ประกันสุขภาพ
“ประกันค่าชดเชยรายวัน”...รู้อะไรไม่สู้ รู้ว่าสำคัญ !!!
“ยังไม่รับดีกว่า” “พี่ทำไปแล้ว ไม่ค่อยได้นอนโรงพยาบาล” “ลืมซื้อเพิ่ม” ประโยคตัวอย่างที่หลายๆ คน บอกปัดเมื่อต้องซื้อประกัน แต่เมื่อเกิดเหตุและต้องนอน โรงพยาบาล อาจจะบอกว่า “รู้งี้ ซื้อประกันดีกว่า”
“การเข้ารักษาที่โรงพยาบาล ไม่ว่าจะเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บหรือเกิดจากอุบัติเหตุ ทำให้สูญเสียโอกาสต่างๆ ขาดรายได้จากการทำงาน ซึ่งหากเป็นมนุษย์เงินเดือนอาจจะยังไม่กระทบมากนัก แต่สำหรับอาชีพอิสระหรือ ฟรีแลนซ์ อาชีพค้าขาย หรือได้รับค่าจ้างรายวัน ถ้าไม่ได้ทำงานก็อาจทำให้รายได้หดหาย”
คำนิยาม “สัญญาเพิ่มเติมค่าชดเชยรายวัน” (HB: HOSPITAL BENEFIT) บางบริษัทประกัน ใช้คำว่า “สัญญาเพิ่มเติมค่าชดเชยรายได้” “สัญญาเพิ่มเติมวงเงินแน่นอน” โดยหลัก คือ จะคุ้มครองในกรณีที่ผู้เอาประกันภัย เข้ารับการรักษาพยาบาลในฐานะผู้ป่วยใน หรือเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาล เกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป โดยสามารถเคลมค่าสินไหมทดแทนตามทุนประกันที่ทำไว้ คูณกับจำนวนวันที่นอนรักษาตัวในโรงพยาบาล เช่น
ทำประกันค่าชดเชยรายวัน วันละ 3,000 บาท นอนรักษาตัวเป็นเวลา 5 วัน
เคลมได้ = 15,000 บาท
ทำประกันค่าชดเชยรายวัน วันละ 5,000 บาท นอนรักษาตัวเป็นเวลา 10 วัน
เคลมได้ = 50,000 บาท
“โดยแต่ละบริษัทจะมีเพดานกำหนดจำนวนวันสูงสุดที่สามารถเคลมได้ต่อครั้งต่อโรค แตกต่างกันไป เช่น 180 วัน หรือ 365 วัน เป็นต้น”
หลายคนที่มีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล เช่น สิทธิบัตรทอง สิทธิประกันสังคม สิทธิข้าราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ อาจคิดว่ามีสิทธิรักษาเพียงพอแล้ว จึงไม่ได้ทำประกันค่าชดเชยรายวัน เพราะเชื่อว่ามีโอกาสน้อยที่จะป่วยจนถึงขั้นนอนโรงพยาบาล หรือหากป่วยก็ไม่น่าจะนอนโรงพยาบาลนาน เกิน 1 หรือ 2 วัน จึงไม่ส่งผลกระทบกับรายได้มากนัก
“อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์กับตัวเองจนต้องเข้ารักษาที่โรงพยาบาล หรือหากป่วยด้วยโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ หรือประสบอุบัติเหตุ ต้องนอนรักษาในโรงพยาบาลนานๆ ซึ่งส่งผลกระทบกับฐานะทางการเงินของตัวเองและครอบครัวได้”
กระนั้นก็ดี ถึงแม้จะไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลที่จะเกิดขึ้น เพราะมีประกันสุขภาพค่ารักษาพยาบาลที่เพียงพอ แต่อย่าลืมว่าภาระค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่รักษาตัวในโรงพยาบาล เช่น ค่าผ่อนรถ ค่าผ่อนบ้าน ค่าบัตรเครดิต ค่าเดินทางของญาติที่มาเฝ้าไข้ ค่ากิน ค่าเช่าร้าน ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าจ้างคนเฝ้าไข้ เป็นต้น หากต้องรักษาตัวนานขึ้นก็มีความเสี่ยงทางการเงินมากขึ้น อาจต้องหยิบยืม กู้สินเชื่อ หรือขายทรัพย์สินก็เป็นได้
การวางแผนทุนประกันค่าชดเชยรายวันที่เหมาะสม คำนวณจากค่าใช้จ่ายจำเป็น เพื่อให้เพียงพอต่อสถานการณ์จริง หากวันใดวันหนึ่งเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา จนต้องนอนโรงพยาบาล เช่น มีค่าใช้จ่าย = 30,000 บาทต่อเดือน เฉลี่ยวันละ 1,000 บาท ก็ควรที่จะทำประกันค่าชดเชยรายวัน ด้วยทุนประกันอย่างน้อยวันละ 1,000 บาท ขึ้นไป ซึ่งหากเป็นเสาหลักของครอบครัว หรือเสาหลักของกิจการ ทำธุรกิจส่วนตัว มีภาระค่าใช้จ่าย = 100,000 บาทต่อเดือน เฉลี่ยวันละ 3 พันกว่าบาท ก็ควรวางแผนทำทุนประกันค่าชดเชย อย่างน้อย วันละ 3,000 บาท ขึ้นไป เป็นต้น
ตัวอย่าง เบี้ยประกันสัญญาเพิ่มเติม ค่าชดเชยรายวัน *
เพศชาย อายุ 30 ปี ทุนประกันค่าชดเชยวันละ 3,000 บาท เบี้ยประกัน เดือนละ =432 บาท
เพศชาย อายุ 40 ปี ทุนประกันค่าชดเชยวันละ 3,000 บาท เบี้ยประกัน เดือนละ =486 บาท
เพศชาย อายุ 50 ปี ทุนประกันค่าชดเชยวันละ 3,000 บาท เบี้ยประกัน เดือนละ =567 บาท
เพศหญิง อายุ 30 ปี ทุนประกันค่าชดเชยวันละ 3,000 บาท เบี้ยประกัน เดือนละ =432 บาท
เพศหญิง อายุ 40 ปี ทุนประกันค่าชดเชยวันละ 3,000 บาท เบี้ยประกัน เดือนละ =486 บาท
เพศหญิง อายุ 50 ปี ทุนประกันค่าชดเชยวันละ 3,000 บาท เบี้ยประกัน เดือนละ =567 บาท
“เบี้ยประกันข้างต้น สามารถวางแผนทำเป็นโหมด รายสามเดือน รายหกเดือน หรือรายปี ได้”
สาเหตุที่ไม่ได้ซื้อประกันชดเชยรายได้เอาไว้ให้เพียงพอ มาจากเหตุผลประกันค่าชดเชยรายวันจะเป็นสัญญาเพิ่มเติมที่ซื้อแนบกับประกันชีวิต ซึ่งเป็นสัญญาหลัก เมื่อไม่ได้คิดจะทำประกันชีวิตหรือไม่ได้รับการนำเสนอจากตัวแทน จึงไม่ทราบว่ามีประกันแบบนี้ด้วย ซึ่งในปัจจุบัน บางบริษัทประกัน มีประกันค่าชดเชยรายวัน ขายโดยเฉพาะ โดยไม่ต้องซื้อประกันชีวิตก่อน
“อีกสาเหตุหนึ่งมองว่า เบี้ยประกันที่ชำระจะเป็นเบี้ยสูญเปล่า ยังไม่เห็นความจำเป็น หรือบางคนทำประกันนี้ แต่อาจจะทำทุนประกันที่น้อยกว่า ความเหมาะสมที่แท้จริง เพราะเสียดายเบี้ยประกัน”
เงื่อนไขการพิจารณารับประกันของแต่ละบริษัทประกัน ก็จะแตกต่างกันไป เช่น บางบริษัท มีเพดานกำหนดซื้อค่าชดเชยรายวันสูงสุดตามทุนประกันชีวิต (สัญญาหลัก), บางบริษัทดูรายได้ของผู้ขอเอาประกัน หากทำทุนประกันต่อวันที่สูง เช่น ทำแผนค่าชดเชยรายวัน วันละ 10,000 บาท ว่าสอดคล้องกับรายได้หรือไม่ ซึ่งในอดีต มีกรณีศึกษาการฉ้อฉลเอาประกัน โดยทำประกันค่าชดเชยรายวันสูงๆ หรือทำหลายบริษัท มีการเคลมสินไหมครั้งหนึ่ง หลายแสนบาท หรือป่วยเล็กน้อยแล้วขอนอนโรงพยาบาลโดยไม่มีความจำเป็นทางการแพทย์ ทำให้หลายบริษัทประกัน พิจารณารับประกันที่เข้มงวดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพและประวัติการรักษาในอดีต หรือข้อมูลทางการเงินของผู้ขอเอาประกันภัย เป็นต้น
“มาถึงตรงนี้ หลายคนเห็นความสำคัญและสนใจอยากจะ ‘ทำประกัน’ แต่กังวลเรื่องสุขภาพว่าจะทำได้หรือไม่ หรือจะต้องตรวจสุขภาพหรือเปล่า ควรติดต่อสอบถาม ‘ตัวแทนประกัน’ หรือ ‘ที่ปรึกษาทางการเงินมืออาชีพ’ เพื่อให้คำแนะนำและวางแผนประกันที่เหมาะสม เพราะบางกรณีอาจไม่อยู่ในเกณฑ์ หรืออายุเกินเกณฑ์ที่บริษัทประกันกำหนดเอาไว้”
ดังนั้น หากตอนนี้ สุขภาพแข็งแรง อายุยังอยู่ในเกณฑ์รับพิจารณา จึงไม่ควรรีรอให้สายเกินไปที่จะวางแผนทำประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ประกันโรคร้ายแรง รวมถึงประกันค่าชดเชยรายวัน เพื่อตัวเอง และคนที่เรารัก
ที่มา
*บมจ เมืองไทยประกันชีวิต ข้อมูล ณ วันที่ 1 ธันวาคม 2565 ประกอบอาชีพค้าขาย ขายของ ตลาดนัด
X