ข่าวการเงิน
อยาก “รวย” อย่า “เล่นหวย” เคล็ด(ไม่)ลับ "ซีอีโอ" ระดับโลก
เปิดแนวคิดการลงทุนของเหล่าซีอีโอและนักลงทุนดังระดับโลก
เช่น “วอร์เรน บัฟเฟตต์” ที่เผยว่าถ้าอยากรวยต้องลงทุนไม่ใช่ “เล่นหวย”
จากปากคำของ เทรย์ ล็อกเกอร์บี พิธีกรพอดแคสต์ชื่อดัง
พร้อมเผยแนวคิดที่มหาเศรษฐีทั่วโลกใช้ในการดำเนินชีวิต
เทรย์ ล็อกเกอร์บี ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของ Better Booch เครื่องดื่มคอมบูชา กล่าวถึงประสบการณ์และแนวคิดที่เขาได้เรียนรู้จากการเป็นพิธีกรพอดแคสต์ “We Study Billionaires” รายการสัมภาษณ์นักลงทุนและซีอีโอชื่อดังหลายคน ซึ่งทำให้เขาได้ข้อสรุปว่า เหล่ามหาเศรษฐีไม่ได้หวังที่จะรวยจากการเล่นหวย หรือ ลอตเตอรี่
รวมถึงไม่ได้หวังรวยทางลัดการจากเสี่ยงโชค โดยชี้ให้เห็นว่า
ถ้าหากนำเอาเงินที่ใช้ในการซื้อลอตเตอรี่ตลอดระยะเวลาหลายสิบปี
แล้วไปลงทุนในบัญชีเงินเกษียณส่วนบุคคล หรือ IRA (Individual Retirement
Account) กองทุน ตลาดหุ้น และตราสารหนี้ จะได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า
และมีโอกาสที่ทำให้คุณกลายเป็นมหาเศรษฐีได้มากกว่า
ยิ่งคุณเสียเงินไปกับลอตเตอรี่มากเท่าไร
โอกาสที่คุณจะเป็นเศรษฐีก็น้อยลงเท่านั้น
โดยจะเห็นได้ว่าแทบจะไม่มีเหล่ามหาเศรษฐี ซีอีโอ ผู้ประกอบการ
ผู้บริหารระดับสูงเคยถูกรางวัลลอตเตอรี่เลย
ตามรายงานเมื่อปี 2559 จากสำนักข่าว Vox ระบุว่า
กลุ่มผู้ที่ซื้อลอตเตอรี่มักจะเป็นคนที่มีรายได้รายปีระหว่าง 25,00-80,000
ดอลลาร์ ขณะที่ผู้ที่มีรายได้รายปีมากกว่า 200,000
ดอลลาร์ขึ้นไปแทบจะไม่เล่นหวยเลย อีกทั้งยังระบุว่า
ในแถวชานเมืองของรัฐคอนเนตทิคัตที่เป็นพื้นที่ยากจน
มักจะมีอัตราการถูกรางวัลบ่อยที่สุด ซึ่งสะท้อนได้ว่าคนเหล่านี้นิยมเล่นหวย
ผลการศึกษา อีกชิ้นหนึ่งจาก The Insured Retirement Institute ร่วมกับ Center for Generational Kinetics พบว่า 15% ของชาวมิลเลนเนียล ยอมรับว่า พวกเขาลอตเตอรี่เป็นวิธีหนึ่งในการหาเงินไว้ใช้หลังเกษียณของพวกเขา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนรุ่นมิลเลนเนียลมีความกังวลกับการวางแผนออมเงินไว้ใช้หลังเกษียณ
โดยมองว่าลอตเตอรีเป็นอีกความหวังหนึ่ง
ทั้งที่อาจจะเป็นการลงทุนที่อาจจะไม่ได้รับผลตอบแทนเลยก็ตาม
นอกจากนี้ ล็อกเกอร์บีได้สรุปแนวคิด 3 ข้อ ที่เหล่ามหาเศรษฐีทั่วโลกใช้ในการดำเนินสู่เส้นทางแห่งความมั่งคั่งไว้ดังนี้
• ไม่ทำตามความกลัวหรือแรงกระตุ้นจากภายนอก
ล็อกเกอร์บีได้สัมภาษณ์ โฮเวิร์ด มาร์กส มหาเศรษฐีผู้ร่วมก่อตั้ง Oaktree
Capital Management บริษัทจัดการสินทรัพย์ระดับโลก
เกี่ยวกับช่วงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่
ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ (Great Recession) ที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2550 - 2552 ตลอดจนช่วงเริ่มต้นของการแพร่ระบาดของโควิด-19
มาร์กส ระบุว่า แทนที่จะตัดสินใจลงทุนด้วยความกลัว แต่เขาเลือกที่จะมุ่งเน้นที่การค้นหาข้อมูลและมองหาโอกาสที่เป็นไปได้
มากกว่าที่จะพิจารณาถึงความเสี่ยงหรือผลกระทบด้านลบที่อาจเกิดขึ้น วิธีการนี้ทำให้สามารถล้างหนี้สิน ช่วงวิกฤติทางการเงินปี 2551 และยังทำให้เหล่านักลงทุนของ Oaktree ได้รับผลกำไรประมาณ 6,000 ล้านดอลลาร์
ดังนั้น เมื่อคุณกำลังพบว่าตนเองประสบปัญหาหรือความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
มหาเศรษฐีคนนี้แนะนำให้ “ไม่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ ตั้งสติและค่อย ๆ
มองหาหาวิธีที่จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น”
• อดทนและมองการณ์ไกล
หนึ่งในมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์
ประธานและซีอีโอของ Berkshire Hathaway บริษัทโฮลดิ้งข้ามชาติ กล่าวว่า
หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้การลงทุนของเขาประสบความสำเร็จ คือ
เลือกลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่สามารถเติบโตได้ในอนาคตอีกหลายทศวรรษ
ไม่ว่าราคาหุ้นในตอนนั้นจะสูงขนาดใดก็ตาม
มหาเศรษฐีหลายคนชื่นชมทั้งแนวทางของบัฟเฟตต์และระยะเวลาที่สื่อถึงความอดทนเป็นอย่างมาก
ในการพบกันของ ไบรอัน เชสกี ผู้ร่วมก่อตั้ง Airbnb กับ เจฟฟ์ เบซอส
ผู้ก่อตั้งและอดีตซีอีโอของ Amazon และมหาเศรษฐีนักลงทุนอย่าง บัฟเฟตต์
ในครั้งนั้น
เบซอสถามบัฟเฟตต์ว่าทำไมถึงไม่มีใครสนใจลงทุนแบบวิธีของเขาทั้งที่มีประสิทธิภาพมากกว่า
บัฟเฟตต์ตอบว่า “เพราะไม่มีใครอยากรวยช้าไงละ”
• ปฏิเสธมากกว่าที่จะตอบตกลง
ส่วนแนวคิดของ เดวิด รูเบนสไตน์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Carlyle Group
บริษัทหุ้นนอกตลาด อีกทั้งยังเป็นคณะกรรมการในอีกหลายบริษัท
พร้อมทั้งเป็นนักเขียนและพิธีกรในรายการโทรทัศน์อีกด้วย ล็อกเกอร์บีถามว่า
รูเบนสไตน์มีเคล็ดลับอะไรที่ทำให้มีเวลาในการทำงานได้มากขนาดนี้ เขายอมรับว่าเขาหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธกิจกรรมที่ทำให้เสียเวลา
ไม่ว่าจะเป็น การเล่นกอล์ฟ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
หรือแม้แต่การดูเน็ตฟลิกซ์
ขณะที่ เจซซี อิตซ์เลอร์ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Marquis Jet
บริษัทเช่าเครื่องบินเจ็ทที่ส่วนที่ใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งเป็นหุ้นส่วนของ
Zico ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มน้ำมันมะพร้าว
เขาเห็นด้วยรูเบนสไตน์ว่าต้องปฏิเสธให้เป็น
“ช่วงอายุ 20-30 ปี เป็นช่วงที่ดีในการตอบตกลงทุกอย่าง เพื่อสร้างเครือข่าย
เปิดรับโอกาสต่าง ๆ ที่จะเข้ามา แต่เมื่อเข้าสู่อายุ 40 ปีขึ้นไป
คุณต้องรู้จักการปฏิเสธและจัดการกับเวลาของคุณได้อย่างเต็มที่”
นอกจากนี้ อิตซ์เลอร์ยังเผยเคล็ดลับในการปฏิเสธอย่างนุ่มนวลว่า
“เพื่อให้เป็นการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อไป
คุณควรจะเลี้ยงอาหารเขาสักมื้อ หรือมอบของขวัญเล็ก ๆ น้อย
ถึงแม้จะปฏิเสธข้อเสนอของเขาแต่ก็ยังต้องเก็บคอนเน็คชันเอาไว้”
ที่มา: CNBC , New York Times
แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจ
https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1037812
X