คอลัมน์ : ชีพจรเศรษฐกิจโลก
ผู้เขียน : นงนุช สิงหเดชะ
การที่ธนาคารกลางสหรัฐ
(เฟด) แสดงท่าทีค่อนข้างชัดเจนว่าจะเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ย
เพื่อกำราบเงินเฟ้อและจะไม่มีการลดดอกเบี้ยเลยตลอดปี 2023
ทำให้มีความเป็นไปได้สูงขึ้นที่เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะเกิดภาวะถดถอย
ความกลัวดังกล่าวมีผลต่อท่าทีและมุมมองของนักลงทุนในปี 2023
ซึ่งเห็นได้จากผลสำรวจ
นักลงทุนระดับเศรษฐี
จัดทำโดยซีเอ็นบีซีร่วมกับสเปกตรัม กรุ๊ป ที่สำรวจเมื่อเดือนพฤศจิกายน
โดยกลุ่มตัวอย่างที่โพลสำรวจ เป็นนักลงทุนที่มีสินทรัพย์ลงทุน 1
ล้านดอลลาร์ขึ้นไป
ผลสำรวจพบว่านักลงทุนเหล่านี้เห็นว่าภัยคุกคามใหญ่ที่สุดต่อความมั่งคั่งของพวกเขาในปี
2023 ก็คือตลาดหุ้น โดยนักลงทุนเหล่านี้ 56% คาดว่าในปี 2023
ดัชนีเอสแอนด์พี 500 จะปรับตัวลง 10% และเกือบ 1 ใน 3
เชื่อว่าจะปรับลงมากกว่า 15% ซึ่ง จอร์จ วอลเตอร์ ประธานสเปกตรัม กรุ๊ป
ชี้ว่า นี่เป็นมุมมองที่แย่ที่สุดของนักลงทุนกลุ่มนี้ต่อตลาดหุ้น
นับจากช่วงวิกฤตการเงินปี 2008 และ 2009
ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ในปี 2022 ปรับตัวลงไปแล้ว 18%
นักลงทุนกลุ่มนี้คาดหมายว่าปี 2023 จะแย่ยิ่งกว่า
ซึ่งมุมมองเช่นนี้ยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อตลาดหุ้น
เพราะนักลงทุนระดับเศรษฐีกลุ่มนี้ถือครองหุ้นในตลาดราว 85%
หลายคนถือเงินสดเอาไว้ และวางแผนจะนั่งอยู่ข้างสนามเฉย ๆ
อย่างน้อยก็ในอนาคตที่มองเห็นได้ ทั้งนี้ มีนักลงทุนถึง 46%
ที่เพิ่มการถือเงินสดในพอร์ตการลงทุนปี 2022
มากกว่าปีก่อนหน้าไปแล้วเรียบร้อย ขณะเดียวกัน
พวกเขายังมีมุมมองไม่สดใสต่อเศรษฐกิจ โดย 60%
คาดว่าเศรษฐกิจจะอ่อนแอยิ่งขึ้นในปลายปี 2023
อย่างไรก็ตาม
มีช่องว่างค่อนข้างกว้างของมุมมองนักลงทุนเศรษฐีอายุน้อยกับอายุมาก โดย
81%
ของนักลงทุนในกลุ่มมิลเลนเนียลเชื่อว่าสินทรัพย์ของพวกเขาจะสูงขึ้นในปลายปี
2023 ในจำนวนนี้เกือบครึ่งคาดว่าทรัพย์สินของพวกเขาจะเพิ่มขึ้น 10%
หรือมากกว่านั้น และเชื่อว่าดัชนีเอสแอนด์พี
500 จะปรับขึ้น 10% เช่นกัน
ตรงข้ามกับนักลงทุนกลุ่มเบบี้บูมเมอร์ที่ 61%
คาดว่าสินทรัพย์ของพวกเขาจะลดลงในปี 2023
ประธานสเปกตรัม กรุ๊ป กล่าวว่า
การที่นักลงทุนเศรษฐีกลุ่มมิลเลนเนียล มีมุมมองบวกกว่ารุ่นเบบี้บูมเมอร์
ก็เพราะพวกเขาเติบโตมาในช่วงที่ตลาดการเงินทั่วโลกมีดอกเบี้ยต่ำมาก
และราคาสินทรัพย์สูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งในสภาพแวดล้อมดังกล่าว
เมื่อใดก็ตามที่ตลาดมีการเทขายหุ้นก็จะตามมาด้วยการฟื้นกลับอย่างรวดเร็ว
แต่นักลงทุนรุ่นเบบี้บูมเมอร์จะมีภาพจำของเงินเฟ้อสูง
อัตราดอกเบี้ยสูงของช่วงทศวรรษ 1970 และต้นทศวรรษ 1980
ซึ่งทำให้ดัชนีเอสแอนด์พีลดลงนานกว่า 10 ปี
“นักลงทุนรุ่นมิลเลนเนียลไม่เคยมีชีวิตผ่านช่วงที่มีเงินเฟ้อสูงอย่างแท้จริง
ตลอดชีวิตการลงทุนของพวกเขาไม่เคยเห็นอัตราดอกเบี้ยที่ถูกบริหารจัดการโดยเฟด
ไม่เคยเห็นการขึ้นดอกเบี้ยอย่างดุดันแบบนี้มาก่อน”
ในอีกด้านหนึ่งตามรายงานของวิลลิส ทาวเวอร์ส วัตสัน ชี้ว่า แม้เศรษฐกิจในปี
2023 จะเผชิญอุปสรรคจนอาจทำให้เศรษฐกิจถดถอย แต่กิจกรรมการควบรวมกิจการ
หรือ “เอ็มแอนด์เอ” จะยังเกิดขึ้นต่อไป
เนื่องจากในวิกฤตก็มีโอกาสทำให้ซื้อกิจการได้ในราคาที่ดี
แต่รูปแบบก็อาจเปลี่ยนแปลงไป
โดยผู้ซื้ออาจมุ่งไปที่กิจการขนาดเล็กแทนที่จะซื้อกิจการขนาดใหญ่
ขณะเดียวกัน ก็อาจผลักดันให้บริษัทต่าง ๆ
ขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่สินทรัพย์หลักออกไป ตัวอย่างเช่น
บริษัทพลังงานอาจลดการลงทุนในกิจการที่เน้นเรื่องการลดคาร์บอน
วิลลิสฯระบุว่า
สภาพดังกล่าวจะทำให้ผู้ซื้อกิจการมีโอกาสขยายไลน์สินค้า การบริการ
หรือห่วงโซ่อุปทานในราคาถูกลง อาจเห็นคลื่นการซื้อธุรกิจเอไอในปี 2023
เนื่องจากทุกอุตสาหกรรมมีความจำเป็นที่ต้องเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล
รวมทั้งสร้างความยืดหยุ่นให้กับระบบห่วงโซ่อุปทานที่ได้รับ
ผลกระทบจากโควิด-19
วิลลิสฯระบุว่า
สภาพดังกล่าวจะทำให้ผู้ซื้อกิจการมีโอกาสขยายไลน์สินค้า การบริการ
หรือห่วงโซ่อุปทานในราคาถูกลง อาจเห็นคลื่นการซื้อธุรกิจเอไอในปี 2023
เนื่องจากทุกอุตสาหกรรมมีความจำเป็นที่ต้องเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล
รวมทั้งสร้างความยืดหยุ่นให้กับระบบห่วงโซ่อุปทานที่ได้รับ
ผลกระทบจากโควิด-19
วิลลิสฯระบุว่า
สภาพดังกล่าวจะทำให้ผู้ซื้อกิจการมีโอกาสขยายไลน์สินค้า การบริการ
หรือห่วงโซ่อุปทานในราคาถูกลง อาจเห็นคลื่นการซื้อธุรกิจเอไอในปี 2023
เนื่องจากทุกอุตสาหกรรมมีความจำเป็นที่ต้องเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล
รวมทั้งสร้างความยืดหยุ่นให้กับระบบห่วงโซ่อุปทานที่ได้รับ
ผลกระทบจากโควิด-19
วิลลิสฯระบุว่า
สภาพดังกล่าวจะทำให้ผู้ซื้อกิจการมีโอกาสขยายไลน์สินค้า การบริการ
หรือห่วงโซ่อุปทานในราคาถูกลง อาจเห็นคลื่นการซื้อธุรกิจเอไอในปี 2023
เนื่องจากทุกอุตสาหกรรมมีความจำเป็นที่ต้องเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล
รวมทั้งสร้างความยืดหยุ่นให้กับระบบห่วงโซ่อุปทานที่ได้รับ
ผลกระทบจากโควิด-19
แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์
https://www.prachachat.net/world-news/news-1157152