ข่าวการเงิน
บทความโดย "ศุภฤกษ์ ตรงจิตสุนทร"
AFPT,IP สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
ถึงแม้ว่าสถานการณ์ต่าง ๆ จะเริ่มค่อย ๆ ดีขึ้น
จากการที่รัฐบาลประกาศให้โควิด-19 เป็น “โรคประจำถิ่น”
ธุรกิจภายในประเทศกลับมาดำเนินกิจการได้ตามปกติ
อีกทั้งการเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวให้กลับเข้ามาแล้ว
แต่ก็ยังเห็นว่าปัญหาที่ยังคงส่งผลกระทบต่อเนื่องคือ การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
รายได้ การลงทุน และส่งผลกระทบไปยังทุกภาคส่วน
โดยสถาบันการเงินก็ต้องออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย
ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิดตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น
การให้พักชำระเงินต้น ลดค่างวดที่ต้องชำระ เป็นต้น
ปัจจุบันสถาบันการเงินจึงจำเป็นเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น
โดยเพิ่มความเข้มงวดในการขอสินเชื่อเป็นพิเศษ ทั้งนี้
ก็เพื่อลดความเสี่ยงป้องกันการเกิดหนี้เสียขึ้น
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ตอนนี้อาจจะสุ่มเสี่ยง ขอสินเชื่อได้ยาก
เพราะสถาบันการเงินหลายแห่งก็มีมาตรการรัดกุมมากยิ่งขึ้น
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถขอสินเชื่อได้ เพียงแต่ถ้าอยากกู้ให้ผ่านฉลุย
ต้องมีการเตรียมความพร้อม
1. หลักฐานการแสดงรายได้ต่าง ๆ เช่น สลิปเงินเดือน ใบรับรองเงินเดือน โบนัส
50 ทวิ ในกรณีที่เป็นรายได้อื่น ๆ ทางธนาคารจะขอดูหลักฐานในการยื่นภาษี
บางธนาคารมีเกณท์เรื่องรายได้ขั้นต่ำเพิ่ม
เช่น ต้องมีรายรับอย่างน้อยที่ 15,000-20,000 บาท
ถึงจะผ่านเกณท์ในการยื่นกู้ ในการเตรียมตัวถ้า มีบ้าน คอนโดฯ
หรืออสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ ปล่อยเช่าแล้วมีรายได้
ก็สามารถยื่นเป็นรายได้ในการพิจารณาขอสินเชื่อได้ แต่ต้องสอบถามทางธนาคาร
ซึ่งแต่ละที่เกณท์ในการประเมินจะไม่เหมือนกัน
สิ่งที่ต้องระวังคือ
ห้ามนำบ้านที่ติดจำนองแล้วปล่อยเช่ามีรายได้ไปยื่นขอสินเชื่อบ้านหลังใหม่กับธนาคารเดียวกัน
เพราะอาจจะโดนดอกเบี้ยปรับจากธนาคารได้
เนื่องจากทางธนาคารจะมองว่าเป็นการกู้ยืมที่ผิดวัตถุประสงค์
ต้องเป็นการกู้ยืมเพื่อการพักอาศัยเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อการพาณิชย์
2. ประเมินความสามารถในการผ่อน สามารถคำนวณได้เองเบื้องต้น
โดยเกณท์ของธนาคารจะประเมินโดยเทียบกับรายได้
ซึ่งโดยส่วนใหญ่ธนาคารจะคำนวณความสามารถในการผ่อนที่ประมาณ 40%
ของรายได้ซึ่งบางธนาคารก็จะมีเกณท์ให้ที่ 60%
แต่ถ้าในกรณีที่มีสิทธิสวัสดิการของบริษัท
ที่ทำร่วมกับบางธนาคารอาจจะยอมให้ถึง 80% ของรายได้
ตัวอย่าง การคำนวณเบื้องต้นในการประเมินวงเงินขอสินเชื่อ
หมายเหตุ :
สูตรการคำนวณดังกล่าวเป็นเพียงการประมาณการเท่านั้น
หากต้องการทราบข้อมูลแบบละเอียดชัดเจน
ติดต่อสอบถามเจ้าหน้าที่จากธนาคารที่ขอสินเชื่อ
ในส่วนของข้อ 2 อาจจะต้องพิจารณาหักลบกับหนี้สินที่มีอยู่เดิมด้วย เช่น
สินเชื่ออื่น ๆ ที่ยังต้องผ่อนชำระอยู่
และรายการที่มักจะไม่ค่อยทราบกันว่าจะส่งผลต่อการประเมินขอสินเชื่อกับธนาคารด้วย
คือรายการผ่อนสินค้า 0% ต่าง ๆ มีโอกาสทำให้ขอสินเชื่อไม่ผ่าน
หรือถ้าผ่านก็ได้วงเงินน้อยลง
เช่น ซื้อโทรศัพท์ 40,000 บาท ผ่อน 0% 10 เดือน โดยผ่อนชำระตกเดือนละ 4,000
บาท ทางธนาคารก็จะมองเป็นภาระค่าใช้จ่ายทันที โดยสมมติว่ากู้ซื้อบ้าน 2
ล้านบาท ระยะเวลา 30 ปี ผ่อนต่อเดือนประมาณ 14,000 บาทต่อเดือน
แต่มีภาระผ่อนมือถือ 4,000 บาทต่อเดือน
ทางธนาคารก็อาจจะพิจารณาให้วงเงินสินเชื่อน้อยลงจากการที่ต้องนำความสามารถในการผ่อนชำระไปหักภาระที่ต้องผ่อน
เท่ากับว่า 14,000-4,000 = 10,000 บาท คงเหลือความสามารถในการผ่อนชำระที่
10,000 บาท ซึ่งอาจทำให้ขอสินเชื่อบ้านได้เพียงวงเงินที่ 1.5 ล้านบาท
3. ทำบัญชีทรัพย์สิน เงินออมในรูปแบบต่าง ๆ
การมีเงินออมที่ฝากไว้ในธนาคารบัญชีออมทรัพย์, บัญชีเงินฝากประจำ,
สลากออมสิน หรือการออมเงินในรูปแบบการลงทุน เช่น กองทุนรวมทั่วไป
กองทุนเพื่อการลดหย่อนภาษี
ซึ่งบางธนาคารก็จะพิจารณาในส่วนนี้ให้เป็นการเพิ่มโอกาสในการขอสินเชื่อบ้านให้ผ่าน
ทั้งนี้ เกณท์การพิจารณาก็จะแตกต่างไปตามแต่ละธนาคาร ดังนั้น
ในการยื่นเอกสารผู้ขอสินเชื่อควรที่จะสอบถามข้อมูลเพื่อเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสในการขอสินเชื่อให้ผ่านฉลุย
4. เช็กประวัติเครดิตบูโร การขอข้อมูลเครดิตบูโรของตัวเองมาตรวจสอบ
โดยขอได้จากช่องทางของธนาคารกรุงไทย ผ่าน Application Mobile Banking
โดยจะมีค่าดำเนินการอยู่ที่ 150 บาท ภายใน 24 ชม. ก็จะมีการส่งให้ตาม Email
ที่ลงทะเบียนไว้ ข้อมูลที่ได้มาก็เพื่อที่จะไว้ตรวจสอบ รายการแปลกปลอมต่าง
ๆ
เช่น บัตรกดเงินสด บัตรเครดิต หรือสินเชื่อต่าง ๆ แม้กระทั่งรายการค้างชำระ
โดยปกติระยะเวลาของบัญชีต่าง ๆ ที่แสดงในเครดิตบูโรจะอยู่ที่ 3 ปี
กรณีที่มีรายการที่ค้างชำระนานเกิน 3 เดือน
ข้อมูลก็จะปรากฏในรายการเครดิตบูโรว่าเป็นการผิดนัดชำระ
แปลว่าต้องใช้เวลานานถึง 3 ปี ในการให้ข้อมูลดังกล่าวหายไปจากเครดิตบูโร
5. การเตรียมตอบคำถาม จากสถานการณ์ช่วงโควิดที่ผ่านมา
ที่ทางธนาคารประกาศมาตรการเยียวยาให้ผู้ที่ขอสินเชื่อไปลงทะเบียนในการแจ้งความประสงค์
ว่าได้รับผลกระทบจากงานประจำ หรือจากธุรกิจต่าง ๆ
โดยธนาคารก็จะประเมินและให้การเยียวยา เช่น ให้พักชำระทั้งเงินต้น +
ดอกเบี้ย ให้ผ่อนชำระเฉพาะดอกเบี้ย เป็นต้น
ในส่วนนี้ธนาคารจะเช็กข้อมูลจากเครดิตบูโรว่ามีการหยุดพักชำระหรือไม่
และจะถามจากผู้ขอสินเชื่อ ว่าได้มีการใช้มาตรการเยียวยาจากธนาคารหรือไม่
เพราะเหตุใด แล้วในปัจจุบันได้กลับมาผ่อนชำระปกติแล้วหรือไม่
โดยธนาคารก็จะซักข้อมูลถึงความจำเป็นที่ต้องพักชำระในช่วงที่ผ่านมา
ว่าเกิดจากเหตุใด เช่น โดนลดเงินเดือน, ตกงาน, ขายของไม่ได้
และสถานะปัจจุบันปัญหาเหล่านั้นคลี่คลายแล้วหรือไม่
เพื่อเป็นการให้ธนาคารมีความเชื่อมั่นว่าผู้ขอสินเชื่อมีความสามารถในการผ่อนคืนชำระสินเชื่อได้
โดยกรณีที่เป็นพนักงานบริษัทแล้วมีการโดนปรับลดเงินเดือน
ธนาคารอาจจะมีการขอดูเอกสารเพื่อเป็นการยืนยันว่าเงินเดือนที่โดนลดไปได้มีการกลับคืนให้แล้วหรือไม่
เพื่อประเมินผู้ขอสินเชื่อ
และความมั่นคงของบริษัทที่ผู้ขอสินเชื่อทำงานอยู่ด้วย
จากวิธีการเตรียมตัวดังกล่าว
เป็นเพียงการช่วยเพิ่มโอกาสในการขอสินเชื่อให้ผ่านได้ อย่างไรก็ตาม
ในการขอสินเชื่อแต่ละธนาคารเองก็ยังมีวิธีในการประเมินที่แตกต่างกัน
อีกทั้งยังสามารถใช้ตัวช่วยอื่น ๆ ได้ เช่น การพิจารณาหาคนมากู้ร่วม
ดังนั้น
การพูดคุยสอบถามทางเจ้าหน้าที่ของธนาคารที่เราไปขอสินเชื่อโดยตรงนั้นก็มีความสำคัญมากที่จะช่วยให้ความกระจ่าง
ทั้งในเรื่องการเตรียมตัวและการพิจารณาในการเลือกใช้บริการจากธนาคารที่ต้องการยื่นสินเชื่อ
อ้างอิง : การคำนวณรายได้ในการประเมินวงเงินเพื่อขอสินเชื่อโดยประมาณของธนาคาร ธอส.
แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์
https://www.prachachat.net/finance/news-1522966
07/06/2024
30/04/2024
30/04/2024
30/04/2024
30/04/2024