Everyday knowledge for you
ห้องแสดงนิทรรศการ
29/04/2024
เทอร์มินอล21 เนรมิตนิทรรศการศิลปะต้อนรับปีใหม่ 2567 ในแคมเปญ The Jum x Terminal21 ชวนเช็คอินฟินจุดถ่ายรูปสุดอาร์ต ผลงานดีไซน์คาแรคเตอร์พิเศษโดยศิลปิน ป๊อป อาร์ต ไทยรุ่นใหม่นาม The Jum พร้อม 'กาชาปอง' ลุ้นของที่ระลึกสำหรับนักสะสมร่วมสนับสนุนศิลปินรุ่นใหม่ ศูนย์การค้า เทอร์มินอล21 (Terminal21) เปิดพื้นที่ให้ศิลปินคนรุ่นใหม่ได้แสดงพลังแห่งความสร้างสรรค์โดยศิลปินเบอร์แรกที่ได้รับเชิญมาร่วมคอลลาบอเรชั่นรับปีใหม่ 2567 มีชื่อว่า The Jum (เดอะ จั้ม) หรือ จั้ม - ณภัทร จงจิตต์โพธา ศิลปินหนุ่มไทยไฟแรงแนว pop artThe Jum กับคาแรคเตอร์ Fire Friend ในถ้วยไอติมการคอลลาบอเรชั่นครั้งนี้สร้างสรรค์ขึ้นภายใต้แคมเปญ The Jum x Terminal21 เนรมิตศูนย์การค้า เทอร์มินอล21 ทั้ง 4 สาขา คือ อโศก พระราม3 พัทยา และโคราช ให้เป็นนิทรรศการสุดอาร์ตต้อนรับปีใหม่ 2567โดย The Jum นำคาแรคเตอร์ลายเส้น Fire Friend หรือ 'น้องไฟ' เอกลักษณ์ของเขามาออกแบบเป็นคาแรคเตอร์พิเศษให้แก่ศูนย์การค้าเทอร์มินอล21 จำนวน 2 คาแรคเตอร์ด้วยกัน คือ • คาแรคเตอร์ Fire Friend ในถ้วยไอติม • คาแรคเตอร์ดอกไม้ไฟในกระถางคาแรคเตอร์ดอกไม้ไฟในกระถางจั้ม - ณภัทร จงจิตต์โพธา หรือ The Jum ศิลปินหนุ่มไฟแรงแนว ป๊อป อาร์ต เล่าถึงคอนเซปต์ในการออกแบบผลงานชิ้นพิเศษครั้งนี้ ว่าต้องการสอดแทรกเรื่องราวของ การจุดไฟในตัวเอง การดำเนินชีวิต และ การเดินตามความฝันที่ตั้งใจไว้ เล่าเรื่องราวผ่านตัวละครที่มีชื่อว่า Fire Friend ที่จะเดินทางไปทำความรู้จักและมอบพลังให้กับทุกคนเมื่อได้พบกัน“สำหรับคอนเซปต์ของคาแรคเตอร์ Fire Friend ในถ้วยไอติม และ ดอกไม้ไฟในกระถาง ที่ดีไซน์เป็นพิเศษให้กับศูนย์การค้าเทอร์มินอล21 ในแคมเปญ The Jum x Terminal21 ครั้งนี้ ผมต้องการสร้างพื้นที่สนุกและความผ่อนคลายกับคนที่ได้มาพบเห็นให้รู้สึกถึงการมาพบเจอเพื่อนใหม่ ได้พูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดกัน” The Jum กล่าวจุดเช็คอิน The Jum x Terminal21 สาขาอโศกคาแรคเตอร์แรก Fire Friend ในถ้วยไอติม เป็นการนำคาแรคเตอร์ Fire Friend มาออกแบบเป็นบอลลูนยักษ์อยู่ในถ้วยไอติมถ้วยโปรด สะท้อนถึงการมี ความสุขกับเรื่องเล็กๆ ง่ายๆ อย่าง ‘การกิน’ ทั้งยังสื่อถึงการนั่งรอบกองไฟที่สร้างความผ่อนคลายและความอบอุ่นไปด้วยกัน อีกหนึ่งผลงาน ดอกไม้ไฟในกระถาง คือความพร้อมที่จะออกเดินทางไปพบเจอทุกท่านที่มาเยือนศูนย์การค้าเทอร์มินอล21 ทั้ง 4 สาขาสุภัชญา เกตุปมาสุภัชญา เกตุปมา ผู้ช่วยผู้อำนวยการส่วนการตลาด บริษัท แอล เอช มอลล์ แอนด์ โฮเทล จำกัด กล่าวถึงแคมเปญ The Jum x Terminal21 ว่า“ทุกวันนี้ผู้คนส่วนใหญ่ หันมาให้ความสำคัญกับงานศิลปะมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการไปชมงานศิลปะในแกลเลอรี่ หรือนิทรรศการต่างๆ รวมถึงสินค้า และบริการ ที่เริ่มมีการคอลแล็บส์กับศิลปินไทยมากขึ้น เพื่อเป็นการสนับสนุนศิลปินรุ่นใหม่ รวมทั้งสร้างภาพลักษณ์ใหม่ๆ ให้แก่ศูนย์การค้าเทอร์มินอล21 ที่ไม่ใช่เพียงมาช้อปปิ้ง พบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง หรือการรับประทานอาหารกับครอบครัวเพียงเท่านั้น แต่ยังสามารถมาชื่นชมงานผลงานศิลปะที่ตกแต่งไว้ในจุดต่าง ๆ ในบริเวณศูนย์ได้อีกด้วย แคมเปญ The Jum x Terminal21 ที่ศูนย์การค้าเทอร์มินอล21 ได้ร่วมกันสร้างสรรค์กับศิลปินรุ่นใหม่ จั้ม - ณภัทร ในครั้งนี้ จะเข้ามาตอบโจทย์และเติมเต็มให้ทุกๆ วันของทุกท่าน คือวันพักผ่อนเมื่อได้มาเทอร์มินอล21 โดยจะจัดแสดงที่ศูนย์การค้าเทอร์มินอล21 ทุกสาขา ตลอดทั้งปี 2567 เพื่อให้ลูกค้าทุกท่านในพื้นที่ต่าง ๆ ได้ชื่นชมอย่างใกล้ชิดและทั่วถึง" The Jum x Terminal21แคมเปญ The Jum x Terminal21 กำหนดจัดแสดงที่ศูนย์การค้าเทอร์มินอล21 ดังนี้ • อโศก วันที่ 3 - 31 มกราคม • พัทยา วันที่ 5 เมษายน – 5 พฤษภาคม • พระราม3 วันที่ 15 พฤษภาคม – 15 มิถุนายน • โคราช ในวันที่ 16 สิงหาคม – 15 กันยายนสติ๊กเกอร์ The Jum x Terminal21กาชาปอง ลุ้นพวงกุญแจ The Jum x Terminal21พวงกุญแจ The Jum x Terminal21นักช้อปสายอาร์ตนอกจากฟินกับการถ่ายรูปจุดตกแต่งทำคอนเทนต์ ยังมีสติ๊กเกอร์และ กาชาปอง ให้ลุ้นรับของที่ระลึกสุดพิเศษในแคมเปญสุดอาร์ตครั้งนี้ทั้ง 4 สาขา มีกติกาดังนี้ 1. ฟรี! สติ๊กเกอร์ The Jum x Terminal21 ร่วมสนุกโดยถ่ายภาพในงาน The Jum x Terminal21 แล้วติดแฮชแท็ก #THEJUMxTERMINAL21 พร้อมเช็คอิน Terminal21 Asok Shopping Mall, Terminal21 Rama3 Shopping Mall, Terminal21 Pattaya Shopping Mall และ Terminal21 Korat Shopping Mall (ตามวันเวลา) 2. รับสิทธ์หมุนกาชาปอง ลุ้นรับ พวงกุญแจ The Jum x Terminal21 เมื่อช้อปสินค้าภายในศูนย์ฯ ครบ 1,500 บาท (จำกัด 1 คน/สิทธิ์/วัน) 3. รับทันที!! Eco Bag ลายลิมิเต็ด The Jum x Terminal21 เมื่อช้อปสินค้าภายในศูนย์ฯ ครบ 3,000 บาท (จำกัด 1 คน/สิทธิ์/วัน)Eco Bag ลายลิมิเต็ด The Jum x Terminal21แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1107521
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวทั่วไป
16/01/2024
วงการบันเทิงเศร้า หญิง จุฬาลักษณ์ อดีตเซ็กซี่สตาร์ยุค 90 เสียชีวิตแล้ว ในวัย 45 ปี หลังป่วยเป็นมะเร็งเต้านมข่าวเศร้าของวงการบันเทิง หญิง จุฬาลักษณ์ (อิสมาโลน) กฤติยารัตน์ อดีตเซ็กซี่สตาร์ชื่อดังยุค90 เสียชีวิตอย่างสงบ เมื่อเวลา 03.00 น.ที่ผ่านมา ด้วยโรคมะเร็งเต้านม ในวัย 45 ปี หลังรักษาตัวมาสักพักแล้ว โดย วันนี้ 16 มกราคม 2567 ไอจีของ ying_julaluck ได้แจ้งข่าวเศร้าระบุว่า “คุณพ่อคุณแม่ขออนุญาตแจ้งข่าวแด่เพื่อนๆ ผู้เป็นที่รักถึงการจากไปของน้องหญิง นะคะ” ซึ่งก็มีคนในวงการเข้ามาแสดงความอาลัยด้วยเป็นจำนวนมากโดยกำหนดการงานสวดอภิธรรม ณ วัดศิริพงษ์ธรรมนิมิต ศาลา 8 ซ.วัชรพล แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กทม. ตั้งแต่วันนี้ 16 – 23 มกราคม 2567 โดยจะรดน้ำศพในวันนี้ เวลา 16.00 น. ทีมข่าวอมรินทร์ ออนไลน์ ขอแสดงความเสียใจมา ณ ที่นี้สำหรับ หญิง จุฬาลักษณ์ เป็นเซ็กซี่สตาร์ชื่อดังของวงการ เกิด 29 ธันวาคม 2521 อายุ 45 ปี เข้าวงการตั้งแต่อายุ 15 ปี ด้วยการเล่นมิวสิควิดีโอเพลง “เพียงสิ่งเดียว” ของศิลปิน กบ ทรงสิทธิ์ และเริ่มมีชื่อเสียงจากละครเรื่อง “ทอฝันกับมาวิน”แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับamarintvhttps://www.amarintv.com/news/detail/203249
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
29/04/2024
การมีเป้าหมายทางการเงิน เป็นเรื่องที่ดี การออมเงิน เป็นเรื่องที่ดี การมีสินทรัพย์ มากกว่า หนี้สินเป็นเรื่องที่ดี และเป็นเรื่องปกติที่คนวางแผนการเงินควรจะทำตั้งแต่อยู่ในวัยทำงาน แต่รู้หรือไม่ว่า มีคนบางกลุ่มที่รู้สึกว่า "เก็บเงินเท่าไรก็ไม่พอใจสักที เก็บจนเครียด" หรือมีเงินเก็บจำนวนมาก แต่ไม่กล้านำเงินมาใช้ หรือซื้อของฟุ่มเฟื่อยที่ตัวเองต้องการ เราเรียกภาวะนี้ว่า "Money Dysmorphia" หรือพูดง่ายๆ คือ อาการเก็บเงินจนเครียด พวกเขาจะไม่ยอมนำเงินเก็บออกมาใช้จ่ายเลย ซึ่งในบางครั้งก็อาจไม่กล้าใช้จ่ายในเรื่องจำเป็นเสียด้วยซ้ำ เช่น การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีราคาค่อนข้างสูงแต่คุณภาพดี หรือซื้ออาหารที่มีคุณภาพสูงที่มีราคาสูงตามไปด้วย เนื่องจากมองว่าเป็นเรื่องสิ้นเปลืองและเลือกที่จะเก็บเงินไว้ดีกว่า จนนำไปสู่ความเครียดเนื่องจากไม่กล้าใช้จ่ายอะไรเลยในที่สุด โดยสาเหตุที่ทำให้เรามีอาการ Money Dysmorphia นั้น หลัก ๆ แล้ว อาจจะมาจาก 3 สาเหตุ 1. กังวลกับสถานะทางการเงิน ของตนเองในอนาคต มากจนเกินไป เพราะเรากลัวว่า อาจจะมีเหตุการณ์บางอย่างในอนาคต เช่น เจ็บป่วยหนัก ต้องใช้เงินในการรักษาจำนวนมาก จนทำให้เงินที่เราเก็บไว้ไม่พอใช้ เราจึงไม่กล้าที่จะใช้จ่ายเงิน เพราะกลัวไม่มีเงินไว้ใช้ในอนาคต 2. กดดันตัวเองมากเกินไป ปัจจุบันหลายคนเริ่มหันมาเก็บเงินทีละมากๆ ในแต่ละเดือน เพื่อความสะดวกสบายในชีวิตหลังเกษียณ และในปัจจุบันหลายคนเลือกจะเกษียณตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้คนที่มีภาวะ Money Dysmorphia อยู่แล้ว ก็ยิ่งกดดันตัวเองมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว และยิ่งไม่กล้าใช้เงินเพื่อความสุขของตัวเองมากขึ้น 3. มีประสบการณ์ที่ไม่ดีเกี่ยวกับการใช้เงิน หากใครที่เคยมีประสบการณ์ไม่ดีเกี่ยวกับการเงินในอดีต เช่น เคยมีหนี้สินเป็นจำนวนมาก และต้องใช้เวลานานกว่าจะทยอยจ่ายจนหมด เคยติดหนี้บัตรเครดิต ติดเครดิตบูโร หรืออาจเคยอยู่ในครอบครัวที่ยากจนมาก่อนจนมีชีวิตวัยเด็กที่ยากลำบาก คำถาม คือ ถ้าเรารู้สึกว่ามีอาการเหล่านี้ จะทำอย่างไรดี ? คำตอบที่ดีที่สุด คือ การปรึกษาจิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยา เพื่อช่วยให้อาการของเราดีขึ้น และมีความสุขกับปัจจุบัน จริงๆแล้วอาการ Money Dysmorphia ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว และปัจจุบันคนก็ยิ่งมีความกังวลกันมาก เพราะคิดว่า ยิ่งเราเก็บเงินมากเท่าไรยิ่งดีเท่านั้น และไม่แน่ใจว่าต้องเก็บเท่าไรจึงจะพอ เลยตั้งหน้าตั้งตาเก็บเงินอย่างเดียว โดยไม่ได้สนใจความสุขในปัจจุบันเลย การเก็บเงิน หรือสำรองเงินไว้ใช้จ่าย 3-6 เดือน เป็นความคิดที่ดี แต่เราต้องไม่ลืมว่า ระหว่างทาง (ที่เรายังมีชีวิตอยู่) การเก็บเกี่ยวความสุขเล็กๆน้อยๆ หรือซื้อสิ่งของฟุ่มเฟื่อยเพื่อมาเติมเต็มจิตใจ พูดง่ายๆ คือ การซื้อรางวัลให้กับตัวเอง ก็ถือเป็นความสุขที่เราพอจะทำได้ อยู่กับปัจจุบันอย่างมีความสุข คือเรื่องที่สำคัญ ที่สุดครับ ... แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับstock2morrowhttps://stock2morrow.com/article/5825
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
29/04/2024
“ประกันภัยรถอีวี” คึกคักรับกระแสตลาดรถอีวีโตก้าวกระโดด 22 บริษัทร่วมชิงเค้ก ขาใหญ่แย่งจับมือค่ายอีวีจีน “เมืองไทยประกันภัย” ผนึก “BYD-AION” บุกเต็มสูบ เผยตัดเบี้ยแย่งพอร์ตแต่ไม่ถึงขั้นสงคราม ชี้ค่าเบี้ยประกันรถ EV ปี’67 ยังแพงกว่าสันดาป 10-15% เหตุต้นทุนความเสี่ยงสูงโดยเฉพาะ “แบตเตอรี่” “กรุงเทพประกันภัย” จับมือ 7 ค่ายรถอีวีจีน-ยุโรป หวั่นสมรภูมิแข่งเดือด “ตัดราคาเบี้ย” จุดเสี่ยงธุรกิจ ถอนตัวร่วมค่ายอีวีแคมเปญแถมประกัน 2 ปี คปภ.คลอดเกณฑ์ประกันอีวีบังคับใช้ทั้งระบบ 31 พ.ค. 67 ระบุ “ประวัติคนขับ” เคลมตามตัวบุคคล ขับดีไม่เคลม ได้ส่วนลดประวัติดี 2 เด้ง สูงสุด 50%ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ประเภทรถนั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ของกรมการขนส่งทางบก ระบุว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา มีจำนวน 75,690 คัน จากยอดจดทะเบียนรถยนต์นั่งทั่วประเทศ 634,948 คัน ถือว่าอัตราการเติบโตของตลาดรถอีวีอย่างรวดเร็วและมีทิศทางแนวโน้มที่ขยายตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอีวี ได้รับความสนใจมากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องของธุรกิจประกันภัยรถอีวี เนื่องจากกรมธรรม์ประกันภัยของรถสันดาปและรถอีวีจะมีความแตกต่างกันประกันอีวีใหม่บังคับ พ.ค. 67โดยล่าสุดนายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้เซ็นลงนามคำสั่ง หลักเกณฑ์ “แบบ ข้อความ และพิกัดอัตราเบี้ยกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle : BEV) โดยให้บังคับใช้กับการทำสัญญาประกันภัยใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2567 อย่างไรก็ดี กรณีบริษัทประกันวินาศภัยที่ยังไม่สามารถออกกรมธรรม์ตามคำสั่งนี้ได้ คปภ.อนุโลม ให้ใช้เงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์สันดาปเดิม ออกให้ลูกค้าไปพลางก่อน แต่ต้องไม่เกินวันที่ 31 พ.ค. 2567เงื่อนไขสำคัญของกรมธรรม์ประกันภัยรถอีวีคือ 1. บังคับให้ระบุชื่อผู้ขับขี่ (สูงสุด 5 คน) และกำหนดอัตราร่วมจ่ายส่วนแรก เมื่อผู้ขับขี่ไม่ปรากฏชื่อในรายชื่อที่แจ้งไว้ 2. ใช้ประวัติผู้ขับขี่ที่แย่สุดเป็นตัวคำนวณ “ส่วนลด-ส่วนเพิ่ม” เบี้ยประกันสูงสุด 50% จากเดิมใช้ประวัติรถเป็นเกณฑ์3. อัตราเบี้ยประกันเพิ่มพิกัด “ขั้นสูง” เพื่อให้ยืดหยุ่นแก่บริษัทในการรับประกัน โดยกำหนดพิกัดเบี้ยเป็น 5 กลุ่ม โดยใช้ฐานราคารถยนต์เป็นเกณฑ์ 4. การรับประกันแบตเตอรี่ กำหนดค่าเสื่อมลดลงปีละ 10% แต่หากเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ ขอเพิ่มความคุ้มครองได้ จากเดิมจ่ายตามจริงโดยไม่มีการกำหนดค่าเสื่อมและ 5. คุ้มครองทุกภัยเหมือนรถทั่วไป แต่จะไม่คุ้มครองความเสียหายจากปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อระบบปฏิบัติการที่ใช้ควบคุมการทำงานของรถ (Software) และไม่คุ้มครองความเสียหายจากเครื่องชาร์จรถอีวีส่วนบุคคลที่ไม่ได้มาจากผู้ผลิตรถเบี้ยอีวีแพงกว่าสันดาป 15%นายอาภากร ปานเลิศ ผู้ช่วยเลขาธิการสายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า พัฒนาการของเบี้ยประกันภัยรถอีวีในประเทศไทย เริ่มในช่วงต้นปี 2565 ซึ่งกรณีรถอีวีจีน ค่าเบี้ยจะแพงกว่ารถยนต์สันดาปประมาณ 25-30% แต่พอปลายปี 2565 เบี้ยอีวีขยับลง 5-10% ทำให้ส่วนต่างเบี้ยลดลงมาอยู่ที่ระดับ 20-25% และปี 2566 เบี้ยขยับลงมาตลอด ถ้าเทียบในรถยี่ห้อเดียวกัน รุ่นเดียวกันค่าเบี้ยก็ลดลงทั้งนี้จนถึงปลายปี 2566 เบี้ยรถอีวีแพงกว่ารถยนต์สันดาปอยู่ประมาณ 10-15% เหตุผลหลักคือ มีจำนวนรถอีวีในตลาดเพิ่มมากขึ้น และมีบริษัทประกันวินาศภัยเข้ามาแข่งขันในตลาดรถอีวีมากขึ้นด้วย ตอนนี้มีประมาณ 22 บริษัทแล้วที่มีการรับประกันรถอีวี อย่างไรก็ดี ยังเป็นการเสนอขายประกันภายใต้เงื่อนไขกรมธรรม์แบบเก่า แต่หลังจากวันที่ 31 พ.ค. 2567 ทุกบริษัทจะต้องปรับแบบกรมธรรม์สำหรับรถอีวี เป็นแบบใหม่ภายใต้เงื่อนไขที่ คปภ.ออกหลักเกณฑ์ ซึ่งคาดว่าไม่มีผลทำให้ค่าเบี้ยเปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบัน“ประเมินว่าแนวโน้มในอนาคตเบี้ยประกันรถอีวีจะลดลงอีก เมื่ออะไหล่ต่าง ๆ ที่ใช้ในรถอีวีผลิตภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 ค่าเบี้ยรถอีวีจะยังแพงกว่ารถยนต์สันดาป 10-15% เหมือนเดิม ในระดับที่บริษัทประกันรับได้ เพราะต้องรองรับความเสี่ยงที่มีต้นทุนสูง ๆ อย่างเช่น ความเสียหายจากตัวแบตเตอรี่ ประกอบกับราคาอะไหล่ยังสูง เพราะต้องสั่งตรงจากต่างประเทศ และช่างฝีมือยังมีน้อย อู่ซ่อมยังต้องเป็นอู่ห้าง (ซ่อมศูนย์) ยังไม่ได้รับอนุมัติจากศูนย์ให้ซ่อมอู่ข้างนอกได้ โดยตอนนี้อัตราค่าสินไหมทดแทน (Loss Ratio) อยู่ที่ระดับกว่า 50%”เทรนด์อีวีแรงดันพอร์ตประกันนายอาภากรกล่าวว่า ช่วงปีแรก ๆ ที่เบี้ยรถอีวีค่อนข้างแพง เพราะมีผู้ทำประกันน้อย จึงมีสถิติการเฉลี่ยภัยน้อย ทำให้ต้นทุนรถอีวีไม่นิ่ง ขยับสูง-ต่ำอยู่ตลอดเวลา ไม่เหมือนรถยนต์สันดาปที่มีรถเป็นล้าน ๆ คัน เฉลี่ยภัยออกมาแล้วมีต้นทุนที่นิ่งกว่า และช่วงแรกบริษัทประกันไม่มีประสบการณ์ ประกอบกับหลาย ๆ เหตุการณ์ที่รถอีวีประสบเหตุก็ล้วนมีต้นทุนสูงกว่าปกติ เช่น ความเสียหายกระทบตัวแบตเตอรี่ ไม่ว่าจะเหตุเบาหรือหนัก ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ทั้งหมด ทำให้อัตราค่าสินไหมทดแทนค่อนข้างสูงมาก เพราะมูลค่าแบตเตอรี่คิดเป็น 50-60% ของราคารถอีวีขณะที่เทรนด์รถอีวีมาแน่ ๆ เพราะรัฐบาลส่งเสริม และอีกปัจจัยที่ทำให้เห็นเด่นชัดถึงพัฒนาการคือ ในปี 2567 เริ่มมีการตั้งโรงงานเป็นฐานการผลิตรถอีวีในประเทศไทย ราคารถและอะไหล่จะถูกลง มีศูนย์บริการชาร์จแบตเตอรี่ การซ่อม และช่างฝีมือที่มากขึ้น ฉะนั้นอีโคซิสเต็มทุกอย่างจะพร้อมมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะจูงใจให้คนเปลี่ยนมาใช้รถอีวี เพราะมีค่าใช้จ่ายระหว่างปีลดลงอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้ตลาดประกันภัยรถอีวีก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกันประกันอีวียึดดู “ประวัติคนขับ”นายวาสิต ล่ำซำ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานคณะกรรมการประกันภัยยานยนต์ สมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ที่ผ่านมาโครงสร้างเบี้ยประกันรถยนต์สันดาป จะยึดประวัติตัวรถเป็นหลัก และไม่บังคับระบุชื่อผู้ขับขี่ ทำให้รถที่ใช้ในท้องตลาดกว่า 90% ไม่ระบุชื่อผู้ขับขี่ เมื่อเกิดเคลม และโดนปรับขึ้นค่าเบี้ยในใบเตือนต่ออายุ ลูกค้าจะย้ายประกัน บริษัทประกันใหม่ที่รับงานก็จะไม่รู้ประวัติคนขับ เวลาโค้ดเบี้ยจึงยึดตามประวัติตัวรถ ซึ่งลูกค้าจะได้เบี้ยเฉลี่ยไปเสมอโดยต่อไปภายใต้โครงสร้างเบี้ยประกันรถอีวี ยึดที่ประวัติคนขับ (ตัวบุคคล) จะทำให้เบี้ยมีความแตกต่างค่อนข้างชัดเจน เพราะบริษัทประกันที่รับงานก็จะขอความยินยอม (Consent) จากลูกค้า เพื่อไปขอประวัติจากฐานข้อมูลกลางด้านประกันภัย (Insurance Bureau System : IBS) เพื่อโค้ดเบี้ยให้สอดคล้องกับความเสี่ยงของตัวบุคคลได้ ฉะนั้นหากขับดีและไม่มีเคลม เบี้ยจะต่ำกว่าโครงสร้างรถยนต์สันดาปมากเพราะจะได้ส่วนลดประวัติดี 2 เด้ง ทั้งจากตัวบุคคล ปีละ 10% สูงสุดได้ถึง 50% และจากตัวรถสูงสุดได้ 40% ตามโครงสร้างเดิม แต่ในทางกลับกันถ้าขับไม่ดี มีเคลมเรื่อย ๆ เบี้ยก็จะแพงขึ้น ๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับทั้งอุตสาหกรรมและผู้บริโภคด้วยทั้งนี้ขอย้ำว่าส่วนลดเบี้ยจะไม่ใช่ส่วนลดจากเบี้ยที่จ่ายปีที่แล้ว เพราะวิธีการคำนวณจะมีเบี้ยประกันภัยพื้นฐานเป็นตัวตั้งต้น และนำ “ส่วนลด-ส่วนเพิ่ม” ประวัติผู้ขับขี่ จากกรณีขับดีขับไม่ดีมาคำนวณ ถึงจะกลายเป็นค่าเบี้ยประกันเมืองไทยผนึก “BYD-AION”นายวาสิตกล่าวอีกว่า ตอนนี้เบี้ยรถอีวียังแพงกว่ารถยนต์สันดาปประมาณ 10-15% แต่ความรู้สึกของเจ้าของรถยังไม่รู้ เพราะปีแรกเป็นเบี้ยแถมทั้งหมด (ค่ายรถทำแคมเปญแถมประกัน) จนถึงต่ออายุปีที่ 2 ต้องจ่ายเอง ภายใต้โครงสร้างเบี้ยใหม่ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันรถอีวีสำหรับแผนธุรกิจของเมืองไทยประกันภัยในปี 2567 จะลุยตลาดอีวีเต็มที่ เพราะตอนนี้อยู่ในบัญชีรายชื่อ (Panel) ของพันธมิตรบริษัทผู้รับประกันรถอีวี 2 ค่ายคือ BYD (1 ใน 5 บริษัทประกันพันธมิตร) และ AION ฉะนั้นบริษัทจะได้งานจากส่วนนี้ ขณะเดียวกันจะเข้าไปขยายผ่านช่องทางตัวแทนนายหน้า (โบรกเกอร์) สำหรับงานต่ออายุให้มากขึ้นด้วยโดยปิดปี 2566 พอร์ตเบี้ยรถอีวียังไม่มาก มีเบี้ยรับรวมแค่ 50-70 ล้านบาท รถไม่ถึงพันคัน เนื่องจากเพิ่งเข้าร่วม BYD ไม่กี่เดือน แต่ปี 2567 คาดหวังจะมีเบี้ยหลายร้อยล้านบาท จำนวนรถหลายพันคัน จากรถขายใหม่และงานต่ออายุแข่งราคาไม่ถึงขั้นสงครามนายวาสิตกล่าวถึงประเด็นเรื่องสงครามราคา เพื่อแย่งพอร์ตอีวีว่า ปัจจุบันลักษณะของการตัดราคาเบี้ยประกัน จะเป็นการแข่งขันของบริษัทประกันเพื่อเข้าไปอยู่ในรายชื่อของค่ายรถ สำหรับการทำแคมเปญแถมประกัน ซึ่งในแง่นี้ผู้บริโภคไม่รู้สึกเพราะเป็นเบี้ยแถม แต่บริษัทประกันภัยรู้กัน ส่วนเบี้ยต่ออายุ ผู้บริโภคหรือโบรกเกอร์เห็นนั้น เชื่อว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ยังพอรับได้“ตอนนี้บริษัทประกันวางมาตรฐานของราคาเบี้ยแตกต่างกัน เช่น บางรุ่นบางยี่ห้อ บริษัท A ให้ 28,000 บาท/ปี แต่บริษัท B อาจจะให้ 25,000-27,000 บาท/ปี แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดเป็นสงครามราคา เพราะแต่ละบริษัทมีสถิติแตกต่างกัน บางบริษัทสถิติน้อย ก็มีความหวังจากสมมุติฐาน ก็อาจจะ Aggressive โค้ดราคาเบี้ยต่ำกว่าคู่แข่ง ขณะที่บริษัทใหญ่ที่รับงานอีวีเยอะแล้ว เห็นสถิติเยอะ เขาก็อาจจะรู้ว่าอัตราการสูญเสียมีต้นทุนสูง จึงขยับเบี้ยขึ้นไปให้เหมาะสม ทำให้เบี้ยจะแพงกว่า”นายวาสิตกล่าวเพิ่มเติมว่า ตอนนี้ที่น่าเป็นห่วงคือ เรื่องต้นทุนการซ่อมของรถอีวี เพราะด้วยความใหม่ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค เวลาซ่อมมักจะเปลี่ยนใหม่หมด ซึ่งอะไหล่ยังนำเข้าจากต่างประเทศ และยังเป็นงานซ่อมศูนย์ทั้งหมด ทำให้ต้นทุนสูงปี’67 ประกันอีวี 1 แสนฉบับนายสมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทิพยประกันภัย ในฐานะนายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวว่า ในปี 2567 สมาคมได้ประมาณการว่าจะมีรถอีวีเข้าสู่ระบบประกันจำนวน 100,000 กรมธรรม์ ตามคาดการณ์ยอดขายรถอีวีใหม่เพิ่มขึ้น 100,000 คัน ซึ่งจะมีส่วนผลักดันให้เบี้ยรับรวมของประกันวินาศภัยอยู่ที่ 301,050-303,900 ล้านบาท (ส่วนใหญ่เป็นประกันรถยนต์) เติบโต 5-6% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน“ส่วนพอร์ตรถอีวีทั้งระบบในปีที่แล้ว มีเบี้ยรับรวมประมาณ 2,000 ล้านบาท”ตอนนี้จะเห็นค่ายรถแข่งขันกันมาก โดยเฉพาะค่ายอีวีจีนที่มีการทำตลาดอย่างกว้างขวางในประเทศไทย ขณะเดียวกันค่ายรถอีวียุโรปและญี่ปุ่น ก็เริ่มจะมีแนวโน้มเข้ามาแข่งขันมากขึ้น ดังนั้นปีนี้ตลาดนี้น่าจะคึกคักแน่นอนห่วงต้นทุนซ่อม EV สูงนายสมพรกล่าวว่า สมาคมค่อนข้างมีความกังวล เพราะเมื่อรถอีวีมีการทำประกันภัยเพิ่มขึ้นมาก เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้ว โอกาสแบตเตอรี่จะได้รับความเสียหายมีค่อนข้างสูง จึงได้พูดคุยกับบริษัทประกันที่เป็นสมาชิกอยู่ตลอดว่า ต้องมีความระมัดระวังในการทำอัตราเบี้ยประกันภัยให้มีความเหมาะสมเนื่องจากได้ตรวจสอบข้อมูลการรับประกันรถอีวีทั่วโลก ปรากฏว่าในอเมริกาเริ่มมีปัญหา เพราะมีต้นทุนการซ่อมบำรุงและค่าสินไหมที่สูงมาก ทำให้เบี้ยประกันรถอีวีในอเมริกาเฉลี่ยสูงกว่ารถสันดาปถึง 30% และมีแนวโน้มจะเป็นลักษณะนี้ต่อไป ขณะที่เบี้ยประกันรถอีวีในประเทศไทยยังไม่สูงกว่ารถสันดาปอย่างมีนัยสำคัญหวั่น “ตัดราคาเบี้ย” จุดเสี่ยงธุรกิจด้านนายอภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.กรุงเทพประกันภัย กล่าวว่า ตอนนี้อัตราเคลมสินไหมของรถอีวีในประเทศไทย อาจยังไม่ใช่ตัวสะท้อนความเสียหายที่แท้จริง เนื่องจากการใช้งานรถยังน้อย จึงมีความเสียหายต่ำอยู่ นำไปสู่การตัดราคาเบี้ย แต่ในระยะยาวจะไม่ส่งผลดีหากความเสียหายเกิดขึ้น ซึ่งจะสะท้อนความเสียหายที่แท้จริง นี่คือจุดเสี่ยงของภาคธุรกิจโดยเมื่อเกิดความเสียหายโดยสิ้นเชิง (Total Loss) ต้องถือว่ามูลค่าซากของรถอีวีต่ำมาก เพราะมีชิ้นส่วนอะไหล่น้อย แบตเตอรี่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ ไม่เหมือนรถสันดาปที่นำชิ้นส่วนกลับมาใช้เป็น Second Hand ต่อได้นอกจากนี้รถอีวีเป็นรถอิเล็กทรอนิกส์มีเซ็นเซอร์มาก ถ้าคนที่เคยขับจะเห็นว่าการออกตัวของรถอีวีค่อนข้างเร็วกว่ารถสันดาป เพราะฉะนั้นการขับที่ไม่คุ้นชินหรือการขับขี่โดยผู้ที่มีอายุน้อยลงเรื่อย ๆ มีความเสี่ยงจะเกิดอุบัติเหตุและความเสียหายสูง“ลอสเรโชของรถอีวีปีแรก ๆ มีสัดส่วนแค่ 10% ต่อมาขยับขึ้นมาอยู่ 30% และปี 2566 ขึ้นมาเกือบแตะ 60% ไปแล้ว อย่างไรก็ดี เคลมสินไหมรถอีวีของบริษัทปิดช่วง 9 เดือนแรกปี 2566 อยู่ที่ 55% และคาดว่าสรุปถึงสิ้นปี 2566 จะยังไม่เกิน 60%”ถอนตัวร่วมแคมเปญเสี่ยงนายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า สำหรับนโยบายรับประกันรถอีวีของบริษัท พยายามใช้ข้อมูลตลาดสากลเป็นพื้นฐานในการอ้างอิงกำหนดเบี้ย และจัดสรรประกันภัยต่อในรูปแบบของโควตาแชร์ เนื่องจากการรับประกันรถอีวีในประเทศไทยยังมีสถิติไม่มากพอ โดยปิดสิ้นปี 2566 คาดว่าพอร์ตรับประกันรถอีวีน่าจะอยู่ประมาณ 10,000 คัน คิดเป็นมาร์เก็ตแชร์ 10% ของรถอีวีที่จดทะเบียน โดยพอร์ตงานในมือประกอบด้วยแบรนด์ BYD, MG, ORA GOOD CAT, BMW, Tesla, Audi, Porscheอย่างไรก็ตาม ในปีนี้คาดว่ามาร์เก็ตแชร์จะลดลงเหลือ 7% เนื่องจากบริษัทจะไม่เข้าร่วมแคมเปญเบี้ยประกันภัยคงที่ 2 ปี กับพันธมิตรบางราย (ต่ออายุอัตโนมัติ 2 ปี ด้วยเบี้ยเท่าเดิมเพื่อจูงใจลูกค้า) เนื่องจากกังวลว่าจะไม่เป็นประโยชน์ในระยะยาว และไม่สอดคล้องกับนโยบายของบริษัทด้วยผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทที่มีการทำตลาดประกันอีวีรายใหญ่ ๆ อาทิ วิริยะประกันภัย, ทิพยประกันภัย, กรุงเทพประกันภัย, ธนชาตประกันภัย, เมืองไทยประกันภัย และแอลเอ็มจีประกันภัย เป็นต้นแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1478364
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
29/04/2024
ร่วมส่งเสริมและสนับสนุนศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ห้างโรบินสัน เชียงราย ในเครือเซ็นทรัล รีเทล จัดแสดงนิทรรศการงานศิลปะระดับประเทศ Robinson: “The Cosmos Within the Women’s Lens” (“จักรวาลในดวงตาสตรี”) ภายใต้งาน “Thailand Biennale Chiang Rai Collateral Exhibition” ในคอนเซปต์ “เปิดโลก (The Open World)” โดยจับมือ 8 อาร์ติสต์หญิงไทย แพรว-กวิตา วัฒนะชยังกูร, ชนิดา อรุณรังษี, ปานพรรณ ยอดมณี, ธิดารัตน์ จันทเชื้อ, ปัทมาภรณ์ อุณหนันทน์,ภัทรี ฉิมนอก, พจวรรณ พันธ์จินดา และ ธนนันท์ ใจสว่าง ร่วมกันสร้างสรรค์งานศิลปะอันทรงคุณค่า สะท้อนเรื่องราวสังคมและสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน ผ่านหลากหลายเทคนิคการลงสี และเทคโนโลยีการนำเสนอในรูปแบบต่างๆ อาทิ Interactive Virtual Reality การเสพงานศิลป์ผ่านแว่นตา VR รวมทั้งการนำเสนอในรูปแบบอื่นๆอีกมากมายณัฐธีรา บุญศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มห้างสรรพสินค้า ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า งานมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการร่วมส่งเสริมและสนับสนุนศิลปะและวัฒนธรรมท้องถิ่นอันมีเอกลักษณ์แล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยให้ลูกค้าและครอบครัวนักช็อปในจังหวัดได้มีโอกาสสัมผัสกับผลงานศิลปะอันน่าตื่นตา ตื่นใจ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ รวมทั้งได้ตระหนักถึงปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมที่สะท้อนเรื่องราวผ่านเหล่าผลงานศิลปะที่นำมาจัดแสดง อีกทั้งเป็นการร่วมขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวของ จ.เชียงราย ในช่วงปลายปีพบกับงานนิทรรศการผลงานศิลปะจาก 8 อาร์ติสต์หญิงไทย Robinson: “The Cosmos Within the Women’s Lens” (“จักรวาลในดวงตาสตรี”) ถึง 31 ม.ค. 67 ที่บริเวณ ชั้น 2 ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน เชียงราย.แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2750995
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
29/04/2024
สายดอกไม้ไม่ควรพลาด ต้นเดือนมกราคมปีนี้ (2567) ซึ่งเป็นปีมะโรงหรือปีงูใหญ่ “ดอกนางพญาเสือโคร่ง” หรือที่นักท่องเที่ยวนิยมเรียกกันว่า “ซากุระเมืองไทย” เริ่มทยอยออกดอกเบ่งบานตามสถานที่ต่าง ๆ แล้วชมฟรี ซากุระเมืองไทยบนดอยอินทนน์ ที่ “ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี”สำหรับดอยอินทนนท์ ภูเขาสูงที่สุดของเมืองไทยในจังหวัดเชียงใหม่ ถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งชมซากุระเมืองไทยขึ้นชื่อ และมีอยู่หลายจุดด้วยกัน โดยปีนี้ดอกนางพญาเสือโคร่งที่ “โครงการอนุรักษ์กล้วยไม้รองเท้านารีดอยอินทนนท์” หรือ “ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี” ได้ทยอยออกดอกเบ่งบานเป็นแห่งแรกบนดอยอินทนนท์ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เป็นพื้นที่โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อทำการวิจัยและเพาะพันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์ ที่มีความสวยงามแต่ใกล้จะสูญพันธุ์ เป็นแหล่งให้ความรู้สำหรับผู้ที่สนใจชมฟรี ซากุระเมืองไทยบนดอยอินทนน์ ที่ “ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี”ศูนย์ฯ กล้วยไม้ แห่งนี้ เป็นหนึ่งในจุดชมซากุระเมืองไทยยอดนิยมของจังหวัดเชียงใหม่ ภายในศูนย์ปลูกต้นนางพญาเสือโคร่งไว้เรียงรายริมอ่างเก็บน้ำที่ใช้ในโครงการ โดยมีการจัดแต่งภูมิทัศน์อย่างสวยงาม รวมถึงมีกล้วยไม้รองเท้านารี ทั้งของจริงและประติมากรรม ประดับตกแต่งอยู่เป็นระยะ ๆ ในบรรยากาศสวนดอกไม้ กล้วยไม้ และต้นไม้ที่ร่มรื่นในช่วงนี้นางพญาเสือโคร่งกำลังออกดอกเบ่งบานเป็นสีชมพูสวยงามกว่า 60% และคาดว่าจะบานเต็มที่แบบ full bloom ในช่วงปลายเดือนมกราคม และจะคงอยู่อีกประมาณ 2-3 สัปดาห์ ก่อนร่วงโรยไปตามธรรมชาติชมฟรี ซากุระเมืองไทยบนดอยอินทนน์ ที่ “ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี”นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่ศูนย์ฯ กล้วยไม้รองเท้านารี จะได้ชมซากุระเมืองไทยออกดอกเบ่งบานใน 2 จุดหลักด้วยกัน ได้แก่จุดแรกอยู่บริเวณทางเข้าด้านหน้า และจุดที่ 2 ซึ่งเป็นจุดไฮไลต์จะอยู่ด้านในบริเวณรอบ ๆ อ่างน้ำ นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมวิวรอบ ๆ ได้ทั้ง 2 ฝั่ง ซึ่งนอกจากจะมีดอกนางพญาเสือโคร่งออกดอกอยู่รายรอบอ่างเก็บน้ำแล้ว ยังมีจุดเด่นเป็นภาพจำของที่นี่ กับภาพของดอกซากุระเมืองไทยบานสีชมพูสะพรั่งสะท้อนในเงาน้ำ ท่ามกลางทุ่งหญ้า ต้นสน ป่าใหญ่ และขุนเขาบนดอยอินทนนท์ที่รายล้อมชมฟรี ซากุระเมืองไทยบนดอยอินทนน์ ที่ “ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี”นอกจากนี้ภายในศูนย์ฯ กล้วยไม้ ยังมีโรงเรือนกล้วยไม้และเฟิร์น ภายในมีกล้วยไม้รองเท้านารีสายพันธุ์ต่าง ๆ และเฟิร์นหลากหลายชนิดให้ชมสำหรับผู้ที่สนใจและต้องการศึกษาเรียนรู้สามารถมาเยี่ยมชมได้ทั้งดอกนางพญาเสือโคร่งและพันธุ์กล้วยไม้ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ดีทาง “อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์” ได้ขอความร่วมมือให้นักท่องเที่ยวลงทะเบียนออนไลน์เพื่อเก็บสถิติของนักท่องเที่ยว เพื่อการบริหารจัดการไม่ให้คนเข้าไปอยู่หนาแน่นมากจนเกินไปชมฟรี ซากุระเมืองไทยบนดอยอินทนน์ ที่ “ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี”แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000003670
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
29/04/2024
กรุงเทพฯ, 10 มกราคม 2567 - เอไอเอ ประเทศไทย ตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านประกันชีวิตและสุขภาพ เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ต้อนรับปีมังกรทอง ในชื่อชุด “Living to 100” ที่ต้องการสื่อสารให้คนไทยได้ตระหนักถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อการมีชีวิตที่ยืนยาว และไม่ว่าจะมีอายุยืนยาวแค่ไหน ทุกคนยังสามารถเลือกชีวิตที่อยากเป็นได้ โดยเริ่มต้นจากการวางแผนรอบด้าน ทั้งด้านสุขภาพ และด้านการเงิน ซึ่งเอไอเอ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการประกันชีวิตและการเงินอันดับหนึ่งของประเทศไทย[1] มุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะสนับสนุนให้คนไทยได้เดินตามเป้าหมายและมีชีวิตในแบบที่ทุกคนอยากเป็น เพียงเริ่มวางแผนการเงินและสุขภาพตั้งแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่สมบูรณ์อย่างยั่งยืนของคนไทยทั่วประเทศ ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives - เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’นายเอกรัตน์ ฐิติมั่น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “เอไอเอ ได้อยู่ดูแลคนไทยมาสู่ปีที่ 86 โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราพยายามส่งมอบความคุ้มครองชีวิตและสุขภาพ พร้อมกับการช่วยลูกค้าวางแผนทางการเงิน เพื่อส่งเสริมให้คนไทยมีความมั่งคั่งไปพร้อม ๆ กับความมั่นคงในชีวิต อย่างไรก็ดี มีสิ่งหนึ่งที่เราเรียนรู้จากนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ก้าวล้ำ ทำให้มีแนวโน้มที่คนจะมีอายุยืนยาวขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจากการคาดการณ์ขององค์การสหประชาชาติ[2] ในปี 2564 อายุขัยเฉลี่ยของคนทั่วโลก อยู่ที่ 71 ปี และในอนาคตอีก 80 ปีข้างหน้าอายุขัยเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นเป็น 82.1 ปี สำหรับในประเทศไทย ตลอด 6 ทศวรรษที่ผ่านมา คนไทยมีอายุขัยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 4.4 เดือนต่อปี และคาดการณ์ว่าคนไทยที่เกิดในปี 2559 มีโอกาสที่จะมีอายุเฉลี่ยเกือบถึง 90 ปี หรือบางคนอาจมีอายุยืนยาวไปถึง 100 ปี[3] ซึ่งนี่ถือเป็นทั้งข่าวดีและข่าวร้ายในเวลาเดียวกัน เพราะหากไม่ได้เตรียมความพร้อมหลังเกษียณไว้อย่างรอบคอบ อาจทำให้บั้นปลายชีวิตของหลาย ๆ คน กลายเป็นช่วงชีวิตที่ไม่มีความสุขเลยก็เป็นได้ “ดังนั้น เอไอเอ กำลังเดินตามคำมั่นสัญญาที่เราตั้งไว้ โดยมุ่งสนับสนุนให้คนไทยและคนทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ด้วยการชวนให้ทุกคนลองคิดถึงความรู้สึกสุดท้ายของชีวิต เพื่อเริ่มต้นทำทุกวันนี้ให้ดีที่สุด ผ่านภาพยนตร์โฆษณา ‘Living to 100’ ที่เอไอเอตั้งใจสร้างขึ้น เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงคุณค่าของชีวิต และฉุกคิดที่จะเริ่มต้นวางแผนสุขภาพและการเงินตั้งแต่วันที่เรายังแข็งแรงอยู่ ซึ่งเอไอเอได้เตรียมการดูแลลูกค้าไว้อย่างครบวงจร ด้วย AIA Health Solution และ AIA Wealth Solution โซลูชันที่จะช่วยส่งมอบอนาคตที่มั่นคงและมั่งคั่งอย่างยั่งยืนให้กับคนไทยทุกคน” ติดตามชมภาพยนตร์โฆษณาชุด ‘Living to 100’ ได้ทางสื่อออนไลน์ของเอไอเอ ประเทศไทย ทั้ง AIA Official Facebook Page, AIA Thailand YouTube Channel และ Line Official Account ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และสามารถคลิกลิงก์ https://www.youtube.com/watch?v=YYz51Aj79-k หรือ สแกน QR Code เพื่อรับชมภาพยนตร์โฆษณา สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.aia.co.th/th/campaigns/living-to-100หมายเหตุ: [1] ข้อมูลจากสมาคมประกันชีวิตไทย, รายงานสถิติธุรกิจประกันชีวิตรายใหม่ ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 [2] ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติ (United Nations), World Population Prospects (2022) [3] ข้อมูลจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย, บทความ “ทีดีอาร์ไอ เสนอวาระ “สังคมอายุยืน” พลิกวิกฤตสังคมสูงวัย ให้ไทยแข่งขันได้ และอยู่ดี มีสุข”, วันที่ 12 พฤษภาคม 2562
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
29/04/2024
บทความโดย "วริศา มณีธวัช" ที่ปรึกษาการเงิน AFPTTMผู้จัดการหน่วย ศุภชนม์ 9B11A บมจ.กรุงไทยแอกซ่า ประกันชีวิตสมัยก่อนเคยมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการวางแผนการเงิน คนที่ไม่มีเงิน คิดว่าการวางแผนการเงินเป็นเรื่องของคนรวยเท่านั้น ส่วนคนรวย ก็คิดว่าตนเองมีเงินมากมายเพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องวางแผนการเงินแต่ในปัจจุบันความรู้เริ่มแพร่หลายทั้งในโลกออนไลน์และในหนังสือ ทุกคนรู้แล้วว่าการวางแผนการเงินนั้นจำเป็นสำหรับทุกคน ไม่ว่าเขาจะอายุเท่าไหร่ จะโสด หรือมีครอบครัวหรือไม่“คน (ตัดสินใจ) โสด” มีอัตราเพิ่มขึ้นในประเทศไทยอย่างรวดเร็ว จากสถิติมีคนโสดถึง 13.9% ในประเทศไทย และแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ อัตราการหย่าร้างสูงขึ้น 19.7% ในขณะที่อัตราการจดทะเบียนสมรส ลดลง 5% เทียบกับ 10 ปีที่ผ่านมาบ้างก็ว่า “โสดก็ดี ภาระน้อย” ไม่ต้องหารตังค์กับใคร แต่หารู้ไม่ จากข้อมูล เปิดเผยว่าโดยเฉลี่ย คนโสดมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าคนที่มีครอบครัวถึง 11% เนื่องจากต้องการหาความสุข จากความบันเทิง มีการเดินทาง ท่องเที่ยว มากกว่าคนมีครอบครัวมาก จึงต้องเตรียมตัวเรื่องการเงินไว้อย่างรอบคอบสุขภาพ “เพราะคนโสดต้องดูแลตัวเอง”ร่างกายคนสื่อมลงทุกวัน วันหนึ่งก็ต้องแก่และเจ็บป่วย ค่ารักษาพยาบาลถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเตรียมไว้ก่อน เพราะวิทยาการทางการแพทย์ใหม่ ๆ ในอนาคต มีแต่จะแพงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งวิธีการง่าย ๆ ทำให้สุขภาพแข็งแรง ลดความเสี่ยงคือ ปรับพฤติกรรม ลดความเสี่ยงโรค NCDs (โรคเรื้อรังที่ไม่ติดต่อ) เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง โรคไตเรื้อรัง ด้วยการออกกำลังกาย เลือกกินอาหารสุขภาพ พักผ่อนให้เพียงพอตรวจสุขภาพประจำปีนอกจากนี้ การทำประกันสุขภาพก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยบริหารค่าใช้จ่ายในการรักษา ซึ่งเป็นการวางแผนกันเงินไว้สำหรับค่ารักษาพยาบาลในรูปแบบเบี้ยประกันที่คาดการณ์ได้ แทนที่จะต้องไปลุ้นบิลค่ารักษาจริงที่โรงพยาบาล“ค่ากินอยู่ ใช้จ่าย” สุขสบายยามเกษียณแม้ค่าใช้จ่ายหลังเกษียณบางอย่างอาจจะลดลง แต่ค่าใช้จ่ายทั่วไป เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร (บางคนยังมีหนี้สินอีกด้วย) ค่าใช้จ่ายพวกนี้ยังคงอยู่ และอย่าลืมว่าหากคุณเป็นคนโสด อาจไม่มีใครมาช่วยแบ่งเบาภาระตรงนี้แนะนำการทำประกันบำนาญ เพื่อเป็นรายได้ต่อเนื่องระยะยาว ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนช่วงหลังเกษียณ และประกันบำนาญ ยังสามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้อีกมาก ขณะอยู่ในช่วงวัยทำงานต่อให้โสด แต่ก็ต้องระวังโรคร้ายแรงจะโสดหรือไม่โสด ทุกคนก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคร้ายแรงเหมือน ๆ กัน สังเกตจากสถานพยาบาลเปิดศูนย์โรคมะเร็ง ศูนย์โรคไต ศูนย์โรคหัวใจ เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับอุบัติการณ์การเกิดสูงขึ้น และเริ่มตรวจเจอในอายุที่น้อยลง ที่สำคัญ “ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นกับใคร”นอกจากการดูแลตัวเองให้ดี ลดความเสี่ยงต่าง ๆ หลีกเลี่ยงการดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ก็ควรมีประกันโรคร้ายแรงเพราะการเป็นโรคร้ายมีค่าใช้จ่ายสูง และการหยุดงานเป็นระยะเวลานาน ๆ เพื่อรักษาตัว โดยที่ยังมีค่าใช้จ่าย ประกันโรคร้ายแรงจะเป็นเงินก้อนชดเชยรายได้ที่ขาดหายไป จะได้ไม่เป็นภาระกับกระเป๋าเงินของตัวเองกิจกรรมกับเพื่อน ๆ ท่องเที่ยว สันทนาการฉบับคนโสดคนโสด มีค่าท่องเที่ยว สูงกว่าคนมีครอบครัว 40%คนโสด มีค่าน้ำมัน สูงกว่าคนมีครอบครัว 4%คนโสด มีค่าความบันเทิง สูงกว่าคนมีครอบครัว 5%หากจะเป็นคนโสด มีโหมดกินเที่ยว อย่าลืมเตรียมเงินก้อนนี้ไว้ด้วย!แนะนำประกันออมทรัพย์ระยะยาว ที่มุ่งเน้นการเก็บเงินเพื่อการเกษียณ โดยเลือกแผนที่จะได้รับเงินครบกำหนดสัญญาตอนที่เรากำลังจะเกษียณพอดี เพื่อเป็นเงินก้อนให้เราได้ใช้จ่ายเพื่อความสุขมรดกตกทอดให้หลานรักแม้จะไม่มีลูก แต่ ลุง ป้า น้า อา ที่มีหลานรัก ก็สามารถทำเตรียมมรดกก้อนสุดท้าย หรือทำประกันชีวิตเอาไว้ให้คนที่รักได้เช่นกันจึงควรเตรียมกรมธรรม์ประกันชีวิตไว้บ้าง เพื่อเคลียร์หนี้สินส่วนตัว ไม่ให้คนข้างหลังลำบาก และเป็นเงินก้อนสำหรับหลาน ๆ หรือคนข้างหลังที่ยังเป็นห่วงเพียงเท่านี้ ก็โสดอย่างสุขใจ มีชีวิตที่ดีได้ เพราะการวางแผนการจัดการความเสี่ยงและประกันที่ครอบคลุมแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1469515
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ภาษี
29/04/2024
บทความโดย “ณัฐพรพิมพ์ อัครภูษิต” ที่ปรึกษาการเงิน AFPTTM สมาคมนักวางแผนการเงินไทย วันที่ 9 มกราคม 2567 บ่อยครั้งที่เราได้ยินว่า “สองสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิตคือ ความตายและภาษี” ในวันที่เราไม่อยู่ สิ่งหนึ่งที่คนส่วนใหญ่อาจจะลืมนึกถึง คือ การส่งต่อทรัพย์สินอย่างไร ให้ถึงมือลูกหลาน หรือคนที่เรารักได้อย่างมีประสิทธิภาพ และแน่นอนภาษีเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะภาษีมรดก ที่เป็นเรื่องค่อนข้างใหม่ เพราะมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 ภาษีการรับมรดก (Inheritance Tax) ภาษีมรดก เกิดขึ้นเมื่อเจ้ามรดกตาย และผู้รับมรดกได้รับมรดกรวมกันแล้วมีมูลค่าเกินกว่า 100 ล้านบาท ผู้รับมรดกมีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามที่กฎหมายกำหนด เช่น มิสเตอร์โจ มีสินทรัพย์ที่ดินมูลค่า 1,000 ล้านบาท และยกมรดกให้ลูก 2 คน คนละ 500 ล้านบาท ดังนั้น ลูกหรือผู้รับมรดกต้องเตรียมการสำหรับชำระภาษีการรับมรดกถึงคนละ 5% ของส่วนที่เกิน 100 ล้านบาทแรก นั่นคือ 5% ของ 400 ล้าน เท่ากับคนละ 20 ล้านบาท โดยมรดก ประกอบด้วย 1. อสังหาริมทรัพย์ (ราคาประเมินกรมที่ดิน) 2. หลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (หุ้น) 3. เงินฝาก 4. ยานพาหนะ 5. ทรัพย์สินทางการเงินอื่น เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตร หุ้นกู้ 5 ข้อที่ต้องควรระวังในการวางแผนภาษีมรดกนั้น 1. ไม่ได้ชำระภาษีในระยะเวลาที่กำหนด ผู้รับมรดกมีหน้าที่ต้องยื่นแบบภายใน 150 วัน หลังวันที่ได้รับมรดกเกิน 100 ล้านบาท การไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษี อาจได้รับบทกำหนดโทษทั้งเบี้ยปรับและโทษทางอาญา เบี้ยปรับ • ไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีภายในเวลาที่กำหนด เสียเบี้ยปรับ 1 เท่าของภาษีที่ต้องชำระ • ยื่นแบบ แต่ไม่ถูกต้องครบถ้วน หรือเท็จ ทำให้ภาษีขาด เสียเบี้ยปรับอีก 0.5 เท่าของภาษีที่เสียเพิ่ม • ไม่ชำระภาษีให้ครบถ้วนภายในกำหนดเวลา ให้เสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือน โทษทางอาญา • ไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษี (ภ.ม.60) โดยไม่มีเหตุอันสมควร ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500,000 บาท • ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกหรือคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ • หากทำลาย ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้น หรือโอนไปซึ่งทรัพย์สินที่ถูกยึด หรืออายัด ให้แก่บุคคลอื่น ต้องระวาง โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 400,000 บาท • จงใจยื่นข้อความเท็จ หรือให้ถ้อยคำเท็จ หรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ที่มา : ภาษีการรับมรดก, กรมสรรพากร https://www.rd.go.th/27614.html 2. ไม่รู้สินทรัพย์และหนี้สินที่มี การที่ไม่ได้มีการเตรียมตัวมาก่อน อาจทำให้สินทรัพย์บางรายการตกหล่น หรืออาจต้องใช้เวลาในการรวบรวม ซึ่งทำให้ยากต่อการจัดการ และทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้ได้ 3. ไม่ทราบความแตกต่างของประเภททรัพย์สิน : ทรัพย์สินแต่ละประเภท มีข้อดีข้อเสียต่างกัน ในเรื่องของ (1) สภาพคล่อง เช่น ทรัพย์สินประเภทสังหาริมทรัพย์ เช่น เงินสด รถยนต์ ทองคำ เครื่องประดับ จะมีสภาพคล่องมากกว่า อสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้าน โรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง ที่ดิน เป็นต้น (2) อัตราการเสียภาษีการรับการให้ (gift tax) และภาษีมรดก (inheritance tax) ทรัพย์สินแต่ละประเภทมีความแตกต่างของการชำระภาษีการรับให้ และภาษีมรดก เนื่องจาก 1. ภาษีการรับให้ (gift tax) เป็นการจัดเก็บภาษีกรณีที่เจ้าของทรัพย์สินโอนเงินได้ หรือทรัพย์สินให้แก่บุคคลอื่น ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการหลีกเลี่ยงภาษีมรดก โดยบุคคลที่ได้รับทรัพย์สินประเภทสังหาริมทรัพย์ โดยเสน่หา จากบุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส จำเป็นต้องเสียภาษีจำนวน 5% ของส่วนที่เกิน 20 ล้านบาท, และส่วนที่เกิน 10 ล้านบาทตลอดปีภาษี ในกรณีที่ได้รับจากบุคคลอื่น ในทางกลับกัน ถ้าลูกได้รับที่ดิน จากบุพการีที่เป็นผู้โอนกรรมสิทธิ์ หรือผู้ครอบครองทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์ ในที่นี้ บิดา มารดา จะเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีการรับให้ ในอัตรา 5% ในส่วนที่เกิน 20 ล้านบาทเช่นเดียวกัน 2. ภาษีมรดก (inheritance tax) เป็นการจัดเก็บภาษีหลังเจ้าของมรดกเสียชีวิตแล้ว โดยผู้รับมรดกจำเป็นต้องเสียภาษีจำนวน 5% ของส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท หากผู้รับทรัพย์มรดกเป็นบุพการี หรือผู้สืบสันดานของเจ้ามรดก และ 10% กรณีอื่น ๆ ดังนั้น ถ้าพ่อแม่มีที่ดินที่ต้องการส่งต่อมรดกให้ลูกมูลค่าเกิน 100 ล้านบาท จำเป็นทีต้องคำนึงถึงอัตราการเสียภาษี อีกทั้งพิจารณาเรื่องการทยอยโอนที่ดินบางส่วนเพื่อให้เสียภาษีน้อยที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นที่ดินที่สามารถจัดสรรได้ ไม่มีประเด็นในเรื่องของราคาและสภาพคล่องของการซื้อขายที่ดิน เป็นต้น 4. ไม่จัดการและแบ่งมรดกให้เหมาะสมกับผู้รับ หลายครั้งที่เห็นในข่าวที่มีปัญหาเรื่องแก่งแย่ง คดีความ ฟ้องร้องเรื่องมรดก เนื่องจากเจ้ามรดกอาจไม่ได้มีการทำพินัยกรรมไว้ หรืออาจจะมีแต่ไม่ได้มีการจัดการที่ชัดเจนเหมาะสมกับผู้รับ ทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันและทะเลาะวิวาทในภายหลัง ในกรณีที่เจ้ามรดกมีทรัพย์สินเป็นจำนวนมากรวมถึงมีทายาทหลายคน ควรวางแผน ดังนี้ • จัดการแบ่งทรัพย์สินในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ • จัดแบ่งให้มีความเป็นธรรมและชัดเจนกับทายาททุกคน • มีการตกลงร่วมกัน หรือจัดให้มีการประชุม เพื่อบันทึกข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร • มีการประชุมทบทวนร่วมกันเป็นระยะ ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่ชัดเจนหรือปัญหาภายหลัง 5. ไม่ได้เตรียมการจัดสรรมรดกล่วงหน้าเพื่อผลประโยชน์ทางภาษี ถ้ามีการจัดการ 4 ข้อข้างต้นได้ดีแล้ว จะทำให้สามารถเตรียมการและวางแผนการเงิน สำหรับนำมาชำระภาษีที่อาจเกิดขึ้นได้ ตามตัวอย่างข้างต้น ที่มิสเตอร์โจ มีที่ดินมูลค่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งผู้รับมรดกจำเป็นต้องเสียภาษีจำนวน 5% ของส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท หากผู้รับทรัพย์มรดกเป็นบุพการี หรือผู้สืบสันดานของเจ้ามรดก และ 10% กรณีอื่น ๆ ดังนั้น ลูกมิสเตอร์โจหรือผู้รับมรดกต้องเตรียมการจัดสรรค่าภาษีการรับมรดกถึงคนละ 20 ล้านบาท ในกรณีนี้ มิสเตอร์โจ สามารถวางแผนโดยการจัดสรรเงินสดให้ลูกคนละ 20 ล้านบาท หรืออาจวางแผนโดยการใช้ประกันชีวิต ซึ่งอาจใช้เงินน้อยกว่า และมีประสิทธิภาพมากกว่า สรุป เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น เราสามารถเริ่มวางแผนมรดกได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ด้วยการ 1. รู้สถานะทางการเงินของตัวเองด้วยการทำบัญชีทรัพย์สินที่มีอย่างละเอียด 2. ศึกษาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 3. วางแผนให้ส่งต่อมรดกไปยังทายาทโดยได้รับประโยชน์สูงสุดทางภาษี เช่น การทยอยเปลี่ยนทรัพย์สินที่เสียภาษี เป็นทรัพย์สินที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น การใช้ประกันชีวิต เป็นต้น 4. พิจารณาความเหมาะสมในการมอบทรัพย์สินมรดกเพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับตัวเองและทายาทตามมา แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1474260
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
29/04/2024
Maison JE Bangkok อาร์ตสเปซแห่งใหม่ในกรุงเทพฯ จับมือกับ The Art Auction Center (TAAC) ผู้นำในธุรกิจประมูลงานศิลปะชื่อดังของไทย จัดแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัย 44 ชิ้นจาก 36 ศิลปินยุคใหม่ในธีม“Collectors Gathering: Conversation Among Collectors” นิทรรศการที่สะท้อนแนวคิดและมุมมองอันลุ่มลึก ที่นักสะสมมีต่อผลงานศิลปะร่วมสมัยและบริบททางสังคม เพราะงานศิลปะที่น่าประทับใจเปรียบเสมือนแก่นแท้และอรรถรสแห่งบทสนทนา เพื่อถ่ายทอดมุมมองสร้างสรรค์ของเหล่านักสะสมภายใต้แนวคิดที่ว่า ผลงานศิลปะทุกชิ้นล้วนมีความหมายอันลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ในตัวเอง ผลงานศิลปะอันเป็นที่รักของนักสะสม ล้วนแสดงถึงค่านิยมแห่งยุคสมัย รสนิยมอันรุ่มรวย และความเชื่อมโยงทางอารมณ์ที่นักสะสมมีต่องานศิลป์ เรื่องราวเหล่านี้อยู่เหนือวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ใด ๆ ทั้งยังยกระดับงานศิลปะให้กลายเป็นภาพสะท้อนแห่งห้วงอารมณ์ สุนทรียภาพทางความรู้สึกและความงาม รวมถึงเพิ่มคุณค่าของศิลปะให้มากขึ้นนิทรรศการครั้งนี้ เน้นให้ผู้ชมได้สัมผัสกับประสบการณ์การเดินทางของศิลปะจาก 36 ศิลปินชื่อดังทั้งชาวไทยและต่างชาติ อาทิ Kusama Yayoi, Alex Face, Pex - Pitakpong Jamesripong, Jirapat Tatsanasomboon, Aof Smith – Phromphiriya Kongsathit, Jayato - Autit Pohkham, Satoru KOIZUMI, Farley Del Rosario, Jeremy Yamamura, Takeru Amano, RYOL เป็นต้น โดยแบ่งออกเป็น 6 โซน เพื่อบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและเบื้องหลังอันมีเสน่ห์ในการคัดเลือกงานศิลปะแต่ละชิ้น บ่งบอกถึงความตั้งใจและเจาะลึกมุมมองที่แตกต่างกันของนักสะสมแต่ละคน เพื่อให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงแรงจูงใจในการสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างลึกซึ้งนิทรรศการ Collectors Gathering: Conversation Among Collectors จัดแสดงผลงานระหว่างวันที่ 12 ม.ค. - 11 ก.พ. 2567 เข้าชมได้ทุกวัน เวลา 12.00 – 20.00 น. ที่ Maison JE Bangkok ถนนสุรวงศ์ แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กรุงเทพฯ (พิกัด ที่นี่) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 096-221-1646 หรือติดตามได้ที่เว็บไซต์: https://maisonje.com/ และเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/maisonjebangkokแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/celebonline/detail/9660000116946
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
16/08/2024
20/11/2024
30/04/2024
29/04/2024
30/04/2024