ข่าวการเงิน
สถานการณ์หนี้สินของคนไทยกลายเป็นกับดักความยากจนมานานนับ
10 ปี เฉพาะหนี้ครัวเรือน หรือหนี้ที่อยู่ในระบบก็สูงกว่า 80% ต่อ GDP
มาตั้งแต่ปี 2555
ซึ่งเป็นระดับที่น่าเป็นห่วงและส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยด้วย
กำลังซื้อของประชาชนไม่มีพลังขับเคลื่อนเพราะปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว
นี่ยังไม่นับรวมหนี้นอกระบบที่ล่าสุด นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน
ประกาศแก้หนี้นอกระบบให้คนไทยเพราะเชื่อว่า มีมูลค่าที่แท้จริงมากกว่า
50,000ล้านบาท
ผู้จัดการบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ หรือ เครดิตบูโร ระบุว่า
หากเรานับรวมหนี้ในระบบที่สูงถึง 16ล้านล้านบาทหรือ ราว 90.7%
รวมกับหนี้นอกระบบ อีก 50,000 ล้านบาท จะพบว่าคนไทยเป็นหนี้เกือบ100%
ของGDP แล้ว ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก
โดยหากย้อนไป 10ปีที่ผ่านมา
หนี้ครัวเรือนไทยเร่งตัวขึ้นตั้งหลังวิกฤตน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554
จากนั้นมา การให้กู้ยืมหรือสินเชื่อพุ่งขึ้นอย่างมาก
เนื่องจากมีการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ถูกกระทบจากน้ำท่วม จากปี 2555
หนี้ครัวเรือนไทยอยู่ที่ 76.1%ต่อGDP กระโดดขึ้นมาทะลุ 80% โดยในปี2558
หนี้ครัวเรือนไทยอยู่ที่ 85.9% ต่อ GDP
แม้จากนั้นมาจะมีความพยายามในการกดตัวหนี้ครัวเรือนให้ลดลงต่ำกว่า80%
ให้ได้แต่ก็ไม่สำเร็จ ซ้ำร้ายมาเจอโควิด19 ระบาดในปี 2563 เป็นต้นมา
หนี้ครัวเรือนไทยกระโดดขึ้นไปทะลุ 90%ต่อ GDP ตั้งแต่นั้น และสูงสุดคือปี
2564 ที่เศรษฐกิจไทยย่ำแย่ หนี้ครัวเรือนขึ้นไปแตะ 94.7% ต่อ GDP และ
ไตรมาส 2 ของปี2566 อยู่ที่ 90.7% ต่อ GDP
ทั้งนี้หากดูข้อมูลจากบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งพบว่า จากจำนวนหนี้ครัวเรือน 16 ล้านล้านบาทนั้น ถูกแบ่งเป็น
ㆍ33.7% หนี้อสังหาฯ
ㆍ27.1% สินเชื่ออุปโภคบริโภค (สินเชื่อบุคคล / บัตรเครดิต)
ㆍ17.9% สินเชื่อประกอบธุรกิจ
ㆍ11.4% สินเชื่อยานยนต์
ㆍ9.9% สินเชื่ออื่นๆ
หนี้เสียในระบบ ไตรมาส 3/2023 มูลค่า 1.05 ล้านล้านบาท
1.สินเชื่อส่วนบุคคล 261,692 ล้านบาท
2.สินเชื่อยานยนต์ 207,441 ล้านบาท
3.สินเชื่ออสังหาฯ 181,683 ล้านบาท
4.สินเชื่อภาคเกษตร 67,008 ล้านบาท
5.สินเชื่อประกอบธุรกิจ 66,007 ล้านบาท
หนี้เสียเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะหนี้ยานยนต์
จากข้อมูลหนี้เสียจากเครดิตบูโรในไตรมาส 3 / 2566 พบว่า สินเชื่อส่วนบุคคล
261,692 ล้านบาท และ สินเชื่อยานยนต์207,441 ล้านบาท
มีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยหนี้เสียของสินเชื่อยายนต์
เพิ่มขึ้นราว 8.6% ขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 4.9%
ขณะที่สภาพัฒน์ฯรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 3/2566 พบว่า
ประเภทสินเชื่อที่มีปัญหามากขึ้นคือ สินเชื่อยานยนต์ที่เริ่มเห็นหนี้ NPL
เพิ่มขึ้น โดยหนี้เสียคงค้างของสินเชื่อยานยนต์ขยายตัวสูงถึง ร้อยละ 40.9
หรือมีสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ร้อยละ 2.05 เพิ่มขึ้น จากร้อยละ 1.89
ของไตรมาสที่ผ่านมา ขณะที่สัดส่วนดังกล่าว
ของสินเชื่อประเภทอื่นกลับทรงตัวหรือลดลง นอกจากนี้ เมื่อพิจารณา
หนี้ที่มีการค้างชำระ 1 - 3 เดือน (SML) พบว่า ภาพรวมสัดส่วน SML
ต่อสินเชื่อรวมทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 6.7 แต่สินเชื่อยานยนต์
ยังเป็นสินเชื่อประเภทเดียวที่มีสัดส่วนดังกล่าวยังเพิ่มขึ้น โดยอยู่ที่
ร้อยละ 14.4 เพิ่มต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่เจ็ดติดต่อกัน
นั่นหมายความว่า นอกจากหนี้เสียกลุ่มยานยนต์จะเพิ่มขึ้นแล้ว
ยอดการค้างชำระไม่เกิน 90 วันก็ยังสูงขึ้นจนน่าเป็นห่วงอีกด้วย
และอาจผันกลับไปเพิ่มหนี้เสียให้สูงขึ้นจากเดิมอีก
อย่างไรก็ตามรัฐบาลได้ประกาศมาตรการแก้หนี้นอกระบบออกมาแล้ว
และจะเปิดให้ผู้ที่มีปัญหาหนี้นอกระบบลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.2566
เป็นต้นไป จากนั้นรัฐบาลจะเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ยหนี้
โดยเจ้าหนี้ต้องมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามกฏหมายกำหนดไม่เกิน 15% ต่อปี
หากลูกหนี้ชำระมาเกินแล้วถือว่าสิ้นสุดการชำระหนี้ ส่วนการแก้หนี้ในระบบ
หรือ หนี้ครัวเรือนจะมีการแถลงรายละเอียดในวันที่ 12 ธันวาคม 2566
แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับamarintv
30/04/2024
30/04/2024
30/04/2024
29/04/2024
30/04/2024