คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ข่าวการเงิน

ไขข้อข้องใจ ลงทุนแบบ DCA กับ Market Timing ในยุคที่ตลาดผันผวน แบบไหนดีกว่า?

30/04/2024

การซื้อแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน หรือ DCA (Dollar-cost averaging) ในสินทรัพย์ต่างๆ ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน เพราะเป็นการเข้าซื้อแบบแบ่งเป็นงวด โดยไม่สนใจความเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ที่เลือกลงทุน ทำให้สามารถกำจัดอารมณ์และความเสี่ยงของราคาจากความผันผวนของภาวะตลาดได้ และยังสามารถสร้างวินัยทางการเงิน เพื่อมี #การเงินดีชีวิตดี ในอนาคตได้อีกด้วย ปัจจุบัน มีหลายบริษัทหลักทรัพย์ให้บริการหักบัญชีอัตโนมัติ เพื่อ DCA ในหุ้น ทำให้นักลงทุนมีความสะดวกในการสะสมหุ้นที่ต้นทุนถัวเฉลี่ยได้ทุกสภาวะตลาด ซึ่งการลงทุนในหุ้นมีโอกาสได้ผลตอบแทนหรือขาดทุนจากส่วนต่างราคา แต่ก็ยังมีโอกาสได้รับเงินปันผลจากหุ้นของบริษัทที่เข้าไปลงทุนด้วย อย่างไรก็ดี ทุกการลงทุนมีความเสี่ยงที่จะ “ขาดทุน” นักลงทุนจะต้องศึกษาทำความเข้าใจทุกครั้งก่อนการลงทุน ในยุคที่นักลงทุนมีโอกาสทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง ผ่านผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ โดยใช้ “Market Timing” ทำให้การสร้างความมั่งคั่งผ่านการ DCA ในสินทรัพย์ มีความน่าสนใจน้อยลงหรือไม่ วันนี้ #ThairathMoney จะพาไปหาคำตอบกัน คุณศิริพร สุวรรณการ Senior Managing Director, Financial Advisory Head Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ปีนี้ภาพรวมของตลาดตราสารหนี้โลกและตลาดหุ้นทั่วโลก จะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ถือว่าเป็นปีที่ค่อนข้างยากสำหรับการลงทุน เนื่องจากยังมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะในตลาดหุ้นโลก เพราะฉะนั้นแนะนำนักลงทุนให้เน้นการลงทุนแบบสม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยให้สามารถลดความเสี่ยงจากความผันผวนได้ ขณะเดียวกัน มองว่ากลยุทธ์การลงทุนแบบ “Stay Away” หรือการลงทุนในตลาดตลอดเวลา ดีกว่าการใช้ “Market Timing” หรือการจับจังหวะของตลาด เนื่องจากเราไม่อาจทราบได้เลยว่า ช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนนั้น ช่วงไหนเป็นช่วงที่ปรับตัวขึ้นสูงที่สุด หรือปรับตัวต่ำที่สุด จากสถิติที่ผ่านมา พบว่าทุกครั้งที่มีการลงทุนโดยการจับจังหวะของตลาด มักมีผลตอบแทนเฉลี่ยต่ำกว่าการลงทุนแบบสม่ำเสมอ เพราะฉะนั้นในช่วงที่ตลาดผันผวนแบบนี้ การลงทุนแบบสม่ำเสมอจะมีความได้เปรียบมากกว่า นอกจากนี้ มองว่าการจัดพอร์ตหรือเลือกแบ่งสัดส่วนเงินเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ มีความสำคัญมากกว่าระยะเวลาการลงทุน ซึ่งนักลงทุนจะต้องศึกษาว่าจะให้น้ำหนักกับการลงทุนในสินทรัพย์ใด ที่จะสามารถลดความเสี่ยงในภาวะที่ตลาดผันผวน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด. แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/business/investment/stockexchange/2694159

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ก็ล้มละลายได้

30/04/2024

คอลัมน์ : คุยฟุ้งเรื่องการเงิน ผู้เขียน : พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน (ทอมมี่ แอคชัวรี) โดยปกติแล้วธนาคารจะได้รับเงินเข้ามาจากการที่มีลูกค้ามาฝากเงินไว้ ซึ่งเงินที่ฝากจะถือเป็นเจ้าหนี้กับธนาคาร ดังนั้นธนาคารจำเป็นต้องตั้งเป็นหนี้สินสำรองเอาไว้ เพราะมันคือ ภาระที่ธนาคารต้องจ่ายคืนเงินให้ลูกค้าในอนาคต และจะต้องนำเงินที่ได้มาไปลงทุนให้เกิดดอกผลขึ้นมา เพื่อพยุงให้ธนาคารอยู่รอดต่อไป การลงทุนกับธนาคารสามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ ส่วนใหญ่จะเป็นการปล่อยกู้สินเชื่อ โดยระยะเวลาการปล่อยกู้สินเชื่อก็มีระยะเวลาที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเภทของการปล่อยกู้ หรือถ้าธุรกิจของธนาคารไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อปล่อยสินเชื่อเพียงอย่างเดียว ธนาคารต้องนำเงินที่ได้มานั้นไปลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินแบบอื่นด้วย ซึ่งพันธบัตรรัฐบาลถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่เสี่ยงน้อย เมื่อไม่นานมานี้ ข่าวเรื่องของธนาคารในอเมริกาล้ม ซึ่งธนาคารเองก็ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่มีความเสี่ยงน้อย แต่ก็กลับมาพัง เพราะถือพันธบัตรรัฐบาลมากไป และเกิดการขาดทุนจากภาวะของอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ดันไปสอดคล้องกับธุรกิจประกันชีวิตที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ และหนึ่งในตราหนี้ที่บริษัทประกันชีวิตต้องมีไว้คือ พันธบัตรรัฐบาล ธุรกิจประกันชีวิตถือว่าเป็นสถาบันการเงินประเภทหนึ่ง ที่รับเงินเข้ามาจากลูกค้า ซึ่งบริษัทประกันต้องเอาเงินที่ได้มาตั้งเป็นหนี้สินของตัวเอง เผื่อวันที่ลูกค้าเข้ามาขอยกเลิกกรมธรรม์และรับเงินมูลค่าเวนคืนเงินสดกลับไป และอีกส่วนหนึ่งก็ประเมินอนาคตว่าจะต้องจ่ายเงินสดออกไปเท่าไร และต้องจ่ายออกในช่วงไหน เพื่อคำนวณและตั้งเป็นหนี้สินสำรองออกมา โดยเรียกสิ่งนั้นว่า เงินสำรองกรมธรรม์ประกันภัย และหลังจากที่ได้รับเงินมาแล้ว บริษัทนำเงินมาลงทุนเพื่อให้เกิดดอกผล ซึ่งกลไกเหล่านี้ ดูไม่ต่างกับธนาคารทั่วไปมากนัก ที่รับเงินฝากจากลูกค้ามาแล้วก็นำเงินไปปล่อยกู้หรือลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินอื่น ๆ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต่างกันระหว่างธนาคารกับบริษัทประกันชีวิตคือ “ระยะเวลาของการลงทุนในสินทรัพย์ที่จะได้เงินต้นคืนมาเมื่อครบกำหนดสัญญา” กับ “ระยะเวลาที่ต้องจ่ายเงินก้อนคืนให้ลูกค้าเมื่อครบกำหนดสัญญา” บริษัทประกันชีวิตมีระยะเวลาของหนี้สินมากกว่าสินทรัพย์ ซึ่งแตกต่างจากธนาคารที่หนี้สินของธนาคารจะมีระยะเวลาสั้นกว่า ยกตัวอย่างเช่น ถ้าซื้อพันธบัตรระยะเวลา 5 ปี มันก็จะล็อกอัตราดอกเบี้ย และผลตอบแทนไว้ได้ เมื่อถือจนครบกำหนดสัญญาถึง 5 ปี แต่ถ้าหนี้สินนั้นมีคนถอนเงินออกมาก่อน ทำให้ต้องขายพันธบัตรฉบับนั้นก่อน จากที่ธนาคารต้องถือให้ครบกำหนดสัญญา ซึ่งราคาของพันธบัตรในตอนนั้นอาจจะไม่ได้มีราคาที่มากนัก ในกรณีสภาวะเศรษฐกิจที่เป็นช่วงดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น สามารถวิเคราะห์กลไกของธนาคารได้ดังนี้ 1. ตราสารหนี้ระยะยาว จะถูกด้อยมูลค่าอย่างมีนัยสำคัญ เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งในมุมของการลงบัญชีนั้น ถ้าธนาคารตั้งใจที่จะถือให้ครบกำหนดสัญญาแล้ว การถูกด้อยมูลค่าจากอัตราดอกเบี้ยนั้น จะยังไม่ถือว่าเป็นการขาดทุนที่แท้จริง 2. หนี้สิน จะไม่ได้ถูกด้อยมูลค่า หรือได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นเท่าไร 3. เมื่อเกิดกรณีที่คนมาถอนเงินฝาก ทำให้ธนาคารต้องขายตราสารหนี้ที่ตัวเองเคยลงทุนไว้ออกมาก่อนกำหนด ซึ่งทำให้เกิดการขาดทุนจากสินทรัพย์ลงทุนในกรณีที่ดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นได้ โดยสรุปแล้วจะเห็นได้ว่าบริษัทประกันชีวิตจะมีทิศทางการดำเนินงานตรงข้ามกับธนาคาร ตรงที่ระยะเวลาของหนี้สินนั้นมีระยะเวลานานกว่าสินทรัพย์ ทำให้เวลาดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นแล้ว และแม้ว่าสินทรัพย์จะมีมูลค่าลดลง แต่หนี้สินจะถูกด้อยมูลค่าลงไปอย่างมีนัยสำคัญมากกว่า และทำให้เกิดกำไรขึ้นมาได้ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.n et/finance/news-1289887

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) ได้รับการจัดอันดับ Mercer FundWatch Rating ระดับ 4 ดาว จากกองทุน AIA Thai Equity และ ESG Rating ระดับ ESG3 สะท้อนการบริหารจัดการลงทุนเชิงรุกและการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม

30/04/2024

บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) (“บริษัท”) เข้าร่วมโครงการประเมินความสามารถของกองทุนตราสารทุนไทยในปี 2565 โดยบริษัท เมอร์เซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด (“Mercer”) ซึ่งได้รับเลือกให้เป็นผู้จัดทำโครงการประเมินกองทุนไทยจากกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (“CMDF”) ในการนี้ กองทุน AIA Thai Equity ของ บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) ได้รับการจัดอันดับ Mercer FundWatch Rating ที่ระดับ 4 ดาว และ ESG Rating ที่ระดับ ESG3 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงกองทุน AIA Thai Equity ของ บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) ได้รับการประเมินว่ามีโอกาส “สูงกว่าค่าเฉลี่ย” ของการที่ผลตอบแทนหลังหักค่าธรรมเนียมของกองทุนจะมากกว่าดัชนีชี้วัด* ถือเป็นเครื่องการันตีความสำเร็จของการบริหารจัดการลงทุนเชิงรุกอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการบริหารความเสี่ยงที่มีความรัดกุม โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นสำคัญนางจินตนา เมฆินทรางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายตราสารทุน บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน เอไอเอ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ร่วมเสวนาในงานสัมมนา “Future of Investing: Themes and Opportunities” ซึ่งจัดขึ้นโดยกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน ร่วมกับสมาคมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2566 โดยกล่าวว่า “บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) พร้อมกับทีมผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์เฉลี่ยในการลงทุนมานานกว่า 18 ปี มีเป้าหมายหลัก คือการบริหารกองทุนรวมเพื่อตอบโจทย์ เอไอเอ ยูนิต ลิงค์ ซึ่งถือเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สำคัญในการวางแผนทางการเงินในวันนี้และอนาคต”กระบวนการลงทุนของเอไอเอ เน้นให้ความสำคัญกับเป้าหมายการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาวจากการคัดเลือกหุ้นคุณภาพ มีอัตราการเติบโตที่ดี ในขณะเดียวกัน ยังหาโอกาสสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มในระยะสั้นจากความผันผวนของตลาดในการปรับพอร์ตการลงทุนจากการที่ราคาหุ้นไม่ได้สะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง หน้าที่ของผู้จัดการกองทุนคือการพยายามปรับสมดุลเป้าหมายและมุมมองการลงทุนระยะยาวเพื่อสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนให้กับลูกค้าในการลงทุน” นางจินตนา กล่าวสรุป ทั้งนี้ เอไอเอและกลุ่มการลงทุนของเอไอเอให้ความสำคัญกับกระบวนการการลงทุน และการติดตามวิธีการลงทุนของทีมการลงทุนเป็นประจำสม่ำเสมอ ซึ่งการมีโอกาสเข้าร่วมโครงการ Mercer’s Fund Rating ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีที่ทำให้ได้ทบทวนกระบวนการลงทุนอีกครั้งผ่านหลักเกณฑ์และกระบวนการของ Mercer ซึ่งถือเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญภายนอก โดยเอไอเอเป็นองค์กรที่พร้อมปรับตัวและพัฒนาศักยภาพอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง  สำหรับผู้ลงทุนสามารถศึกษาข้อมูล Mercer FundWatch Report ของกองทุน AIA Thai Equity ฉบับเต็มได้ทางเว็บไซต์ของ Settrade: https://www.settrade.com/th/research/analystresearch/maincategory=mutualfund&source=Mercer&period=1Y หรือทางเว็บไซต์ของ Mercer FundWatch: http://https//www.mercerfundwatch.com/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ นำทีม ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ เยือนไทยครั้งแรกแบบฟูลทีม เตรียมฟาดแข้ง ปะทะ เลสเตอร์ ซิตี้ 23 ก.ค.นี้

30/04/2024

กรุงเทพฯ, 18 พฤษภาคม 2566 - เอไอเอ ผู้สนับสนุนหลักระดับโลกของสโมสรท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ นำโดย คุณรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมงานแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ Tottenham Hotspur vs Leicester City โดยสโมสรท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ยอดสโมสรแห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ จะขนทัพมาเยือนประเทศไทยเป็นครั้งแรก เพื่อลงเตะเกมอุ่นเครื่องกับสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ เจ้าของแชมป์ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015/16 ซึ่งจะทำการแข่งขันกันในวันที่ 23 กรกฎาคม 2566 ณ ราชมังคลากีฬาสถาน โดยการแข่งขันครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจาก “เอไอเอ” ในฐานะผู้สนับสนุนหลัก ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ และ “คิง พาวเวอร์” ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักและผู้บริหารของสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ จะร่วมเป็นพันธมิตรที่สำคัญสำหรับการแข่งขันในกรุงเทพฯสำหรับแมทช์อุ่นเครื่องครั้งนี้ ถือเป็นการมาเยือนประเทศไทยเป็นครั้งแรกของสโมสรท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ นำทีมโดย เอไอเอ แอมบาสเดอร์ อย่าง ‘แฮร์รี เคน’ กองหน้าและกัปตันทีมชาติอังกฤษ และสตาร์ชาวเกาหลีใต้อย่าง ‘ซน ฮึง-มิน’ ผู้เล่นชาวเอเชียที่ทำประตูสูงสุดในพรีเมียร์ลีกประเทศอังกฤษ โดยสำหรับเกมอุ่นเครื่องครั้งนี้ เป็นการพบกันของ 2 ทีมพรีเมียร์ลีก ซึ่งคาดหวังที่จะสร้างความตื่นเต้นและประทับใจให้แก่แฟน ๆ ชาวไทยอย่างไรก็ดี เอไอเอ และสโมสรฟุตบอล ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ต่างมีเป้าหมายเดียวกัน คือ ต้องการส่งเสริมให้ผู้คนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีผ่านกีฬาฟุตบอล เป็นการตอกย้ำคำมั่นสัญญาของเอไอเอที่ต้องการส่งเสริมให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ‘Healthier, Longer, Better Lives’ลูกค้าเอไอเอเตรียมวอร์มร่างกายให้พร้อม ซื้อบัตรได้ก่อนใครและรับสิทธิพิเศษใกล้ชิดนักเตะท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ แบบเอ็กซ์คลูซีฟ ชิดติดขอบสนาม ติดตามรายละเอียดได้เร็ว ๆ นี้ ที่เฟซบุ๊ก AIA Thailand: www.facebook.com/Thailand.AIA

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

6 กลยุทธ์ทำอย่างไรเมื่ออยู่กับงานที่ไม่ชอบ

30/04/2024

กลยุทธ์ที่เรากำลังจะแนะนำกันต่อจากนี้ ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะทุกวันนี้มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้ชอบในงานที่ตัวเองกำลังทำอยู่ แทนที่คุณจะมานั่งใจลอยไปวันๆ ลองปรับชีวิตของคุณให้เข้ากับที่ทำงานดู แล้วคุณจะรู้ว่าเราสามารถมีชีวิตที่ดีในงานที่น่าเบื่อได้ 1. เริ่มจากทำความรู้จักกับเพื่อนรอบๆ ตัว หากงานมันน่าเบื่อ ลองค้นหาผู้คนในที่ทำงานที่จะช่วยให้ชีวิตของคุณดีขึ้น เพราะหลายครั้งคนเลือกที่จะอยู่กับงานที่น่าเบื่อ ด้วยการแลกเอากับการที่มีเพื่อนร่วมงานที่ดีแทน ลองเปิดใจแล้วทำความรู้จักกับคนรอบๆ ตัวดู ไม่แน่คุณอาจจะพบว่างานที่น่าเบื่อกำลังจะเปลี่ยนไปเมื่อได้ทำงานร่วมกับเพื่อร่วมงานที่ดีก็เป็นได้ 2. หัดเป็นคนคิดบวก หากงานที่คุณกำลังทำมันน่าเบื่อมาก ให้คุณลองหันไปใส่ใจในองค์ประกอบเล็กๆ แทน ให้มองหาข้อดีของงานที่กำลังทำอยู่นี้ มองหามุมมองด้านบวกให้กับทุกอย่างที่คุณกำลังทำ หากงานไม่ดีแต่บริษัทไม่ได้แย่ไปหมดซะทุกอย่าง หาด้านบวกที่อยู่ในบริษัทให้เจอ แล้วชีวิตคุณจะดีขึ้น 3. มองไปที่สิ่งที่คุณจะไปต่อ แม้ว่างานที่ทำอยู่วันนี้อาจไม่ใช่สิ่งที่คุณคาดหวัง แต่คุณต้องมองให้ออกว่าเส้นทางต่อไปของคุณคืออะไร หากคุณกำหนดบทบาทที่คุณจะไปต่อเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วละก็ คุณก็จะมีวิธีจัดการกับงานน่าเบื่อที่ต้องทำอยู่ตอนนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น เพราะคุณรู้ว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป ทำไปเพื่อคุณจะได้ไปต่อ 4. กดปุ่มความอดทนของคุณ ไม่มีใครได้อะไรอย่างที่ใจต้องการตลอดเวลา หากคุณกำลังเบื่อถึงขีดสุด ก็ได้เวลาที่คุณจะต้องทำการกดปุ่มความอดทนของคุณกันแล้ว ทุกอาชีพจะมีช่วงเวลาในการเติบโตแตกต่างกันไป ตอนนี้มันอาจจะยังไม่ใช่เวลาของคุณ อดทนเอาไว้แล้วเมื่อถึงเวลาทุกอย่างจะดีเอง 5. เรียนรู้ในสิ่งที่ไม่ควรทำ หลักจากที่เราได้เรียนรู้แล้วว่าอะไรคือประสบการณ์เชิงบวกที่เราต้องทำ ตอนนี้ก็ได้เวลาที่เราจะทำการเรียนรู้ประสบการณ์เชิงลบกันบ้าง เพราะหลักจากที่เราได้เรียนรู้เรื่องราวเชิงลบแล้ว มันจะทำให้เราสามารถเลือกได้อย่างถูกต้องได้ว่า อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ 6. มองหาสิ่งที่คุณควรจะได้จากบริษัท บางทีคุณอาจไม่รักงานของคุณที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ แต่กลับพบว่าสิ่งที่บริษัทมอบให้นั้นกลับเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก คุณอาจจะใช้สิ่งดีๆ ที่บริษัทพร้อมจะมอบให้ อย่างโปรแกรมสนับสนุนด้านการศีกษา หรือโปรแกรมสนับสนุนการรักษาพยาบาล และด้านอื่นๆ ที่จะเติมเต็มความต้องการของคุณได้ หาให้เจอแล้วความน่าเบื่อของงานจะลดลง ดังนั้นแทนที่จะมานั่งซึมเศร้ากับความน่าเบื่อของงาน ลองเปิดใจด้านบวกแล้วมองหาเรื่องราวดีๆ คบหากับคนดีๆ ที่อยู่ในบริษัทดู แล้วคุณจะรู้ว่าเรื่องบางเรื่องเวลามันช่วยเราได้จริงๆ ที่มา: forbes แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับsmartsmehttps://www.smartsme.co.th/content/250122

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

สรุปประเด็นไฮไลต์ วอร์เรน บัฟเฟตต์ พูดกับผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway

30/04/2024

สรุปประเด็นไฮไลต์ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ตอบคำถามผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway – ความทรงอิทธิพลของเงินดอลลาร์สหรัฐ, ความพิเศษของ Apple, โอกาสลงทุน VI, วิฤตธนาคาร, การกระจายความเสี่ยงดีจริงหรือ ? ปัญญาประดิษฐ์ไม่สู้ปัญญามนุษย์ และอื่น ๆ Berkshire Hathaway (เบิร์กเชียร์ แฮทะเวย์) บริษัทโฮลดิงระดับโลกที่มี วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) นักลงทุนระดับตำนานของโลกเป็นประธานและซีอีโอ ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2023 และประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2023 เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมา ไตรมาสแรกของปี 2023 Berkshire Hathaway มีผลประกอบการดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด มีรายได้รวมในไตรมาสแรก 35,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท) หักต้นทุนการดำเนินงานแล้วมีรายได้จากการดำเนินงาน 8,065 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 273,000 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นประมาณ 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (YOY)วอร์เรน บัฟเฟตต์ และชาร์ลี มังเกอร์/ ภาพจากวิดีโอของ CNBCหลังเปิดเผยรายงานผลประกอบการ วอร์เรน บัฟเฟตต์ วัย 92 ปี พร้อมด้วยมือขวา ชาร์ลี มังเกอร์ (Charlie Munger) รองประธาน Berkshire Hathaway วัย 99 ปี ใช้เวลากว่า 5 ชั่วโมงในการตอบคำถามนักลงทุน ซึ่งนับว่าน่าทึ่งสำหรับคนวัยนี้ แถมคุณปู่บัฟเฟตต์ยังเริ่มต้นการพูดคุยกับนักลงทุนอย่างอารมณ์ดีโดยพูดล้อเล่นไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศอังกฤษด้วยว่า Berkshire Hathaway ก็มี “คิงชาร์ลส์” เป็นของตัวเอง ซึ่งหมายถึงคู่หู ชาร์ลี มังเกอร์ ของเขานั่นเอง  ตามการรายงานของ CNBC บอกว่า แม้ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้จะมีความผันผวนเกิดขึ้นในตลาดและมีความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจ แต่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซีอีโอของ Berkshire Hathaway ได้สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนโดยการตอบคำถามน้ำเสียงที่สงบและนิ่ง  แต่การที่บัฟเฟตต์นิ่งไม่มีอาการกังวล ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เห็นความวุ่นวายที่กำลังจะมาถึง เขากล่าวถึงสภาวะปัจจุบันและแนวโน้มในหลาย ๆ เรื่อง ทั้งอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์อาจต้องต่อสู้กับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงขึ้น ธนาคารอาจเผชิญแรงกดดันมากขึ้น ส่วนเศรษฐกิจภาพใหญ่นั้น บัฟเฟตต์ตั้งข้อสังเกตว่า เศรษฐกิจชะลอตัวลง และ Berkshire Hathaway อาจจะมีรายได้ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า  อย่างไรก็ตาม นักลงทุนระดับตำนานเจ้าของฉายา “นักพยากรณ์แห่งโอมาฮา” (The Oracle of Omaha) คนนี้ยังมองโอกาสของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (value investing) ในแง่ดีมากขึ้น  นี่คือสรุปไฮไลต์บางส่วนจากสิ่งที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ กับชาร์ลี มังเกอร์ กล่าวกับนักลงทุนในวันนั้น “เงินสดไม่ใช่ขยะ” อย่างที่หลายคนคิด บัฟเฟตต์เฝ้าดูการหมุนเวียนของสกุลเงิน ซึ่งเขาเรียกมันว่าเป็น “หนึ่งในตัวเลขที่น่าสนใจที่สุด” และเขาไม่เห็นด้วยกับความคิดที่ว่า “เงินสดเป็นขยะ” บัฟเฟตต์ชี้ให้มองว่า งบดุลของธนาคารกลางสหรัฐเพิ่มขึ้นจาก 800,000 ล้านดอลลาร์ เป็น 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ และส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบธนบัตร 100 ดอลลาร์ ซึ่งแพร่กระจายอยู่ในระบบเศรษฐกิจ นั่นเป็นเครื่องยืนยันว่าเงินสดไม่ใช่ขยะ  “ใครก็ตามที่คิดว่าเงินสดเป็นขยะ ควรดูงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐ”  “มันเป็นเรื่องน่าตะลึงที่ธนบัตรมูลค่า 100 ดอลลาร์แพร่กระจายออกไป … เชื่อผมเถอะว่าเงินสดไม่ใช่ขยะ”REUTERS/ Rachel Mummeyไม่มีสกุลเงินไหนจะโค่น “ดอลลาร์สหรัฐ” ลงจากการเป็นเป็นสกุลเงินสำรองของโลก บัฟเฟตต์กล่าวว่า ไม่น่าเป็นไปได้ที่เงินดอลลาร์สหรัฐจะถูกปลดลงจากบัลลังก์การเป็นสกุลเงินสำรองของโลกในเวลาอันใกล้นี้ แม้ว่าจะมีความกังวลเกี่ยวกับ “เพดานหนี้สาธารณะ” ที่อาจส่งผลต่อสถานะนี้ก็ตาม  “เราเป็นสกุลเงินสำรอง (ของโลก) ผมไม่เห็นตัวเลือกอื่นว่าจะมีสกุลเงินอื่นใดมาเป็นสกุลเงินสำรองแทนที่ได้” บัฟเฟตต์กล่าวว่า ไม่มีใครเข้าใจสถานการณ์หนี้สาธารณะดีเหมือนเจอโรม พาวเวลล์ (Jerome Powell) แต่เขาไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่รับผิดชอบนโยบายการคลัง  บัฟเฟตต์กล่าวอีกว่า เป็นการยากที่จะเตรียมพร้อมสำหรับการขยายเพดานหนี้และผลกระทบที่จะเกิดต่อสกุลเงินดอลลาร์สหรฐ เนื่องจากเรื่องนี้เป็นการตัดสินใจทางการเมือง  ด้านคุณปู่ชาลี มังเกอร์ เปรียบเทียบการจัดการหนี้สาธารณะของสหรัฐอเมริกากับญี่ปุ่นว่าญี่ปุ่นจัดการหนี้สาธารณะได้ดี อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่า ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมที่แตกต่างจากสหรัฐ และสกุลเงินของญี่ปุ่นก็ไม่ใช่สกุลเงินที่ใช้เป็นเงินสำรองของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก “ผมชื่นชมญี่ปุ่นมาก … แต่ผมไม่คิดว่าเราควรพยายามเลียนแบบ” มังเกอร์ชี้ให้เห็นถึงความสามารถในการชำระหนี้ภายในประเทศส่วนใหญ่ของญี่ปุ่น ในขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นถึงภาวะชะงักงันของเศรษฐกิจ “ในญี่ปุ่น ทุกคนต้องอดทนและรับมือให้ได้ แต่ในอเมริกา พวกเราพร่ำบ่น [รัฐบาล]” มังเกอร์กล่าวเสริมวอร์เรน บัฟเฟตต์ และชาร์ลี มังเกอร์/ ภาพจากวิดีโอ CNBC Apple เป็นธุรกิจที่ดีที่สุดที่ Berkshire Hathaway ถือหุ้นอยู่ บัฟเฟตต์พูดถึง Apple ซึ่ง Berkshire Hathaway ถือหุ้นอยู่เกือบ ๆ 6% ว่า Apple เป็นธุรกิจที่แตกต่าง และเป็นธุรกิจที่ดีที่สุดในบรรดาธุรกิจที่ Berkshire Hathaway ถือหุ้นอยู่  “หลักเกณฑ์ของเราสำหรับ Apple นั้นแตกต่างจากธุรกิจอื่นที่เราเป็นเจ้าของ – บังเอิญว่ามันเป็นธุรกิจที่ดีกว่าทุกธุรกิจอื่น ๆ ที่เราเป็นเจ้าของ” บัฟเฟตต์กล่าว  บัฟเฟตต์กล่าวว่า Apple อยู่ในโพสิชั่นที่ผู้บริโภคยอมจ่ายเงินประมาณ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐเพื่อซื้อโทรศัพท์มือถือ iPhone และคนกลุ่มเดียวกันนี้ยอมจ่ายเงิน 35,000 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับการซื้อรถคันที่สอง และถ้าพวกเขาต้องเลือกระหว่างเลิกใช้รถคันที่สองหรือเลิกใช้ iPhone พวกเขาก็จะทิ้งรถคันที่สอง ซึ่ง Berkshire Hathaway ไม่มีโปรดักต์อื่นที่มีคุณสมบัติแบบนี้  และเขากล่าวเพิ่มเติมว่า รู้สึกเสียใจที่ตัดสินใจผิดพลาดขายหุ้น Apple ออกไปบางส่วนเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ธนาคารอาจจะยังมีปัญหาต่อไป แต่ผู้ฝากเงินไม่ต้องกังวล บัฟเฟตต์คาดว่าปัญหาในภาคการธนาคารจะยังดำเนินต่อไป แต่เขากล่าวว่าผู้ฝากเงินไม่ควรกังวลเกี่ยวกับเงินฝากในธนาคาร  บัฟเฟตต์ฟาดแรงต่อกรณี First Republic Bank ซึ่งถูกซื้อกิจการโดย First Republic Bank เมื่อเร็ว ๆ นี้ หลังจากที่ถูกหน่วยงานกำกับดูแลเข้าพิทักษ์ทรัพย์ นับเป็นการล้มของธนาคารครั้งใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา นับตั้งแต่ปี 2008 และเป็นครั้งที่ 3 ในปีนี้ หลังจากการล่มสลายของ Silicon Valley Bank และ Signature BankREUTERS/ Rachel Mummeyเขากล่าวว่า ควรมีการลงโทษกรรมการและผู้บริหารธนาคารที่ต้องรับผิดชอบต่อการบริหารจัดการที่ผิดพลาด อย่างไรก็ตาม เขาตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ฝากเงินสามารถมั่นใจได้ว่าเงินฝากในธนาคารนั้นปลอดภัยเพราะมีการรับประกันจากรัฐ  และบัฟเฟตต์ยังกล่าวตำหนิหน่วยงานกำกับดูแลของรัฐว่า การชี้แจงแถลงข้อเท็จจริงต่อสาธารณชนในเรื่องนี้ “แย่มาก” เขาบอกว่าไม่ควรมีคนจำนวนมากมายขนาดนี้ที่เข้าใจผิดว่า บรรษัทรับประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) และรัฐบาลสหรัฐไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่ธนาคารล้ม และการแห่ถอนเงินของผู้ฝากเงิน บางทีการกระจายความเสี่ยงก็นำมาซึ่งความเสี่ยงเสียเอง ชาร์ลี มังเกอร์ (Charlie Munger) กล่าวว่า การกระจายการลงทุนกลายเป็นกฎมาตรฐานในการลงทุนเพื่อช่วยลดความเสี่ยงและสร้างพอร์ตโฟลิโอที่ยืดหยุ่นมากขึ้น แต่ก็มีบางอย่างที่ผู้ศึกษาด้านการลงทุนไม่ได้ให้ความสนใจมากพอ  เขาบอกว่า บางทีการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนก็เป็น “deworsification” คือ เป็นการกระจายความเสี่ยงที่ไม่ดีแล้วนำมาซึ่งความเสี่ยงเสียเอง “สิ่งไร้สาระอย่างหนึ่งที่สอนกันในการศึกษาในมหาวิทยาลัยสมัยใหม่คือการลงทุนในหุ้นสามัญนั้นจำเป็นต้องมีการกระจายความเสี่ยงให้มากเข้าไว้”   “นั่นเป็นความคิดที่บ้า” มังเกอร์บอกว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีโอกาสที่ดีมากมายที่สามารถระบุเจาะจงได้ง่าย ๆREUTERS/ Rachel Mummeyโอกาสในการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (VI) มาจากการที่คนอื่นทำเรื่องโง่ ๆ บัฟเฟตต์กล่าวว่า นักลงทุนเน้นโดยนักลงทุนเน้นคุณค่า จะมีโอกาสทำเงินเมื่อคนอื่นตัดสินใจผิดพลาด  “สิ่งที่เปิดโอกาสให้คุณคือการที่คนอื่นทำเรื่องโง่ ๆ” เขากล่าว “ใน 58 ปีที่เราบริหาร Berkshire มา ผมบอกได้เลยว่า มีคนที่ทำเรื่องโง่ ๆ เพิ่มขึ้นมาก และพวกเขาก็ทำเรื่องโง่ ๆ ที่เป็นเรื่องใหญ่ด้วย” บัฟเฟตต์กล่าว  ถึงอย่างนั้น มังเกอร์กล่าวว่า นักลงทุนเน้นคุณค่าควรสบายใจที่จะทำกำไรได้น้อยลง เพราะในยุคนี้มีการแข่งขันมากขึ้น แต่เขาก็กล่าวว่ายังมีโอกาสอีกมากอยู่ในมือของคนฉลาดที่พยายามชิงไหวชิงพริบกัน  แต่บัฟเฟตต์เสริมว่า คนพวกนั้นพยายามชิงไหวชิงพริบกันในเวทีที่นักลงทุนไม่จำเป็นต้องกระโดดเข้าไป เขากล่าวอีกว่า โลกกำลังให้ความสนใจกับเรื่องระยะสั้นมากเกินไป “ผมอยากเกิดในยุคนี้ และออกไปลงทุนด้วยเงินที่ไม่มากเกินไป และหวังว่าจะเปลี่ยนมันเป็นเงินจำนวนมากได้ และชาร์ลีก็เช่นกัน” บัฟเฟฟต์กล่าว ซึ่งตีความได้ว่าเขาอยากเริ่มลงทุนในยุคปัจจุบันที่การแข่งขันสูงกว่าในยุคที่เขาเริ่มต้น  แต่มังเกอร์บอกว่า ไม่ชอบ “ความเป็นไปได้” ที่ความมั่งคั่งของตัวเองจะหดเล็กล การลงทุนในญี่ปุ่นยังไม่สิ้นสุด บัฟเฟตต์ลงทุนในบริษัทญี่ปุ่นครั้งแรกเมื่อเดือนสิงหาคม 2563 ในช่วงครบรอบวันเกิดอายุ 90 ปีของเขา ซึ่งทั้ง 5 บริษัทเป็นบริษัทเทรดดิ้ง (ธุรกิจซื้อมาขายไป) ชั้นนำของญี่ปุ่น ได้แก่ Mitsubishi Corp. (มิตซูบิชิ), Mitsui (มิตซุย), Itochu Corp. (อิโตชู), Marubeni (เมรุเบนิ) และ Sumitomo (ซูมิโตโม)  เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา บัฟเฟตต์บอกว่าเขาเพิ่มการลงทุนในบริษัทเหล่านี้ ทำให้มีสัดส่วนการถือหุ้นแต่ละบริษัท 7.4% และเขาได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่นเพื่อแสดงการสนับสนุนธุรกิจที่เขาถือหุ้นอยู่ด้วย  “เราจะมองหาโอกาสต่อไป” บัฟเฟตต์กล่าวกับผู้ถือหุ้นในบริษัทของเขา  นอกจากนั้น Berkshire Hathaway ยังมีการออกตราสารหนี้เสนอขายในญี่ปุ่นด้วย ซึ่งตอนนี้ Berkshire Hathaway เป็นผู้กู้จากต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นREUTERS/ Rachel Mummey“ปัญญาประดิษฐ์” ไม่สู้ “ปัญญามนุษย์” ชาร์ลี มังเกอร์ แสดงความกังขาเกี่ยวกับอนาคตของปัญญาประดิษฐ์ แม้ขาจะยอมรับว่ามันจะเปลี่ยนโฉมหน้าของหลาย ๆ อุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว “เราจะได้เห็นโลกนี้มีหุ่นยนต์มากขึ้น” มังเกอร์กล่าว “โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยเชื่อในโฆษณาที่เกินจริงบางอย่างในศักยภาพของ AI ผมคิดว่าปัญญาแบบเดิม ๆ ก็ทำงานได้ดีทีเดียว”  ด้านวอร์เรน บัฟเฟตต์ แชร์มุมมองว่า แม้ว่าตัวเขาเองคาดหวังว่า AI จะ “เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งในโลก” แต่เขาไม่คิดว่ามันจะดีกว่าสติปัญญาของมนุษย์ ไม่จำเป็นต้องรู้เทคนิคของธุรกิจที่ลงทุน หากเข้าใจปัจจัยแวดล้อม และไม่หยุดเรียนรู้ บัฟเฟตต์กล่าววว่า ตัวเขาเองอาจจะไม่สามารถเรียนรู้เรื่องทางเทคนิคของธุรกิจได้ แต่มันก็ไม่จำเป็น ขอเพียงเข้าจัยปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และเรียนรู้ต่อไป  เขาตัวอย่างการลงทุนใน Apple ว่า “ผมไม่เข้าใจโทรศัพท์เลย แต่ผมเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภค”  บัฟเฟตต์กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าธุรกิจที่ดีสามารถกลายเป็นธุรกิจที่ไม่ดีได้อย่างไร หรือมีอะไรที่ดึงดูดความสนใจได้หรือไม่  เขากล่าวว่าทีมของเขาไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้ แต่สามารถกำหนดและตัดสินสิ่งต่าง ๆ ได้ เช่น ราคาควรเป็นอย่างไร และอะไรเป็นภัยคุกคามต่อรูปแบบการดำเนินธุรกิจ  “เราไม่ได้ฉลาดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป แต่เรา … ค่อย ๆ ฉลาดขึ้นทีละนิด ตามวันเวลาที่ล่วงเลยไป” บัฟเฟตต์กล่าว แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net /world-news/news-1285516

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

เปิดรายชื่อ 20 ประเทศ เงินเดือนเฉลี่ยสูงสุดในโลก ปี 2023

30/04/2024

CareerAddict หนึ่งในแหล่งข้อมูลด้านอาชีพออนไลน์ชั้นนำของโลกในปัจจุบัน โดยให้คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญแก่ผู้อ่าน 14 ล้านคนต่อปี ได้เผยแพร่ข้อมูล 20 ประเทศที่มีเงินเดือนเฉลี่ยสูงสุด ปี 2023 ตามข้อมูลล่าสุดที่รวบรวมโดยธนาคารโลก (World Bank) ดังนี้ (อัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้คำนวณในบทความนี้ คือ 33.74 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ) อันดับ 1 ลักเซมเบิร์ก เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 191,101 บาท ลักเซมเบิร์ก ประเทศเล็ก ๆ เป็นประเทศที่มีรายได้ต่อหัวสูงที่สุด โดยมีแพทย์ ทันตแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล และผู้บริหารระดับ C ที่ล้วนมีเงินเดือนหกหลัก โดยเฉลี่ยแล้วคนที่ทำงานในลักเซมเบิร์กมีรายได้ระหว่าง 94,371-297,856 ต่อเดือน ในขณะเดียวกัน ลักเซมเบิร์กยังเป็นประเทศที่ติดอันดับเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก เนื่องจากมีมาตรฐานการครองชีพที่สูง อันดับ 2 สวิตเซอร์แลนด์ เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 179,334 บาท สวิตเซอร์แลนด์ขึ้นชื่อเรื่องทิวทัศน์ เทือกเขาแอลป์ที่งดงาม ช็อกโกแลต ชีสแสนอร่อย และนาฬิกาหรู สวิตเซอร์แลนด์ยังมีชื่อเสียงในด้านเงินเดือนที่สูงอีกด้วย แต่ขณะเดียวกันก็มีชื่อเสียงในด้านค่าครองชีพที่สูงเช่นกัน แท้จริงแล้วค่าใช้จ่ายรายเดือนของคนโสดเฉลี่ยอยู่ที่ 1,451.90 ฟรังก์สวิส (52,617 บาท) ในขณะที่อพาร์ตเมนต์แบบ 1 ห้องนอนนอกใจกลางเมืองจะมีค่าเช่าประมาณ 1,257.71 ฟรังก์สวิส (45,561 บาท) ต่อเดือน อันดับ 3 นอร์เวย์ เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 150,646 บาท นอร์เวย์เป็นประเทศที่มีเงินเดือนเฉลี่ยสูงที่สุดในแถบสแกนดิเนเวีย และมีรายได้ต่อหัวสูงเป็นอันดับ 4 ของโลก (จากข้อมูลของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ) นอกจากนี้ ยังเป็นหนึ่งในประเทศที่ดีที่สุดสำหรับการอยู่อาศัย ตามรายงานการพัฒนามนุษย์ขององค์การสหประชาชาติ ในขณะเดียวกัน พนักงานที่ทำงานทางไกลควรพิจารณาที่จะย้ายมาทำงานที่นี่ เนื่องจากประเทศนี้มีโครงการวีซ่าทำงานทางไกลที่ดี อันดับ 4 สหรัฐอเมริกา เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 149,943 บาท ผู้คนจากทั่วโลกยังคงย้ายไปที่สหรัฐอเมริกาด้วยความหวังว่าจะก้าวหน้าในอาชีพการงาน ด้วยบริษัทชั้นนำของโลกหลายแห่งที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นี่ รวมถึง Google และ Amazon จึงมีความต้องการผู้หางานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเทคโนโลยี การดูแลสุขภาพ และการเงิน สำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเพิ่มงาน 8.3 ล้านตำแหน่งภายในปี 2574 อันดับ 5 เดนมาร์ก เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 148,079 บาท ในฐานะบ้านเกิดของเลโก้ ลิตเติล เมอร์เมด และฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซ็น เดนมาร์กมีหลายสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเดนมาร์กเป็น 1 ใน 5 อันดับแรกของประเทศที่มีรายได้ต่อหัวสูงที่สุดในโลก นอกจากนี้ ยังมีตลาดงานที่แข็งแรงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยมีความต้องการแรงงานในภาคธุรกิจ วิทยาศาสตร์ อาหารและเครื่องดื่ม กฎหมาย และการก่อสร้างสูง อันดับ 6 ไอซ์แลนด์ เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 124,701 บาท ไอซ์แลนด์เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยม ไม่เพียงแต่ในแง่ของเงินเดือนเท่านั้น แต่ยังมีอัตราการเกิดอาชญากรรมต่ำอีกด้วย ดัชนีสันติภาพสากลโลก (PDF) ปี 2565 จัดอันดับให้ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลก ค่าจ้างในไอซ์แลนด์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยสถิติของไอซ์แลนด์รายงานว่าเพิ่มขึ้น 5.2% ระหว่างเดือนมกราคมถึงธันวาคม 2565 อันดับ 7 สวีเดน เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 125,265 บาท ไม่ใช่เพียงเงินเดือนสูง แต่สวีเดนมีหน่วยงานภาครัฐขนาดใหญ่ โดยทั่วไปงานภาคเอกชนจะได้รับเงินเดือนมากกว่าภาครัฐ แต่ที่สวีเดนเงินเดือนเฉลี่ยต่อเดือนในภาคเอกชนคือ SEK 36,000 (125,479 บาท) และภาครัฐ SEK 36,000 (118,866 บาท) งานที่ได้ค่าตอบแทนดีที่สุดบางงานในสวีเดน ได้แก่ ทนายความ นักบิน และศัลยแพทย์ อันดับ 8 เนเธอร์แลนด์ เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 118,922 บาท นอกจากกังหันลมและทุ่งดอกทิวลิปแล้ว เนเธอร์แลนด์ยังขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่น่าทำงานที่สุดแห่งหนึ่ง โดยมีตลาดงานที่ดีและอัตราการว่างงานต่ำ ในความเป็นจริง มีตำแหน่งงานว่างมากกว่าผู้หางานที่สามารถจ้างงานได้ทันที ณ สิ้นปี 2564 ตามข้อมูลของ EURES ระบุว่า เนเธอร์แลนด์มีความต้องการอย่างมากในด้านการศึกษา อีคอมเมิร์ซ และผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพ อันดับ 9 สิงคโปร์ เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 118,228 บาท ในฐานะประเทศในเอเชียเพียงประเทศเดียวที่ติด 10 อันดับแรก ค่าจ้างรายเดือนเฉลี่ยของสิงคโปร์ต่อพนักงานประจำอยู่ที่ 5,847 ดอลลาร์สิงคโปร์ (149,974 บาท) แม้ว่าประเทศนี้จะมีอัตราค่าครองชีพที่ค่อนข้างสูง แต่ก็มีอัตราการว่างงานที่ต่ำที่สุดแห่งหนึ่งในโลก (2.1%) และเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในหมู่ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี การเงิน วิศวกรรม และการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศัลยแพทย์ได้รับเงินเดือนสูงสุดในสิงคโปร์ เฉลี่ย 12,339 ดอลลาร์สิงคโปร์ (316,327 บาท) ต่อเดือน อันดับ 10 ไอร์แลนด์ เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 116,591 บาท แม้ว่าไอร์แลนด์จะเป็นหนึ่งในประเทศที่มีวันหยุดนักขัตฤกษ์น้อยที่สุด แต่พนักงานจะได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ มากมาย รวมทั้งการลาหยุดตามกฎหมายโดยได้รับค่าจ้าง 4 สัปดาห์ การลาเพื่อผู้ดูแล 104 สัปดาห์ และลาคลอดบุตรสูงสุด 26 สัปดาห์ งานที่มีรายได้สูงในไอร์แลนด์ ได้แก่ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาซอฟต์แวร์ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย และผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ อันดับ 11 ออสเตรเลีย เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 113,032 บาท ออสเตรเลียมีชื่อเสียงในด้านธรรมชาติ ชายหาดที่สวยงาม และการส่งออกดนตรี เช่น Kylie Minogue และ Sia ออสเตรเลียมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและมั่นคงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งหมายความว่ามีโอกาสในการทำงานมากมายในออสเตรเลีย ด้วยเงินเดือนเฉลี่ย 35.04 เหรียญออสเตรเลีย (841 บาท) ต่อชั่วโมง อันดับ 12 ฟินแลนด์ เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 112,371 บาท ฟินแลนด์ยังเป็นที่รู้จักกันในนามประเทศที่มีทะเลสาบนับพัน ฟินแลนด์เป็นหนึ่งในตลาดงานที่แข็งแรงที่สุดในโลก และมีภาคบริการที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ งานในโรงแรมและการจัดเลี้ยง การพาณิชย์ การขนส่งและโลจิสติกส์ รวมถึงการดูแลสุขภาพเป็นที่ต้องการสูงเป็นพิเศษ โดยมีเงินเดือนเฉลี่ยอยู่ที่ 43,761 ถึง 768,394 บาทต่อเดือน อันดับ 13 กาตาร์ เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 111,013 บาท ด้วยอัตราการว่างงานต่ำที่สุดในโลก (0.3%) ตามข้อมูลของ World Bank กาตาร์มีการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีบริษัทจำนวนมากย้ายสำนักงานใหญ่ไปยังประเทศในตะวันออกกลาง ซึ่งส่งผลให้มีความต้องการแรงงานสูงในเกือบทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณควรพิจารณาย้ายไปกาตาร์หากคุณทำงานในภาคการดูแลสุขภาพ การก่อสร้าง หรือน้ำมันและก๊าซ อันดับ 14 ออสเตรีย เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 109,219 บาท พระราชวังที่หรูหราในออสเตรียเป็นที่รู้จักดีจากคนทั่วโลก และเป็นประเทศผู้ผลิตคีตกวีเพลงคลาสสิกที่โด่งดังที่สุดในโลก เช่น Mozart และ Haydn ออสเตรียเป็นประเทศที่ต้องการคนทำงานเกี่ยวกับเทคโนโลยี ธุรกิจ การเงิน การดูแลสุขภาพ และวิทยาศาสตร์ โดยเฉลี่ยแล้วเงินเดือนอยู่ที่ 2,000 ยูโร ถึง 6,500 ยูโรขึ้นไป (73,351 ถึง 238,406 บาทขึ้นไป) ต่อเดือน อันดับ 15 เยอรมนี เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 108,041 บาท ด้วยเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป เงินเดือนสุทธิรายเดือนเฉลี่ยของประเทศที่ €2,636 (96,453 บาท) การทำงานในเยอรมนีสร้างรายได้มากกว่าค่าเฉลี่ยของยุโรป ในขณะเดียวกัน เงินเดือนสูงสุดในประเทศมักจะจ่ายให้กับแพทย์ ทนายความ ผู้บริหารธุรกิจ และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี อันดับ 16 อิสราเอล เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 105,564 บาท หลังจากอัตราค่าจ้างตกต่ำในช่วงกลางปี 2565 ในปี 2566 เงินเดือนก็กลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งในอิสราเอล โดยเพิ่มขึ้น 4.7% ระหว่างเดือนกันยายน 2564 ถึงกันยายน 2565 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีได้ค่าจ้างที่มากขึ้น (9.9%) ในขณะที่มีงานเพิ่มขึ้น 10% ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ทำให้อิสราเอลเป็นจุดหมายปลายทางที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักพัฒนา นักวิเคราะห์คอมพิวเตอร์ และนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล อันดับ 17 เบลเยียม เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 102,651 บาท เบลเยียมมีชื่อเสียงระดับโลกในด้านการผลิตเบียร์ ช็อกโกแลต วิศวกรรม เครื่องมือวิทยาศาสตร์ สิ่งทอ และยานยนต์ เบลเยียมมีมาตรฐานการครองชีพและการศึกษาสูง ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่อยากทำงานต่างประเทศ ในขณะเดียวกัน เงินเดือนเฉลี่ยต่อเดือนมักจะสูงที่สุดในเมืองหลวงของประเทศอย่างบรัสเซลส์ ที่ 4,381 ยูโร (160,703 บาท) อันดับ 18 สหราชอาณาจักร เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 101,917 บาท แม้ว่าการออกจาก EU ของสหราชอาณาจักรในปี 2563 ทำให้อัตราการเติบโตของอัตราค่าจ้างลดลงทั่วประเทศ แต่อัตราค่าจ้างก็ได้เพิ่มขึ้นสูงถึง 11% สำหรับตำแหน่งงานว่างที่ในภาคส่วนที่มีอัตราเงินเดือนต่ำ เช่น การก่อสร้าง การต้อนรับ และการทำความสะอาดระหว่างปี 2562 ถึง 2564 และแม้จะมีค่าครองชีพที่เหมาะสม แต่วิกฤตการณ์ทางการเงินในปัจจุบันของสหราชอาณาจักรทำให้การแข่งขันแย่งชิงตำแหน่งงานนั้นรุนแรงกว่าปกติมาก อันดับ 19 สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 99,932 บาท ในฐานะศูนย์กลางธุรกิจของตะวันออกกลาง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับมืออาชีพในอุตสาหกรรมการให้คำปรึกษา บริการทางการเงิน การก่อสร้างและวิศวกรรม ในขณะเดียวกัน พนักงานประจำที่ทำงานครบ 1 ปี ไม่ว่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมใด มีสิทธิลาพักผ่อนประจำปี 30 วันโดยได้รับค่าจ้าง แต่สิ่งที่ดีที่สุดเกี่ยวกับการทำงานในยูเออีคือ ไม่เสียภาษีเงินได้ อันดับ 20 แคนาดา เงินเดือนเฉลี่ย (ประมาณ) 98,479 บาท ในฐานะแหล่งกำเนิดของน้ำเชื่อมเมเปิล ฮอกกี้น้ำแข็งร่วมสมัย และผู้ชนะรางวัลแกรมมี่ 5 สมัย คือ เซลีน ดิออน แคนาดามีเงินเดือนเฉลี่ยสูงสุดที่อันดับ 20 การทำงานในแคนาดาให้มากกว่ารายได้ที่สบาย แม้ว่ารวมถึงระบบการรักษาพยาบาลชั้นนำ การลาที่ได้รับค่าจ้าง และวันหยุดที่รวมถึงการลาเพื่อพ่อแม่และมารดา แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.n et/csr-hr/news-1282488

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

กองทุนประกันฯ ชงแผนล้างหนี้ธุรกิจเจ๊งเคลมโควิด

30/04/2024

กองทุนประกันวินาศภัย ชงแผนล้างหนี้บริษัทประกันเจ๊งโควิดถูกเพิกถอนใบอนุญาต เดินหน้าเสนอคลังกู้เงิน 20,000 ล้านบาท พร้อมออกบอนด์ขายบริษัทประกันอีก 30,000 ล้าน จับตาแผนฟื้นฟู “สินมั่นคงฯ” หวั่นกองทุนแบกภาระเพิ่มนายชนะพล มหาวงษ์ ผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัย (กปว.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ความคืบหน้าการจัดหาเงินกู้ของกองทุนประกันวินาศภัย เพื่อนำเงินมาชำระให้แก่เจ้าหนี้บริษัทประกันวินาศภัยที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตจากผลกระทบเคลมประกันภัยโควิด-19ซึ่งปัจจุบันมีมูลหนี้อยู่กว่า 50,000 ล้านบาทนั้น ภายในเดือน พ.ค. 2566 นี้ คณะทำงานของกองทุนจะมีการหารือร่วมกันเกี่ยวกับเรื่องแผนจัดหาเงินกู้ จากนั้นในเดือน มิ.ย. คณะทำงานจะยกทีมนำแผนจัดหาเงินกู้ไปประชุมร่วมกับสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.)และในเดือน ก.ค. จะมีการประชุมอนุกรรมการจัดหาเงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่องของกองทุน จากนั้นในเดือน ส.ค. กองทุนจะเสนอแผนจัดหาเงินกู้ต่อ สบน. เพื่อให้ สบน.ทำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยตั้งกรอบวงเงินการกู้ไว้ประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อเตรียมชำระหนี้ ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไปส่วนมูลหนี้ที่เหลืออีก 20,000-30,000 ล้านบาท กองทุนมีแนวคิดจะออกตราสารหนี้ (บอนด์) เพื่อให้บริษัทประกันภัยมาช่วยซื้อ โดยสามารถนำเอาตราสารหนี้ไปดำรงเป็นเงินกองทุนของบริษัทได้ ซึ่งตามกฎระเบียบเปิดช่องให้กองทุน สามารถดำเนินการได้ แต่กระบวนการอาจไม่ง่าย เพราะมีหลายหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งมีเวลา 2-3 ปีหลังกู้เงินแล้ว จะดำเนินการตรงส่วนนี้ต่อเนื่องได้ทั้งนี้ มีปัจจัยที่อาจทำให้เกิดความผันแปร คือ ความไม่แน่ใจว่าหลังการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่แล้ว รัฐบาลจะเห็นความสำคัญและเข้ามาแทรกแซงแค่ไหน และกรณีบริษัทสินมั่นคงประกันภัย ที่มีโอกาสจะถูกเพิกถอนใบอนุญาตในอนาคต แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไร อย่างไรก็ดี หากเกิดขึ้น จะทำให้มูลหนี้ของกองทุนเพิ่มขึ้นอีกกว่า 40,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว มีเจ้าหนี้เพิ่มอีก 4-5 แสนราย“ตอนนี้รัฐบาลไม่มีงบฯมาสนับสนุน ดังนั้นการช่วยเหลือตัวเองของกองทุน คือ มีเงินสมทบเข้ากองทุนปีละ 600-700 ล้านบาท ทำให้การกู้เงินคงทำไม่ได้มาก ตามความสามารถในการชำระ ดังนั้นจะมีการกู้เงินบางส่วน และออกตราสารหนี้บางส่วน แต่ถ้าบริษัทสินมั่นคงประกันภัยล้มอีก ยังไม่รู้ว่ารัฐบาลจะเอายังไง อย่างไรก็ดี กองทุนเองก็พยายามจะให้มีเม็ดเงินมาชำระหนี้ในปีต่อๆ ไป”ชนะพล มหาวงษ์ผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัยกล่าวอีกว่า สำหรับในช่วง 4 เดือนแรกปี 2566 กองทุนได้อนุมัติจ่ายหนี้ไปแล้ว 2,000 ล้านบาท เหลือเงินสภาพคล่องอยู่ประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท พยายามพยุงให้ถึงสิ้นปีนี้ โดยขณะนี้กองทุนมีศักยภาพทยอยจ่ายหนี้ให้กับเจ้าหนี้ได้ประมาณ 400-500 ล้านบาทต่อเดือน หรือจำนวนเจ้าหนี้ราว 6,000-7,000 รายต่อเดือน ซึ่งจะใช้เงินอยู่ประมาณ 5,000 ล้านบาทต่อปี จึงอาจทยอยกู้ปีละ 5,000 ล้านบาท เพราะอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างสูง เนื่องจากรัฐบาลไม่ค้ำประกันนอกจากนี้ ต้องรอการพิจารณาของคณะกรรมการ คปภ. ในการอนุมัติเพิ่มเงินสมทบเข้ากองทุนเต็มเพดานที่ 0.5% จากเดิม 0.25% จากเบี้ยประกันที่บริษัทได้รับ ซึ่งเรื่องนี้ได้เสนอไปตั้งแต่ปลายปี 2565 แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีการอนุมัติ ซึ่งหากอนุมัติปรับเพิ่มเงินสมทบเข้ากองทุนจะขยับมาอยู่ที่ปีละ 1,300-1,400 ล้านบาทนายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กรณีที่บอร์ด คปภ.ยังไม่อนุมัติปรับเพิ่มเงินสมทบให้กับกองทุนประกันวินาศภัยอีก 0.25% เป็นเต็มเพดาน 0.5% นั้น เนื่องจากขณะนี้สำนักงาน คปภ. มีข้อเสนอจะเข้าไปช่วย โดยการให้เงินกู้กับกองทุน ซึ่งกำลังพิจารณาเงื่อนไขต่าง ๆ อยู่นอกจากนี้ ยังกำลังพิจารณาลดเงินสมทบเข้าบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด ให้ประมาณ 2 ปี ซึ่งยาวขึ้นจากข้อเสนอของภาคธุรกิจที่ให้ลด 1 ปี เพื่อให้ภาคธุรกิจนำส่วนลดตรงนี้ นำส่งเป็นเงินสมทบให้กองทุนได้ อย่างไรก็ดี ส่วนนี้จะไม่เกิน 0.25% ซึ่งยอมรับว่า ยังไม่เพียงพอ ฉะนั้น ในระยะยาวอาจจะต้องแก้พระราชบัญญัติประกันวินาศภัย“ตอนนี้เป็นช่วงรอยต่อการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แต่ก็พยายามสั่งการให้ทำให้เร็วที่สุด” เลขาธิการ คปภ.กล่าวแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1286530

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

กู้รายวัน ส่งดอกโหด”วันละ 4 หมื่น” ถอนตัวไม่ขึ้นกู้มานานนับปี “ลั่นจะสู้ ไม่หนี”

30/04/2024

กู้รายวัน ส่งดอกโหด”วันละ 4 หมื่น” ถอนตัวไม่ขึ้นกู้มานานนับปี “ลั่นจะสู้ ไม่หนี” ชาวเน็ตสงสัยเรื่องจริงหรือคอนเทนต์เมื่อเวลา 13.00 น. น.ส.ปาริชาต กลั้งกลาง อายุ 40 ปี อาชีพรับเหมาก่อสร้าง เธอโพสต์คลิปอุทาหรณ์เตือนภัยคนที่อยากจะเข้ามาในวงการหนี้นอกระบบ หลังเธอไม่มีทางเลือกตัดสินใจกู้เงินรายวัน กู้มาเรื่อย ๆ นานนับปี พีกสุดต้องจ่ายดอกเบี้ยวันละ 40,000 กว่าบาท ถลำลึกถึงขั้นเกือบปลิดชีพตัวเองเพื่อหนีปัญหา โดย น.ส.ปาริชาต เปิดเผยถึงสาเหตุว่าทำไมถึงตัดสินใจกู้เงินนอกระบบว่า จุดเริ่มต้นคือตนเองออกจากงานประจำ เพื่อออกมาช่วยงานสามี นั่นคือ รับเหมาก่อสร้าง ประกอบกับเล่นแชร์ด้วย แต่สุดท้ายบ้านแชร์ล้มเสียไปประมาณ 3 ล้านบาท ทุกอย่างพังหมด แต่ก็ต้องเดินหน้าต่อ จำเป็นต้องมีเงินหมุนเวียนธุรกิจ ต้องมีเงินจ่ายค่าจ้างช่าง ซึ่งตอนนั้นตนเองไม่กล้าจะไปหยิบยืมใคร และไม่สามารถกู้เงินในระบบได้ เนื่องจากติดแบล็คลิสต์ เครดิตบูโร กันทั้งคู่ ทำให้ตนเองตัดสินใจไปกู้เงินรายวันเพื่อเอาใช้หมุนเวียนธุรกิจ โดยไม่ได้บอกใครแม้กระทั่งสามี ไปหาแหล่งเงินกู้จากเฟซบุ๊ก เริ่มกู้ครั้งแรกตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปี 2565 ได้ยอด 20,000 บาท และมีน้องคนค้ำประกันช่วยกู้ให้อีก 20,000 บาท รวมเป็น 40,000 บาท เป็นแบบนี้มาเรื่อย ๆ ตลอด 1 ปี ช่วงไหนที่ไม่มีเงินจ่ายค่าจ้าง ไม่มีเงินจ่ายดอกเบี้ย ก็ไปกู้มาใหม่ โดยไปหาเจ้าอื่น รวมแล้วกว่า 20 เจ้า รวมยอดทั้งหมดประมาณ 8 แสนบาท ถ้าหากว่ากู้ 10,000 ดอกเบี้ย 2,000 บาท 24 วัน แต่ส่วนมากไม่ถึง 24 วัน ประมาณ 14 วันก็ไปขอเขาตัดยอด เอายอดที่ตนเองส่งมาใช้ เขาก็จะนับ 1 ใหม่ และคิดดอกเบี้ยใหม่ ส่วนประเด็นที่มีชาวเน็ตเข้าไปเข้าเมนต์ว่า จ่ายดอกเบี้ยวัน 40,000 บาท เป็นคอนเทนต์นั้น น.ส.ปาริชาต กล่าวว่า เรื่องจริง ไม่ใช่คอนเทนต์แน่นอน มาที่โคราชได้เลย เนื่องจากพอน้องคนที่ช่วยค้ำประกันเริ่มตัน ตนเองจึงไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนอีกคนหนึ่งให้กู้ให้ตนเองอีก จากนั้นตนเองก็เป็นคนส่งยอดทั้งหมดเอง เพราะไม่อยากให้ใครต้องเดือดร้อนเพราะตนเอง ไม่อยากทิ้งภาระไว้ให้คนข้างหลังรับผิดชอบแทนตนเอง ทำไม่ได้จริง ๆส่วนด้านความสัมพันธ์กับสามี นางสาวปาริชาต กล่าวว่า ตอนนี้ไม่ได้คุยกันแล้ว เขาคงถึงที่สุดของเขา ไม่สามารถช่วยเราได้เหมือนกัน เนื่องจากตัวสามีเองก็มีลูกติด ซึ่งตอนนี้ตนเองก็เหมือนไปเป็นภาระของเขา ไปฉุดให้เขาล้มลงไปกับตนเองด้วย ซึ่งตนเองก็เข้าใจ เพราะก็ไม่มีใครรู้ว่าจะต้องเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ และต้องหาอีกเท่าไหร่ถึงจะปิดยอดได้ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้คิดสั้นและสั่งลาพ่อแม่ไว้เรียบร้อย แต่ก็อยากลงคลิปเพื่อเตือนใจทุกคนว่าอย่าเข้ามาในวงการนี้ อย่าถลำลึก หยุดได้หยุด แต่หลังจากลงคลิปไป คุณพ่อก็โทรมาเตือนสติว่าให้คิดดี ๆ ให้นึกถึงตัว ถ้ายังอยู่ก็ยังมีทางออกพร้อมกับบอกหลังจากโพสต์คลิปดังกล่าวไป และได้รับคุยกับคุณพ่อคุณแม่ก็มีกำลังใจมากขึ้น ประกอบกับมีคนมาคอมเมนต์ให้กำลัง ช่วยแนะทางออกให้ แต่ก็มีบางคนที่ซ้ำเติมว่า “ก็ทำตัวเองทั้งนั้น” ซึ่งตนเองเข้าใจทุกมุมมอง และกลับมาคิดกับตัวเองได้ว่า หากว่าตนเองสู้ต่อ จะสามารถช่วยเป็นแนวทางให้กับคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับตนเอง มาหาทางออกมันน่าจะเกิดประโยชน์มากกว่า และสามารถช่วยใครหลาย ๆ ได้ ตอนนี้ตนเองตัดสินใจว่าจะสู้ ไม่หนี และนำคำแนะนำของทุกคนมาปรับใช้ ซึ่งจากที่ตนเองศึกษาดูพบว่ามีหลายคนที่สามารถปิดยอดได้ แต่ร้อยละ 90 หนีทั้งนั้น และไม่คิดว่าจะมีคนกู้นอกระบบเยอะขนาดนี้ เพราะหลังจากที่โพสต์คลิปลงไปมีคนเข้ามาทักปรึกษากันเยอะมาก จนถึงต้องตั้งกลุ่มเอาไว้พูดคุยกัน และเชื่อว่าคนไทยน่าจะติดแบล็กลิตส์ เครดิตบูโรกันเยอะ ไม่เช่นนั้นคงไม่กู้นอกระบบกันเยอะขนาดนี้ ส่วนทางออกของปัญหาตอนนี้ ตนเองใช้วิธีการพูดคุย ซึ่งหลายเจ้าก็คุยได้ ยอมผ่อนปรนให้ และลดให้ทุกเจ้า ทั้งนี้ตนเองยังเข้าไปขอความช่วยเหลือจากศูนย์ดำรงธรรม แต่ก็ไม่ได้รับการช่วยเหลือใด ๆ มีแต่คำตอบบอกให้ทำใจ สุดท้ายนี้ น.ส.ปาริชาต ยังฝากไปถึงคนที่คิดจะก้าวเข้ามาในวงการนี้ด้วยว่า คงบอกว่า “อย่าไปกู้เลย” คงพูดไม่ได้ เพราะบางคนมันเลือกไม่ได้จริง ๆ อย่างตนเองที่ตัดสินใจกู้ก็เพราะไม่มีทางออกจริง ๆ แต่ถ้ากู้ไปแล้วอย่าให้ถึงขั้นถลำลึกจนเอาดอกมาชนดอกแบบนี้ ให้อยู่ในลิมิตที่ตัวเองไหว และถ้าสามารถหยิบยืมเพื่อนฝูงหรือญาติได้ ไปทางนั้นดีกว่า เพราะมันทรมานมาก ทุกวันนี้ไม่มีวันไหนที่นอนหลับสนิทได้สักวันเดียว ******************************************** (ขอขอบตุณเรื่องจาก ข่าวสดออนไลน์) แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับโพสต์ทูเดย์ออนไลน์https://www.tvpoolonline.com/content/2120972?fbclid=IwAR2MEVoN6CCe2tq0eOq1SVVjokI-HGnqFA39GQgIbXhVOjF_r6OKCAUTD6E

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

ระทึก! คปภ. พบเบาะแสอีกอาชีพ"แอม" เคยมีใบอนุญาตตัวแทน ตั้งทีมสอบวุ่น​ ย้ำหากพบฉ้อฉลมีโทษจำคุก​ -​ชวดเงินประกัน

30/04/2024

• พบข้อมูลมีใบอนุญาตฯ แต่หมดอายุไปแล้ว ในขณะที่ประกันที่ “แอม” ขายยังไม่มีการเคลมประกันแต่อย่างใด พร้อมย้ำการเรียกร้องค่าสินไหมโดยไม่สุจริตอาจเข้าข่ายเป็นการฉ้อฉลประกันภัยมีโทษจำคุกและอาจชวดเงินประกันภัยจากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจขออำนาจศาลอาญาอนุมัติการจับกุม “นางสรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์” หรือ “แอม” ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) และจากการสืบสวนขยายผลของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่ามีผู้เสียชีวิตในลักษณะเดียวกันจำนวนหลายราย ซึ่งมีนางแอม เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยทั้งสิ้น ในขณะเดียวกัน ก็ปรากฏข่าวว่านางแอมได้รับใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิตด้วย และมีคำถามตามมาว่าการฆาตกรรมดังกล่าวเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าสินไหมประกันภัยด้วยหรือไม่ นั้นเพื่อให้ได้ความกระจ่างในเรื่องนี้ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) ได้สั่งการให้สายตรวจสอบคนกลางประกันภัย สำนักงาน คปภ. ทำการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับใบอนุญาตของนางแอม พบว่า นางแอมเคยได้รับใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิตจำนวน 4 ใบอนุญาต สังกัด 3 บริษัท ดังนี้ ใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิตของ บริษัท เอไอเอ จำกัด วันออกใบอนุญาต 3 กุมภาพันธ์ 2555 วันใบอนุญาตหมดอายุ 2 กุมภาพันธ์ 2556 ใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิตของ บริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) วันออกใบอนุญาต 13 มีนาคม 2558 วันใบอนุญาตหมดอายุ 12 มีนาคม 2559 ใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิตของ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) วันออกใบอนุญาต 19 กันยายน 2562 วันใบอนุญาตหมดอายุ 18 กันยายน 2563 และวันออกใบอนุญาต 15 กุมภาพันธ์ 2564 วันใบอนุญาตหมดอายุ 14 กุมภาพันธ์ 2565 โดยปัจจุบันใบอนุญาตทั้งหมดได้หมดอายุแล้วนอกจากนี้ยังตรวจสอบพบข้อมูลเพิ่มเติมในเบื้องต้นว่า นางแอมได้ขายกรมธรรม์ประกันชีวิต จำนวน 11 กรมธรรม์ ประกอบด้วย บริษัท เอไอเอ จำกัด จำนวน 8 กรมธรรม์ โดยเสนอขายเมื่อปี 2555 ซึ่งกรมธรรม์ประกันชีวิตดังกล่าว ณ ปัจจุบันได้สิ้นผลบังคับไปแล้ว โดยในระหว่างความคุ้มครองตามสัญญาประกันภัยไม่มีการเคลมกรณีเสียชีวิต บริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จำนวน 1 กรมธรรม์ เป็นกรมธรรม์ประกันชีวิตของบุตรของนางแอมและไม่มีการเคลมกรณีเสียชีวิต และบริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จำนวน 2 กรมธรรม์ ซึ่งไม่มีการเคลมกรณีเสียชีวิตเลขาธิการ คปภ. ฝากย้ำเตือนประชาชนว่ากรณีผู้ใดก็ตามกระทำให้บุคคลเสียชีวิตเพื่อหวังเงินประกันภัย นอกจากจะถูกดำเนินคดีและมีความผิดทางอาญาฐานฆ่าผู้อื่นแล้ว หากมีการพิสูจน์ทราบว่าผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยมีส่วนกระทำความผิดร่วมด้วย บริษัทประกันภัยอาจจะอ้างเหตุไม่จ่ายเงินตามสัญญาประกันภัยได้ และถ้าเข้าข่ายเป็นการฉ้อฉลประกันภัยจะมีความผิดทางอาญาด้วย ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. จะติดตามและตรวจสอบสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและจะประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงขอให้ประชาชนมั่นใจต่อระบบประกันภัย สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงได้ในทุกสถานการณ์ หากไม่ได้รับความเป็นธรรมเรื่องประกันภัย หรือต้องการข้อมูลด้านประกันภัยเพิ่มเติม สอบถามได้ที่สายด่วน คปภ. 1186 หรือ Add Line Official @oicconnectแหล่งที่มาข่าว สยามรัฐออนไลน์https://siamrath.co.th/n/443929

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X