว เรารู้ดีว่าการเดินทางมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดที่กำหนดไว้ จิตใจของคนเราจึงมีแนวโน้มที่จะลิ้มรสมันได้อย่างรวดเร็วตั้งแต่ก่อนที่มันจะเริ่มต้นขึ้น (แค่คิดถึงทริปนั้นก็มีความสุขแล้ว)ส่วนเหตุผลประการที่สอง ก็คือ เมื่อเริ่มวางแผนเที่ยว คนเราจะค้นหาข้อมูลและเรียนรู้เกี่ยวกับการเดินทางในทริปนั้นๆ จนรู้มากพอที่จะจินตนาการและตั้งตารอทริปนั้น แต่ก็ยังมีความแปลกใหม่และความไม่แน่นอนที่ทำให้จิตใจของเราพะวงอยู่กับมัน จนกลายเป็นว่าเราเสพความสุขจากทริปนั้นได้ทันทีที่คิดถึงมัน ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มออกเดินทางจริงด้วยซ้ำ“เมื่อเราจินตนาการถึงการกินเจลาโต้ในจัตุรัสกลางกรุงโรม หรือจินตนาการว่าได้ไปเล่นสกีน้ำกับเพื่อนๆ ที่เราไม่ค่อยได้เห็นในชีวิตประจำวันสักเท่าไหร่นัก เพียงแค่นึกถึงมันเราก็จะได้สัมผัสกับเหตุการณ์เหล่านั้นในเวอร์ชันที่เป็นภาพในใจของเราเอง ซึ่งก็สร้างความสุขได้ไม่น้อยเลย ” แมทธิว บอก   •  ในเชิงจิตวิทยา "การวางแผนเที่ยว" ทำให้คนเรารู้สึกว่าควบคุมชีวิตตนเองได้ จึงช่วยลดความเครียดลงประเด็นนี้น่าเชื่อถือมากขึ้นไปอีกเมื่อ “ดร.เอริกา แซนบอร์น” นักจิตวิทยาคลินิกผู้เชี่ยวชาญด้านความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า ซึ่งทำงานในลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา ย้ำชัดเจนว่า การวางแผนออกเดินทางท่องเที่ยวทำให้คนเรามีความสุขมากขึ้นจริง โดยในทางจิตวิทยาแล้ว การคิดวางแผนเที่ยวทำให้สมองของคนเราหลุดออกจากสภาพแวดล้อมที่ซ้ำซากจำเจของชีวิตประจำวันไปได้ชั่วขณะหนึ่ง มันจึงช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลอีกทั้งการค้นหาเที่ยวบินและโรงแรม การค้นคว้าจุดหมายปลายทางล่วงหน้า การใช้ประโยชน์จากคะแนนการเดินทางที่สะสมไว้ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้สามารถช่วยให้คนเรารู้สึกว่าควบคุมชีวิตตนเองได้และทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย จากผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์และคำอธิบายจากนักจิตวิทยาข้างต้นทำให้สรุปได้ว่า การได้เริ่มค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวและวางแผนทริปสนุกๆ ให้ตนเอง ถือเป็นกิจกรรมที่ช่วงปรับปรุงสุขภาพจิตให้ดีขึ้นได้จริง แม้ในที่สุดแล้วอาจจะได้ไปหรือไม่ได้ไปทริปนั้นก็ตาม แต่ถ้าได้ออกเดินทางตามแผนที่วางไว้จริงๆ ก็ยิ่งดีมากขึ้นไปอีก เพราะมีงานวิจัยทางจิตวิทยาจำนวนมากเช่นกันที่ระบุถึงประโยชน์ของการได้พักร้อนและการออกไปท่องเที่ยวต่างเมืองหรือต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น การท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับอารมณ์และพฤติกรรมเชิงบวก ช่วยเพิ่มโฟกัส การเอาใจใส่ ความสนใจ และความกระตือรือร้นที่มากขึ้น รวมถึงการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมต่างเมืองหรือต่างประเทศ มีส่วนช่วยให้คนเรามีความคิดสร้างสรรค์ที่เพิ่มขึ้นได้เช่นกันแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/1106004

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

“Dusk Till Dawn” งานศิลปะสร้างสรรค์ในท้องถิ่นโดยศิลปินชื่อดัง

29/04/2024

โรสวูด กรุงเทพฯ เฉลิมฉลองความคิดสร้างสรรค์และการออกแบบร่วมสมัยของเมืองหลวงที่มีชีวิตชีวาด้วยนิทรรศการศิลปะครั้งใหม่โดยศิลปินท้องถิ่นชื่อดัง อาจิณโจนาธาน อาจิณกิจ ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 7 มกราคม 2024ดิ อาร์ท แกลเลอรี่ ณ โรสวูด กรุงเทพฯ ซึ่งถูกจัดแสดงนิทรรศการหมุนเวียนโดยศิลปินทั้งในและต่างประเทศ และครั้งนี้กับ นิทรรศการ “Dusk Till Dawn” ซึ่งจะพาคุณสำรวจแนวคิดเกี่ยวกับสีที่แท้จริงภายใต้การแสดงออกของสีในแสงที่แตกต่างกัน การสร้างผลงานในเวลากลางคืนภายใต้แสงฟลูออเรสเซนต์เพื่อแยกคุณสมบัติของสีที่แตกต่างจากวิธีที่ดวงตาของมนุษย์มองเห็นสีภายใต้แสงธรรมชาติ ศิลปินใช้การทดลองการวาดภาพแบบนี้เพื่อแสดงออกถึงสีสันที่แท้จริงดังที่เห็นได้จากงานศิลปะหลากสีสันทั้ง 12 ชิ้นที่จัดแสดงที่โรสวูด กรุงเทพฯ ซึ่งสีของแต่ละชิ้นงาน จะมองเห็นแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของวันและแสงในขณะนั้น ซึ่งอาจิณโจนาธาน อาจิณกิจ มีชื่อเสียงในด้านการผสมผสานแนวความคิดเข้ากับบัญชรสีที่สดใสผ่านชิ้นงานเหล่านี้ผลงานที่โดดเด่นอีกชิ้นของอาจิณกิจ ซึ่งจัดแสดงอย่างถาวรอยู่ที่ Lakorn European Brasserie ณ ชั้น 7 ของ โรสวูด กรุงเทพฯ เป็นผลงานศิลปะ ที่มีชื่อว่า “บรรยากาศวัดไทย” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากสีสันอันโดดเด่นของวัดและแม่น้ำ โดยเน้นการใช้สีอย่างเชี่ยวชาญของเขา จนออกมาเป็นผลงานที่โดดเด่นอีกชิ้นของอาจิณกิจสัมผัสปรัชญา A Sense of Place® ของ โรสวูด ที่แสดงออกผ่านศิลปินท้องถิ่นกับ “Dusk Till Dawn” ซึ่งเปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันนี้ที่ ดิ อาร์ท แกลเลอรี่ ชั้น 3 โรงแรม โรสวูด กรุงเทพฯ วันนี้ จนถึงวันที่ 7 มกราคม 2024สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ bangkok@rosewoodhotels.comแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/celebonline/detail/9660000116390#google_vignette

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

10 ข้อควรรู้ก่อนลงทุนซื้อขายทองคำ ทองคำแท่ง ทองรูปพรรณ-

29/04/2024

ไขข้อสงสัย? 10 ข้อควรรู้ก่อนลงทุนซื้อขายทองคำ ทองคำแท่ง ทองรูปพรรณ1. ช่วงเกร็งกำไรซื้อขายทอง (ทองขึ้น-ทองลง) ทองคำมักมีราคาขึ้นตอนช่วงต้นเดือนมกราคมและเดือนกรกฏาคม และราคาจะเริ่มลงมาช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงมีนาคม  ดังนั้นหากนักลงทุนมือใหม่ต้องการเกร็งกำไรกับราคาทอง ช่วงที่ดีที่สุดในการซื้อขายทองคำนั่นก็คือช่วงเดือนมกราคม-กรกฎาคม 2. อัพเดทราคาทองคำตลอดทั้งวัน สมาคมค้าทองคำไม่ได้อัปเดตราคาทองคำตลอดเวลา จะเป็นการอัปเดตช่วงเช้าและช่วงบ่ายเท่านั้น เพราะฉะนั้นการเกร็งกำไรกับราคาทองคำถือว่ามีความเสี่ยงมาก หากพลาดไปแค่ชั่วโมงเดียวก็มีโอกาสขาดทุนได้หลายหมื่นบาทได้ 3. ทองคำคือสินทรัพย์ผันผวนและกำไรดี ทองคำถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่ใช้ในการลงทุนในช่วงที่ตลาดผันผวน ที่ให้การตอบรับที่ดีกว่าพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งจะใกล้เคียงกับหุ้นในระยะยาว ยกตัวอย่างหากถือทองคำเป็นเวลา 10-20 ปี จะมีโอกาสได้ผลตอบแทนต่อปี 5-10% 4. ทองแท่งหรือทองรูปพรรณดี? ควรซื้อทองแท่งมากกว่าทองคำที่แปรรูปแล้วเช่นทองรูปพรรณ เพราะการซื้อทองแท่งจะเสียค่ากำเหน็จต่ำกว่า นอกจากนี้ทองแท่งยังเก็บรักษาง่ายกว่าอีกด้วย 5. ทองแท่งมีมูลค่ามากกว่าก็จริง แต่ก็มีข้อเสีย ยิ่งซื้อทองที่มีมูลค่ามาก ค่ากำเหน็จจะยิ่งต่ำลง แต่ข้อเสียก็คือ หาคนซื้อต่อได้ยากเพราะไม่สามารถแบ่งขายได้ ที่สำคัญมีโอกาสเจอทองปลอมสูง เนื่องจากทองปลอมนิยมผลิตออกมาเป็นรูปแบบของทองคำแท่งเป็นส่วนใหญ่ เพื่อให้มีมูลค่ามากขึ้นนั่นเอง 6. ทองคำไม่สามารถขายได้ราคาเท่ากันทั่วโลก การนำทองคำของไทยไปขายที่ต่างประเทศนั้นจะโดนกดราคา เพราะทองคำของประเทศเรานั้นมีมาตราฐานที่แตกต่างจากต่างประเทศ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีการนำออกไปขายที่ต่างประเทศ  ยังมีการนำออกไปขายต่างประเทศอยู่บ้าง โดยส่วนมากแล้วจะแนะนำให้ไปขายกันที่ China Town ของประเทศนั้นๆ เพราะเป็นที่ที่ขายง่ายที่สุด หรือถ้าอยากนำไปขายต่างประเทศต้องเป็นแบรนด์ที่ได้รับการรองรับจาก LBMA หรือสมาคมตลาดทองคำแห่งลอนดอน 7. ทำไมทองคำของไทยโดนกดราคาที่ต่างประเทศ อย่างที่ได้กล่าวไปที่ข้อที่แล้วว่า เมื่อนำทองคำของไทยไปขายต่างประเทศจะโดนกดราคา นั่นก็เพราะว่า ทองของไทยมีความบริสุทธิ์อยู่ที่ 96.5% แต่ทองคำของต่างประเทศความบริสุทธิ์อยู่ที่ 99.99% แต่หากใครที่ต้องการนำทองคำไปขายต่างประเทศต้องเป็นแบรนด์ที่ได้รับการรับรองจาก LBMA หรือสมาคมค้าทองคำแห่งลอนดอน 8. ศึกษาหาลู่ทางใหม่ของการลงทุนทอง เราสามารถลงทุนทองคำดิจิทัลได้แล้ว จะคล้ายๆ กับการซื้อ-ขายสัญญาส่งมอบทองคำ จะมีค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่าค่ากำเหน็จเยอะ และสามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง และที่สำคัญสามารถมั่นใจได้เลยว่าทองคำที่เราลงทุนนั้นเป็นทองคำแท้แน่นอน 9. ซื้อร้านไหนขายร้านนั้น ข้อนี้สำคัญมาก แนะนำเลยว่าเมื่อเราซื้อทองจากร้านไหนก็ควรขายที่ร้านนั้น เพื่อไม่ให้เจอปัญหาการกดราคา 10. มาตรวัดน้ำหนักทองคำ ประเทศไทยใช้มาตรวัดหน่วยเป็น “บาท” 1 บาท เท่ากับน้ำหนักทองคำ 15.244 กรัม ส่วนทองคำซื้อขายกันในตลาดโลกใช้หน่วยเป็น “ออนซ์” 1 ออนซ์ เท่ากับน้ำหนักทองคำ 31.103 กรัม การแปลงหน่วยวัดที่แตกต่างกัน ใช้วิธีคำนวณตามสัดส่วนและอิงอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ข้อมูลอ้างอิงจาก : gcap, finnomena, aurora แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ amarintvhttps://www.amarintv.com/news/detail/201164

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันควบการลงทุน

“ประกันควบการลงทุน”...ดีอย่างไร?

29/04/2024

ปัจจุบันการซื้อ “ประกันควบการลงทุน” เป็นที่แพร่หลายในเมืองไทยมากขึ้น เรามาสำรวจและทำความรู้จักในส่วนของแบบประกันนี้เพื่อให้มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อนการตัดสินใจซื้อ“ถ้าจะถามว่าใครเหมาะกับแบบประกันควบการลงทุนนี้ ต้องดูถึงเป้าหมายและสถานะว่าคนๆ นั้น มีภาระมากเพียงใด แต่จริงๆ แล้วความโดดเด่นของแบบประกันควบการลงทุนนี้ มันคือการเก็บออม ประกัน และ ลงทุน ในหนึ่งเดียว เปรียบเสมือนเป็นกาแฟ 3 in 1 ที่กลมกล่อม เพราะข้อดีก็มีหลายด้าน แต่ก็มีข้อพึงระวังก่อนตัดสินใจซื้อเช่นเดียวกัน”“จุดเด่น” ที่เป็นประโยชน์สำหรับแบบ “ประกันควบการลงทุน”1. ได้ทุนประกันสูงตั้งแต่เริ่มออม เหมาะสำหรับหัวหน้าครอบครัว หรือคนที่มีภาระต่างๆ เพราะเป็นแบบเดียวที่ได้ทุนประกันสูงมากถึง 280 เท่า หรือ 300 เท่า ในบางบริษัทและบางอายุ เมื่อเทียบกับเบี้ยประกันที่ส่งเป็นรายปี2. ความยืดหยุ่นในกรมธรรม์สูง หมายความว่า ในอนาคตหากเกิดเหตุฉุกเฉินไม่สามารถจ่ายเบี้ยประกันในบางช่วงได้ สามารถใช้ “สิทธิ์หยุดพักชำระ” หรือ “Premium Holiday” โดยที่ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยเหมือนกับกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบรายสามัญทั่วไป3. ออมเป็นรายเดือนได้ด้วยเบี้ยประกันที่เท่ากับรายปี มนุษย์เงินเดือนทุกคนสามารถเริ่มต้นเก็บออม ลงทุน และยังได้ทุนประกันชีวิตด้วย4. เงินก้อนสามารถแปลงร่างเป็นเงินฉุกเฉินในอนาคตได้ ในส่วนของมูลค่า Account Value ที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีจากทั้งผลตอบแทนจากการลงทุน หากเกิดเป็นโรคร้ายแรง หรือต้องการใช้เงินก้อนฉุกเฉิน สามารถถอนในส่วน Account Value นี้ออกไปได้ และยังคงได้รับความคุ้มครองชีวิตตามเดิมหากมูลค่า Account Value ที่เหลือยังคงเพียงพอจ่ายค่าใช้จ่ายรายเดือนต่อไป5. ยามเกษียณก็สามารถทยอยถอนเงินออกมาใช้ได้ โดยถอนออกจากมูลค่าบัญชีกรมธรรม์ที่สะสมมา ตามเป้าประสงค์ที่ต้องการในอนาคต เช่น ต้องการได้เงินก้อนบำเหน็จ หรือต้องการถอนเงินเป็นแบบรายได้ประจำทุกเดือน หรือต้องการถอนมาเพื่อจ่ายค่าเบี้ยประกันสุขภาพหลังเกษียณ ก็สามารถเลือกได้เอง6. สามารถแนบสัญญาเพิ่มเติม สุขภาพ โรคร้ายแรง หรือทุพพลภาพ ที่เป็นการจ่ายเบี้ยคงที่ไปในแบบประกันควบการลงทุนได้ ซึ่งข้อดีคือเลือกจำนวนปีที่ต้องการจ่ายเบี้ยได้ และเลือกจำนวนปีที่ต้องการให้คุ้มครองได้ เช่น ออมเงิน 15 ปี แต่สามารถคุ้มครองชีวิต สุขภาพ โรคร้ายแรงและทุพพลภาพไปได้จนอายุ 70 ปี เป็นต้น7. ในหลายๆ ที่มีโบนัสให้หากออมอย่างต่อเนื่องทุกเดือนไม่ขาด ทำให้ได้รับโบนัสอีกก้อนจากการลงทุนในแบบประกันควบการลงทุน ซึ่งขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบริษัท ทั้งนี้ถือเป็นการเพิ่มวินัยการออมให้เราลงทุนแบบต่อเนื่อง8. ท่านสามารถนำเอาแบบประกันควบการลงทุนเป็นหนึ่งในการจัดการความเสี่ยงตามแผนการเงินได้ ในส่วนของความคุ้มครองด้านต่างๆ เงินที่สะสมในส่วนของการลงทุนหลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว สามารถแปรเปลี่ยนเป็นเงินก้อนในรูปแบบต่างๆ ในเวลาที่ต้องการมากที่สุด เช่น เราอาจจะใช้สิทธิ์เลือกถอนเงินจาก Account Value เป็นเงินก้อน หากเราเป็นโรคร้ายแรงเพื่อนำมารักษาตัว และเก็บเงินอีกส่วนหนึ่งเอาไว้ให้เพียงพอจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ รายเดือนต่อไป ซึ่งหากต่อมาเกิดเสียชีวิตก็ยังได้ทุนประกันชีวิตตามเดิมส่งต่อให้ผู้รับประโยชน์ตามเจตนาของผู้เอาประกัน9. สามารถนำเอาค่าใช้จ่ายในส่วนต่างๆ ไปลดภาษีได้ เช่น ค่า Premium Charge ค่าการประกันภัย ค่าบริหารและจัดสรรกรมธรรม์แบบรายเดือน ได้ในทุกๆ ปี ตลอดการถือสัญญาประกันชีวิตควบการลงทุน ซึ่งหากเราหยุดชำระเบี้ยแล้ว แต่ยังคงมีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราสามารถนำเอารายจ่ายส่วนนี้ไปลดหย่อนภาษีในอนาคต โดยที่ไม่ต้องชำระเบี้ยอีกต่อไป10. สามารถเลือกจำนวนปีที่ต้องการชำระเบี้ยได้ และเลือกจำนวนปีที่ต้องการให้คุ้มครอง ตามความเหมาะสมและจำเป็นในแต่ละช่วงชีวิตในอนาคต หากมีการปรับเปลี่ยนเป้าหมายทางการเงิน สามารถเลือกได้ตามความเหมาะสม เช่น เลือกจำนวนปีที่ต้องการคุ้มครองยาวไปจนถึงอายุ 60 ปี หากไม่เกิดอะไรขึ้น ก็สามารถเลือกรับเป็นเงินก้อนบำเหน็จในวัย 60 ปี“สามารถ ‘เพิ่ม’ หรือ ‘ลด’ ทุนประกันชีวิตได้ในอนาคต เช่นในช่วงวัยเริ่มต้นทำงาน ช่วงการเป็นหัวหน้าครอบครัว จะมีภาระเยอะ ไม่ว่าจะเป็นหนี้สินต่างๆ หนี้บ้าน หนี้รถ หรือทุนการศึกษาบุตรหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปอีกสัก 20 ปี ภาระเหล่านี้ก็ลดลง ลูกเรียนจบทำงานแล้ว หัวหน้าครอบครัวก็สามารถลดทุนประกันชีวิตตามภาระที่ลดลงได้”คนที่เหมาะกับแบบ “ประกันควบการลงทุน” คือคนวัยเริ่มต้นทำงาน ที่ต้องการทั้งเก็บออม ประกัน ลงทุน ไปพร้อมๆ กัน และด้วย “ข้อดี” ที่สามารถทยอยออมเป็นรายเดือนได้ โดยที่ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยเหมือนประกันชีวิตแบบรายสามัญธรรมดาทั่วไป การจ่ายเบี้ยรายเดือนหรืออาจจะมองในอีกมุมเป็นการลงทุนแบบ DCA (Dollar Cost Average) หรือแบบกระจายเงินลงทุนแบบสม่ำเสมอ เพื่อให้กระจายความเสี่ยงไปในการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง ในทุกๆ เดือน สร้างวินัยในการเก็บออมได้“ซึ่งจากข้อดีที่ควรเป็นประกันชีวิตเริ่มต้นของคนวัยทำงานที่ตอบสนองได้ครบ ทั้ง ประกันชีวิต เก็บออม และลงทุน ในบางปีที่เกิดขัดสนเรื่องการเงิน ไม่สามารถชำระเบี้ยในช่วงนั้นได้ เราก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกขอใช้สิทธิ์การหยุดพักชำระเบี้ย (Premium Holiday) โดยยังคงได้รับความคุ้มครองตามเดิม แต่ต้องศึกษาให้ดีในส่วนของเงื่อนไขในแต่ละบริษัทว่าจะกำหนดว่าขั้นต่ำของการจ่ายชำระเบี้ยในช่วงแรกนั้นกี่ปี จึงจะสามารถใช้สิทธิ์หยุดพักชำระเบี้ยนี้ได้ ความยืดหยุ่นของกรมธรรม์ประกันชีวิตควบการลงทุนเป็นทางเลือกที่ทุกคนควรศึกษาเอาไว้อย่างถ่องแท้ เพื่อจะได้ทราบถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ตนพึงมี”อย่างไรก็ดี ก็มีข้อพึงทราบและข้อควรที่พึงรู้อีกหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นตามอายุ เรื่องอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่มีความไม่แน่นอน หากตลาดผันผวนและผลตอบแทนไม่ได้เป็นไปตามที่คาดการณ์ ต้องมีการปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนอย่างไร ให้ทันกับสถานการณ์ของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป และหัวข้อด้านอื่นๆ ดังนี้1. ค่าใช้จ่ายต่างๆ มีผลต่อแบบประกันชีวิตควบการลงทุน2. ผลตอบแทนไม่แน่นอนตามความผันผวนของตลาด3. แผนต้องมีการปรับตามภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป4. จำนวนปีที่ต้องการให้คุ้มครองอาจไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้5. หากมีการแนบซื้อสัญญาเพิ่มเติมเข้าไป ต้องคำนวณถึงอัตราค่าใช้จ่ายในแต่ละปี ว่าจะคุ้มครองอยู่ได้จนถึงกี่ปี อาจมีความเสี่ยงที่คุ้มครองไปจนชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วมูลค่าบัญชีกรมธรรม์หมดในช่วงอายุ 70 กว่าๆ ก็จะทำให้หาซื้อประกันสุขภาพอื่นๆ เพิ่มเติมได้ลำบาก โดยเฉพาะหากเป็นโรคร้ายหรือโรคเรื้อรังใดๆ มาก่อนหน้า6. การซื้อประกันควบการลงทุนอาจจะไม่ได้เหมาะเป็นแผนการถอนเงินเกษียณได้ทั้งหมด เพราะในส่วนของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเมื่ออายุมากขึ้น จึงต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ด้วย เพราะหลังจากอายุ 60 ปีขึ้นไป จะมีค่าใช้จ่ายในส่วนของการประกันภัยเพิ่มขึ้น (Cost of Insurance)“ประกันควบการลงทุนจึงเหมาะกับแต่ละ Lifestyle ในแต่ละช่วง Life Stage ของชีวิต ที่จะสร้างความคุ้มครองได้มากกว่าแบบประกันทั่วไป หากต้องการวางแผนการถอนเงินเกษียณ อาจจะต้องมีการปรับทุนประกันชีวิตให้ลดลงต่ำสุด เมื่ออายุเรามากขึ้น”แล้วสรุปควรซื้อ “ประกันควบการลงทุน” หรือไม่ หรือควรซื้อแยกเป็นประกันชีวิตกับกองทุนไปเลย จริงๆ ก็ต้องตามถึงวัตถุประสงค์ในการซื้อว่ามีเป้าหมายทางการเงินด้านไหน ห่วงหรือกังวลในด้านอะไรมากที่สุด หากเป็นหัวหน้าครอบครัวต้องการทุนประกันชีวิตสูง ประกันควบการลงทุนก็เหมาะสม หากเป็นนักธุรกิจ ที่มีภาระหนี้สินสูง ต้องการทำทุนประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองภาระหนี้สินหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ก็เป็นอีกทางเลือกที่สามารถสร้างกระแสเงินสดจากทุนประกันชีวิตที่สูงได้ หรือเป็นคนโสดที่มีภาระต้องดูแลพ่อแม่ที่แก่ชราแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง พ่อแม่ก็อาจจะลำบาก ประกันควบการลงทุนก็เหมาะสม“ในวัยเริ่มต้นทำงานก็สามารถเลือก ‘ประกันควบการลงทุน’ เป็นประกันชีวิตเล่มแรก ที่ได้ทั้ง ประกัน เก็บออม และลงทุน ดังนั้นสามารถเลือกประกันควบการลงทุนเป็นทางเลือกในเริ่มต้นซื้อประกันชีวิต เพื่อให้ได้ความคุ้มครองคือค่าความสามารถในการหารายได้ที่มากพอ (Earning Ability) ด้วยการออมรายเดือนที่ไม่มากนัก”ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจซื้อ “ประกันชีวิตควบการลงทุน” ควรศึกษาให้ดีอย่างถ่องแท้ถึงลักษณะ ข้อดี ข้อเสีย จุดที่ต้องพึงระวัง เพื่อทราบถึงสิทธิประโยชน์ทั้งหมดที่พึงมี ไว้เป็นทางเลือกก็น่าจะทำให้ตอบโจทย์ได้หลากหลายมิติจากเงินก้อนเดียวที่ทยอยเก็บออมเป็นรายเดือน และก็ต้องซื้อกับ “ตัวแทนประกันชีวิต” ที่มีใบอนุญาตในการขายถูกต้องแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับwealthythaihttps://www.wealthythai.com/en/updates/wealth-management/wealth-ez/15194

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

เดินทางผ่านวันเวลาทั้งสุข เศร้า สมหวัง ผิดหวัง ตลอด 365 วัน ไปกับนิทรรศการ "Come Rain or Shine"

29/04/2024

ในวันพฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก ได้ทำการเปิดตัว "Come Rain or Shine" นิทรรศการศิลปะครั้งใหม่ล่าสุด ที่สร้างสรรค์ด้วยปลายพู่กันของศิลปินมากความสามารถทั้ง 9 ท่าน ที่จะพาท่านย้อนไปทบทวนช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งหมดของปี 2566 นี้ ไม่ว่าจะเป็น Art of Hongtae, Chickenmew, ดีใจ โกสิยพงษ์, Nut Dao, Thireq Pecko, TUNA Dunn, UnderHatDaddy, Vachboy และ วิชุดา ขันติจิตร ที่รวมตัวกันเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวและชวนให้คุณทบทวนการเดินทางในชีวิตที่ผ่านมา เฉลิมฉลองกับช่วงเวลาที่สัมผัสถึงเส้นชัย พร้อมโอบกอดช่วงเวลาที่หกล้มหรือพ่ายแพ้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการวิ่งครั้งใหม่ในปีหน้าอีกครั้งบางคนอาจวิ่งได้ถึงเส้นชัยบางคนอาจหกล้มตรงหน้าเส้นชัยบางคนอาจวิ่งได้เพียงแค่ครึ่งทางของเป้าหมายที่ตั้งไว้บางคนอาจต้องทิ้งใครสักคนไว้กลางทาง บางคนแม้ว่าจะวิ่งเท่าไรก็ไม่อาจแซงคู่แข่งได้แม้แต่เซนติเมตรเดียวและท่ามกลางบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองของเดือนธันวาคม อาจยังมีใครบางคนที่วิ่งอย่างลำพังอยู่ท่ามกลางสายฝนอยู่นิทรรศการนี้จะชวนให้คุณได้ตั้งคำถามและครุ่นคิดกับตัวเองถึงสิ่งที่เคยได้เผชิญมาในปีนี้ มีสิ่งใดที่เราทำสำเร็จไปแล้วบ้าง? มีสิ่งใดที่เรายังคงไขว่คว้าอยู่? มีคำถามไหนที่เราสามารถตอบได้? มีสิ่งไหนที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจ? หรือเราสามารถปล่อยวางกับทุกสิ่งได้สำเร็จไปแล้ว?"Come Rain or Shine" จะพาทุกท่านไปลองสัมผัสกับมุมมองของศิลปินทั้ง 9 ท่าน เผื่อคุณจะได้ลองสังเกตว่าการเดินทางอันแสนลำบากตรากตรำของคุณครั้งนี้ ไม่ได้มีแค่คุณที่เดินตากฝนมาเพียงลำพังมาสวมรองเท้าวิ่ง แล้วออกเดินทางไปด้วยกันใน "Come Rain or Shine"เปิดให้เข้าชมฟรีตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 21 มกราคม 2567 ที่ RCB Galleria 1 ชั้น 2 ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก#ComeRainOrShine#RiverCityBangkok#RiverCityContemporaryแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2750895

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X