หุ้น
เจ้าพ่อชอร์ตหุ้น ‘ไมเคิล เบอร์รี’ ยอมแพ้! ปิดฉากกองทุนเฮดจ์ฟันด์
‘ไมเคิล เบอร์รี’ เจ้าของตำนาน The Big Short ประกาศปิดฉากกองทุน Scion Asset Management มูลค่า 155 ล้านดอลลาร์ ถอนตัวจาก 'เกมที่ถูกจัดฉาก' วิจารณ์บิ๊กเทค AI 'ตกแต่งตัวเลขกำไร'
“ไมเคิล เบอร์รี” (Michael Burry) นักลงทุนผู้โด่งดังจากการทำนาย และเดิมพันการล่มสลายของตลาดที่อยู่อาศัยสหรัฐ ในปี 2551 เจ้าของเรื่องราวภาพยนตร์ดังเรื่อง "The Big Short" ได้ตัดสินใจยุติบทบาทการบริหารกองทุนป้องกันความเสี่ยง (Hedge Fund) ของตัวเองอย่าง Scion Asset Management
รอยเตอร์รายงานว่าเบอร์รีได้แจ้งต่อนักลงทุนในจดหมายลงวันที่ 27 ต.ค.68 ว่า จะทำการขายกองทุน และคืนเงินลงทุนคืนแก่ลูกค้าทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้ โดยให้เหตุผลว่า “การประเมินมูลค่าหลักทรัพย์ของผมไม่สอดคล้องกับตลาดทั้งในปัจจุบัน และระยะเวลาหนึ่ง”
• เบื้องหลังการปิดกองทุน 155 ล้านดอลลาร์
การตัดสินใจครั้งนี้ได้รับการยืนยันจากบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยตรง และสอดคล้องกับสถานะการจดทะเบียนของ Scion ในฐานข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ (ก.ล.ต.) ที่ระบุว่า "ยุติ" (Terminated) ณ วันที่ 10 พ.ย.68
Scion Asset Management ซึ่งเคยบริหารสินทรัพย์มูลค่า 155 ล้านดอลลาร์ ณ เดือนมี.ค. ถูกจับตามองมาโดยตลอดในฐานะสัญญาณเตือนถึงภาวะฟองสบู่ในตลาดที่อาจเกิดขึ้น
นักวิเคราะห์มองว่า การตัดสินใจของเบอร์รีครั้งนี้ "ไม่ใช่การเลิกเล่น แต่เป็นการก้าวถอยห่างจากเกมที่เขาเชื่อว่าถูกจัดฉากขึ้นมากกว่า" จากโครงสร้างพื้นฐาน และ วิธีการทำบัญชี/การประเมินมูลค่า ของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่ม AI นั้น ผิดปกติหรือบิดเบือนไปจากความเป็นจริง
นอกจากนี้ แทนที่จะบริหารเงินของนักลงทุนรายอื่นผ่านกองทุน Hedge Fund ที่ต้องเปิดเผยข้อมูล และปฏิบัติตามกฎของ ก.ล.ต. อย่างเข้มงวด เบอร์รีจะเปลี่ยนไปบริหารจัดการในรูปแบบของ สำนักงานครอบครัว (Family Office)
• เดินหน้าวิจารณ์เทคยักษ์ใหญ่ ‘ตกแต่งตัวเลขกำไร’
ก่อนหน้านี้ เบอร์รีได้วิพากษ์วิจารณ์บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ AI เช่น Nvidia และ Palantir Technologies
เบอร์รีสงสัยว่าบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ ที่ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ และ AI อย่างมหาศาล กำลัง "ตกแต่งตัวเลขกำไร" ให้ดูดีกว่าความเป็นจริง ด้วยการใช้เทคนิคทางบัญชีที่เกี่ยวข้องกับ "ค่าเสื่อมราคา"
บริษัทเหล่านี้ทั้ง Microsoft, Google, Meta และอื่นๆ ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลในการซื้อคอมพิวเตอร์ เซิร์ฟเวอร์ และชิป เช่น จาก Nvidia เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับคลาวด์ และ AI
ตามหลักการบัญชี การซื้อของที่ใช้ได้นานหลายปีเหล่านี้เรียกว่า "สินทรัพย์" เมื่อเวลาผ่านไป สินทรัพย์จะเสื่อมค่าลง และระบุในบัญชีว่าเป็น “ค่าเสื่อมราคา”
Burry กล่าวหาว่าบริษัทเหล่านี้ "ขยาย" ช่วงอายุการใช้งานที่คาดการณ์ไว้ของสินทรัพย์เหล่านี้ออกไปอย่างเงียบ ๆ เช่น จากเดิมคิดว่าใช้ได้ 5 ปี ก็เปลี่ยนเป็น 7 ปี หรือ 10 ปี ดังนั้น เมื่อขยายอายุการใช้งานออกไป ค่าเสื่อมราคาต่อปีก็จะลดลง
ผลลัพธ์คือ กำไรสุทธิที่บริษัทรายงานก็จะสูงขึ้น ทำให้ตัวเลขผลประกอบการดูดี และน่าสนใจสำหรับนักลงทุน แม้ว่าในความเป็นจริงสินทรัพย์เหล่านั้นอาจจะเสื่อมสภาพหรือต้องเปลี่ยนใหม่เร็วกว่าที่ระบุในทางบัญชี
ไมเคิล เบอร์รี ใช้เงิน 9.2 ล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อ "ออปชันขาย" (Put Options) ของหุ้นบริษัทเทคโนโลยี AI อย่าง Palantir Technologies โดยมีเป้าหมายเพื่อทำกำไรหากราคาหุ้นของ Palantir ลดลง โดยเดิมพันที่ระดับ 50 ดอลลาร์ภายในปี 2570 แสดงถึงมุมมองเชิงลบอย่างรุนแรงของเบอร์รีต่อมูลค่าในอนาคตของบริษัท AI อย่าง Palantir
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์
X