ข่าวการเงิน
คอลัมน์ : ระดมสมอง
ผู้เขียน : วราวิชญ์ โปตระนันทน์, ธนิน ว่องวงศ์ ทีดีอาร์ไอ
“แก่ไปไร้ออม” เป็นปรากฏการณ์ในสังคมไทย
ที่มีสถิติบ่งชี้ว่าคนแก่ไทยปัจจุบันจำนวนมากไม่มีเงินออมเพียงพอกับการยังชีพระดับพื้นฐานโดยไม่ต้องพึ่งคนอื่นหรือรัฐบาล
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของข้อเรียกร้องให้รัฐบาลเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
ซึ่งหลายพรรคการเมืองก็ตอบสนองในนโยบายที่ใช้หาเสียง
แต่ทว่าถือเป็นมาตรการ “เชิงรับ” คือมีปัญหาแล้วตามแก้
ในขณะเดียวกันมาตรการดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลเรื่องงบประมาณที่รัฐจะต้องใช้
จนทำให้รัฐบาลชุดที่ผ่านมาประกาศว่าจะให้เบี้ยยังชีพคนชรากับเฉพาะคนแก่ยากจนเท่านั้น
จนถูกต่อต้านในวงกว้าง
กลายเป็นภาวะพะว้าพะวังเชิงนโยบายว่าควรใช้แนวทางใดในการดูแลคนแก่ปัจจุบัน
ความกังวลนี้ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า
กลุ่มคนช่วงวัยอื่นที่ยังไม่แก่ในวันนี้ จะประสบปัญหา “แก่ไปไร้ออม”
แบบเดียวกับคนแก่ในปัจจุบันหรือไม่ ?
โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันที่มีแนวโน้มจะอายุยืนมากขึ้น
หนึ่งในทางออกเรื่องนี้จะต้องเปลี่ยนไปใช้มาตรการ “เชิงรุก” ด้วยการส่งเสริมให้คนไทย “แก่ดีมีออม” และดูแลตนเองได้ยามเกษียณ
สำหรับปัจจัยที่ส่งผลให้การออมไม่เพียงพอในการดูแลตัวเองยามเกษียณ
มีหลายสาเหตุ เช่น การมีรายได้ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้จ่าย
การเข้าไม่ถึงช่องทางการออม การขาดทักษะหรือความรอบรู้ทางการเงิน
แต่ทว่าปัจจัยเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลต่อคนรุ่นใหม่ที่มักมีรายได้มากพอตามระดับการศึกษาที่สูงกว่าคนรุ่นเก่าโดยเฉลี่ย
อีกทั้งไม่ค่อยมีปัญหาการเข้าถึงช่องทางการออมหรือขาดความรอบรู้ทางการเงิน
แต่ปมปัญหาสำคัญมาจากปัจจัยเสริมอื่น นั่นคือ “อคติเชิงพฤติกรรม”
ซึ่งหมายถึงการมีพฤติกรรมที่ดูเหมือนไม่สมเหตุสมผลนัก ตัวอย่าง เช่น
ชอบบริโภคเกินตัว ไม่วางแผนระยะยาว ยึดติดกับความคุ้นชินเดิม ๆ ในการออม
ทั้งที่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า
อคติเชิงพฤติกรรมมักเกิดจากการตัดสินใจแบบ “ด่วน” หรือใช้ “ทางลัด”
ในการประมวลข้อมูลและพิจารณาทางเลือกต่าง ๆ
อคติเหล่านี้มีอิทธิพลต่อวิธีที่ผู้คนรับรู้และตีความข้อมูล
ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจหรือพฤติกรรมที่ดูไม่เป็นเหตุเป็นผล อาทิ
การไม่นำเอาข้อมูลที่มีอยู่มาพิจารณาอย่างรอบคอบ
การเพิกเฉยต่อกิจกรรมที่เป็นประโยชน์กับตนเอง หรือการทำตามผู้คนรอบข้าง
ทั้ง ๆ ที่อาจไม่มีประโยชน์ต่อตัวเอง เป็นต้น
แท้จริงแล้วคนรุ่นใหม่มีอคติเชิงพฤติกรรมจริงหรือ ? ถ้ามีเป็นรูปแบบใด และอคติแบบไหนมากกว่า ?
จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง “คนรุ่นใหม่” อายุ 20-40 ปี ที่มีรายได้ตั้งแต่
8,000 บาทขึ้นไป จำนวน 1,043 คน ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล
และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใน “โครงการศึกษาอคติเชิงพฤติกรรมในประชากรไทย
เพื่อเสาะหามาตรการที่ได้ผลในการส่งเสริมการวางแผนทางการเงินของประชากรไทยสำหรับสังคมอายุยืน”
โดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)
ด้วยการสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
พบว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่มีอคติเชิงพฤติกรรมอย่างน้อย 4 ประเภท
ที่นำไปสู่ความไม่พร้อมทางการเงินยามเกษียณ ได้แก่ “อคติโลกแคบ”
มองผลลัพธ์จากการกระทำเพียงระยะสั้น ๆ แคบ ๆ, “อคติชอบปัจจุบัน”
คือการใช้จ่ายเพื่อความสุขในวันนี้มากกว่าออมเพื่อความสุขวันหน้า,
“อคติละเลยอัตราทบต้น” คือการออมน้อย กู้เยอะ
เพราะละเลยพลังของดอกเบี้ยทบต้นที่สามารถทำให้ผลประโยชน์ในตอนท้ายสูงมากหากออมต่อเนื่องนาน
ๆ และอคติยึดติดสภาวะปัจจุบัน
คือการไม่ยอมเปลี่ยนแปลงไปสู่การออมหรือการลงทุนที่ไม่คุ้นเคยแม้จะได้ผลตอบแทนมากกว่า
คำถามต่อมา มาตรการส่งเสริมการออมเพื่อการเกษียณในรูปแบบใดที่สามารถปรับพฤติกรรมการออมภายใต้อคติเชิงพฤติกรรมเหล่านี้ได้
จากการทบทวนงานวิจัยในอดีตหลายชิ้นพบว่า มี 4
มาตรการที่คาดว่าจะส่งเสริมการออมโดยคำนึงถึงหรือใช้ประโยชน์
จากอคติเชิงพฤติกรรมข้างต้น โดย 3 มาตรการแรก
เป็นการจัดการกับการออมจากรายได้ (เรียงตามลำดับของสภาพบังคับจากน้อยไปมาก)
ในขณะที่มาตรการสุดท้าย เชื่อมโยงการออมกับพฤติกรรมการใช้จ่าย ได้แก่
“การสะกิดด้วยข้อมูล” คือการ “สะกิด” ด้วยข้อความ, รูปภาพที่เข้าใจง่าย
โดยมุ่งเน้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการออม
และพลังของอัตราดอกเบี้ยทบต้นจากการออมอย่างต่อเนื่องยาวนาน
“การตั้งอัตราการออมเริ่มต้น” คือการ “ช่วย” เสนอว่า
ผู้คนควรจะออมเท่าใดต่อรายได้ที่ได้รับ
เพื่อให้เพียงพอต่อการใช้จ่ายในยามเกษียณ
ซึ่งอัตราการออมเริ่มต้นจะกำหนดไว้สูงกว่าอัตราการออมที่เจ้าตัวมักจะเลือกเอง
โดยคาดหวังว่าผู้ออมจะไม่ปรับลดอัตราตั้งต้นนี้เพราะไม่อยาก “คิดมาก”
กำหนดไว้อย่างไรก็ใช้อย่างนั้น
“การออมกึ่งบังคับ” คือ โครงการที่ “บังคับ” ให้เก็บออมในอัตราที่กำหนดขึ้น
แต่เป็น “กึ่งบังคับ” เพราะอาจไม่ออมในอัตรานั้นก็ได้
แต่ระบบจะทำให้ผู้เก็บออมเผชิญกับความยุ่งยากในการทำเรื่องออกจากโครงการเพื่อเปลี่ยนแปลงอัตราการออม
เช่น ต้องยื่นเรื่อง ทำเอกสาร
ต้องไปติดต่อหน่วยงานหรือธนาคารเจ้าของโครงการ
“การออมผ่านการใช้จ่าย” หรือการหักเงินมาออมทุกครั้งที่มีการใช้จ่าย เช่น
ถ้ามีการใช้จ่ายซื้อสินค้าราคา 95 บาท แต่หักเงินเป็น 100 บาท โดยส่วนเกิน 5
บาทจะโอนเข้าบัญชีออม ซึ่งธนาคารบางแห่งในไทยเริ่มใช้มาตรการลักษณะนี้แล้ว
และพบว่าได้ผลพอควร โดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุไม่มาก
นอกจากนี้ยังมีการทดสอบประสิทธิผลของมาตรการส่งเสริมการออมเพื่อการเกษียณ 4
มาตรการดังกล่าวกับกลุ่มตัวอย่างในวัยทำงานช่วงต้นที่มีเวลาเพียงพอในการออมเพื่อการเกษียณ
คือช่วงอายุ 20-35 ปี และมีรายได้ตั้งแต่ 8,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป
ในกรุงเทพฯ และจังหวัดขอนแก่น จำนวน 316 คน
โดยผลการทดลองพบว่ามี 2
มาตรการที่ช่วยเพิ่มอัตราการออมต่อรายได้อย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่
การตั้งอัตราการออมเริ่มต้น ซึ่งเพิ่มอัตราการออมได้ร้อยละ 1.4
และการออมกึ่งบังคับ เพิ่มอัตราการออมได้ร้อยละ 0.9 ของรายได้
โดยเฉพาะกับกลุ่มที่ขาดวินัยทางการเงินมาก
ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ยังไม่ลงมือออมในปัจจุบัน
การที่มาตรการทั้ง 2
ได้ผลกับคนกลุ่มนี้น่าจะเพราะเป็นมาตรการที่ใช้ประโยชน์จากตัวอคติเอง
คืออคติยึดติดสภาวะปัจจุบัน
อีกทั้งยังมีลักษณะกึ่งบังคับซึ่งเหมาะกับผู้ที่ไม่ค่อยมีวินัย
ในกรณีนี้งานวิจัยได้เสนอให้มีการขยายการดำเนินการมาตรการออม “กึ่งบังคับ”
ไปยังกลุ่มแรงงานนอกระบบประกันสังคม
ที่การออมภาคสมัครใจที่มีให้ยังไม่สามารถชักจูงให้เขาเข้าร่วมได้มากเพียงพอ
ขณะที่มาตรการที่ไม่พบว่ามีส่วนช่วยเพิ่มเงินออมของกลุ่มตัวอย่างในภาพรวม
แต่ได้ผลดีในกลุ่มย่อย ได้แก่ การสะกิดด้วยข้อมูล
ซึ่งได้ผลสำหรับผู้อยู่ในระบบประกันสังคมที่มีรายได้ประจำและมีความพร้อมในการออม
ดังนั้นหากต้องการให้การสะกิดได้ผลในการเพิ่มการออมได้ดียิ่งขึ้น
อาจต้องใช้ข้อความสะกิดที่หลากหลาย สะกิดใจ
เร้าอารมณ์ของผู้คนมากขึ้นกว่าการอธิบายประโยชน์ปกติของการออมเรื่องการได้รับดอกเบี้ย
ส่วนการออมผ่านการใช้จ่าย ซึ่งใช้ได้ผลดีกับผู้มีรายได้น้อย ออมน้อย
และคนรุ่นใหม่ที่ใช้จ่ายเป็นประจำ
เนื่องจากเป็นการทำให้เกิดการออมผ่านการปัดเศษในขณะใช้จ่าย
เจ้าตัวไม่ต้องชั่งใจมากนักว่าจะออมหรือไม่
ในขณะเดียวกันก็ต้องระมัดระวังไม่ให้มาตรการนี้กลายเป็น “ดาบสองคม”
ที่ไปเพิ่มความชะล่าใจในการใช้จ่ายของผู้คน
เพราะรู้สึกว่ามีการออมรองรับทุกการใช้จ่ายอยู่แล้ว
และคำนึงเสมอว่าการออมลักษณะนี้อาจจะไม่มากพอสำหรับการเกษียณ
เพียงแต่ช่วยเปิดประตูให้คนรุ่นใหม่เริ่มต้นการออมเท่านั้น
สิ่งสำคัญควบคู่ไปกับมาตรการเหล่านี้
คือจะต้องมีการออกแบบระบบบัญชีเพื่อการเกษียณส่วนบุคคล (individual
retirement account หรือ IRA) เพื่อรองรับเงินออมที่มาจากมาตรการเหล่านี้
ซึ่งควรมีลักษณะพิเศษเช่นไม่สามารถถอนได้ง่ายเท่ากับบัญชีปกติ
เมื่อบุคคลเริ่มมีเงินออมในระบบบัญชีลักษณะดังกล่าวแล้ว
ควรมีการจัดทำระบบสรุปข้อมูลการออมเพื่อการเกษียณจากทุกบัญชีในที่เดียว
ซึ่งอาจรวมถึงข้อมูลสินทรัพย์ที่เกิดขึ้นจากการเก็บออม เช่น บ้าน ที่ดิน
หลักทรัพย์ เป็นต้น
มาตรการลักษณะนี้น่าจะได้ผลในการยกระดับสำนึกต่อการออมของผู้ออมที่ได้กระทำอยู่ในปัจจุบัน
เพื่อให้ผู้ออมรู้ถึงสถานการณ์ความเพียงพอของเงินออมตัวเองได้อย่างครบถ้วน
และน่าจะกระตุ้นให้ผู้ออมอยากเพิ่มการออมของตนเองให้เพียงพอมากยิ่งขึ้น
อันจะส่งเสริมให้มาตรการส่งเสริมการออมตั้งต้นมีโอกาสประสบความสำเร็จในการเพิ่มเงินออมมากยิ่งขึ้น
โดยข้อเสนอเหล่านี้คาดหวังว่าจะได้รับการพิจารณาจากหน่วยงานภาครัฐในการกำหนดนโยบายและมาตรการส่งเสริมการออม
และจากหน่วยงานภาคเอกชนเพื่อปรับใช้กับผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้ตอบโจทย์อคติและจูงใจในการออม
อันจะเป็นจุดเริ่มต้นของหนทางในการเตรียมการไปสู่ “แก่ดีมีออม”
ของประชากรไทยให้เป็นรูปธรรมและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
เพื่อยกระดับชีวิตของประชาชนท่ามกลางสังคมอายุยืนให้มีคุณภาพและศักดิ์ศรี
แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์
30/04/2024
30/04/2024
29/04/2024
11/10/2024
17/09/2024