หุ้น
เปิด 4 เคล็ดลับ แก้พอร์ตแดง ไปต่อหรือพอแค่นี้
บทความโดย “จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์”
ที่ปรึกษาการเงิน AFPTTM สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
โอ๊ย เปิดดูพอร์ตกองทุนรวมมีแต่ติดลบ ดูกองไหนก็แดง จนอดถามตัวเองไม่ได้ว่า
ไปต่อหรือพอกันที ถ้าใครมีอาการแบบนี้ ต้องบอกว่า
คุณมีเพื่อนร่วมทางเต็มยอดดอยพอร์ตแดง ๆ
เพราะในช่วงที่เต็มไปด้วยสถานการณ์ไม่แน่นอน
เช่น เกิดสงคราม มีโรคระบาด หรือภัยพิบัติ ที่ไม่มีใครคาดคิด
และส่งผลเป็นลูกโซ่ต่อเศรษฐกิจหรือกิจการที่กองทุนลงทุนอยู่
ผู้ลงทุนก็มีโอกาสเจอกับพอร์ตติดลบได้
หากย้อนไปเมื่อปี 2565 จะเห็นได้ชัดเจนว่า ลงทุนในหุ้น
ซึ่งเป็นสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง จะขาดทุนมาก
เพราะเวลาผู้คนไม่มั่นใจกับเศรษฐกิจก็เลือกเทขายสินทรัพย์เสี่ยง หนำซ้ำ
ยังมีแรงเทขายเพิ่มอีกจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
ทำให้ความน่าสนใจของหุ้นน้อยลง พอลงทุนในตราสารหนี้
ที่ว่ากันว่าเป็นสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ ก็ขาดทุนเหมือนกัน
ในช่วงที่ดอกเบี้ยขึ้นเร็ว
จนทำให้ราคาตราสารหนี้เดิมที่กองทุนถืออยู่ปรับลดลง
เพราะให้ดอกเบี้ยน้อยกว่าตราสารหนี้ที่กำลังจะออกใหม่
ส่วนในปี 2566
เศรษฐกิจทั่วโลกมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอยเป็นผลพวงจากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกเพื่อสู้กับเงินเฟ้อในปีที่ผ่านมา
ฉะนั้นโอกาสที่ตลาดจะผันผวนสูงก็มีอยู่
ทางที่ดีผู้ลงทุนจึงควรเตรียมพร้อมรับมือพอร์ตลงทุนที่มีโอกาสแดงยกพอร์ตได้อีก
โดยมี 4 เคล็ดลับดี ๆ มาแนะนำ
ทำใจ แล้วอยู่เฉย ๆ
บางคนอาจจะอึ้ง คิดว่า เราทำได้แค่นี้จริงหรือ ก็ต้องตอบว่า ใช่
ในกรณีที่คุณมองว่า
พอร์ตลงทุนของตัวเองจัดสรรสินทรัพย์หลากหลายเพียงพอและมีระดับความเสี่ยงของพอร์ตโดยรวมที่เหมาะสมกับตัวเองแล้ว
เป็นพอร์ตที่ออกแบบตอบโจทย์เป้าหมายทางการเงินที่วางไว้แต่แรก
และเป้าหมายมีเวลาอีก 3 ปี 5 ปี หรือ 10 ปีขึ้นไป
เมื่อการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนมีโอกาสขาดทุนได้ และการขาดทุน
ไม่ได้เกิดจากสินทรัพย์ไม่ดี ไม่มีคุณภาพ แต่มาจากสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้
แต่สถานการณ์เหล่านี้มาแล้วผ่านไป เมื่อทุกอย่างคลี่คลาย กลับสู่ภาวะปกติ
หากสินทรัพย์นั้นมีคุณภาพ ก็จะฟื้นตัว และมีโอกาสกลับมาให้ผลตอบแทนที่ดีได้ การทำใจร่ม ๆ อยู่เฉย ๆ ก็คือคำตอบ
ถ้าคิดว่าดี ลงทุนต่อเนื่องไป
ในกรณีที่เรามั่นใจว่า พอร์ตลงทุนของเรามีการกระจายลงทุนที่ดีแล้ว
และระดับความเสี่ยงเหมาะสม กองทุนที่เลือกมาดีอยู่แล้ว
แต่ไม่อยากทำใจและอยู่เฉย อีกวิธีที่ทำได้คือ เดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง
โดยอาจใช้วิธีการทยอยลงทุนด้วยจำนวนเงินเท่ากันทุกเดือน (Dollar Cost
Average : DCA) ก็ได้
ข้อดีของการทำ DCA คือ ผู้ลงทุนมีโอกาสได้ซื้อกองทุนที่ใช่ในราคาที่ถูกลงกว่าช่วงก่อนหน้านี้ที่สถานการณ์ตลาดโดยรวมดี
และเมื่อทยอยลงทุนเรื่อย ๆ
ก็จะช่วยให้พอร์ตกองทุนของเรามีต้นทุนเฉลี่ยโดยรวมลดลง
เมื่อเทียบกับการไม่ทำอะไรเลย แต่ถ้าเลือกวิธีนี้ ต้องมั่นใจก่อนว่า
กองทุนที่เราเลือกไว้ เป็นกองทุนที่ใช่สำหรับอนาคตจริง ๆ
ถ้าใจบอกไม่ไหว ให้ปรับพอร์ต
ใครที่กลับมานั่งดูพอร์ตลงทุนตัวเองแล้วพบว่า
ที่ฉันเคยคิดว่าจะรับความเสี่ยงสูงไหว เช่น
อัดเงินใส่กองทุนหุ้นต่างประเทศไปเต็มข้อ เพราะไหวแหละ
แต่พอเจอสถานการณ์จริง ใจหวิว ไม่ไหวเลย แนะนำให้ปรับพอร์ตลงทุน ในที่นี้
อาจไม่ใช่การขายกองทุนรวมที่ขาดทุนหนัก ๆ ออกมาทันที
แต่อาจลองคำนวณสัดส่วนกองทุนรวมที่ถืออยู่ให้ดีว่า ปัจจุบัน
เงินของเราอยู่ในกองทุนที่มีระดับความเสี่ยงสูงหรือเสี่ยงต่ำเท่าไหร่
สมมติว่าเดิม ลงทุนในกองทุนรวมหุ้น 80% ลงทุนกองทุนรวมตราสารหนี้แค่ 20%
แล้วพบว่า พอร์ตผันผวนสูง มีโอกาสขาดทุนสูง เคยคาดว่าจะรับผลขาดทุน –20%
หรือ –50% ได้ แต่เจอสถานการณ์จริง แค่ –15% ก็ใจบาง พอ –20% ก็นอนไม่หลับ
แนะนำว่า ให้นำเงินใหม่ที่จะลงทุนเพิ่ม
ไปลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ที่ความเสี่ยงต่ำเพิ่มขึ้น
เพื่อให้สัดส่วนเงินลงทุนโดยรวมที่อยู่ในกองทุนหุ้นน้อยลง
ส่วนเงินที่อยู่ในกองทุนรวมความเสี่ยงสูง ๆ
เมื่อปรับตัวขึ้นมาถึงจุดที่รับได้
ก็อาจโยกย้ายเงินบางส่วนไปอยู่ในกองทุนรวมที่ความเสี่ยงต่ำกว่า
ไม่รักกันแล้วก็ตัดใจ แยกย้ายไปหาใหม่
อาจดูใจร้าย แต่เป็นอีกทางเลือกที่ต้องพูดถึง โดยไม่แนะนำให้ตัดใจขายขาดทุนด้วย “อารมณ์” แต่ควรเป็นการตัดใจด้วย “เหตุผ”
ถ้าพิจารณาแล้วว่ากองทุนรวมที่ติดลบหนักอาจไม่ได้เป็นเพราะสถานการณ์แวดล้อมอย่างเดียว
แต่เป็นเพราะผู้จัดการกองทุนเลือกสินทรัพย์ไม่ดี ไม่มีคุณภาพ
หรือนโยบายลงทุนของกองทุนนั้นไม่ตอบโจทย์เทรนด์ในอนาคตเลย
มองไปแล้วไม่เห็นทางรอด
จนผู้ลงทุนมั่นใจว่าขายออกแล้วขาดทุนหนักตอนนี้จะไม่เสียใจ
คำแนะนำให้ตัดใจและขายทิ้ง ก็ดูจะตรงที่สุด
อย่างไรก็ตาม หากตัดสินใจเลือกทางนี้เพื่อไปหากองทุนใหม่ที่ใช่กว่า
ผู้ลงทุนต้องพิจารณากองทุนที่จะไปเริ่มต้นใหม่ให้ดีว่ามีนโยบายการลงทุนตอบโจทย์เป้าหมายในอนาคตหรือไม่
มีระดับความเสี่ยงที่ตัวเองรับไหวจริงหรือเปล่า
นอกเหนือจากพิจารณาผลการดำเนินงานในอดีตที่ไม่อาจยืนยันอนาคตได้
สุดท้ายนี้ การลงทุนมีความเสี่ยง ที่ระหว่างทางเรามีโอกาสขาดทุนได้แน่ ๆ
การคาดหวังให้พอร์ตลงทุนเป็นบวกทุกช่วงเวลา อาจไม่ใช่เรื่องง่าย
หรือแทบเป็นไปไม่ได้
หากเราต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนดีกว่าดอกเบี้ยเงินฝากหรือเงินเฟ้อ
ย่อมต้องแลกด้วยความเสี่ยงที่สูงขึ้น
ซึ่งนั่นหมายความว่า ความไม่แน่นอนเป็นสิ่งแน่นอนที่ผู้ลงทุนต้องเจอ
ขอเพียงในจุดเริ่มต้นของการลงทุน เราพิจารณาดีแล้วว่า
ลงทุนเพื่อเป้าหมายอะไร เป้าหมายนั้นมีระยะเวลานานแค่ไหน
แล้วเลือกสินทรัพย์ลงทุนที่สอดคล้องกับเป้าหมาย
มีการกระจายการลงทุนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่เรารับไหวจริง ๆ
โดยระหว่างการเดินทางสู่เป้าหมาย อย่าหวั่นไหว มองข้ามชอตไปให้ถึงปลายทาง
แล้วเดินหน้าต่อไป เพียงเท่านี้เราก็อยู่กับพอร์ตแดง ๆ
ในปัจจุบันได้แบบสบายใจ และมีโอกาสพบผลตอบแทนที่ตรงใจในอนาคตแล้ว
ขอให้ทุกท่านโชคดีในเส้นทางการลงทุน
แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์
https://www.prachachat.net/finance/news-1374421
X