ข่าวทั่วไป

ระวังหลุมพรางทางอารมณ์ ที่คุกคามความก้าวหน้า


ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดูแลตนเองให้เป็นบุคลากรที่มีคุณภาพและทรงคุณค่าตลอดเวลา โดยเฉพาะในระดับบริหารที่มีการแข่งขันสูง ในเส้นทางการไต่เต้า ถ้าไม่ระมัดระวัง เราอาจจะถลำเข้าไปในหลุมพรางทางอารมณ์โดยไม่รู้ตัว เช่น มีความรู้สึกไม่มั่นคง หรือมีความวิตกกังวลมากเกินไปต่อความเห็นของผู้อื่น หรือมีความมั่นใจในตนเองสูงเกินไป หรืออาจจะเบื่อไม่สนุกกับการทำงานหนักเหมือนเมื่อก่อน ทันทีที่เราตกลงไปในหลุมพรางเหล่านี้ ก็เป็นการยากที่จะพาตัวเองให้หลุดพ้นออกมา เราจะสูญเสียมุมมองที่จำเป็นต่อการเห็นว่ามีอะไรผิดพลาดไปบ้าง

ต่อไปนี้คือ หลุมพรางทางอารมณ์ 6 ข้อ ที่เป็นบทเรียนสรุปจากผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในระดับโลกว่า มักเป็นภัยคุกคามต่อความก้าวหน้าในอาชีพการงาน

1. Complacency ความพึงพอใจจนประมาท คนที่เคยสร้างผลงานที่เป็นที่ยอมรับ มักจะรู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองทำมาโดยตลอดนั้นดีแล้ว เชื่อมั่นว่า ตัวเองรู้ดีที่สุด ไม่มีความตื่นเต้นต่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ความช่างสงสัยและระมัดระวังหายไป มองไม่เห็นความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น มองสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ไม่ออกเพราะความชะล่าใจ จึงไม่สามารถคิดในเชิงสร้างสรรค์ได้ วิธีแก้ไขก็คือ ต้องให้คุณค่าต่อความกระตือรือร้น คอยเตือนตนเองอย่างสม่ำเสมอว่า ตัวเราเล็กแค่ไหนในสิ่งที่เรารู้อย่างแท้จริง ในโลกกว้างยังมีสิ่งที่เราไม่รู้อีกมากมายรออยู่

2. Conservatism ความอนุรักษนิยม คนที่ประสบความความสำเร็จในอดีต ก็มักจะยึดติดกับความคิดและกลยุทธ์ที่เคยใช้ได้ดีตลอดมา และเสพติดกับความสะดวกสบายที่เคยได้รับ ไม่อยากเสี่ยงที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบหรือแนวทางใหม่ๆ การรักษาสถานภาพเดิมๆ เป็นอุปสรรคต่อความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งต้องการการกระทำที่อาจหาญและกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตามความจำเป็น ฉะนั้น จึงไม่ควรปล่อยให้ความอนุรักษนิยมลักษณะนี้คืบคลานเข้ามา

3. Dependency การพึ่งพาอาศัย ในช่วงที่ผ่านมา เราอาจจะทำงานโดยพึ่งพาการกำกับแนะนำของหัวหน้าจนเคยชิน เมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจโดยอิสระด้วยตนเอง การใช้ดุลยพินิจอย่างมีมาตรฐานเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เราต้องสามารถแยกแยะได้ว่า สิ่งใดที่คุ้มค่าที่จะให้ความใส่ใจ และสิ่งใดที่ควรจะมองข้ามไป โดยพัฒนามาตรฐานภายในเกี่ยวกับคุณค่าของหน้าที่การงานที่รับผิดชอบอย่างรอบคอบ

4. Impatience ความไม่อดทน เป็นหลุมพรางที่หลอกเราอยู่เสมอ เรามักจะบอกตัวเองว่าได้ทำงานดีที่สุดแล้ว แท้ที่จริงคือความไม่อดทนของเราที่แต้มสีให้กับดุลยพินิจของเราต่างหาก โดยไม่รู้ตัว เรามักหวนมาทำสิ่งที่ซ้ำๆ เช่น ใช้ความคิดเดิมและกระบวนการเดิมเพื่อเป็นทางลัด ในขณะที่กระบวนการที่สร้างสรรค์ต้องการความเข้มข้นและกระปรี้กระเปร่าที่ต่อเนื่อง แต่ละปัญหาแต่ละโครงการมีความแตกต่าง การรีบเร่งไปสู่ผลลัพธ์หรือใช้ความคิดเก่าๆ จะทำให้ได้ผลลัพธ์ในระดับปานกลางเท่านั้น

วิธีที่ดีที่สุดในการบรรเทาความไม่อดทนตามธรรมชาตินี้ก็คือ การบ่มเพาะความสุขบนความรู้สึกเจ็บปวด เหมือนนักกีฬาที่จะสนุกสนานกับการฝึกฝน คอยผลักดันตัวเอง ไม่ยอมจำนนง่ายๆ

5. Grandiosity ภาวะหลงผิดโอ้อวดตัวเอง บางครั้ง สิ่งที่น่าอันตรายมาจากความสำเร็จและคำชมมากกว่าคำติเตียน ถ้าเราเรียนรู้ที่จะจัดการกับการติเตียนวิจารณ์ได้ดี ก็สามารถทำให้เราแข็งแรงขึ้น และช่วยเราให้ระวังข้อผิดพลาด คำชมเชยอาจทำให้เกิดอันตราย เพราะทำให้อีโก้ของเราพองตัวตลอดเวลา คิดว่าความฉลาดล้ำของเราเป็นสิ่งเดียวที่ดึงดูดความสำเร็จและความสนใจจากผู้อื่น การหลงตัวเองเช่นนี้ อาจนำไปสู่ความส้มเหลวได้

ฉะนั้น ให้ตระหนักว่ามีอัจฉริยะที่ฉลาดกว่าเราอยู่ข้างนอกเสมอ และบางครั้งความสำเร็จก็มาจากโชคบ้างไม่ใช่ความเก่งเพียงอย่างเดียว พยายามสร้างแรงจูงใจจากงานที่ทำ แทนที่จะแสวงหาคำชมเชยจากภายนอก

6. Inflexibility ความไม่ยืดหยุ่น การทำงานอย่างสร้างสรรค์เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งบางอย่าง นั่นคือ ต้องมองโลกในแง่ดีว่าสามารถทำงานให้สำเร็จแก้ปัญหาในมือได้ ขณะเดียวกันก็ตั้งข้อสงสัยเป็นระยะๆ ว่าได้บรรลุเป้าหมายหรือไม่ และยินดีให้งานได้รับการวิจารณ์ติเตียนอย่างเข้มข้น ทั้งหมดนี้ต้องการความยืดหยุ่นที่สูงมาก

ซึ่งหมายความว่า เราจะต้องไม่ยึดมั่นจนเกินไปในความคิดใดความคิดหนึ่ง แต่ให้น้อมนำเอาทัศนคติที่เหมาะสมต่อปัจจุบันเข้ามา การพัฒนาความยืดหยุ่นต้องใช้การฝึกหัด และหาประสบการณ์ให้มากขึ้น โดยหลีกเลี่ยงความสุดขั้วทางอารมณ์ และหาทางที่จะรู้สึกมองโลกในแง่ดีและสงสัยในขณะเดียวกัน




การที่จะดำรงตนให้ห่างจากกับดักดังกล่าว เราก็ต้องหันกลับมาทำสิ่งที่ตรงกันข้าม นั่นคือ ไม่ประมาทชะล่าใจ ไม่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง พึ่งพาตนเองให้ได้ อดทนให้พอ ไม่หลงตัวเอง และมีความยืดหยุ่น เพียงแค่นี้ชีวิตการงานก็จะประสบกับความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง

แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับการเงินธนาคาร
https://moneyandbanking.co.th/2024/84523/

X