ข่าวการเงิน
จากมนุษย์เงินเดือนสู่นักลงทุนที่ฉลาด : 9 เครื่องมือการเงินที่คุณต้องรู้
คอลัมน์ : คุยฟุ้งเรื่องการเงิน ผู้เขียน : พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน (ทอมมี่) FSA, FIA, FSAT, FRM
นักลงทุนที่ดี หมายถึง ผู้ที่สามารถสร้างสินทรัพย์ที่ดีได้โดยการแสวงหาการลงทุนที่เหมาะสม และสามารถเสริมสร้างรายได้ให้งอกงามอย่างยั่งยืน (Sustainable) ในโลกปัจจุบันนี้จึงมีการพัฒนาตลาดการเงินขึ้นมาในรูปแบบใหม่ เพื่อให้นักลงทุนที่ไม่มีกำลังเงินที่เพียงพอในการลงทุนในธุรกิจของตัวเอง ได้มีโอกาสเป็นเจ้าของกิจการโดยทางอ้อม
ถ้าจะกล่าวอย่างง่าย ๆ คือ ตลาดการเงินทำตัวเป็นตัวเชื่อมให้คนที่มีเงินออม ได้เอาเงินไปลงทุน ซึ่งก็เหมือนกับเป็นการจ้างให้คนมาทำงานแทนเรา เวลาจะลงทุนก็ควรดูที่พื้นฐาน ไม่ใช่ตัวเลขที่วิ่งขึ้นลงในตลาดเพียงอย่างเดียว
นักลงทุนอีกแบบนี้เองที่เราเรียกว่า นักลงทุนที่เป็นเจ้าของกิจการทางอ้อม โดยการเอาเงินไปลงทุนในตลาดการเงิน
“นักลงทุนในตลาดการเงิน” การเป็นนักลงทุนในตลาดการเงินเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับมนุษย์เงินเดือน โดยหลังจากหักภาษีและค่าใช้จ่ายแล้ว ควรเปลี่ยนมาเป็นสินทรัพย์ที่จะงอกเงยเพื่อเป็นรายได้ต่อไปเรื่อย ๆ
เครื่องมือทางการเงินในตลาดที่แนะนำให้ใช้กันอยู่บ่อย ๆ ทั่วไป คือ
1. ลงทุนในหุ้นราคาถูก : โดยคาดหวังว่าจะได้กำไรก้อนงามจากผลต่างราคาที่สูงขึ้นไป (ภาษานักการเงินจะเรียกว่า Capital Gain) ซึ่งผลกำไรนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ลงทุนในการศึกษาข้อมูลหุ้น หรือข้อมูลจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้
บริษัทที่เพิ่งเข้าตลาดใหม่ (Initial Public Offering) ก็เป็นตัวอย่างที่ดี อย่างที่ฮ่องกง คนจะเอาเงินไปลงหุ้นของบริษัทที่เพิ่งเข้าตลาดใหม่ (IPO) อยู่บ่อย ๆ แต่ละครั้งนั้นมีแต่คนแห่ซื้อ แล้วถ้าได้มาก็เหมือนกับถูกเลขท้ายสองตัว เพราะโอกาสที่จะได้นั้นเป็นหนึ่งต่อแปด
2. ลงทุนในกองทุนรวม : กองทุนรวม จริง ๆ แล้วคือการระดมเงินทุนเข้ามากองไว้เพื่อไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ต้องการ โดยจะมีมืออาชีพบริหารตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ นักลงทุนจึงไม่ต้องเลือกหุ้นหรือสินทรัพย์เองโดยตรง แต่คาดหวังกำไรจากราคากองทุนที่สูงขึ้นได้ ซึ่งจะมีสำนักงาน ก.ล.ต. คอยกำหนดกฎเกณฑ์และเปิดเผยข้อมูลให้ผู้ลงทุนเข้าถึง เพื่อป้องกันการเอาเปรียบจากการลงทุน
3. ซื้อหุ้นของบริษัทที่โตเต็มที่แล้ว (Blue Chip) : หุ้นของบริษัทประเภทนี้จะให้เงินปันผลที่เป็นผลตอบแทนที่ดีและสม่ำเสมอ โดยคาดหวังว่าจะได้รับเงินปันผลและส่วนต่างของราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นจากราคาตอนที่ซื้อเอาไว้มาเป็นของแถม แต่ก็แน่นอนว่าการลงทุนในหุ้นนั้นมีความเสี่ยงอยู่ในตัว เนื่องจากการซื้อหุ้นคือการร่วมหัวจมท้ายกับบริษัท ซึ่งทำให้นักลงทุนเสมือนกับเป็นเจ้าของกิจการ ข้อเสียของการลงทุนหุ้นประเภทนี้ก็คือการเสียภาษีส่วนบุคคลในเงินปันผลที่รับมา เพราะเงินปันผลถือเป็นรายได้และต้องนำไปรวมภาษีส่วนบุคคล ขณะที่ผลต่างของราคาหุ้นไม่ต้องเสียภาษี
4. ซื้อเงินตราต่างประเทศเมื่อคาดว่าเงินท้องถิ่นจะมีมูลค่าลดลง : นักลงทุนจะคาดหวังว่าดอกเบี้ยและมูลค่าเงินตราต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นเป็นผลตอบแทนจากการลงทุน ซึ่งไม่สามารถมองข้ามได้โดยเฉพาะกับคนที่ได้รายได้จากต่างประเทศ เช่น มีสมัยหนึ่งที่เงินหนึ่งเหรียญฮ่องกงสามารถแลกได้ 5.5 บาท แต่มาถึงช่วงหนึ่งตกลงมาเหลือแค่ประมาณ 4 บาทต่อหนึ่งเหรียญฮ่องกงเท่านั้น การเลือกที่จะเปลี่ยนเป็นเงินนิวซีแลนด์ในสมัยนั้นเป็นการตัดสินใจถูกต้องเพราะสามารถให้ดอกเบี้ยเงินฝากประจำถึงปีละ 8 เปอร์เซ็นต์
5. ซื้อทองคำเพื่อป้องกันค่าเงินที่ลดลงจากอัตราเงินเฟ้อ : ผลตอบแทนที่ได้รับคือมูลค่าทองคำที่เพิ่มขึ้น เช่น การซื้อทองในฮ่องกงที่ไม่ต้องเอาทองกลับไปกลับมา แค่มีแผ่นกระดาษจากธนาคารแทน ซึ่งราคาของแผ่นกระดาษจะเปลี่ยนไปตามราคาทองในตลาด การซื้อขายสามารถทำได้ง่ายผ่านอินเทอร์เน็ต ข้อแนะนำคร่าว ๆ คือ 1) ซื้อตอนมีภาวะเงินเฟ้อ เช่น ราคาน้ำมันขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ย 2) ซื้อก่อนเทศกาล และ 3) ซื้อตอนที่เครื่องมือการลงทุนไม่น่าสนใจ
6. ซื้อพันธบัตร : นักลงทุนสามารถเลือกซื้อพันธบัตรในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดสูงขึ้นและถือจนถึงวันครบอายุ หรืออาจลงทุนในตราสารทางการเงินรูปแบบใหม่ เช่น Structure Note, Credit Link Note โดยผู้ลงทุนจะได้รับดอกเบี้ยเป็นงวด ๆ จนถึงวันครบอายุ
7. ซื้อ Hedge Fund : Hedge Fund นั้นจะสามารถทำกำไรได้ทั้งตอนตลาดขาขึ้นและขาลง (Long and Short Position) โดยคาดหวังว่าราคา Hedge Fund ที่เพิ่มขึ้นจะคือผลตอบแทนการลงทุน ส่วนใหญ่ต้องลงทุนมากกว่าล้านบาทขึ้นไปถึงจะลงทุนได้ แต่แบบประกันชีวิตก็จัดได้ว่าเป็น Hedge Fund เหมือนกัน ซึ่งในประเทศไทยนั้นยังมีรูปแบบที่จำกัดอยู่
8. ซื้ออสังหาริมทรัพย์ : ถ้าไม่สามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้ทั้งก้อน นักลงทุนก็สามารถหันไปหาซื้อหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ หรือกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เพื่อทดแทนค่าเช่าที่เราต้องจ่ายเพิ่มขึ้น หรือทดแทนมูลค่าเงินของเราที่ลดลง
9. ถือเงินสด : สุดท้ายก็ควรถือเงินสดไว้จำนวนหนึ่งเพื่อรอโอกาสเข้าซื้อกรณีตลาดลดลงอย่างรวดเร็ว และอีกส่วนหนึ่งก็เอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน
ท้ายที่สุด สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าความรวย ก็คือ สุขภาพ ความสุข และคนรอบข้าง เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถซื้อได้ ความรวยในมุมมองของผม จึงหมายถึงการมีอิสรภาพทางการเงิน เพื่อใช้ชีวิตและเวลาไปกับสิ่งที่เรารักและมีความสุข ไม่จำเป็นต้องทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อสะสมทรัพย์สิน การเดินทางสายกลางจึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
เช่นเดียวกับการสร้างสินทรัพย์ทางการเงินส่วนบุคคล “การคำนวณผลประโยชน์พนักงาน” ก็เปรียบเสมือนการสร้างสินทรัพย์ที่สำคัญของบริษัท หากองค์กรใดต้องการความเชี่ยวชาญด้านนี้ บริษัท ABS ก็พร้อมให้บริการ โดยนักคณิตศาสตร์ประกันภัยผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ ดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อให้มั่นใจได้ว่า ผลลัพธ์มีคุณภาพและเป็นไปตามมาตรฐานสากล
X