ข่าวการเงิน
คอลัมน์ : ชั้น 5 ประชาชาติ
ผู้เขียน : อำนาจ ประชาชาติ
ภาวะเศรษฐกิจไทยมีหลายเรื่องให้หวั่นใจ ตั้งแต่ต้นปีกันเลยทีเดียว
ก่อนหน้านี้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ประกาศหั่นตัวเลข GDP ปี 2566 ลงเหลือโตแค่ 1.8% และคาดการณ์ปี 2567 ว่าจะโต 2.8%
ต่อมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ยอมรับว่า
เศรษฐกิจไทยตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 ขยายตัวชะลอลงกว่าคาด
จากการส่งออกสินค้าและการผลิตที่ฟื้นตัวช้าตามภาวะการค้าโลกและสินค้าคงคลังที่อยู่ในระดับสูง
การเปลี่ยนพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ทำให้รายรับต่อคนน้อยกว่าในอดีต
และการลงทุนภาครัฐที่ลดลงในช่วงที่งบประมาณรายจ่ายประจำปีล่าช้า
ซึ่งแรงส่งทางเศรษฐกิจที่ลดลงในช่วงปลายปี 2566
ส่งผลให้การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2567 ปรับลดลง อย่างไรก็ดี
ธปท.ยังคาดว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วง 2.5-3% ได้
ขณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่
2.50% ต่อปี แม้ว่าจะเริ่มเสียงแตก มีกรรมการ 2 ท่านเห็นว่า
ควรลดดอกเบี้ยลง 0.25% ก็ตาม
เมื่อพูดถึงเรื่องดอกเบี้ย ฟังหลาย ๆ ท่านสะท้อน ก็มีหลากหลายมุมมอง
อย่างมุมมองของหน่วยงานคุมนโยบาย ก็ทราบกันดีว่า
มุ่งรักษาเสถียรภาพเป็นสำคัญ
ล่าสุด เพิ่งได้ฟัง “คุณสุรพล โอภาสเสถียร” ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) สะท้อนตัวเลขหนี้ของคนไทยให้ฟัง ก็ยิ่งตกใจ
“คุณสุรพล” บอกว่า หนี้ครัวเรือนที่ปัจจุบัน (ณ สิ้นไตรมาส 3/2566) อยู่ที่ 16.2 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 91% ของ GDP
ในจำนวนดังกล่าว เป็นหนี้ที่เก็บข้อมูลอยู่ในฐานข้อมูลของ “เครดิตบูโร” ราว 13.6 ล้านล้านบาท
สิ่งที่น่ากังวล เรื่องแรกจากที่ฟังก็คือ “หนี้” ดังกล่าวโต 3.7%
ต่อปี ในขณะที่ GDP โตอยู่แค่ไม่เกิน 2% ซึ่ง สศค.ประเมินว่า ปีที่ผ่านมา
GDP จะโตแค่ 1.8% ดังนั้นการจะทำให้หนี้ลดลง ไม่ง่ายแน่นอน
เพราะหนี้จะลดลง GDP ต้องโตกว่าหนี้
ความน่ากังวลต่อมาก็คือ “หนี้เสีย” หรือหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้
อยู่ที่ประมาณ 1 ล้านล้านบาท ยังคงเพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อนหน้า
ในจำนวนดังกล่าวเป็นหนี้เสีย “สินเชื่อรถยนต์” กว่า 2.3 แสนล้านบาท
เพิ่มขึ้น 28%
เป็นหนี้เสีย “สินเชื่อส่วนบุคคล” กว่า 2.6 แสนล้านบาท
ด้าน “สินเชื่อบ้าน” ปัจจุบันเป็นหนี้เสียกว่า 1.8 แสนล้านบาท
เพิ่มขึ้น 7% แต่ที่ต้องจับตาก็คือ หนี้กำลังจะเสีย หรือต้องจับตาเป็นพิเศษ
(SM) ที่มีการค้างชำระแล้ว แต่ยังไม่เกิน 90 วัน
ซึ่งสินเชื่อบ้านมีการค้างชำระเพิ่มขึ้นถึง 31% เลยทีเดียว
แปลว่าคนเริ่มมีปัญหาผ่อนบ้านกันมากขึ้น
ซึ่งเรื่องนี้ หลายท่านเห็นสอดคล้องกันว่า หากลดดอกเบี้ย น่าจะช่วยสกัดปัญหาหนี้เสียที่จะเพิ่มขึ้นได้
อย่าง “คุณวิทัย รัตนากร” ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน
ที่ก่อนหน้านี้ในเดือน ม.ค. มีการนำร่องปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้รายย่อยไป
โดยลดดอกเบี้ย MRR (Minimum Retail Rate) จากเดิม 6.995% เหลือ 6.845%
ต่ำสุดในระบบธนาคาร
“คุณวิทัย” บอกว่า “ถ้าลดดอกเบี้ย จะช่วยตัดเงินต้นเพิ่มขึ้นทันที หนี้ครัวเรือนก็จะลดลง คนก็จะลืมตาอ้าปากได้”
ต้องบอกว่า เรื่องนี้ขึ้นกับมุมมองจริง ๆ ว่ามองผ่าน “แว่น” ของใคร
ส่วนการตัดสินใจจะถูก หรือผิดนั้น คงต้องติดตามจากผลกระทบที่จะตามมา
แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์
https://www.prachachat.net/columns/news-1498529
30/04/2024
30/04/2024
30/04/2024
29/04/2024
29/04/2024