คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ข่าวการเงิน

เปิดเทคนิคบริหารเงินโบนัส ให้คุ้มค่าเหนื่อยล้าทั้งปีที่เราแลกมา

29/04/2024

บทความโดย “ราชันย์ ตันติจินดา”  นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทย  วันที่ 15 มกราคม 2567 โบนัส เงินก้อนโตที่ปีหนึ่งจะได้สักครั้ง เพื่อเป็นรางวัลให้กับการทำงานหนักมาทั้งปี แล้วเราจะบริหารเงินโบนัสที่ได้นี้อย่างไรดี ให้คุ้มกับความเหนื่อยล้าทั้งปีที่แลกมา 1. ปย์ให้ตัวเอง แบ่ง 10-20% ของเงินโบนัส เพื่อเป็นรางวัลให้กับชีวิต เช่น ซื้อ Gadget ใหม่ ไปท่องเที่ยวต่างเมือง หรือทานอาหารหรู ๆ สักมื้อ ก็เป็นการเติมพลังให้กับชีวิต ทำให้มีกำลังใจในการทำงานต่อไป รวมถึงช่วยกระชับความสัมพันธ์สมาชิกในครอบครัวด้วยการใช้เวลาร่วมกัน แต่ก็ไม่ควรเปย์มากเกินไปเพราะเป็นเงินส่วนที่ใช้แล้วหมดไป แม้ส่งผลดีต่อจิตใจ แต่ไม่ช่วยลดต้นทุนหรือทำให้เงินงอกเงยได้ในอนาคต 2. ดหนี้ที่มี ลองเช็กหนี้สินที่มีอยู่ ว่ามีหนี้ไหนคิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกบ้าง มียอดหนี้เหลืออยู่เท่าไร ถูกคิดอัตราดอกเบี้ยกี่ % ต่อปี พร้อมทั้งเรียงลำดับจากหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงที่สุดและหนี้คงเหลือน้อยที่สุดก่อน เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล บัตรกดเงินสด บัตรเครดิต หนี้บ้าน ฯลฯ หากมีหนี้ไหนที่ดอกเบี้ยสูงกว่า 10% ต่อปี เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล บัตรกดเงินสด บัตรเครดิต ฯลฯ ควรนำเงินโบนัสส่วนใหญ่ เช่น 50-70% ของโบนัส ไปเร่งปิดหนี้ส่วนนี้ เพื่อลดต้นทุนดอกเบี้ยให้เหลือน้อยที่สุด ทำให้อนาคตสามารถเก็บเงินได้มากขึ้น 3. นเงินไว้ ให้อุ่นใจ การมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินช่วยให้อุ่นใจได้ว่าจะมีเงินไว้รองรับกับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด ทำให้สามารถใช้ชีวิตไว้อย่างสบายใจและโฟกัสกับการทำงานได้มากขึ้น รวมถึงยังเพิ่มความมั่นใจได้ว่าเงินเก็บส่วนที่เกินกว่าเงินสำรองนั้น สามารถนำไปลงทุนในทางเลือกที่มีพันธะด้านระยะเวลาลงทุน เช่น พันธบัตร หุ้นกู้ กองทุน Term Fund หรือมีความเสี่ยงที่มากขึ้นได้ เช่น กองทุนผสม หุ้น กองทุนหุ้น รวมถึงกองทุน SSF/RMF ฯลฯ เงินสำรองเผื่อฉุกเฉินที่ดี ควรมีจำนวนให้เพียงพอกับค่าใช้จ่าย 6 เดือน ในทางเลือกที่พร้อมถอนหรือนำออกมาใช้จ่ายได้ทันเวลา เช่น เงินฝากที่โอนเงินผ่านมือถือ ถอนผ่านตู้ ATM/สาขาธนาคารได้ทันที หรือกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่ขายคืนและได้รับเงินคืนภายใน 1 วันทำการถัดจากวันที่ขายคืน ฯลฯ โดยปัจจุบันทางเลือกเก็บเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินที่น่าจะตอบโจทย์คนส่วนใหญ่ คือ เงินฝาก e-Savings ที่หลายธนาคารให้ดอกเบี้ยสูงถึง 1.5% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนที่ผ่านมาของกองทุนตราสารหนี้หลายกองทุน ทั้งยังมีความเสี่ยงต่ำกว่าและมีความคล่องตัวในการถอนหรือโอนมากกว่าด้วย 4. ยอยสร้าง Passive Income แหล่งรายได้ที่มั่นคงโดยไม่ต้องออกแรงทำงาน เริ่มต้นได้ไม่ยาก แต่หากจะให้มีจำนวนเพียงพอกับการใช้จ่ายโดยเฉพาะช่วงหลังเกษียณอายุ คงไม่สามารถทำได้ทันทีแต่สามารถทยอยเริ่มได้ทีละน้อยและสะสมจนเพียงพอกับการใช้จ่ายในที่สุด ตัวอย่างเช่น การสร้าง Passive Income ด้วยประกันชีวิตแบบบำนาญ ที่จ่ายเบี้ยสั้น ๆ เช่น 5 ปี สามารถเริ่มต้นด้วยการแบ่งเงินโบนัสส่วนหนึ่ง อาจจะสัก 50,000 บาท เพื่อเตรียมเป็นเบี้ยประกันบำนาญปีละ 10,000 บาท  แล้วหากปีหน้าได้รับเงินโบนัสอีกก็แบ่งเงินเพื่อเป็นเบี้ยประกันบำนาญฉบับต่อ ๆ ไปได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีเงินเป็นค่าเบี้ยประกันปีต่ออายุหรือไม่ โดยเงินบำนาญรวมที่จะได้รับตอนเกษียณ ก็มีโอกาสที่จะเพียงพอกับการใช้จ่ายได้ในที่สุด นอกจากประกันบำนาญแล้ว ยังมีทางเลือกในการสร้าง Passive Income อื่นอีก เช่น พันธบัตร/หุ้นกู้ ที่หากทยอยลงทุนจากเงินโบนัสที่ได้รับในแต่ละปี รวมถึงนำดอกเบี้ยและเงินครบกำหนดที่ได้รับจากเงินลงทุนแต่ละก้อนไปลงทุนต่อใน พันธบัตร/หุ้นกู้ ที่ออกใหม่เรื่อย ๆ ก็ช่วยให้มี Passive Income มากขึ้นได้ในอนาคต หรือหากสะสมไว้หลายปีจนมากพอที่จะนำไปลงทุนคอนโดด้วยเงินสดเพื่อปล่อยเช่า ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ทำได้เช่นกัน 5. งทุนให้งอกเงย การลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงยจำเป็นต้องลงทุนในทางเลือกที่มีความเสี่ยง แต่หลายคนยังกังวลกับความเสี่ยงนั้น จึงเลือกที่จะเก็บเงินหรือลงทุนในทางเลือกความเสี่ยงต่ำที่เน้นความปลอดภัยของเงินต้น อย่างไรก็ตามเงินโบนัสเป็นเงินที่ได้มาปีละหนึ่งครั้ง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับเงินใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เงินที่แบ่งจากเงินโบนัสเพื่อนำไปลงทุน จึงสามารถเป็นเงินที่รับความเสี่ยงได้สูงกว่าเงินเก็บส่วนอื่น โดยอาจแบ่ง 10-30% ของเงินโบนัส ไปลงทุนในกองทุนผสมหรือกองทุนหุ้น ในภูมิภาคหรือธีมการลงทุนที่ชื่นชอบ เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น หรือเลือกลงทุนในกองทุน SSF/RMF ที่เป็นกองทุนหุ้น/ผสม เพื่อผลประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมได้ เงินโบนัส ถือว่าเป็นรางวัลตอบแทนจากการทำงานด้วยความเหนื่อยล้ามาทั้งปี ที่ต้องจัดสรรให้ดีเพื่อเป็นรางวัลให้กับตนเองด้วยเทคนิคการบริหารที่เหนือล้ำเพื่อให้มีเงินมากขึ้นได้ในอนาคต แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจhttps://www.prachachat.net/finance/news-1479082

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

สมาคมประกันชีวิตไทยชวนต่อยอดโบนัสและเงินคืนภาษีให้งอกเงยอย่างมั่นคง

29/04/2024

สมาคมประกันชีวิตไทย ชวนออมเงินโดยนำเงินโบนัส เงินคืนภาษี มาต่อยอดให้งอกเงยมั่งคั่ง พร้อมสร้างความมั่นคงให้ตนเองและครอบครัวด้วยผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตนายพิชา สิริโยธิน ผู้อำนวยการบริหาร สมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยว่า ช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ผ่านมาหลายๆ คนอาจเริ่มต้นปีด้วยข่าวดีกับการได้รับโบนัสก้อนโต และยังได้รับคืนเงินภาษีมาให้ชื่นใจ ซึ่งเชื่อว่าหลายคนคงวางแผนซื้อความสุขให้กับตนเองและคนที่รักไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม ขอแนะนำให้แบ่งใช้ แบ่งเก็บเพื่ออนาคตโดยการต่อยอดเงินออมให้งอกเงย สร้างความมั่งคั่งและมั่นคงอย่างยั่งยืนแบบมีวินัยการเก็บออมอย่างสม่ำเสมอด้วยผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ หรือประกันอุบัติเหตุ ซึ่งนอกจากการเก็บออมแล้วก็ยังจะได้รับความคุ้มครองชีวิต คุ้มครองสุขภาพ หรือคุ้มครองอุบัติเหตุ เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน เป็นการลดภาระให้กับตัวเองและครอบครัว ไม่ดึงเงินเก็บออกมาใช้ในยามฉุกเฉิน ถือเป็นวิธีสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตและอนาคตสำหรับผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตนั้นมีหลากหลายให้เลือกตามความต้องการและความเหมาะสมของแต่ละบุคคล เช่น แบบประกันสะสมทรัพย์ (Endowment Insurance) ซึ่งเป็นส่วนผสมของการคุ้มครองชีวิตและการออมทรัพย์ โดยบริษัทรับประกันภัยจะจ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัยเมื่อครบกำหนดสัญญา หรือ ให้กับบุคคลที่ผู้เอาประกันภัยระบุไว้ว่าจะมอบประโยชน์ให้หากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตทั้งนี้ ในรายละเอียดของบางแบบประกันชีวิตสะสมทรัพย์อาจจะมีเงินคืนระหว่างสัญญา ซึ่งประกันแบบดังกล่าวนี้ยังเหมาะที่จะสะสมเป็นเงินทุนเพื่อเป้าหมายที่สำคัญของชีวิต หรือทำไว้ให้กับบุตรหลานเพื่อเป็นการสร้างความมั่นคง เป็นทุนการศึกษา เป็นมรดก รวมถึงเป็นทุนไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเมื่อยามเติบโตได้อีกด้วยส่วนผู้ที่ชื่นชอบการลงทุน ก็ยังมีประกันชีวิตแบบควบการลงทุน (Unit Linked) ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความคุ้มค่าทั้งด้านความคุ้มครองชีวิตและโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากการลงทุน มีลักษณะสำคัญคือมีความยืดหยุ่น เพราะผู้เอาประกันภัยสามารถเลือกลงทุนด้วยตนเองจากกองทุนรวมที่บริษัทประกันชีวิตคัดสรรไว้ โดยที่ได้รับความคุ้มครองจากการประกันชีวิตรวมอยู่ด้วย หรือจะวางแผนออมเงินเพื่อวัยเกษียณ ประกันชีวิตแบบบํานาญ (Pension) ก็สามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นแบบที่มุ่งเน้นการออมเงินในขณะที่ผู้เอาประกันภัยกำลังอยู่ในวัยทำงานและเป็นผู้มีรายได้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเก็บไว้เป็นรายได้ยามเกษียณ โดยเก็บสะสมไว้ทุกปีและเมื่อถึงวัยเกษียณ 55 ปี หรือ 60 ปี บริษัทก็จะจ่ายเป็นเงินบำนาญให้ตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตถือเป็นการสร้างวินัยการออมที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้จะมีสภาพคล่องน้อยกว่าฝากเงินกับธนาคารเนื่องจากไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ก่อนครบกำหนดสัญญา แต่ถือเป็นการนำเงิน ไปต่อยอดที่คุ้มค่า เพราะการลงทุนหรือออมผ่านประกันชีวิตมีการคุ้มครองชีวิตเป็นหลัก หากมีเหตุทำให้ ผู้เอาประกันภัยไม่สามารถส่งเบี้ยประกันภัยต่อไปได้ ครอบครัวหรือผู้ได้รับผลประโยชน์ก็ยังสามารถ ได้รับผลประโยชน์ที่มากกว่าเงินออมหรือการลงทุนประเภทอื่นๆ ผู้อำนวยการบริหาร สมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวเพิ่มเติม แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับสยามรัฐออนไลน์https://siamrath.co.th/n/506236

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

วัดเขาดิน วัดไทยสไตล์ญี่ปุ่น มุมถ่ายรูปเพียบ เหมือนยกญี่ปุ่นมาไว้สุพรรณฯ

29/04/2024

วันนี้ Sanook Travel พาไปชม วัดเขาดิน สุพรรณบุรี วัดสวยสไตล์ญี่ปุ่น น่าไปเช็กอินถ่ายรูป เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับวัดนี้ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่งของจังหวัดสุพรรณบุรี ตั้งอยู่ที่อำเภอเดิมบางนางบวช ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ บรรยากาศภายในวัดบอกเลยว่าเหมือนอยู่ญี่ปุ่นจริงๆ ทั้งแมวควัก เสาโทริอิ ตัว Daruma และตัวอักษรญี่ปุ่นที่ตกแต่งตามทางเดิน สวยงามน่าไปถ่ายรูปมากนอกจากนี้มีองค์เจดีย์สีทองขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนยอดเขา เป็นจุดศูนย์กลางของทางวัด ที่ประชาชนสามารถเดินขึ้นไปสักการะกันได้ ผ่านทางซุ้มเสาโทริอิ ให้ฟีลเหมือนไปเที่ยวศาลเจ้าญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้มาเดินเที่ยวหามุมถ่ายรูปสวยๆ พักผ่อนในช่วงวันหยุดกันได้ทั้งครอบครัว หรือจะมาไหว้พระทำบุญ เพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิตก็ได้เช่นกัน หากมีเวลาว่างลองแวะมาชมกันครับไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ด้วยรับรองได้รูปสวยแน่นอน วัดเขาดิน สุพรรณบุรี    ที่ตั้ง : 75 ตำบล เขาดิน อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี    พิกัด : https://goo.gl/maps/QfrqXh1PN1GMThCc9    ติดต่อ : 086 411 2496ขอขอบคุณภาพ :BoY AnaTแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับsanookhttps://www.sanook.com/travel/1441855/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

เด็กหญิง 4 ขวบ สุดแข็งแกร่ง พิชิตเอเวอเรสต์ เบสแคมป์ อายุน้อยสุดทุบสถิติโลก

29/04/2024

เด็กหญิง 4 ขวบ สุดแข็งแกร่ง พิชิตเอเวอเรสต์ เบสแคมป์ อายุน้อยสุดทุบสถิติโลก พ่อเผยเลี้ยงลูกมายังไงถึงได้อึดขนาดนี้เด็กหญิงวัย 4 ขวบที่กลายเป็นบุคคลอายุน้อยที่สุด ที่สามารถพิชิต เอเวอเรสต์ เบสแคมป์ ในเนปาล กับความสูง 5,364 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลเด็กหญิงซารา วัย 4 ขวบ กับพี่ชายวัย 7 ขวบ และ นายเดวิด ชิฟรา ผู้เป็นพ่อ เป็นพลเมืองของสาธารณรัฐเช็กที่อาศัยอยู่ในมาเลเซีย พูดได้ 3 ภาษา คือ เช็ก จีน และอังกฤษ เดินทางปีนเขาเป็นระยะทางกว่า 273 กิโลเมตร จนถึงจุดหมายปลายทางที่เบสแคมป์ของยอดเขาเอเวอเรสต์ได้สำเร็จ เดวิดกล่าวว่าเขาจะคอยตรวจวัดระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดของลูกๆ อยู่ตลอด ซึ่งค่าออกซิเจนในเลือดของซาร่าไม่เคยต่ำกว่า 90% เลย เธอปรับตัวเข้ากับสภาพความสูงได้ดี ซาร่าตัวน้อยไม่เคยอาบน้ำอุ่นเลย ในทางกลับกัน เธอกลับเติมน้ำแข็งเข้าไป แม้อุณหภูมิ -20 ถึง -25 °C ความเย็นไม่ได้ทำให้เธอมีปัญหาใดๆ ต้องขอบคุณร่างกายที่แข็งแรงมากๆ ของเธอซาราเดินแซงหน้านักปีนเขาหลายร้อยคน ผู้เป็นพ่อรู้สึกทึ่งในตัวลูกสาวมากๆ ว่าจัดการทั้งร่างกายและสภาพจิตใจได้อย่างไร แต่เชื่อว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการการเลี้ยงลูกที่ไม่ธรรมดา เขาฝึกให้เธอเดินป่าตั้งแต่ยังเล็ก คุ้นชินกับการใช้ชีวิตอยู่กับชนเผ่าในป่ามาเลเซีย จนในที่สุดซาราก็ทำลายสถิติโลกได้อย่างน่าทึ่ง โดยเด็กอายุน้อยที่สุดที่เคยครองสถิติไปถึงเอเวอเรสต์ เบสแคมป์ คือ ด.ญ.พริชา โลเคช นิคาโจ ซึ่งมีอายุเพียง 5 ขวบตอนที่ไปถึงเบสแคมป์เมื่อปี 2023เอเวอเรสต์ เบสแคมป์ คือหนึ่งในจุดหมายที่นักปีนเขาหลายคนอยากจะพิชิต แต่การเดินทางไปยังเบสแคมป์ของเอเวอเรสต์ก็ทำให้ร่างกายต้องทำงานหนัก หากปรับตัวให้ชินกับความสูงและสภาพอากาศไม่ได้ก็อาจเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตได้ มีนักปีนเขาไม่น้อยที่เอาชีวิตไปทิ้ง และร่างไร้วิญญาณยังถูกแช่แข็งอยู่ในจุดที่เสียชีวิตแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับsanookhttps://www.sanook.com/news/9187574/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

ก่อนเป็นหนี้…ต้องรู้อะไรบ้าง ?

29/04/2024

บทความโดย “ณัฎฐ์วัฒน์  วรพุทธาฉัตร” AFPTTM, IP สมาคมนักวางแผนการเงินไทย วันที่ 16 มกราคม 2567 ปัจจุบันการขอใช้สินเชื่อมีความสะดวก รวดเร็ว โดยเฉพาะสินเชื่อส่วนบุคคล และยิ่งมีการอนุมัติวงเงิน Microfinance เป็นไปโดยง่าย ประกอบกับขั้นตอนการตรวจสอบไม่เคร่งครัดนัก ส่งผลให้มีโอกาสที่จะเกิดปัญหาการใช้จ่ายเกินตัวค่อนข้างสูง เช่น การใช้สินเชื่อผ่านบัตรกดเงินสดหรือบัตรเครดิต ซึ่งเป็นการนำเงินในอนาคตมาใช้ล่วงหน้า ประกอบกับถ้าผู้ใช้แยกไม่ออกว่าอะไรคือ ความจำเป็น (Need) อะไรคือ ความต้องการ (Want) เปรียบเสมือนการขาดวินัยทางการเงิน ย่อมส่งผลกระทบในรูปแบบต่าง ๆ ที่จะตามมา ไม่ว่าจะเป็นการขาดสภาพคล่อง การกู้เงินในระบบและนอกระบบ การใช้สินเชื่อผิดประเภท  เช่น การกู้หนี้ระยะสั้นเพื่อมาเคลียร์หนี้ระยะยาว และท้ายสุดก็จะเป็นดินพอกหางหมู เกิดหนี้สินล้นพ้นตัว ผลที่ตามมาคือ การถูกฟ้องคดีแพ่ง (ถ้ากู้ในระบบ) หรือโดนทวงหนี้โหด (ถ้ากู้นอกระบบ) อย่างไรก็ตาม หากเข้าใจกฎ 72 จะไม่เลือกทำวิธีนี้กฎ 72 สามารถใช้หาระยะเวลาว่าเงินที่กู้มาจะเพิ่มเป็น 2 เท่าใช้เวลากี่ปี หรือถ้ารู้เวลาก็สามารถหาอัตราดอกเบี้ยได้เช่นกัน โดยเอา 72 เป็นตัวตั้ง หารด้วยอัตราดอกเบี้ยที่กู้มาต่อปี ก็จะได้ระยะเวลาที่เงินจะกลายเป็น 2 เท่า หรือเอาระยะเวลาที่กู้ต่อปีหาร ก็จะได้อัตราดอกเบี้ยที่กู้มา จะได้อัตราดอกเบี้ยที่กู้มาต่อปีเช่นกัน นอกจากนี้ควรจะรู้ต้นทุนของสินเชื่อว่ามีกี่แบบ แต่ละแบบคิดอย่างไร จะได้วางแผนว่าควรจะกู้แบบไหนที่เหมาะสมกับสิ่งที่จำเป็นและต้องการ และเกิดผลกระทบต่อตัวผู้กู้น้อยที่สุด โดยต้นทุนของสินเชื่อ (Cost of Credit) มีวิธีการคำนวณดอกเบี้ย 3 วิธี 1.แบบลดต้นลดดอก (Simple Interest Method) เช่น การกู้บ้าน เจ้าหนี้จะคิดอัตราดอกเบี้ยจากมูลหนี้ที่เหลืออยู่ ซึ่งจะเท่ากับดอกเบี้ยที่แท้จริง (Effective Rate) ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ตั้งแต่ต้น 2.แบบหักดอกล่วงหน้า (Discount Method) เช่น แชร์หักดอก หรือจำนองบ้าน จะโดนหักดอกเบี้ยล่วงหน้า ตัวอย่างกู้เงิน 1 ล้านบาท ถ้าคิดดอกเบี้ย 10% ต่อปี แต่หัก 1 เดือนล่วงหน้าจะได้เงินจริง 9 แสนบาท ซึ่งดอกเบี้ยที่แท้จริงเท่ากับ 11.11% 3.แบบเงินต้นคงที่ (Add-on Method หรือ Flat Rate) เช่น การผ่อนรถหรือสินค้าเงินผ่อน หรือการกู้เงินเพื่อการบริโภค เจ้าหนี้จะบวกดอกเบี้ยที่ลูกหนี้ต้องชำระทั้งหมดเข้าไปกับเงินต้นแล้วเฉลี่ยเป็นงวด ๆ ตามจำนวนที่ลูกหนี้ต้องชำระ ยิ่งชำระนานดอกเบี้ยจะยิ่งแพงเนื่องจากเงินต้นลดลง  ปกติดอกเบี้ยต้องลดตาม แต่ในความเป็นจริงวิธีนี้ จะคิดจากเงินต้นที่กู้มาครั้งแรก ทำให้ดอกเบี้ยที่แท้จริงจะเท่ากับดอกเบี้ยในงวดแรกเท่านั้น ส่วนงวดต่อ ๆ ไปจะสูงกว่าดอกเบี้ยที่กำหนด ยิ่งการผ่อนรถมือสอง นอกจากจะต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงแล้ว ยังมีภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อีก 7% ทุก ๆ งวดที่มีการผ่อน ซึ่งผู้เช่าซื้อรถมือสองถือว่าเสียเปรียบทุกประเด็น การเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ก่อนตัดสินใจก่อหนี้ควรถามตัวเองก่อนว่า ก่อหนี้เพื่ออะไร มีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน มีรายได้เพียงพอจ่ายหนี้คืนหรือไม่ เพื่อทำให้การเป็นหนี้ไม่กลับมาสร้างปัญหาให้ตัวเอง แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1479970

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

สุขภาพ

ทำไมมะเร็งถือว่าเป็นโรคร้ายที่ควรระวังเสมอ

29/04/2024

เมื่อเอ่ยถึงโรคมะเร็ง เชื่อว่าหลายคนก็คงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าเป็นโรคที่ร้ายแรง ซึ่งเป็นสาเหตุที่คร่าชีวิตของคนไทยเป็นอันดับ 1 เลยก็ว่าได้ เพราะเป็นโรคที่ร้ายแรงและเป็นโรคเรื้อรัง มักจะพบเห็นอาการได้เฉพาะระยะที่ลุกลามแล้ว จึงส่งผลให้การรักษาเป็นสิ่งที่มีความซับซ้อนมากๆ ฉะนั้นจึงทำให้โรคมะเร็งเป็นโรคร้ายแรงที่มีโอกาสรักษาหายได้ยาก โรคมะเร็งคืออะไร? ทำไมถึงอันตรายตามมาไขข้อสงสัย โรคร้ายแรง อย่างโรคมะเร็งคืออะไร? ทำไมถึงมีความอันตราย โรคมะเร็งก็คือโรคที่ได้มีการเกิดขึ้นมาจากความเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเซลล์ ซึ่งเซลล์มะเร็งจะมีการแบ่งตัวและมีการเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งเข้าไปทำลายการทำงานต่างๆ ของอวัยวะ จากนั้นจะมีการลุกลามไปบริเวณใกล้เคียง จึงทำให้โรคมะเร็งกลายเป็นโรคที่มีความอันตรายและร้ายแรงมากที่สุดเป็นอันดับ 1 เมื่อเป็นแล้วสามารถรักษาหายได้ยาก มีโอกาสสูงมากที่จะทำให้เสียชีวิตได้ สามารถพบได้ทางเพศหญิงเพศชายสำหรับเพศชาย มะเร็งที่พบได้บ่อยมากที่สุด คือ   •  มะเร็งต่อมลูกหมาก   •  มะเร็งปอด   •  มะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง   •  มะเร็งน้ำเหลือง   •  มะเร็งตับและท่อน้ำดีสำหรับเพศหญิง มะเร็งที่พบได้บ่อยมากที่สุด คือ   •  มะเร็งเต้านม   •  มะเร็งปากมดลูก   •  มะเร็งตับและท่อน้ำดี   •  มะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง   •  มะเร็งปอดทำความรู้จักสัญญาณเตือนอันตรายโรคมะเร็ง รู้ก่อน เลี่ยงเสียชีวิตได้แม้ว่าโรคมะเร็งอาจจะเป็นโรคที่ไม่ได้มีอาการแสดงบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเป็นมะเร็งก็จริง แต่ก็มีสัญญาณเตือนภัยของโรคมะเร็งที่จะระบุให้ทุกท่านได้ทราบก่อน จะมีอาการเบื้องต้นอะไรบ้างที่บ่งบอกว่าเป็นโรคมะเร็ง ตามไปดูกันเลย   •  ตรวจพบว่ามีก้อนเนื้อที่เติบโตอย่างรวดเร็ว หรืออาจจะมีแผลเรื้อรัง รักษาเบื้องต้นอย่างไรก็ไม่หายสักทีภายใน 1-2 สัปดาห์   •  พบว่าไอเรื้อรัง เสียงแหบ มีเสมหะหรือมีเสมหะปนเลือด   •  มีอาการเบื่ออาหาร รับประทานอาหารได้ลำบาก และน้ำหนักลดไม่มีสาเหตุ   •  มีกลิ่นปากที่รุนแรงหรือหายใจลำบาก   •  ตรวจพบว่ามีระบบขับถ่ายที่ผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็น ระบบขับถ่ายแปรปรวน และปัสสาวะเปลี่ยนไปจากเดิม   •  ผิดปกติของผิวหนัง ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ อาทิ มีปานขึ้น มีหูด มีไฝ เป็นต้น   •  ตรวจพบว่ามีของเหลวผิดปกติหรือมีเลือดไหลออกจากร่างกาย อาทิ มีอาการตกขาว เลือดกำเดาออกเรื้อรัง หรือมีของเหลวออกจากหัวนม เป็นต้นสรุปบทความการทำ ประกันมะเร็ง ถึงแม้จะไม่ช่วยทำให้มะเร็งหาย เพราะจะต้องพึ่งหมอ แต่ประกันมะเร็งจะสามารถช่วยคุ้มครองค่ารักษาและค่าอื่นๆ อีกมากมาย ที่ทำให้ผู้ป่วยรวมไปถึงคนในครอบครัวสบายใจขึ้นมาก ไม่ก็น้อย และแน่นอนว่าสามารถเข้าถึงการรักษาที่ดีที่สุดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ทำให้ยุคนี้ผู้ที่มีอายุเพิ่มมากขึ้นสามารถที่จะหายจากมะเร็งได้หากรู้ทันและรู้ไวแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับสยามรัฐออนไลน์https://siamrath.co.th/n/506296

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

นิทรรศการศิลปะล้ำค่า "กมล ทัศนาญชลี" ศิลปินแห่งชาติ

29/04/2024

สัปดาห์นี้ “พี่ม้ามังกร” ขอพาน้องๆไปชมนิทรรศการศิลปะสุดล้ำค่า ใน นิทรรศการ “ผลงานศิลปะ 80 ปี กมล ทัศนาญชลี ศิลปินแห่งชาติ” ที่ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน จัดขึ้นถึงวันที่ 11 ก.พ.นี้ โดยการสนับสนุนของ สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรมสร้างความตื่นเต้นให้กับคนวงการศิลปะ เมื่อ ดร.กมล ทัศนาญชลี ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2540 สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรมและสื่อผสม) ซึ่งได้รับการยกย่องให้ เป็น “ศิลปินสองซีกโลก” ระหว่างประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา ได้นำผลงานที่ได้สร้างสรรค์มาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 60 ปี เกือบ 100 ชิ้น มาจัดแสดงให้ได้ชมกันอย่างใกล้ชิด เนื่องในโอกาสอายุครบรอบ 80 ปี ในปี 2567 เพื่อให้ศิลปินรุ่นใหม่และประชาชนที่สนใจงานศิลปะได้มีโอกาสเรียนรู้ผลงานที่นำมาเสนอ ล้วนเป็นศิลปะอันเป็นเอกลักษณ์ของการผสม ผสานระหว่างตะวันออกและตะวันตก ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มจนถึงยุคปัจจุบัน โดยผลงานบางชิ้นแทบไม่เคยนำออกมาแสดงให้เห็นมาก่อน ได้แก่ จิตรกรรมสีน้ำมัน “เขียนตัวเอง” ผลงานวาดเส้น “โลกแห่งความยุ่งยาก” ในสมัยที่ไปศึกษาและพำนักอยู่ที่ประเทศสหรัฐ อเมริกา โดย ดร.กมล ได้สร้างผลงานในช่วงอารมณ์ และความรู้สึก คิดถึงห่วงใยประเทศไทย ซึ่งเป็นแผ่นดินเกิดในภาวะสงคราม โดยนำมาจัดแสดงถึง 4 ภาพขณะเดียวกันมีการนำผลงาน ประติมากรรม “พระพุทธบาท” ที่ผสมผสานวัสดุ สเตนเลส แก้ว เซรามิก เครื่องปั้นดินเผา มาสร้างสรรค์ในรูปแบบต่างๆด้วยแนวคิด สัญลักษณ์ ธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ มาผสมผสานกัน สะท้อนแนวคิดทางพระพุทธศาสนาและรากเหง้าทางศิลปวัฒนธรรม เข้ามาไว้ในผลงานศิลปะได้อย่างลงตัว และยังมี ประติมากรรมรูป “ยูนิคอน” จากการเชื่อมและฉลุสเตนเลส ตั้งตระหง่านกลางโถงห้องจัดแสดงทั้งยังมีงาน ศิลปะจิตรกรรม สื่อผสมบนไม้ ใช้สีอะคริลิก สีน้ำมันบนผ้าใบ ชุด “หนังใหญ่-วิถีวัฒนธรรม” ที่นำความโดดเด่นของหนังใหญ่ เอกลักษณ์ของศิลปะไทย และวัสดุไม้ และผสมผสานสีสันสดใส และลวดลายต่างๆ ชุด สื่อผสม กระดาษทำมือ “วิถีแห่งธรรม” และ “จตุธาตุ” ที่ถ่ายทอดปรัชญาพระพุทธศาสนา ขณะที่ผลงานที่ฉุดสายตาและอารมณ์ของผู้ชมได้ไม่น้อย ก็คือ “จิตรกรรมรูปสัตว์ ชุดนกอินทรี และม้า” ที่ใช้สีฉูดฉาด ให้อารมณ์และความรู้สึกอันทรงพลังนอกจากการแสดงผลงานของ ดร.กมล ที่หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน ในครั้งนี้แล้วยังมีการจัดแสดงผลงานอย่างยิ่งใหญ่ ใน นิทรรศการ “ศิลปะย้อนอดีต 80 ปี กมล ทัศนาญชลี” ที่หอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้า สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 16 ม.ค.-18 มี.ค. ซึ่งจะมีไฮไลต์สำคัญ คือผลงานมาสเตอร์พีซของ ดร.กมล ผลงานสะสมของศิลปินระดับโลก, ผลงานของเพื่อนศิลปินแห่งชาติ และศิลปินที่มีชื่อเสียง และผลงานที่ได้สร้างสรรค์บนผ้าใบชิ้นเดียวกัน ร่วมกับ ดร.ถวัลย์ ดัชนี อีกด้วย..แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/news/local/2754927

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

ป่าต้นน้ำบ้านน้ำราด โอเอซิสกลางป่าแห่งสุราษฎร์ธานี

29/04/2024

อากาศร้อนๆ แบบนี้ไปหาที่เที่ยวเล่นน้ำให้ชุ่มฉ่ำใจกันไหม? Sanook Travel มีสถานที่เที่ยวแห่งหนึ่งในจังหวัดสุราษฎร์ธานีมาแนะนำให้ทุกคนได้ไปตามรอยกัน ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นโอเอซิสที่ตั้งอยู่กลางป่าใหญ่เลยก็ว่าได้ กับบ่อน้ำสีฟ้าสุดมหัศจรรย์ที่ป่าต้นน้ำบ้านน้ำราด อำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่นี่เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีความใสสะอาดมากๆ ย้ำว่าใสมากจริงๆ มองจากด้านบนยังสามารถเห็นพื้นด้านล่างได้แบบชัดเจน บ่อน้ำมีขนาดกว้างใหญ่พอสมควรสามารถลงไปว่ายน้ำเล่นกันได้ บรรยากาศโดยรอบถูกโอบล้อมไว้ด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ที่เขียวขจียิ่งมองยิ่งสบายตา บอกเลยว่าใครได้มาสัมผัสบรรยากาศแบบนี้ต้องฟินกันทุกคนแน่นอนและสาเหตุที่บ่อน้ำแห่งนี้ยังมีความใสสะอาดและสวยงามเช่นนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่าทางเจ้าหน้าที่นั้นได้มีมาตรการดูแลรักษาความสะอาดเป็นอย่างดีตั้งแต่หน้าทางเข้าที่จะมีการตรวจสอบขยะและจำกัดจำนวนสัมภาระของนักท่องเที่ยวทุกคน เพราะฉะนั้นทุกคนที่มาจึงเข้ามาได้แค่เล่นน้ำเท่านั้น ไม่มีการนำของมาดื่มมากินให้สกปรกเหมือนที่อื่นๆ ซึ่งนี่ถือเป็นสิ่งที่ดีมากๆในช่วงหน้าร้อนแบบนี้มาชมบรรยากาศสวยๆ ท่ามกลางป่าอันอุดมสมบูรณ์ มาแช่น้ำคลายร้อนๆ กลางบ่อน้ำใสๆ สีฟ้าสวยงาม พาตัวเองออกห่างจากความวุ่นวายแล้วมาพักผ่อนให้สบายใจที่โอเอซิสกลางป่าแห่งนี้กันครับข้อมูลเพิ่มเติมที่ตั้งป่าต้นน้ำบ้านน้ำราด : หมู่ 4 บ้านน้ำราด ตำบลบ้านทำเนียบ อำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี เวลาเปิด - ปิด : 9.00 -17.00 น.แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับsanookhttps://www.sanook.com/travel/1415005/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวทั่วไป

ระวังหลุมพรางทางอารมณ์ ที่คุกคามความก้าวหน้า

29/04/2024

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดูแลตนเองให้เป็นบุคลากรที่มีคุณภาพและทรงคุณค่าตลอดเวลา โดยเฉพาะในระดับบริหารที่มีการแข่งขันสูง ในเส้นทางการไต่เต้า ถ้าไม่ระมัดระวัง เราอาจจะถลำเข้าไปในหลุมพรางทางอารมณ์โดยไม่รู้ตัว เช่น มีความรู้สึกไม่มั่นคง หรือมีความวิตกกังวลมากเกินไปต่อความเห็นของผู้อื่น หรือมีความมั่นใจในตนเองสูงเกินไป หรืออาจจะเบื่อไม่สนุกกับการทำงานหนักเหมือนเมื่อก่อน ทันทีที่เราตกลงไปในหลุมพรางเหล่านี้ ก็เป็นการยากที่จะพาตัวเองให้หลุดพ้นออกมา เราจะสูญเสียมุมมองที่จำเป็นต่อการเห็นว่ามีอะไรผิดพลาดไปบ้าง ต่อไปนี้คือ หลุมพรางทางอารมณ์ 6 ข้อ ที่เป็นบทเรียนสรุปจากผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในระดับโลกว่า มักเป็นภัยคุกคามต่อความก้าวหน้าในอาชีพการงาน 1. Complacency ความพึงพอใจจนประมาท คนที่เคยสร้างผลงานที่เป็นที่ยอมรับ มักจะรู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองทำมาโดยตลอดนั้นดีแล้ว เชื่อมั่นว่า ตัวเองรู้ดีที่สุด ไม่มีความตื่นเต้นต่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ความช่างสงสัยและระมัดระวังหายไป มองไม่เห็นความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น มองสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ไม่ออกเพราะความชะล่าใจ จึงไม่สามารถคิดในเชิงสร้างสรรค์ได้ วิธีแก้ไขก็คือ ต้องให้คุณค่าต่อความกระตือรือร้น คอยเตือนตนเองอย่างสม่ำเสมอว่า ตัวเราเล็กแค่ไหนในสิ่งที่เรารู้อย่างแท้จริง ในโลกกว้างยังมีสิ่งที่เราไม่รู้อีกมากมายรออยู่ 2. Conservatism ความอนุรักษนิยม คนที่ประสบความความสำเร็จในอดีต ก็มักจะยึดติดกับความคิดและกลยุทธ์ที่เคยใช้ได้ดีตลอดมา และเสพติดกับความสะดวกสบายที่เคยได้รับ ไม่อยากเสี่ยงที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบหรือแนวทางใหม่ๆ การรักษาสถานภาพเดิมๆ เป็นอุปสรรคต่อความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งต้องการการกระทำที่อาจหาญและกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตามความจำเป็น ฉะนั้น จึงไม่ควรปล่อยให้ความอนุรักษนิยมลักษณะนี้คืบคลานเข้ามา 3. Dependency การพึ่งพาอาศัย ในช่วงที่ผ่านมา เราอาจจะทำงานโดยพึ่งพาการกำกับแนะนำของหัวหน้าจนเคยชิน เมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจโดยอิสระด้วยตนเอง การใช้ดุลยพินิจอย่างมีมาตรฐานเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เราต้องสามารถแยกแยะได้ว่า สิ่งใดที่คุ้มค่าที่จะให้ความใส่ใจ และสิ่งใดที่ควรจะมองข้ามไป โดยพัฒนามาตรฐานภายในเกี่ยวกับคุณค่าของหน้าที่การงานที่รับผิดชอบอย่างรอบคอบ 4. Impatience ความไม่อดทน เป็นหลุมพรางที่หลอกเราอยู่เสมอ เรามักจะบอกตัวเองว่าได้ทำงานดีที่สุดแล้ว แท้ที่จริงคือความไม่อดทนของเราที่แต้มสีให้กับดุลยพินิจของเราต่างหาก โดยไม่รู้ตัว เรามักหวนมาทำสิ่งที่ซ้ำๆ เช่น ใช้ความคิดเดิมและกระบวนการเดิมเพื่อเป็นทางลัด ในขณะที่กระบวนการที่สร้างสรรค์ต้องการความเข้มข้นและกระปรี้กระเปร่าที่ต่อเนื่อง แต่ละปัญหาแต่ละโครงการมีความแตกต่าง การรีบเร่งไปสู่ผลลัพธ์หรือใช้ความคิดเก่าๆ จะทำให้ได้ผลลัพธ์ในระดับปานกลางเท่านั้น วิธีที่ดีที่สุดในการบรรเทาความไม่อดทนตามธรรมชาตินี้ก็คือ การบ่มเพาะความสุขบนความรู้สึกเจ็บปวด เหมือนนักกีฬาที่จะสนุกสนานกับการฝึกฝน คอยผลักดันตัวเอง ไม่ยอมจำนนง่ายๆ 5. Grandiosity ภาวะหลงผิดโอ้อวดตัวเอง บางครั้ง สิ่งที่น่าอันตรายมาจากความสำเร็จและคำชมมากกว่าคำติเตียน ถ้าเราเรียนรู้ที่จะจัดการกับการติเตียนวิจารณ์ได้ดี ก็สามารถทำให้เราแข็งแรงขึ้น และช่วยเราให้ระวังข้อผิดพลาด คำชมเชยอาจทำให้เกิดอันตราย เพราะทำให้อีโก้ของเราพองตัวตลอดเวลา คิดว่าความฉลาดล้ำของเราเป็นสิ่งเดียวที่ดึงดูดความสำเร็จและความสนใจจากผู้อื่น การหลงตัวเองเช่นนี้ อาจนำไปสู่ความส้มเหลวได้ ฉะนั้น ให้ตระหนักว่ามีอัจฉริยะที่ฉลาดกว่าเราอยู่ข้างนอกเสมอ และบางครั้งความสำเร็จก็มาจากโชคบ้างไม่ใช่ความเก่งเพียงอย่างเดียว พยายามสร้างแรงจูงใจจากงานที่ทำ แทนที่จะแสวงหาคำชมเชยจากภายนอก 6. Inflexibility ความไม่ยืดหยุ่น การทำงานอย่างสร้างสรรค์เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งบางอย่าง นั่นคือ ต้องมองโลกในแง่ดีว่าสามารถทำงานให้สำเร็จแก้ปัญหาในมือได้ ขณะเดียวกันก็ตั้งข้อสงสัยเป็นระยะๆ ว่าได้บรรลุเป้าหมายหรือไม่ และยินดีให้งานได้รับการวิจารณ์ติเตียนอย่างเข้มข้น ทั้งหมดนี้ต้องการความยืดหยุ่นที่สูงมาก ซึ่งหมายความว่า เราจะต้องไม่ยึดมั่นจนเกินไปในความคิดใดความคิดหนึ่ง แต่ให้น้อมนำเอาทัศนคติที่เหมาะสมต่อปัจจุบันเข้ามา การพัฒนาความยืดหยุ่นต้องใช้การฝึกหัด และหาประสบการณ์ให้มากขึ้น โดยหลีกเลี่ยงความสุดขั้วทางอารมณ์ และหาทางที่จะรู้สึกมองโลกในแง่ดีและสงสัยในขณะเดียวกัน การที่จะดำรงตนให้ห่างจากกับดักดังกล่าว เราก็ต้องหันกลับมาทำสิ่งที่ตรงกันข้าม นั่นคือ ไม่ประมาทชะล่าใจ ไม่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง พึ่งพาตนเองให้ได้ อดทนให้พอ ไม่หลงตัวเอง และมีความยืดหยุ่น เพียงแค่นี้ชีวิตการงานก็จะประสบกับความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับการเงินธนาคารhttps://moneyandbanking.co.th/2024/84523/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

ทำไมสายการบินจำกัดน้ำหนักกระเป๋าขึ้นเครื่องไม่เกิน 7 กิโลกรัม

29/04/2024

จากกฎระเบียบของแต่ละสายการบิน จะมีการกำหนดให้ผู้โดยสารต่อตั๋วเครื่องบิน 1 ใบนำกระเป๋าสัมภาระติดตัว หรือ Carry-On baggage ขึ้นเครื่องได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่สายการบินจะมีการจำกัดขนาดของกระเป๋า รวมทั้งน้ำหนักของกระเป๋าส่วนใหญ่ไว้ไม่เกิน 7 กิโลกรัมสาเหตุการจำกัดน้ำหนักกระเป๋าขึ้นเครื่องไม่เกิน 7 กิโลกรัมน้ำหนักของกระเป๋าสัมภาระติดตัว 7 กิโลกรัมเป็นค่าน้ำหนักที่คำนวณแล้วว่าเป็นค่ากลางที่นำไปเฉลี่ยกับน้ำหนักอื่นๆ อย่างน้ำหนักของผู้โดยสาร น้ำหนักสัมภาระในส่วนอื่น โดยน้ำหนักทั้งหมดภายในเครื่องบินจะมีการแจ้งจากพนักงานภาคพื้นดินไปยังนักบินเพื่อให้นักบินวางแผนการบินอย่างไรก็ตามมีการกำหนดขนาดและน้ำหนักกระเป๋าก็เพื่อประโยชน์ในด้านพื้นที่ และน้ำหนักของช่องเก็บสัมภาระเหนือศีรษะ โดยผู้โดยสารจะต้องสามารถยกสัมภาระเก็บไว้ในช่องเหนือศีรษะได้ด้วยตนเอง สำหรับขนาดของกระเป๋าต้องมีขนาด 36X56X23 เซนติเมตร ตามข้อบังคับการบินของบริษัท สำหรับวัตถุที่บริษัทระบุว่ามีน้ำหนักหรือขนาดเกินกำหนดจะไม่ได้รับอนุญาตให้นำไปยังห้องโดยสารแหล่งที่มาข่าวต้นsanookhttps://www.sanook.com/travel/1445351/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X