ธุรกิจ
แนวทางการเติบโตในโลกการทำงานยุคใหม่คงมีวิถีทางคล้ายกันแทบทุกองค์กร
เมื่อเริ่มงานในตำแหน่งระดับปฏิบัติการสักระยะ
หากผลงานดีจนเป็นที่ประจักษ์
นอกจากฐานเงินเดือนและเงินโบนัสที่ปรับตามเพอฟอร์แมนซ์แล้ว ‘ตำแหน่งงาน’
ก็เป็นอีกหัวโขนสำคัญที่หลายคนพึงปรารถนา และมองว่า
เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการเติบโต และความสามารถบนเส้นทางอาชีพให้กับตนเองได้
ไม่ว่าความปรารถนานั้นจะมาจากปณิธานมุ่งหมายส่วนตัว สังคมพร่ำบอก
หรือองค์กรให้คุณค่า
สิ่งหนึ่งที่ถูกพร่าเลือนจนหลายครั้งก็สร้างผลกระทบให้กับหลายฝ่าย
คือในความเป็นจริงแล้ว
ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นหัวหน้าหรือขึ้นสู่ตำแหน่งระดับบริหารได้
หลายครั้งที่การวาง ‘Career path’ ในองค์กร
มีแรงจูงใจให้พนักงานเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
ด้วยเงินเดือนที่สูงขึ้นจากการปรับเพิ่มตำแหน่งงานและความรับผิดชอบใหม่ๆ
ทำให้บางครั้ง ‘คนเก่ง’ เหล่านั้น
ต้องเปลี่ยนวิธีการทำงานจากเดิมไปโดยสิ้นเชิงแบบไม่ทันตั้งตัว
‘ปีเตอร์ เพทราเลีย’ (Peter Petralia) พาร์ทเนอร์ และที่ปรึกษาทางการตลาด
‘Modern Craft’ บริษัทที่ปรึกษาด้านการตลาด ประเทศแคนาดา
ให้ความเห็นกับเรื่องนี้ไว้ว่า
สิ่งสำคัญที่สุดที่องค์กรต้องพึงระลึกไว้เสมอ
คือการที่คนคนหนึ่งทำงานในทักษะเฉพาะด้านได้ดี ไม่ได้แปลว่า
เขาหรือเธอจะเป็น ‘Manager’ หรือหัวหน้างานที่ดีได้
การปรับย้ายคนทำงานเข้าสู่ส่วนงานที่ต้องใช้ทักษะการบริหารจัดการ
จำเป็นต้องมีคุณลักษณะหรือบุคลิกภาพเฉพาะด้าน
การเทรนนิ่งคนเหล่านี้ก่อนเข้ารับตำแหน่งเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการเป็น
‘หัวหน้า’ ไม่ได้ทำงานตามสัญชาตญาณได้เสมอไป
[ อย่าทำให้พนักงานล้มเหลว องค์กรต้องมีทางเลือกสำรองให้คนทำงาน ]
‘เพทราเลีย’
ยกตัวอย่างกรณีคนทำงานที่เก่งและมีความสามารถอันน่าทึ่งมากมายที่เขาเคยเจอ
แต่เมื่อเวลาผ่านไปด้วยอายุงานและเวลาอันเหมาะสม
คนเหล่านี้ก็มักจะถูกโปรโมต-เลื่อนขั้นสู่ตำแหน่งงานที่ใหญ่ขึ้น
มีความรับผิดชอบมากขึ้น
สิ่งที่เขาค้นพบ คือหลายคนตกอยู่ในภาวะ ‘Underperformance’
ไม่ใช่คนเก่งแบบที่เคยเป็นอีกแล้ว เนื่องจากขนบการทำงานที่เชื่อว่า
ต้องมีการเติบโตในเชิงตำแหน่งงานที่สูงขึ้น
ซึ่งสิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในระดับนโยบายเท่านั้น
แต่ยังฝังรากลึกลงไปในความเชื่อของคนรอบข้าง
เพื่อนร่วมงานจะยกย่อง-ชื่นชมเมื่อคุณขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหาร แม้ว่าลึกๆ
จะตระหนักดีว่า ตนเองยังไม่พร้อม และไม่ถนัดกับงานเชิง ‘Management’
เอาเสียเลย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจรับข้อเสนอไป
‘เพรทาเลีย’ ให้ความเห็นว่า
คนทำงานต้องกลับมาตกผลึกกับความต้องการของตนเองก่อนว่า เราอยากเติบโตแบบไหน
ถ้างานบริหารไม่ใช่เส้นทางที่ต้องการ
ลองดูว่า องค์กรมีพื้นที่อื่นๆ สำหรับความเชี่ยวชาญของคุณอีกหรือไม่
หรือหากต้องการโตในสาย ‘Management’ แต่ยังไม่มีทักษะ
องค์กรสามารถโค้ชชิ่งให้พนักงานได้รึเปล่า หากไม่มีทั้งสองทางให้เลือก
นั่นอาจหมายความว่า บริษัทกำลังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พนักงานล้มเหลว
การเติบโตจากตำแหน่งปฏิบัติการไปสู่ตำแหน่งงานที่ต้องใช้ทักษะการจัดการ
และทักษะอื่นๆ
ในการทำงานเป็นทีมเป็นส่วนประกอบที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน
เมื่อองค์กรเล็งเห็นว่า พนักงานมีศักยภาพ
ควรพูดคุยปรึกษาหารือกันเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เป็นผลดีกับทุกฝ่าย
หากพนักงานยังไม่มีทักษะในการเป็นหัวหน้า
องค์กรต้องเป็นคนเสนอสิ่งเหล่านั้นให้เขาได้เรียนรู้เพิ่มเติม
ไม่ว่าจะเป็นวิธีการจัดลำดับความสำคัญ ทักษะการสื่อสารกับผู้บริหารระดับสูง
เทคนิคการจัดการความเครียด วิธีกระตุ้นให้พนักงานมีส่วนร่วม เป็นต้น
[ สร้าง Career path ต้องยึดจากความสามารถ ไม่ใช่ตำแหน่งงานเดิม ]
อาจฟังดูเป็นเรื่องใหม่สักหน่อย เพราะส่วนใหญ่แล้วการปรับตำแหน่งมักยึดจากหน้าที่เดิมเป็นหลัก ทว่า ผู้เชี่ยวชาญกลับมองต่างออกไป
‘เพรทาเลีย’ เสนอว่า ให้กำหนดหน้าที่จากความถนัดของคนทำงานดูก่อน
เพื่อจะได้เห็นว่า เขาหรือเธอมีทักษะใดที่ต้องเติมเต็ม พูดง่ายๆ ก็คือ
ชูจุดแข็งของคนทำงานเข้าไว้ เพื่อจะได้เห็น ‘จุดอ่อน’
ที่ไม่มีได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
และตัวองค์กรเองนี่แหละที่ต้องเข้าไปสนับสนุน-อุดรอยรั่วเหล่านั้น
เมื่อเป็นแบบนี้คนทำงานเองก็จะรู้สึกว่า
องค์กรมีส่วนในการสนับสนุนการทำงานของพวกเขา
ไม่ได้ปล่อยให้เผชิญกับการทำงานในพื้นที่ใหม่ๆ เพียงลำพัง
และที่สำคัญที่สุด คือลูกน้องที่อยู่ใต้บังคับบัญชาหัวหน้ามือใหม่เหล่านี้
ที่ไม่ต้องรับหน้าที่ ‘เดอะแบก’ จนหนักเกินไป
เพราะหัวหน้าเองก็ผ่านการเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นมาบ้างแล้ว
ทั้งยังมีประสบการณ์ที่สั่งสมมาหลายปีช่วยให้การทำงานในทีมกลมกล่อมยิ่งขึ้น
[ เก่งแบบกูรู ≠ เก่งในการบริหารทีม ]
ด้าน ‘ไรอัน โฮล์มส์’ (Ryan Holmes) ผู้บริหาร ‘Hootsuite’ บริษัทซอฟต์แวร์ด้าน AdTech ก็มีความเห็นไปในทิศทางคล้ายกัน
เขาระบุว่า
องค์กรส่วนใหญ่ยังคงวางเส้นทางการเติบโตให้พนักงานผ่านบทบาทของการเป็นผู้บริหาร
ทั้งค่าตอบแทนและการยอมรับในองค์กรล้วนเชื่อมโยงกับการรับหน้าที่บริหารทีมทั้งสิ้น
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วชุดทักษะวิชาบริหารเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล
ไม่ใ่ช่ทุกคนจะมีสิ่งนี้ และไม่ใช่ทุกคนที่ต้องเร่งพัฒนามัน
สิ่งที่ขาดหายไป คือ ‘Guru track’ หรือเส้นทางเฉพาะด้านของคนทำงานแบบ
‘Specialist’
สำหรับ ‘โฮล์มส์’ แล้ว พนักงานที่มีความสามารถเฉพาะด้านแบบลงลึก
เปรียบเสมือน ‘นักแสดง’
ยอดเยี่ยมที่ไม่ได้มีความกระตือรือร้นในการจัดการผู้คนหากแต่พวกเขาเหล่านี้
คือผู้เชี่ยวชาญที่สั่งสมความรู้อันเป็นเอกลักษณ์
ทั้งยังสามารถทำงานในขอบเขตหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม
แม้ไม่ได้เป็นผู้นำโดยตำแหน่ง แต่ความเก่งเฉพาะตัวแบบนี้นี่แหละที่ทำให้
‘Specialist’ สร้างแรงบันดาลใจให้กับเพื่อนร่วมงานผ่านวิธีการทำงานของตนเอง
มากกว่าการส่งทอดผ่านคำสั่งอย่างที่คนระดับบริหารทำกัน
ฉะนั้น ความก้าวหน้าบนเส้นทาง ‘Guru track’
จึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
แต่ในทางกลับกัน พวกเขาเหล่านี้ ‘เลื่อนขั้น’
ในองค์กรผ่านวิธีการเฉพาะตัวรูปแบบอื่นๆ แทน
อาจจะเป็นการได้รับมอบหมายให้ดูแลเมกะโปรเจกต์ ได้ทำงานกับฝ่ายอื่นๆ
เพื่อร่วมกันแก้ปัญหา
ให้คำปรึกษากับคนทำงานที่เพิ่งเข้ามาใหม่ได้เป็นอย่างดี
และอาจได้รับเลือกให้เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านนั้นๆ
หากใครต้องการปรึกษาเรื่องนี้
ต้องเป็นคนคนนี้เท่านั้นที่ให้คำแนะนำได้แหลมคมที่สุด
ผลลัพธ์ที่ได้ คือ ‘Win-win’ ทั้งสองฝ่าย
พนักงานที่ทำได้ดีอยู่แล้วก็ลึกซึ้งกับเนื้องานมากขึ้น
ได้รับคำตอบเรื่องเส้นทางการเติบโตที่ชัดเจนซึ่งวางอยู่บนพื้นฐานความถนัดแบบที่ไม่ได้
‘ถูกบีบ’ ให้เติบโตตามขนบ
ส่วนองค์กรเองก็เพิ่มโอกาสในการรักษาคนมีความสามารถไว้ได้
หัวใจสำคัญของเรื่องนี้
คือการเปิดโอกาสให้คนทำงานได้มีส่วนร่วมกับเส้นทางของตัวเอง ให้เขาได้เป็น
‘Owner’ ไม่ใช่ถูกมอบหมาย ‘ให้ทำ’ แต่เกิดขึ้นเพราะเขา ‘อยากทำ’
แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับเวิร์คพอยท์ทูเดย์
https://workpointtoday.com/not-everyone-can-be-a-leader/
04/09/2024
27/08/2024
15/11/2024
21/05/2024
29/04/2024