ประกันชีวิต

“ประกันชีวิต”...ความคุ้มครองที่ “ยิ่งรอ-ยิ่งแพง”


หลังเริ่มทำงานไม่นานเพื่อนที่ทำงานด้าน “ประกันชีวิต” คนหนึ่งได้นำเสนอการทำประกันให้กับผม ทุกวันนี้ผมยังจำบทสนทนาระหว่างผมกับเพื่อนในวันนั้นว่าผมทำประกันชีวิตไปเพื่ออะไรในเมื่อผมไม่ได้มีภาระทางการเงินอะไร เวลาผ่านไปหลายปีผมได้ข่าวว่าเพื่อนคนนี้ได้จากไปก่อนเวลาอันควร การสูญเสียเสาหลักด้านรายได้คงส่งผลกระทบกับครอบครัวของเขาที่มีลูกอายุไม่กี่ขวบไม่มากก็น้อย

“ผมคิดว่าด้วยอาชีพของเขาคงจะได้รับเงินจากกรมธรรม์ประกันชีวิตไม่มากก็น้อย ขณะเดียวกันทำให้ผมกลับมาคิดว่าถ้าหากวันหนึ่งเหตุการณ์แบบนี้เกิดกับครอบครัวของผมจะเป็นอย่างไร”





ต่อมาเมื่อเรียนเรื่อง “การวางแผนการเงินส่วนบุคคล” ผมพบว่าในกระบวนการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคลนั้น “การบริหารจัดการความเสี่ยง” มีความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ ในการวางแผนการเงิน

ผู้บรรยายในชั้นเรียนยกตัวอย่างเรื่อง “การสวมหน้ากากออกซิเจนบนเครื่องบิน” ว่า การที่ผู้ใหญ่ต้องสวมหน้ากากออกซิเจนให้ตัวเองก่อนแล้วจึงสวมหน้ากากให้กับเด็กนั้น เพราะในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นคนจะหมดสติจากการขาดออกซิเจนภายในเวลาเพียง 15 วินาทีเท่านั้น หากผู้ใหญ่มัวแต่สวมหน้ากากให้เด็กก่อน ผู้ใหญ่มีโอกาสสูงมากที่จะหมดสติ ผลสุดท้ายคือทั้งเด็กและผู้ใหญ่ไม่สามารถเอาชีวิตรอดไปได้

“ผู้ใหญ่จึงต้องสวมหน้ากากเพื่อไม่ให้ตัวเองหมดสติไปก่อน ให้สามารถช่วยเหลือเด็กได้นั่นเอง การสวมหน้ากากให้ผู้ใหญ่ก่อน อาจเป็นสิ่งที่แปลกจากหลักปฎิบัติในชีวิตประจำวันที่เรามักให้ความสำคัญกับเด็ก สตรี และคนชรา แต่ในสถานการณ์ฉุกเฉินอาจเป็นเรื่องจำเป็น”

แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับ “ประกันชีวิต” ล่ะ?

วัตถุประสงค์หลักในการทำประกันชีวิต คือ การสร้างหลักประกันขั้นพื้นฐานเพื่อคุ้มครองให้บุคคลที่เราเป็นห่วงยังสามารถดำรงชีวิตได้เมื่อเราเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น เราจะทำยังไงให้บุคคลที่เรารักและเป็นห่วงยังสามารถดำเนินชีวิตได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้หากเราไม่สามารถอยู่ดูแลคุ้มครองได้อีกต่อไป

“แต่เพราะไม่มีใครรู้อนาคตของตัวเอง การป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดคิดต่างๆ และการสร้างความมั่นใจหรือความมั่นคงสำหรับอนาคตเอาไว้ล่วงหน้าจึงเป็นวิธีการที่ทำให้เรามั่นใจว่าคนข้างหลังจะสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ ‘การวางแผนการประกันภัยและประกันชีวิต’ จึงเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยในการสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัว ควบคู่ไปกับการวางแผนการเงินด้านการออมและการลงทุน”




ในการสร้างความคุ้มครองเพื่อป้องกันผลกระทบทางการเงิน เราสามารถนำวิธี “การบริหารการเสี่ยงภัย” (Risk Management) มาเลือกแนวทางที่เหมาะสม หรือนำแต่ละวิธีมาใช้ควบคู่กันได้เช่นกัน วิธีการบริหารการเสี่ยงภัย มีดังนี้

1. การหลีกเลี่ยงความเสี่ยงภัย (Risk avoidance) ก็คือการไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมหรือสิ่งที่จะก่อให้เกิดความเสี่ยงภัย วิธีนี้แม้จะเป็นวิธีที่ช่วยไม่ให้เราต้องประสบกับภัยแต่ก็อาจมีผลกระทบทางอ้อมในด้านอื่นๆ เช่น การกลัวอุบัติเหตุทำให้ไม่กล้าเดินทางไปไหนเลย เป็นต้น

2. การลดความเสี่ยงภัย (Risk Reduction) หรือลดความรุนแรงเมื่อเกิดเหตุ เช่น การขับรถยนต์อย่างมีสติ เคารพกฎจราจร การเดินทางด้วยรถยนต์แทนรถมอเตอร์ไซค์ ไปจนถึงการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีหรือการตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อให้พบปัญหาสุขภาพแต่เนิ่นๆ เป็นต้น

3. การรับการเสี่ยงภัยไว้เอง (Risk retention) เมื่อประเมินว่าภัยที่จะเกิดขึ้นมีความเสียหายน้อยมาก จนไม่คุ้มค่ากับการป้องกันความเสี่ยง และยังเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย เราก็สามารถรับความเสี่ยงภัยไว้เองได้

4. การโอนความเสี่ยงภัย (Risk Transfer) “การทำประกันภัย” และ “ประกันชีวิต” เป็นรูปแบบหนึ่งของ “การโอนความเสี่ยงภัย” จากเราไปยังบริษัทประกันฯ แม้วิธีนี้จะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการทำประกันภัย แต่เมื่อเทียบกับระดับความคุ้มครองที่ได้รับจะพบว่าต้นทุนเหล่านี้เป็นสัดส่วนที่ไม่มากนัก แต่สามารถลดผลกระทบทางการเงินเมื่อเกิดภัยขึ้น

“เมื่อเราตัดสินใจเลือกโอนความเสี่ยงด้วยการทำประกันชีวิต คำถามที่ตามมาก็คือ เราควรทำประกันชีวิตมากน้อยแค่ไหน? และเราควรเริ่มทำเมื่อไหร่?”

คำถามว่า…“ควรทำเมื่อไหร่?” เป็นเรื่องที่เห็นภาพได้ง่ายผ่านการเปรียบเทียบข้อมูลของแบบประกันชีวิต เพียงแต่ปกติการนำเสนอแบบประกันมักไม่เปรียบเทียบให้เราเห็น เพราะมักเป็นการนำเสนอเพื่อให้เราตัดสินใจทำประกันทันที เรามาหาคำตอบจากตัวอย่างแบบประกันชีวิตแบบหนึ่งที่มีการนำเสนอในปัจจุบันกันครับ

คุณหนึ่ง อายุ 30 ปี กำลังพิจารณาทำประกันชีวิตเพื่อลูกน้อยวัย 3 ขวบ คุณหนึ่งได้ขอให้ตัวแทนประกันชีวิตทำรายละเอียดของแบบประกันชีวิตแบบหนึ่งเพื่อพิจารณา ความตั้งใจเดิมคิดว่าจะทำประกันชีวิตเมื่อมีอายุ 40 ปี แต่ก็อยากดูว่าถ้าเริ่มทำประกันชีวิตทันทีจะเป็นอย่างไร ตัวแทนประกันชีวิตจึงได้นำเสนอรายละเอียดการทำประกันชีวิตในช่วงอายุต่างๆ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับเปรียบเทียบ ตามตาราง




หากคุณหนึ่งตัดสินใจ “ทำประกันทันที” อัตราเบี้ยประกันชีวิตที่คุณหนึ่งต้องจ่ายปีละ 23,390 บาท หรือเท่ากับคุณหนึ่งต้องชำระเบี้ยรวมเป็นเงิน 467,800 บาท สัญญาประกันชีวิตมีความคุ้มครองเป็นระยะเวลา 69ปี จนคุณหนึ่งมีอายุถึง 99 ปี เมื่อครบสัญญาหรือเสียชีวิตไปก่อนหน้าครอบครัวคุณหนึ่งจะได้รับเงินเอาประกันภัยเป็นเงิน 1 ล้านบาท เท่ากับมีส่วนต่างของเงินที่ได้รับกับเบี้ยประกันที่ชำระไปเท่ากับ 532,200 บาท

“แต่หากคุณหนึ่งตัดสินใจ ‘ยกเลิกความคุ้มครอง’ เมื่อลูกจบการศึกษาหรือในอีก 20 ปีข้างหน้า คุณหนึ่งจะได้รับเงินจากมูลค่าเงินสดของกรมธรรม์ในวันยกเลิกสัญญา เป็นเงิน 387,000 บาท เมื่อหักเบี้ยประกันที่คุณหนึ่งชำระ ส่วนต่างที่เกิดขึ้นคือค่าใช้จ่ายเพื่อความคุ้มครองเป็นเงิน 80,800 บาท หรือปีละ 4,040 บาท”

แต่ถ้าคุณหนึ่งตัดสินใจ “ทำประกันแบบเดียวกันนี้ในอีก 5 ปีข้างหน้า” เมื่อคุณหนึ่งมีอายุ 35 ปี เบี้ยประกันชีวิตที่คุณหนึ่งต้องชำระปีละ 26,640 บาท หรือเบี้ยประกันชีวิตรวมเป็นเงิน 532,800 บาท ส่วนต่างของเงิน1 ล้านบาท ที่จะได้รับกับเบี้ยที่ชำระไปคำนวณได้เท่ากับ 467,200 บาท

“แต่หากคุณหนึ่งตัดสินใจ ‘ยกเลิกความคุ้มครอง’ เมื่อลูกจบการศึกษาหรือในอีก 15 ปีข้างหน้า เท่ากับคุณหนึ่งชำระเบี้ยประกันรวม 15 ปี คิดเป็นเบี้ยประกันรวม 399,600 บาท ในวันยกเลิกความคุ้มครอง คุณหนึ่งจะได้รับเงินจากมูลค่าเงินสดของกรมธรรม์เป็นเงิน 301,000 บาท เท่ากับคุณหนึ่งมีค่าใช้จ่ายในการทำประกันชีวิตเป็นเงิน 98,600 บาท หรือคิดเป็นปีละ 6,573 บาท”

จะเห็นได้ว่าหากคุณหนึ่งเลือกทางเลือกนี้ นอกจากการที่คุณหนึ่งจะไม่ได้รับความคุ้มครองในช่วงอายุ 30-35 ปี แล้ว คุณหนึ่งยังมีต้นทุนค่าใช้จ่ายของการประกันชีวิตเพื่อสร้างความคุ้มครองที่สูงกว่าด้วย หรือในทางกลับกันคุณหนึ่งจะได้รับ “ผลประโยชน์สุทธิ” จากกรมธรรม์ประกันชีวิตที่ต่ำกว่าการตัดสินใจทำประกันชีวิตทันที

เห็นแบบนี้แล้ว อย่าลังเลอีกต่อไป.... มา “เริ่มทำประกัน” แต่เนิ่นๆ กันดีกว่าครับ


แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับwealthythai
https://www.wealthythai.com/en/updates/wealth-management/wealth-ez/12858

คลังความรู้อื่นๆ

สมาคมประกันชีวิตไทยชวนต่อยอดโบนัสและเงินคืนภาษีให้งอกเงยอย่างมั่นคง

29/04/2024

เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมแสดงความยินดีกับนายชูฉัตร ประมูลผล เนื่องในโอกาสรับตำแหน่งเลขาธิการ คปภ.

21/11/2023

เอไอเอ ประเทศไทย จับมือ เอส เอฟ เปิดให้บริการ AIA LOUNGE สร้างประสบการณ์สุดพิเศษสำหรับลูกค้าเอไอเอ พร้อมชวนตรวจสุขภาพเบื้องต้น ผ่านแอปพลิเคชัน AIA+ เพื่อรับตั๋วหนังฟรี

29/04/2024

เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมกับ เอ ไลฟ์ ส่งแคมเปญ “กรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มสงกรานต์คลายร้อน (ไมโครอินชัวรันส์)” มอบกรมธรรม์อุบัติเหตุฟรี ด้วยวงเงินคุ้มครองสูงสุด 100,000 บาทต่อกรมธรรม์

29/04/2024

เอไอเอ ประเทศไทย คว้ารางวัล Asia Pacific Property Awards 2024-2025 สาขาสถาปัตยกรรมที่มีการใช้สอยแบบผสมผสานยอดเยี่ยมจากอาคารเอไอเอ อีสต์ เกตเวย์ (AIA East Gateway)

20/06/2024


X