คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ท่องเที่ยว

ชวนเที่ยวแหล่งสตรีตฟู้ดโดนใจในกรุงเทพฯ

23/05/2024

นอกจากกรุงเทพฯ จะติดอันดับเมืองท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาเที่ยวแล้ว กรุงเทพฯ ยังเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อในเรื่องของ “สตรีตฟู้ด” หรือ “อาหารริมทาง” เป็นอย่างมากด้วยโดยสภาอาหารริมทางโลก (World Street Food Congress) ได้ยกให้สตรีตฟู้ดของไทยเป็น 1 ใน 3 ของอาหารที่ขึ้นชื่อมากที่สุด หรือสำนักข่าว CNN ก็เคยยกให้กรุงเทพฯ เป็น 1 ใน 23 เมืองทั่วโลกที่มีอาหารริมทางดีที่สุดในโลกถึง 2 ปีซ้อนเลยทีเดียวจากเรื่องของปากท้องที่คนไทยให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนจะต้องไม่อด กลายมาเป็นวัฒนธรรมแบบไทย ๆ ที่เป็นภาพจำในเมืองไทยนั้นหาของกินง่าย ไม่ว่าจะดึกดื่นเที่ยงคืน หรือจะอยู่ตามตรอกซอกซอยที่ไหนก็ตาม คนไทยยังสามารถหาของกินได้แทบทุกหัวมุมถนน กลายเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาลองเที่ยวที่กรุงเทพฯ และลิ้มลองสตรีตฟู้ดแบบไทย ๆ เพื่อพิสูจน์ว่า “สวรรค์ของอาหารริมทาง” ในเมืองไทย ไม่แพ้ชาติใดในโลก และนี่คือแหล่งสตรีตฟู้ด 5 แห่งในกรุงเทพฯ ที่ไม่ควรพลาด หากคุณรักในวิถีชีวิตแบบเดินกินอิ่มทั้งวัน1. ถนนข้าวสารถนนข้าวสาร แลนด์มาร์กสำคัญใจกลางกรุงเทพฯ ของทั้งนักท่องเที่ยวคนไทยและคนต่างชาติ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เพราะในมุมมองของนักท่องเที่ยวต่างชาติก็คือ ถ้ามาเที่ยวกรุงเทพฯ แล้วไม่ได้มาเยือนถนนข้าวสาร แทบจะเรียกได้ว่ามาไม่ถึงกรุงเทพฯ อย่างไรก็ตาม หลายคนเข้าใจถนนข้าวสารจะมีดีแค่ตอนกลางคืน ส่วนกลางวันก็คือถนนเงียบ ๆ ธรรมดา แต่จริง ๆ แล้วตอนกลางวันที่มีก็มีสตรีตฟู้ดมากมายให้เลือกกินเหมือนกัน เพียงแต่ความคึกคักอาจจะไม่มากเท่าตอนกลางคืนเท่านั้นเอง มีให้เลือกตั้งแต่ร้านรถเข็นข้างทาง ร้านข้าวแกงข้างทาง ไปจนถึงร้านอาหารนานาชาติ ส่วนใกล้ ๆ กันก็เป็นซอยรามบุตรีและบางลำพู ซึ่งของกินเพียบเหมือนกัน2. เยาวราชอีกแลนด์มาร์กสำคัญใจกลางกรุงเทพฯ ที่นักท่องเที่ยวต้องตามมาเช็กอินเพื่อยืนยันตัวตนว่ามาถึงกรุงเทพฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็คือย่านไชน่าทาวน์ หรือเยาวราช ที่นี่ก็อาจไม่แตกต่างจากถนนข้าวสาร ตรงที่เยาวราชนั้นก็จะมีชีวิตชีวาและคึกคักยามค่ำคืนมากกว่าช่วงกลางวัน แต่ก็ไม่ได้แปลว่าช่วงกลางวันไม่มีอะไรให้เรากินเลย อาหารการกินแนวสตรีตฟู้ดในช่วงกลางวันก็มีให้เลือกมากมายชนิดที่กินแล้วกินอีก อิ่มแล้วอิ่มอีก การเดินเตร็ดเตร่ริมถนนและแวะเข้าตรอกซอกซอยเล็ก ๆ จะทำให้เราเจอร้านขายอาหารเยอะแยะ กินได้ทั้งวัน บางร้านมาเปิดขายตั้งแต่เช้า ช่วงสาย ๆ ก็หมดเก็บของกลับบ้าน บางร้านมาช่วงสาย ๆ บางร้านเปิดยาวตั้งแต่กลางวันยันกลางคืนก็มี3. ถนนสีลมทั้งข้าวสารและเยาวราชอาจมีชื่อเสียงในฐานะของแหล่งท่องเที่ยวที่นักเดินทางจะต้องแวะไปลิ้มลองสตรีตฟู้ดขึ้นชื่อแถว ๆ นั้น แต่ย่านสีลมจะแตกต่างออกไป ตรงที่เป็นแหล่งชุมชน โดยเฉพาะเป็นแหล่งรวมของสำนักงานมากมาย เพราะฉะนั้นบริเวณนี้จะไม่ได้คึกคักแค่เฉพาะกับนักท่องเที่ยว แต่จะมีหนุ่มสาวพนักงานออฟฟิศจำนวนมากที่ต้องพึ่งพาสตรีตฟู้ดในย่านนี้เป็นแหล่งเสบียง โดยเฉพาะสีลมซอย 5 หรือที่เรียกกันติดปากว่าซอยละลายทรัพย์ เข้าไปเยือนเมื่อไรได้กลับออกมาเป็นคนป่วยโรคทรัพย์จางกันแถบ เห็นซอยเล็ก ๆ แบบนี้แต่ของกินเพียบ และถนนธนิยะ ที่ตอนกลางวันก็จะมีสตรีตฟู้ดให้กินบ้างประปราย โดยจะไปเน้นคึกคักยามค่ำคืนเสียมากกว่า4. โชคชัย 4ย่านลาดพร้าว นอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องรถติดแล้ว บริเวณใกล้ ๆ กัน แหล่งอาหารข้างทางสุดคลาสสิกที่โด่งดังไม่แพ้ย่านไหน ๆ ในกรุงเทพฯ ต้องยกให้ย่านโชคชัย 4 หลายร้านเป็นร้านเก่าแก่ที่นักชิมยกขึ้นหิ้งให้เป็นตำนานของสตรีตฟู้ดเลยด้วยซ้ำ เจ้าเด็ดเจ้าดังมากมายที่เคยได้ออกรายการทีวีที่เกี่ยวกับอาหาร จำนวนหนึ่งก็ตั้งขายกันอยู่ที่โชคชัย 4 นี่แหละ เดินกินกันได้เรื่อย ๆ ไม่มีเบื่อถ้าไม่อิ่มจนจุกกันไปเสียก่อน ถ้าไปเดิน ๆ หลงอยู่แถวนี้ไม่มีทางอดตายอย่างแน่นอน (แต่อิ่มจนจุกตายนี่ไม่แน่) เพราะหลากหลายทั้งอาหารคาว อาหารหวาน ตั้งเรียงรายกันเป็นแถวยาวไปยันลาดพร้าววังหินนู่น แวะตรงไหนเป็นต้องเจอของเด็ด เป็นแหล่งสตรีตฟู้ดที่ไม่เหมาะกับคนกำลังคุมน้ำหนักจริง ๆ5. บรรทัดทอง-สามย่านสวรรค์ของนักชิมแห่งใหม่ที่จุดติดกระแสความเป็นแหล่งสตรีตฟู้ดที่น่าสนใจอย่างรวดเร็วด้วยอิทธิพลของโซเชียลมีเดีย และพลังของการรีวิวแบบปากต่อปาก แม้ว่าจะเป็นย่านสตรีตฟู้ดที่เพิ่งพัฒนาและจัดระเบียบขึ้นมาใหม่ให้เป็นต้นแบบของสตรีตฟู้ดในกรุงเทพฯ รูปแบบใหม่ได้ไม่นานนัก ตรงที่ให้ความสำคัญกับระบบสาธารณูปโภคที่ดี ร้านอาหารเป็นระเบียบ ไม่กีดขวางทางสัญจร ปลอดภัย ลูกค้าเดินทางมาง่ายและมีจุดจอดรถสะดวก ซึ่งจะค่อนข้างแตกต่างจากย่านสตรีตฟู้ดอื่น ๆ แต่ก็การันตีได้ว่าที่นี่เป็นแหล่งรวมความอร่อยของทั้งร้านดังในตำนาน ร้านดังระดับมิชลินไกด์ และร้านอร่อยตามกระแส ด้วยความอร่อยแบบบอกต่อ ทำให้ย่านนี้กลายเป็นแหล่งสตรีตฟู้ดอีกแห่งที่ไม่ควรพลาดแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1447787/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ธุรกิจ

มรดกธุรกิจกงสี ‘ภาระ’ หรือ ‘โอกาส’ ตำราการส่งต่ออำนาจบริหารธุรกิจครอบครัว

21/05/2024

การส่งต่อธุรกิจกงสีให้รุ่นถัดไป เป็นโจทย์ที่ท้าทายและเป็นปัญหาใหญ่ของธุรกิจไทยจำนวนมาก เพราะผู้นำรุ่นปัจจุบันต้องคิดทั้งการเติบโตของธุรกิจ ไปพร้อมกับจัดการปัญหาความขัดแย้งในครอบครัว เป็นจุดร่วมที่ต้องเอาทั้งงานและเรื่องส่วนตัวมาผสมรวมกัน1. ธุรกิจที่ไม่มีใครอยากทำต่อคือ ‘ภาระ’ ไม่ใช่ ‘โอกาส’ในการเติบโตของธุรกิจหนึ่งชั่วอายุคนนั้น มักจะเริ่มจากการก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา สร้างแบรนด์ให้ติดตลาด อย่างไรก็ตามเมื่อถึงวันที่ส่งต่อธุรกิจให้รุ่นถัดไป ลูกหลานก็อาจมีความชอบของตนเอง เกิดค่านิยมใหม่ๆ จนทำให้ธุรกิจที่มีอยู่เดิมอาจขัดกับโลกในยุคปัจจุบันเสียแล้ว การส่งต่อธุรกิจก็เลยเหมือนเป็นโอกาสที่มัดเส้นทางชีวิตทายาทโดยไม่รู้ตัว2. ไส้ในแย่ สุขภาพธุรกิจไม่ดี ไม่ให้อำนาจบริหาร กลายเป็นโซ่ฉุดรั้งชีวิตถ้าธุรกิจที่จะส่งต่อนั้นมีอนาคตที่สดใส หรือให้อำนาจการบริหารเพียงพอ ก็ยังถือว่าเป็นโอกาสในการเติบโต ทว่าหลายครั้งที่ธุรกิจที่ส่งต่อนั้นเต็มไปด้วยโครงสร้างภายในแบบกงสีที่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง มีหนี้สินที่ต้องรีบจัดการให้เรียบร้อย แต่พอถึงเวลาจะปรับตัว ผู้นำรุ่นก่อนก็ไม่ให้อำนาจอย่างแท้จริง ยังคอยบงการและกำหนดทิศทางแบบเดิมอยู่ ก็ยิ่งทำให้รุ่นต่อไปมองไม่เห็นอนาคตในเส้นทางของตนเอง3. ‘การเติบโต’ จะเปลี่ยนภาระให้กลายเป็นโอกาสดังนั้นสิ่งที่ผู้นำรุ่นปัจจุบันต้องทำ คือการทำให้ธุรกิจเดิมนั้นมีโอกาสเติบโตที่สอดคล้องกับยุคสมัยในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการมีวิสัยทัศน์ใหม่ที่ให้ความสำคัญทั้งกำไร สังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการทำให้ธุรกิจมีความหลากหลาย เพื่อเปิดพื้นที่ให้รุ่นถัดไปมีโอกาสได้ทดลองงานหลายรูปแบบ เพื่อค้นหาความชอบของตนเองไปพร้อมกับดูแลธุรกิจ4. หน้าที่ของผู้นำคือเตรียมเรือให้พร้อมเท่านั้น ไม่ใช่จับธุรกิจยัดมือรุ่นถัดไปท้ายที่สุดไม่ว่ารุ่นถัดไปจะเข้ามาบริหารต่อหรือไม่ สิ่งที่ผู้นำทำได้ในวันนี้คือการเตรียมธุรกิจให้พร้อมสำหรับการรับช่วงต่อ หนึ่งในหนทางที่เป็นไปได้ คือการสร้างธรรมนูญครอบครัว เพื่อสร้างฉันทมติกับกลุ่มทายาท รวมถึงการจัดการโครงสร้างที่เปิดรับมืออาชีพเข้ามาร่วมบริหาร ถึงแม้ทายาทจะไม่รับช่วงต่อแล้วก็ยังมีโอกาสได้จัดการสินทรัพย์ และยังเปิดทางให้ธุรกิจโตต่อได้ในอนาคต การส่งต่อธุรกิจกงสี ผู้นำจำเป็นต้องยกเรื่องครอบครัวและเรื่องของธุรกิจมาเป็นเรื่องเดียวกัน ต้องสร้างธรรมนูญครอบครัวที่ชัดเจน โปร่งใส และเกิดข้อยุติกับคนในบ้าน และต้องพร้อมสำหรับการทำให้ธุรกิจเติบโตได้ในอนาคต ซึ่งไม่จำเป็นต้องเติบโตอย่างก้าวกระโดดเชิงกำไร แต่ต้องเป็นการเติบโตที่ยั่งยืน สอดรับกับอนาคต หาคำตอบถึงการสร้างธรรมนูญครอบครัว และตำราการส่งต่อธุรกิจที่สกัดมาจากประสบการณ์จริงได้ที่ The Secret Sauce Summit ขอนแก่นแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ thestandardhttps://thestandard.co/opinion-gongsi/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

Yesterday Wednesday Tomorrow นิทรรศการที่จะพาไปสัมผัสความน่ารักของน้องหมาขี้นอยด์

21/05/2024

Yesterday Wednesday Tomorrow คือนิทรรศการที่จะพาคุณไปสัมผัสกับความน่ารักของ Wednesday ในกิจกรรมต่างๆ นี่ถือเป็นนิทรรศการเดี่ยวครั้งแรกของ ‘นิวเยียร์’ อีกด้วยอีกหนึ่งนิทรรศการที่ฮอตที่สุดในตอนนี้!วันนี้เราอยากจะมาป้ายยาอีกหนึ่งนิทรรศการที่ฮอตมากๆ ในตอนนี้ ที่นี่คือ Yesterday Wednesday Tomorrow นิทรรศการเดี่ยวครั้งแรกของ นิวเยียร์ ศิลปินที่ชื่นชอบการวาดรูปเป็นชีวิตจิตใจ และวาดรูปมาโดยตลอดตั้งแต่จำความได้ จัดนิทรรศการเดี่ยวทั้งที นิวเยียร์จึงเปลี่ยนวิธีการสร้างแรงบันดาลใจ จากปกติที่จะได้แรงบันดาลใจจากสิ่งของ ภาพถ่าย เนื้อเพลง แต่ครั้งนี้มาจากการสังเกต การรับฟังเรื่องราวจากคนรอบตัว จนถ่ายทอดออกมาเป็นคาแรกเตอร์ใหม่ชื่อ ‘Wednesday’ในนิทรรศการนี้ คุณจะได้เห็น Wednesday หมาที่คิดเยอะ ขี้นอยด์ มาอยู่ในบริบทต่างๆ คาแรกเตอร์ของ Wednesday จะมาแนวๆ เมื่อวานคิดมาก วันนี้กังวล พรุ่งนี้อาจดีขึ้นนิดหน่อย ออกแนวขี้อายและอินโทรเวิร์ตด้วยซ้ำ ความน่ารักของ Wednesday ไม่ได้ถูกถ่ายทอดมาในรูปแบบของภาพวาดเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีประติมากรรม แถมเขายังจัดสเปซให้ได้เข้าไปถ่ายรูปเล่นอีกด้วยใครที่สนใจเข้าไปสัมผัสความน่ารักของ Wednesday สามารถไปได้ที่ Xspace Gallery ซอยปรีดีพนมยงค์ 14 เปิดตั้งแต่เวลา 10.00-17.00 น. นิทรรศการนี้เข้าชมฟรี และไปได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2567ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Instagram:  •  newyear6   •  nyyydesign   •  xspaceartgalleryแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ thestandardhttps://thestandard.co/life/yesterday-wednesday-tomorrow/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

ปราสาทปุยฝ้าย “ปามุคคาเล” มหัศจรรย์ภูเขาสีขาว เมืองสปาโบราณพันปี

21/05/2024

“ปามุคคาเล” ความมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้นเป็นเนินเขาสีขาวราวปุยฝ้าย หนึ่งในมรดกโลก ร่วมกับ “เฮียราโพลิส” นครโบราณที่โด่งดังในเรื่องการใช้น้ำพุร้อนเพื่อรักษาผู้ป่วยปามุคคาเลความสามารถของธรรมชาตินั้นช่างน่าทึ่ง สร้างสรรค์สิ่งที่สวยงามและน่าอัศจรรย์ได้มากมายนับไม่ถ้วน และหนึ่งในนั้นคือ “ปามุคคาเล” แห่งตุรกี เนินเขาสีขาวราวปุยฝ้าย ที่เกิดขึ้นจากน้ำพุร้อนที่นำแคลเซียมคาร์บอเนตมาตกตะกอน กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่เป็นจุดเช็คอินของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก“ปามุคคาเล” ตั้งอยู่ในจังหวัดเดนิซลี (Denizli) อยู่ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 19 กิโลเมตร หากเดินทางไปจาก อิสตันบูล เมืองท่องเที่ยวสำคัญของตุรกี สามารถเช่ารถยนต์ขับไปที่ปามุคคาเล นั่งรถบัสหรือขึ้นเครื่องบินไปลงที่เดนิซลี แล้วต่อรถมินิบัสจากสถานีรถโดยสารเมืองเดนิซลี ไปลงที่ทางเข้าปามุคคาเลได้เลยประตูทางเข้าปามุคคาเลมี 3 จุด คือ North Gate (สำหรับนักท่องเที่ยวที่นั่งรถมินิบัสมา หรือขับรถมาเอง) South Gate (สำหรับกรุ๊ปทัวร์ นั่งแท๊กซี่เข้ามา หรือขับรถมาเอง) และ City Gate (เป็นทางเข้าจากหมู่บ้านที่อยู่ด้านล่าง นักท่องเที่ยวที่มาพักค้างคืนที่นี่จะนิยมใช้ประตูนี้) ส่วนค่าเข้าชม คนละ 30 ยูโร (ราคาเดือนเมษายน 2567)ประตู North Gate“เฮียราโพลิส” นครโบราณ อดีตเมืองสปาศูนย์กลางการรักษาโรคบนยอดเขาของปามุคคาเล เป็นที่ตั้งของ “เฮียราโพลิส” (Hierapolis) เมืองโบราณในยุคกรีก-โรมัน ที่สร้างขึ้นในราว 190 ปีก่อนคริสกาล โดยกษัตริย์ยูเมเนสที่ 2 แห่งอาณาจักรเปอร์กามอน ที่เคยปกครองพื้นที่แถบนั้น ก่อนที่จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของโรมัน ในช่วงศตวรรษที่ 2-3 เมืองเฮียราโพลิสเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด ก่อนจะล่มสลายในศตวรรษที่ 7 จากการโจมตีของอาหรับชื่อ “เฮียราโพลิส” นั้นหมายถึงเมืองแห่งความศักดิ์สิทธิ์ และนครเฮียราโพลิสแห่งนี้ ยังได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองสปา และยังเป็นศูนย์กลางการรักษาโรคด้วยน้ำพุร้อน มีผู้คนจำนวนมากเดินทางมาเพื่อแช่น้ำร้อนเพื่อความผ่อนคลาย และยังมีบางส่วนที่เดินทางมาเพื่อรักษาตัวด้วยการแช่น้ำแร่ร้อน ว่ากันว่า พระนางคลีโอพัตราผู้เลอโฉม ยังเคยเสด็จมาแช่ตัวในบ่อน้ำพุร้อนนี้นครเฮียราโพลิสสุสานโบราณหรือ “นีโครโพลีส”หากเดินเข้าปามุคคาเลทางประตู North Gate จะผ่านสุสานโบราณหรือ “นีโครโพลีส” (Necropolis) ที่เต็มไปด้วยโลงศพหินเรียงรายในบริเวณนอกเมือง จากนั้นเส้นทางก็จะพาเข้าเขตเมืองโบราณที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังเสียเป็นส่วนใหญ่จุดไฮไลต์ที่ยังหลงเหลือซากให้เห็นอยู่ อย่างเช่น “ประตูฟรอนตินัส” ประตูทางเข้าไปยังเมืองเฮียราโพลิส และเดินตัดออกไปสู่ที่ราบกว้างใหญ่ ประตูเป็นช่องโค้ง 3 ช่อง และมีหอคอยทรงกลมด้านข้าง “ประตูไบเซนไทน์เหนือ” ประตูทางทิศเหนือที่เป็นส่วนหนึ่งของป้อมปราการประตูฟรอนตินัสประตูไบเซนไทน์เหนืออีกจุดที่เป็นไฮไลต์คือ “โรงละคร” เป็นอัฒจันทร์ขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่นั่งกว้างขวาง คาดว่าสร้างขึ้นราวคริสตศักราช 60 โดยเป็นการสกัดเข้าไปในไหล่เขาเพื่อทำเป็นอัฒจันทร์ให้คนได้ชมเวทีที่อยู่ด้านล่าง ไม่ว่าจะเป็นการแสดง การแข่งขัน หรือจัดงานสำคัญต่างๆ สามารถจุคนได้ราว 12,000 คนนอกจากนี้ยังมี “สระน้ำแร่โบราณ” ที่ถูกสร้างขึ้นโดยใช้น้ำแร่ที่ผุดขึ้นในบริเวณนี้ และมีการปรับแต่งภูมิทัศน์อย่างดี มีทั้งการนำซากเสาปรักหักพังมาประดับเป็นสีสันของสระน้ำ มีการตกแต่งด้วยต้นไม้ ดอกไม้ อย่างร่มรื่นสวยงาม รวมถึงยังมีร้านค้า ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกอยู่ในจุดเดียวกันโรงละครสระน้ำแร่โบราณนครเฮียราโพลิสนครเฮียราโพลิส“ปามุคคาเล” ปราสาทปุยฝ้าย มหัศจรรย์ธรรมชาติชมเมืองโบราณกันแล้ว เดินไปอีกไม่ไกลก็จะเป็นจุดเช็คอินที่หลายคนตั้งตารอหากมองจากเมืองด้านล่างขึ้นมา จะเห็นเนินเขาสีขาวพื้นที่กว้างใหญ่พอประมาณ แต่หากมองจากด้านบนจะเห็นเพียงพื้นสีขาวๆ ที่คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และนี่ก็คือ “ปามุคคาเล” (Pamukkale)“ปามุคคาเล” ถือเป็นความมหัศจรรย์พันลึกของธรรมชาติอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดจากธารน้ำแร่ร้อนที่ไหลมาจากภูเขาทางทิศเหนือ ผ่านมายังบริเวณนี้เป็นชั่วนาตาปีนับพันปี น้ำแร่ร้อนสายนี้มีส่วนผสมของแคลเซียมออกไซด์หรือแร่เกลือชนิดหนึ่ง น้ำแร่ที่นี่มีอุณหภูมิประมาณ 35 องศาเซลเซียส เมื่อน้ำแร่เย็นตัวลงได้ตกผลึกเป็นสีขาวโพลนปกคลุมเขาทั้งลูก เมื่อมองไกลๆ หลายคนที่ไม่รู้จักมาก่อนอาจนึกว่าเป็นภูเขาหิมะปามุคคาเล เมื่อมองจากด้านล่างปามุคคาเลปามุคคาเล ในภาษาตุรกี แปลว่า “ปราสาทปุยฝ้าย” (ปามุค (Pamuk) แปลว่า ฝ้าย คาเล (Kale) แปลว่า ปราสาท) นั่นคงเป็นเพราะภูเขาลูกนี้ดูขาวนวลราวปุยฝ้าย ซึ่งผลจากธรรมชาติสรรค์สร้าง ส่งผลให้ปราสาทปุยฝ้ายเกิดเป็นริ้ว เป็นแอ่ง เป็นชั้น ลดหลั่นกันไปตามภูมิประเทศ เกิดเป็นประติมากรรมธรรมชาติอันสวยงามแปลกตาที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ยากจะหาที่ใดเหมือน จนทำให้ปามุคคาเล่และเมืองเฮียราโพลิสได้รับการยกย่องจากยูเนสโก ประกาศให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมในปี ค.ศ.1988ปัจจุบันน้ำแร่ร้อนสายนี้ก็ยังคงผุดขึ้นมาจากใต้ดินอย่างต่อเนื่องเหมือนในอดีต ทำให้บางช่วงของปามุคคาเล่เกิดเป็นชั้นของแอ่งน้ำขนาดย่อมที่เป็นดังอ่างน้ำธรรมชาติให้นักท่องเที่ยวลงไปแช่ตัวเล่นน้ำกันอย่างสบายกายสบายใจปามุคคาเลนักท่องเที่ยวมากมายที่ปามุคคาเลนักท่องเที่ยวมากมายที่ปามุคคาเลและยิ่งน้ำแร่ร้อนที่นี่โด่งดังเรื่องการรักษาโรคต่างๆ ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ก็ยิ่งทำให้มีคนเดินทางมาลงอ่างธรรมชาติ แช่ตัว เล่นน้ำ กันเป็นจำนวนมาก จนทำให้ปามุคคาเล่บอบช้ำถึงขนาดทางการต้องห้ามมิให้นักท่องเที่ยวลงไปแช่น้ำ เล่นน้ำในแอ่งน้ำธรรมชาติ เนื่องจากไม่ต้องการให้ปามุคคาเล่ถูกทำลายไปมากกว่านี้แต่กระนั้นทางการตุรกีก็ไม่ต้องการให้บรรยากาศทางการท่องเที่ยวเสียไป จึงได้ทำการสร้างแอ่งน้ำขึ้นมาแล้วปล่อยน้ำแร่จริงใส่ เกิดเป็นแอ่งน้ำเทียมเสมือนจริง เพื่อให้นักท่องเที่ยวลงไปแหวกว่าย เล่นน้ำและแช่น้ำแร่ได้อย่างเพลิดเพลิน ซึ่งหากไกด์ไม่บอกหรือไม่สังเกตให้ดีๆ ก็จะไม่รู้หรอกว่าเป็นของเทียม ส่วนแอ่งน้ำแร่ธรรมชาติก็ปล่อยไว้ให้ธรรมชาติจัดการกันเอง แต่ก็ไม่ลืมที่จะกันไว้เป็นจุดถ่ายรูปสวยๆแอ่งน้ำให้นักท่องเที่ยวลงไปแช่ปามุคคาเลแอ่งน้ำธรรมชาติที่รักษาไว้ให้ถ่ายรูปปามุคคาเลข้อแนะนำการไปเที่ยวปามุคคาเลและนครเฮียราโพลิส- สวมรองเท้าใส่สบาย เพราะต้องเดินระยะไกลพอสมควร- พกอุปกรณ์กันแดด ร่ม หมวก แว่นตา และพกน้ำดื่ม เนื่องจากบางช่วงแดดร้อนจัด และไม่ค่อยมีพื้นที่ในร่ม- พกถุงพลาสติก หรือถุงใส่รองเท้า เนื่องจากบริเวณปามุคคาเลจะต้องถอดรองเท้าเดิน และไม่มีจุดฝากรองเท้า- เช็คเวลาเปิด-ปิดเข้าชม เนื่องจากในแต่ละช่วงจะมีเวลาปิดไม่เท่ากัน โดยช่วงฤดูหนาวจะเปิดเวลา 08.30-17.00 น. ส่วนช่วงอื่นของปีจะเปิดเวลา 08.00-20.00 น.แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000038776

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

สุขภาพ

30 อันดับโรงพยาบาลดีที่สุดในไทย ประจำปี 2567 จากการจัดอันดับของนิตยสาร Newsweek

21/05/2024

นิตยสาร Newsweek ร่วมมือกับ Statista  ประกาศผล 30 อันดับโรงพยาบาลดีที่สุดในไทย ประจำปี 2567นิตยสาร Newsweek ร่วมมือกับ Statista จัดอันดับโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2024 (World’s Best Hoapitals 2024) จาก 30 ประเทศทั่วโลก รวมโรงพยาบาล 2,400 แห่ง เผยแพร่ทางเว็บไซต์ www.newsweek.com โดยเกณฑ์การให้คะแนนพิจารณาจาก 4 แหล่ง ได้แก่1.สำรวจออนไลน์ของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์มากกว่า 85,000 ราย2.ข้อมูลจากการสำรวจความพึงพอใจของผู้ป่วยหลังเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล3.ตัวชี้วัดคุณภาพต่างๆ ของโรงพยาบาล เช่น มาตรการด้านสุขอนามัย ความปลอดภัยของผู้ป่วย และอัตราส่วนผู้ป่วย/แพทย์ หรือพยาบาลต่อผู้ป่วย4.การสำรวจของ Statista ที่ใช้วัดผลลัพธ์ด้านการรักษาพยาบาลของผู้ป่วย ได้แก่ Patient Reported Outcome Measures (PROMs) ซึ่งมีการสำรวจข้อมูลในระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม 265510 อันดับ โรงพยาบาลดีที่สุดในโลกปี 25671. เมโยคลินิก เมืองรอเชสเทอร์ รัฐมินนิโซทา สหรัฐอเมริกา2. คลีฟแลนด์คลินิก รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา3. โรงพยาบาลโทรอนโท เจเนอรัล แคนาดา4. โรงพยาบาลจอห์นฮอปกินส์ รัฐแมริแลนด์ สหรัฐอเมริกา5. โรงพยาบาลแมสซาชูเซตส์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา6. โรงพยาบาลชาริเต้ กรุงเบอร์ลิน เยอรมนี7. โรงพยาบาลแคโรลินสกา กรุงสตอกโฮล์ม สวีเดน8. โรงพยาบาลปีเต-แซลแปตริแยร์ กรุงปารีส ฝรั่งเศส9. โรงพยาบาลชีบา เมดิคัล เซ็นเตอร์ อิสราเอล10. โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยซูริค สวติตเซอร์แลนด์30 อันดับโรงพยาบาลดีที่สุดในไทยปี 25671. โรงพยาบาลบํารุงราษฎร์ (สกอร์ 93.00%)2. โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ (สกอร์ 87.34%)3. โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท (สกอร์ 84.15%)4. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย (สกอร์ 83.92%)5. โรงพยาบาลรามาธิบดี (สกอร์ 83.72%)6. โรงพยาบาลเมดพาร์ค (สกอร์ 76.54%)7. โรงพยาบาลกรุงเทพ (สกอร์ 75.32%)8. โรงพยาบาลธนบุรี (สกอร์ 71.90%)9. โรงพยาบาลพระราม 9 (สกอร์ 71.79%)10. โรงพยาบาลราชวิถี (สกอร์ 71.77%)11. โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน (สกอร์ 71.76%)12. โรงพยาบาลกรุงเทพ อินเตอร์เนชันแนล (สกอร์ 71.75%)13. โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชันแนล (สกอร์ 71.74%)14.โรงพยาบาลยันฮี (สกอร์ 71.73%)15. โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ (สกอร์ 71.72%)16. โรงพยาบาลวชิรพยาบาล (สกอร์ 71.71%)17. โรงพยาบาลรามคำแหง (สกอร์ 71.70%)18. โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (สกอร์ 71.69%)19. โรงพยาบาลพญาไท 1 (สกอร์ 71.68%)20. โรงพยาบาลพญาไท 2 (สกอร์ 71.66%)21. โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ขอนแก่น (สกอร์ 71.61%)22. โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ (สกอร์ 71.60%)23. โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า (สกอร์ 71.50%)24. โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก (สกอร์ 70.80%)25. โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ (สกอร์ 70.76%)26. โรงพยาบาลซีจีเอช พหลโยธิน (สกอร์ 70.17%)27. โรงพยาบาลกรุงเทพหาดใหญ่ สงขลา (สกอร์ 70.16%)28. โรงพยาบาลศิครินทร์ (สกอร์ 70.14%)29. สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ (สกอร์ 70.08%)30. โรงพยาบาลสงขลา (สกอร์ 70.00%)แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับอมรินทร์https://www.amarintv.com/article/detail/64928

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย จับมือ โรงพยาบาลในเครือ BDMS จัดงาน AIA Sharing A Life ครั้งที่ 11 มอบบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่แก่ประชาชน โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

20/05/2024

กรุงเทพฯ 20 พฤษภาคม 2567 – เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมมือกับ โรงพยาบาลในเครือ BDMS มอบบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่แก่ประชาชน โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ภายใต้โครงการ AIA Sharing A Life ครั้งที่ 11 นำโดย นายแพทย์ประมุกข์ ทรงจักรแก้ว (กลาง) ที่ปรึกษาอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการ นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ (ที่ 3 จากขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ และนายแพทย์สมสกุล ศรีพิสุทธิ์ (ที่ 2 จากขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารจัดการด้านสุขภาพ ร่วมด้วยคณะแพทย์ผู้บริหารโรงพยาบาลกรุงเทพ ประกอบด้วย นายแพทย์มนต์สรร อัศวนพเกียรติ (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์และโครงสร้างราคา BDMS นายแพทย์อัศวิน ภูวธนสาร (ที่ 2 จากซ้าย) รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพ และแพทย์หญิงกิตนันท์ พิชัยณรงค์ (ขวาสุด) อายุรแพทย์ โรงพยาบาลกรุงเทพ ซึ่งโครงการ AIA Sharing A Life ครั้งที่ 11 จะจัดขึ้นทั้งสิ้น 10 แห่ง ได้แก่  •  อาคารเอไอเอ แคปปิตอล เซ็นเตอร์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 4-5 มิถุนายน 2567 เวลา 8:00-17:00 น.  •  โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงใหม่ โรงพยาบาลกรุงเทพพิษณุโลก โรงพยาบาลกรุงเทพสนามจันทร์ โรงพยาบาลกรุงเทพอุดร และ โรงพยาบาลกรุงเทพราชสีมา ระหว่างวันที่ 7-8 มิถุนายน 2567 เวลา 8:00-17:00 น.  •  โรงพยาบาลสมิติเวชชลบุรี โรงพยาบาลสมิติเวชศรีราชา โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี และ โรงพยาบาลกรุงเทพหาดใหญ่ วันที่ 15 มิถุนายน 2567 เวลา 8:00-17:00 น.สำหรับ AIA Sharing A Life หรือ วันทำดีร่วมกันของชาวเอไอเอ ถือเป็นกิจกรรมประจำปีที่ยิ่งใหญ่ของชาวเอไอเอ เพื่อมุ่งตอบแทนสังคมไทย พร้อมกับการมีส่วนร่วมเพื่อช่วยพัฒนาและส่งเสริมให้คนไทยมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เดินหน้าตามพันธกิจ AIA One Billion ที่มุ่งสนับสนุนให้ผู้คนกว่าหนึ่งพันล้านคนทั่วภูมิภาคเอเชีย มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา Healthier, Longer, Better Lives โดยสำหรับประชาชนที่สนใจรับบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ สามารถลงทะเบียนเข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้ผ่านประกาศโพสต์บน Facebook: Thailand.AIA และ Line official: AIA Thailand ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2567 เวลา 14:00 น. เป็นต้นไปจนกว่าสิทธิจะเต็ม

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ธุรกิจ

ลองทำสิ่งที่คู่แข่ง “ยังไม่ได้ทำ หรือ ไม่คิดจะทำ” !?

18/05/2024

ถ้า คู่แข่ง คิดและทำ ในสิ่งที่ท่าน ไม่ได้คิด ไม่ได้ทำ …..สิ่งที่ท่านจะทำได้ คงเหลือแต่เพียง ทำใจ….ดูลูกค้าของท่าน จากไปอยู่กับธุรกิจของคู่แข่งของท่าน !Part.1. เมื่อแต่ละธุรกิจทำเหมือนๆกัน !?ธุรกิจทุกขนาด ที่ทำเหมือนๆหรือคล้ายกัน ไม่ว่าจะเป็น สินค้า-บริการ คล้ายกันหรือแทบไม่เห็นความแตกต่าง ตัวอย่างที่ชัดเจน เช่น ธุรกิจตัวแทนจัดจำหน่าย ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของสินค้าเองนอกจากจะต้องแข่งกับคู่แข่งแล้ว ยังต้องแข่งกับตัวแทนจัดจำหน่ายด้วยกันเอง ยังไม่รวมสินค้าจากจีน ที่ทะลุทะลวงจนทำให้หลายธุรกิจของไทยในปัจจุบัน วงแตก ทยอยล้มหายตายจาก!ไม่ใช่แค่ธุรกิจตัวแทนจัดจำหน่ายเท่านั้น ธุรกิจอะไรก็แล้วแต่ ที่ทำเหมือนๆคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งปัจจุบันและคู่แข่งใหม่ๆที่กำลังเข้ามาทุกวัน ถ้าสายป่านเงินทุนไม่ยาว รอดยาก แต่ถึงแม้สายป่านยาว กำไรก็น้อยลงทุกวัน!Part.2. เพราะ Full Force Strategy ที่เหมือนกัน….?ธุรกิจที่ไม่มีอะไรแตกต่าง ที่ใช้ Full Force Strategy ที่เหมือนกัน และส่วนมากเป็นกลยุทธ์ที่ไม่แตกต่างกันก็คือ การลดราคา การจัดPromotionตลอดทั้งปี บางธุรกิจยิ่งขายยิ่งขาดทุน!Full Force คือการทุ่มสรรพกำลังทั้งหมด แต่เมื่อการทุ่มทั้งหมดไปที่กลยุทธ์ ราคา เป็นหลัก ก็เป็นสิ่งที่น่าเสียดาย เพราะ การใช้กลยุทธ์ราคา เช่น ลด แลก แจก แถม เป็นกลยุทธ์ที่ง่ายที่สุดในการคิดและทำ แต่เป็นกลยุทธ์ที่เจ็บตัวมากที่สุดเช่นกัน!ลองปรับเปลี่ยน จาก Full Force Strategy ที่เน้นไปที่การลดราคาอย่างเดียว เป็นกลยุทธ์อื่นๆ อย่างน้อย จะไม่เจ็บตัวเหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มเติมก็คือ อาจค้นพบโอกาสใหม่ๆ ลูกค้าใหม่ๆ วิธีการใหม่ๆ ที่สร้างผลกำไรได้ดีกว่าวิธีเดิมๆที่กับคู่แข่งใช้เหมือนกันPart.3. ลองเปลี่ยนวิธีคิด ปรับวิธีการในเรื่อง กลยุทธ์ !เป็นเรื่องยากมาก ที่เราจะชนะด้วยวิธีคิด วิธีการที่ไม่แตกต่างจากคู่แข่ง แต่เป็นเรื่องที่ไม่ยากจนเกินไป ถ้าจะลอง ลองเปลี่ยนวิธีคิด ปรับวิธีการในเรื่อง กลยุทธ์ ลองทำสิ่งที่คู่แข่ง “ยังไม่ได้ทำ หรือ ไม่คิดจะทำ” !?โดยเลิกคิดเลิกทำตามคู่แข่ง แต่ให้คิดใน “มุมของลูกค้า”!Part.4. ธุรกิจเรา จะช่วยแก้ปัญหา Pain Point ในเรื่องใดของลูกค้าได้บ้าง!?ลูกค้าของทุกธุรกิจ ทุกคนต่างก็มี Pain Point ที่เรามักจะมองไม่เห็น หรือ มองข้าม มีอะไรหลายอย่างที่ยังไม่สามารถ ตอบสนองความต้องการ และ แก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ที่ผ่านมาหลายธุรกิจ มักจะคิดแต่ ขายในสิ่งที่อยากขาย แต่อาจไม่ตรงความต้องการของลูกค้า แล้วจะรู้ปัญหา และ ความต้องการของลูกค้าได้อย่างไร?เริ่มต้นที่ วิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้า และ ลองคุยกับลูกค้าแต่ละประเภทอย่างจริงจัง เพื่อหาCustomer Insight (ข้อมูลเชิงลึก ของลูกค้า)ท่านจะค่อยๆ ค้นพบ Pain Point ที่ลูกค้าพบเจอในปัจจุบัน จากสินค้า บริการของคู่แข่งและของท่าน ข้อมูลตรงส่วนนี้มีค่ามหาศาลมาก เพราะท่านจะมองเห็นโอกาส ที่คู่แข่งมองไม่เห็น และท่านก็ไม่เคยมองเห็นเช่นกันPart5. ถึงเวลาลองทำสิ่งที่คู่แข่ง “ยังไม่ได้ทำ หรือ ไม่คิดจะทำ”เมื่อมาถึงตรงนี้ ก็เป็นเรื่องไม่ยาก ที่ท่านจะนำ ปัญหาและความต้องการของลูกค้าในปัจจุบัน มาเชื่อมโยงกับกลยุทธ์ใหม่ของท่าน ที่เป็นกลยุทธ์ วิธีการที่คู่แข่ง และท่าน ยังไม่ได้ทำ หรือไม่เคยคิดจะทำKey Point ก็คือ สิ่งที่ท่านคิดจะทำนี้ “ต้องแก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการของลูกค้าในปัจจุบัน”!ตัวอย่างเช่น Pain Point ของลูกค้าในยุคปัจจุบันคือ สินค้า/บริการ ที่ลูกค้าเคยซื้อจากคู่แข่งหรือเคยซื้อจากท่าน ใช้แล้วพบปัญหาบางอย่าง เพราะขาดการแนะนำที่ดีก่อนการใช้“โอกาสที่ท่านค้นพบ” ก็คือ การเพิ่ม ยกระดับความสัมพันธ์ให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีจากสินค้า/บริการของท่าน ภักดีกับบริษัทของท่าน ด้วยการ ให้คำแนะนำก่อนใช้-ระหว่างใช้-และช่วยแก้ปัญหาให้กับลูกค้าหลังการใช้ เป็นต้นหรือ ลองใช้กลยุทธ์ใหม่ที่คู่แข่งและท่านไม่เคยทำ เช่น คู่แข่งเน้นลดราคา (และมักจะแอบลดคุณภาพ หรือ ปริมาณลงแบบเนียนๆ โดยที่ลูกค้าอาจไม่รู้) แต่ท่าน ไม่ลดราคา แต่ยกระดับคุณภาพสินค้า และยกระดับคุณภาพ การให้บริการเชิงรุก (ในระยะสั้น ต้นทุนเหมือนอาจจะเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ในระยะกลางและระยะยาว ท่านจะได้ครองใจลูกค้า และได้ลูกค้าใหม่เพิ่มจากคู่แข่ง)Part6.บทสรุปไม่ใช่เรื่องยาก ที่จะคิดจะทำ ในการลองคิด ลองทำ สิ่งที่คู่แข่ง ไม่ได้คิด ไม่ได้ทำเพราะถ้า คู่แข่ง คิดและทำ ในสิ่งที่ท่าน ไม่ได้คิด ไม่ได้ทำ …..สิ่งที่ท่านจะทำได้ คงเหลือแต่เพียง ทำใจ….ดูลูกค้าของท่าน จากไปอยู่กับธุรกิจของคู่แข่งของท่าน!แหล่งที่มาข่าวต้นกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/business/biz-bizweek/1114681

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

สมาคมประกันวินาศภัยไทย เร่งตรวจสอบ บริษัทสมาชิก หลังพบว่ามีบางบริษัทนำเงินเซฟวิ่งจากการจ่ายสมทบบริษัทกลางฯ ลดลง..มาแข่งขันจ่ายค่าคอมฯ ประกันพ.ร.บ.

18/05/2024

ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยถึงกรณี การลดเงินสมทบของบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด จากเดิมที่บริษัทประกันภัยต้องจ่าย 12.25% เหลือ 6% หรือตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 จนถึงกันยายน 2569 ว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาธุรกิจประกันภัยต้องเผชิญกับวิบากกรรมในเรื่องของการรับประกันภัยโควิด ทำให้บริษัทประกันภัยหลายแห่งถูกเพิกถอนใบอนุญาต ส่วนความคุ้มครองที่ยังเหลืออยู่นั้นถูกโอนไปที่ “กองทุนประกันวินาศภัย”ซึ่งทางสมาคมเองก็ได้มีการหารือกับทางบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด เมื่อมีการลดเงินสมทบลงมา 50% เขาสามารถประคับประคองสถานการณ์ได้ประมาณ 3 ปี ก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบฐานะการเงินของบริษัทกลางฯ จนกระทั่งทำให้บริษัทกลางฯ อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถดำเนินธุรกิจอยู่ได้ แต่ถ้าครบ 3 ปีแล้วเงินสมทบก็จะกลับมาจ่ายเช่นเดิม หรือ 12.25% เพื่อมาชดเชยความขาดทุนในช่วง 3 ปีนั้นได้"สำหรับ บริษัทกลางนั้นใน 3 ปีที่กำลังจะผ่านไปก็สามารถ recover สถานการณ์ได้ในขณะเดียวกันบ.กลางฯ จะได้มีการปรับโครงสร้างภายในของบริษัทกลางฯ ทำให้เกิดการประหยัดค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นสิ่งเหล่านี้ก็เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบในระยะยาว" ดร.สมพรกล่าวเมื่อย้อนมาพิจารณาทางด้าน  "กองทุนประกันวินาศภัย" ที่มีวัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง เพื่อคุ้มครองเจ้าหนี้ซึ่งมีสิทธิ์ได้รับชำระหนี้ ที่เกิดจากการเอาประกันภัยในกรณีบริษัทถูกเพิกถอนใบอนุญาต หรือปิดกิจการ ซึ่งประกันภัยมีหน้าที่จ่ายเงินสมทบเข้าไปให้กองทุนฯ จำนวน 0.25% ของเบี้ยประกันภัยในแต่ละปี เพราะฉะนั้น เมื่อมีบริษัทประกันภัยปิดกิจการ กองทุนก็มีหน้าที่ต้องดำเนินการจ่ายชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ และในกรณีนี้มีบริษัทประกันภัยถูกปิดกิจการผลจากการประกันโควิด 4 บริษัท ทำให้มีมูลหนี้ปัจจุบันสูงกว่า 51,000 ล้านบาท ซึ่งเงินกองทุนฯ มีเงินทุนไม่เพียงพอในการชำระให้แก่เจ้าหนี้"อย่างไรก็ดี หลายฝ่ายพยายามเร่งหาทางออกต่อเรื่องดังกล่าว กระทั่งในปีที่ 2566 ที่ผ่านมา ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) จึงมีการปรับเพิ่มเงินสมทบของกองทุนฯ จากเดิมที่บ.ประกันภัยค้องจ่ายอยู่ที่ 0.25% กลายเป็น 0.5% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นเท่าตัว อันที่จริงแล้วนับได้ว่าเป็นภาระของธุรกิจประกันวินาศภัย ซึ่งเป็นช่วงที่หลังจากเกิดวิกฤตการณ์โควิดที่หลายบริษัทฯ ก็ประสบปัญหาการจ่ายสินไหมทดแทนประกันโควิดเช่นเดียวกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น ทางบริษัทฯ สมาชิกจึงได้มีการหันกลับไปร้องขอให้ลดเงินสมทบของบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด เพื่อมาชดเชยสิ่งที่เป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจประกันภัย" ดร.สมพรกล่าวทั้งนี้ ในส่วนทิศทางการเพิ่มขึ้นของเงินสมทบกองทุนประกันวินาศภัยนั้น เพื่อแก้ปัญหาและภาระของกองทุนประกันวินาศภัยซึ่งขณะนี้มีหนี้ที่ถูกรับโอนมาจาก 4 บริษัทที่ปิดกิจการอยู่ในกองทุนประมาณ 51,000 ล้านบาท และสมมุติว่ามีบางบริษัทต้องหยุดดำเนินกิจการไปด้วยและโอนหนี้นั้นมาก็จะเป็นภาระของกองทุนเพิ่มขึ้นอีก 30,000 ล้านบาท รวมเป็นมูลหนี้ 80,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นหนี้ก้อนโตเลยทีเดียวดังนั้น จึงมีแนวคิดในหลากหลายวิธีเพื่อจะแก้ไขปัญหาดังกล่าว ยกตัวอย่างแนวทางแรก คือ การเพิ่มเงินสมทบจากปัจจุบันเป็น 0.5 ก็อาจจะกลายเป็น 1% หรือ 2% แต่ในมุมนี้ หากมีการเพิ่มเงินส่งสมทบ สุดท้ายแล้วก็จะกลับมาเป็นภาระของประชาชน เพราะถ้าบริษัทประกันภัยมีต้นทุนที่เพิ่มมากขึ้น ก็จำเป็นจะต้องไปกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยใหม่เป็นการไปเพิ่มเบี้ยให้กับประชาชนกลายเป็นภาระของประชาชนในภาพรวมแนวทางที่สอง พูดคุยเจรจากันกับเจ้าหนี้ เพื่อขอลดหนี้ลง เหลือ 30-50% ก็จะทำให้กองทุนมีศักยภาพในการชำระหนี้ได้ยกตัวอย่าง ถ้าลดลงมาเหลือครึ่งนึง 50% จากมูลหนี้ 80,000 ล้านบาท ก็จะเหลือ 40,000 ล้านบาท ก็สามารถนำเงินที่บริษัทประกันภัยจ่ายเงินสมทบอยู่แล้วในขณะนี้ในอัตราปัจจุบันนี้ต่อปี 1,300 ล้านบาท โดยในอนาคตบริษัทประกันภัยก็จะเติบโตมีเบี้ยประกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เงินสมทบดังกล่าวก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 1,500 หรือ 1,600 ล้านบาท/ปีในขณะเดียวกันถ้าสามารถออกพันธบัตร หรือ หุ้นกู้ และเชิญชวนให้บริษัทประกันภัยและบริษัทประกันชีวิต เข้ามาซื้อโดยมีดอกเบี้ยพอสมควร กองทุนฯ ก็สามารถที่จะนำเงินที่ซื้อหุ้นกู้หรือพันธบัตร ไปวางเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน 100-150% ได้ ตนก็เชื่อว่าบริษัทประกันภัยและประกันชีวิตจำนวนไม่น้อยจะให้การสนับสนุน กองทุนก็จะสามารถมีวงเงินกลับมา 2-3 หมื่นล้าน มาบริหารกองทุนได้ แต่เรื่องดังกล่าวต้องหารือร่วมและขออนุมัติจากกระทรวงการคลังดร.สมพร กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่เป็นอันตรายในตอนนี้ คือ เมื่อมีการปรับลดเงินสมทบของบริษัทกลางฯ ลงไป ก็จะมีบริษัทประกันภัยบางบริษัทนั้นแทนที่จะเอาเงินที่ saving มาได้ไปชดเชยในเรื่องของเงินสมทบจากกองทุน แต่กลับเริ่มเห็นแนวโน้มของบริษัทประกันภัยบางบริษัทนั้นไปจ่ายค่าตอบแทนทางด้านประกันภัยพ.ร.บ.เพิ่มมากขึ้นก็จะกลายเป็นปัญหาอีกด้านหนึ่งของธุรกิจ ซึ่งขณะนี้สมาคมประกันวินาศภัยได้เชิญบริษัทประกันภัยต่างๆ มานั่งพูดคุยกันว่า ควรที่จะดำเนินการให้อยู่ในกฎ กติการ่วมกันอย่างไร เพราะว่าการแก้ปัญหาให้กับธุรกิจประกันภัยนั้นไม่ควรจะสร้างปัญหาอีกแบบหนึ่งให้เกิดขึ้นอีกด้านหนึ่งแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับซีเคว้ล ออนไลน์https://www.sequelonline.com/?p=164351

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

ICONSIAM ART & CULTURE หมุดหมายเพื่อคนรักศิลปะ ชวนดื่มด่ำงานศิลป์ กับ 3 งานอาร์ต ชมความงดงามที่หลากหลาย

18/05/2024

ไอคอนสยาม ชวนทุกท่านดื่มด่ำไปกับงานศิลปะประจำเดือนพฤษภาคม 2567 เริ่มจากงานศิลปะจากฝีมือของนักศึกษามหาวิทยาลัยเพาะช่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ สาขาวิชาจิตรกรรมไทย สาขาวิชาประติมากรรมไทย และสาขาวิชาหัตถศิลป์ ภูมิใจนำเสนอนิทรรศการศิลปนิพนธ์ “ทัย ไท ไทย” ที่รวบรวมผลงานอันเป็นรากฐานของศิลปะประจำชาติ ทั้ง ๓ สาขาวิชา คือ จิตรกรรมไทย ประติมากรรมไทย และหัตถศิลป์ ที่ถ่ายทอดผ่านประสบการณ์การค้นคว้า ตีความ และสร้างสรรค์ผ่านรูปแบบและแนวคิดงานอย่างไทย“ทัย” คำแรกนี้ สื่อความหมายถึง “หทัย” คือ ใจที่รักงานการสร้างสรรค์งานศิลปกรรม หรือ “อุทัย” คือ ความเริ่มต้นในการคิดสร้างสรรค์งาน อันเป็นก้าวของนักศึกษาที่จะก้าวเดินออกไปสู่โลกก้าวต่อไป“ไท” คำที่สอง สื่อความหมายถึง “ความเป็นอิสระ เสรี” ที่เป็นรากฐานสำคัญของคนไทย ที่ล้วนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก และสะท้อนความงดงามผ่านงานศิลปกรรมได้อย่างปัจเจก“ไทย” คำที่สาม สื่อความหมายถึง “คนไทย และชาติไทย” ที่มีความงดงามทางศิลปกรรมอย่างเป็นอัตลักษณ์ จนเป็นที่ประทับใจของผู้คนที่เคยพบเห็นความงดงามทางวัฒนธรรมของชาตินิทรรศการ “ทัย ไท ไทย” จึงแสดงงานศิลปนิพนธ์ของนักศึกษาชั้นปีสุดท้ายของสาขาวิชาจิตรกรรมไทย สาขาวิชาประติมากรรมไทย และสาขาวิชาหัตถศิลป์ วิทยาลัยเพาะช่าง ผ่านการสร้างสรรค์งานศิลปกรรมจากกระบวนการศึกษาค้นคว้าที่เป็นระบบ รังสรรค์ถ่ายทอดเป็นชิ้นงานที่สืบทอดรูปแบบ และแนวคิดทางศิลปกรรมอย่างไทย ผสมผสานกับจินตนาการการสร้างสรรค์ของนักศึกษา เพื่อสืบทอดรักษาอัตลักษณ์ความงานของไทยสืบไป โดยสามารถชมงานได้ที่ ICON ART & CULTURE SPACE ชั้น 8 ตั้งแต่วันนี้ ถึง 19 พฤษภาคม 2567RELEASE สถานะของผู้เฝ้ามอง โดยศิลปินเอกพงษ์ ใจบุญนิทรรศการที่สร้างสรรค์ขึ้นแนวคิดในฐานะผู้เฝ้ามองธรรมชาติ และการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เมื่อมีสิ่งหนึ่งกำเนิดขึ้นมาก็จะต้องเสียอีกสิ่งหนึ่งเป็นการทดแทนกันไป ไม่มีมากไปหรือไม่มีน้อยไป เมื่อเรารู้จักปล่อยวาง ปรับตัว และเข้าใจ เราก็จะสามารถใช้แนวทางของการใช้ชีวิตได้อย่างเรียบง่ายและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อยู่รอบตัวเราได้อยู่เสมอดั่งเช่นผีเสื้อแสนสวยที่บินมาเกาะที่ต้นไม้ ต้นหนึ่งออกดอกสีชมพูบานสะพรั่งทั้งต้น ความงามที่เกิดขึ้นชั่วขณะนั้นจะหาสิ่งใดเปรียบเทียบได้ยากยิ่งหากสิ่งที่เห็นอาจจะมิได้เป็นความจริงและสวยงามเสียทั้งหมด เหตุจากผีเสื้อนั้นได้เกิดจากแม่ที่มาวางไข่ลงไปในเปลือกของต้นไม้นั้น และเกิดเป็นหนอนผีเสื้อที่จะเข้าไปกัดกินแก่นไม้เพื่อเติบโตเป็นดักแด้ ก่อนจะลอกคราบออกมาเป็นผีเสื้อตัวนั้น หากหนอนผีเสื้อมีจำนวนมากพอก็จะกัดกินแก่นไม้จนต้นไม้นั้นยืนต้นตาย ความงามของดอกไม้นั้นเราก็มิอาจจะได้เจออีกในปีถัดไป และเราจะไม่ได้เจอผีเสื้ออีกเช่นกัน แต่แท้จริงแล้ว เราจะต้องโกรธผีเสื้อตัวนั้นไหมที่กัดกินต้นไม้ต้นนั้น แต่เมื่อเราพิจารณาความจริงแล้วผีเสื้อก็กัดกินแก่นไม้เพื่อความอยู่รอดและดำรงเผ่าพันธุ์ของตนเองต่อไป ส่วนต้นไม้หากมีหนอนกัดกินไม่มากต้นไม้ก็จะรักษาตัวเองให้อยู่รอดต่อไปเช่นกัน หรือถึงแม้จะถูกกัดกินจนต้นไม้นั้นตายจากไป แต่ก็ยังมีเมล็ดพรรณที่จะให้กำเนิดงอกงามเป็นต้นไม้ ต้นต่อไปอีกมากมาย เป็นวัฏจักรอยู่เช่นนี้ ชมนิทรรศการและเฝ้ามองธรรมชาติได้ ณ ICONLUXE Pop up Space ชั้น 1นิทรรศการ มหาเทพแห่งความมั่งคั่งตั้งแต่ครั้งโบราณนานมามนุษย์มีความเชื่อเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในเรื่องของการ "ขอพร" ให้แก่ชีวิตตนเองเกิดความมั่นคงและเจริญก้าวหน้าในชีวิต ความเป็นอยู่ ที่ดีมีความสุขสบายยิ่งขึ้นหรือเรียกอีกอย่างว่าความ "มั่งคั่งร่ำรวย" ตามความเชื่อในแต่ละพื้นที่ทั่วโลกมีการขอพรให้โชคดีกับเทพแต่ละองค์แตกต่างกันไป แต่ในไทยและแถบเอเชียเราจะมีเทพอยู่ ๔ องค์ ที่จะไม่นึกถึงไม่ได้นั้นก็คือ“4มหาเทพแห่งความมั่งคั่ง” ผู้ที่ถือครองทรัพย์สมบัติเป็นอเนกอนันต์ที่คนทั่วโลกต่างเชื่อว่า ที่สุดแห่งการประทานความร่ำรวย ความสำเร็จให้แก่ผู้ที่บูชา เพราะต่างมีความเชื่อและศรัทธา ว่าช่วยจะดลบันดาลพรต่างๆให้สำเร็จดั่งใจหวัง “4มหาเทพแห่งความมั่งคั่ง”เป็นที่เล่าขานต่อกันมา ได้แก่ พระพิฆเนศ ท้าวเวสสุวรรณ พญานาค พญาครุฑ ซึ่งคนทั่วทั้งโลกต่างเชื่อว่า ที่สุดแห่งการประทานความร่ำรวยให้แก่ผู้ที่บูชาเทพที่เชื่อกันว่าช่วยดลบันดาลพรต่างๆให้สำเร็จดังใจหวัง ชมนิทรรศการได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 พฤษภาคม 2567 ณ พื้นที่ Arts Way ชั้น Mขอเชิญชวนผู้มีความสนใจร่วมกันชมนิทรรศการทั้ง 3 งานพร้อมสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษ และดื่มด่ำกับงานศิลปะที่น่าหลงใหลในพื้นที่ต่างๆ ได้ตลอดทั้งปี สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 1338 หรือ Facebook: ICONSIAMแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/entertainment/detail/9670000042117

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

"หาดทรายรี" เกาะเต่า จุดชมพระอาทิตย์ตกทะเลแสนงามแห่งอ่าวไทย

18/05/2024

"เกาะเต่า" เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลชื่อดังของไทยที่มีชื่อเสียงโด่งดังในระดับโลก เกาะเต่า ตั้งอยู่ในอำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ห่างจากเกาะพะงันไปทางทิศเหนือประมาณ 45 กิโลเมตร มีเนื้อที่ 21 ตารางกิโลเมตรปัจจุบันเกาะเต่าได้รับการยกย่องให้เป็นแหล่งดำน้ำที่ดีที่สุดในฝั่งอ่าวไทย ทั้งยังเป็นหนึ่งในโรงเรียนสอนดำน้ำที่ดีที่สุดในโลก เพราะมีแหล่งเรียนดำน้ำที่สามาถฝึกได้ทั้งการดำน้ำตื้น ดำน้ำลึก และดำน้ำแบบฟรีไดฟ์ โดยมีจุดดำน้ำกว่า 20 จุดรอบเกาะเต่า ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถมาดำน้ำที่เกาะเต่าได้เกือบทุกฤดูกาล ยกเว้นช่วงมรสุมระหว่างเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ส่วนช่วงที่องค์ประกอบเหมาะสมที่สุดคือ ในเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายนนอกจากนี้บนเกาะเต่ายังมีหาดทรายชายทะเลที่สวยงามชวนท่องเที่ยวอยู่หลายจุดด้วยกัน นำโดย "หาดทรายรี" ซึ่งเป็นชายหาดที่ยาวที่สุดบนเกาะเต่า มีหาดทรายขาวสะอาด มีทั้งที่พัก ร้านอาหารริมทะเล ร้านขายของ คาเฟ่ ไปจนถึงร้านทัวร์ดำน้ำและโรงเรียนสอนดำน้ำบริเวณหาดทรายรียังมี "ลานหิน จปร." อันเป็นที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ขององค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่เสด็จมาเกาะเต่าเมื่อปี รศ.118 และทรงสลักพระปรมาภิไทยย่อ จปร. ไว้ที่ก้อนหินใหญ่แห่งนี้ปัจจุบันลานหิน จปร. นอกจากจะเป็นสถานที่เคารพสักการะพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 ของประชาชนชาวเกาะเต่า และนักท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นหนึ่งในจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาท่องเที่ยวพักผ่อน ในช่วงเวลาเย็น เพื่อรอชมพระอาทิตย์ และแสงชมสุดท้ายของวันที่สวยงามด้วยแสงสีที่เปลี่ยนไปในแต่ละวัน ซึ่งที่นี่เป็นหนึ่งในจุดชมพระอาทิตย์ตกกลางทะเลที่สวยงามแห่งหนึ่งของเมืองไทยส่วนหาดทรายชายทะเลที่น่าสนใจอื่น ๆ บนเกาะเต่า ก็มี อ่าวโฉลกบ้านเก่า อ่าวลึก อ่าวไลท์เฮ้าส์ อ่าวม่วง อ่าวหินวง อ่าวเทียน และ “อ่าวโตนด” ที่เคยติดอันดับที่ 44 ชายหาดที่ดีที่สุดในโลก จากเว็บไซต์ World Beach Guide ในปี พ.ศ.2566ทุก ๆ ปี ที่เกาะเต่าจะมีการจัดงาน Spotlight Koh Tao ขึ้น เพื่อเปิดเทศกาลท่องเที่ยวและเชิญชวนให้คนมาเที่ยวเกาะเต่า โดยปีนี้ทางสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวเกาะเต่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี เทศบาลตำบลเกาะเต่า และเครือข่ายด้านการท่องเที่ยว ได้ร่วมกันจัดงาน "Spotlight Koh Tao 2024" ขึ้นเมื่อวันที่ 3-5 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งปีนี้มีความพิเศษ คือมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการยกระดับเกาะเต่าจากการเป็นแหล่งเรียนดำน้ำระดับโลก สู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลเพื่อการเรียนรู้โลกใต้ทะเลและวิถีเกาะ ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและรับผิดชอบ เพื่อก้าวสู่การเป็น Sustainable Island Tourism Destination ต่อไปในอนาคตภาพ : อโนทัย งานดีแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000042496

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X