คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ข่าวการเงิน

โพลล์ชี้นักลงทุนมือใหม่ซื้อคริปโตเพราะเพื่อน

30/04/2024

ผลสำรวจพบอิทธิพลจากเพื่อนและความกลัวพลาดโอกาส (FOMO) เป็นเหตุผลที่นักลงทุนมือใหม่ซื้อคริปโตเป็นครั้งแรก ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ เจ้าของสินทรัพย์ดิจิตอลไม่รู้จักคริปโตมากเท่าที่คิดไว้แต่แรกปลายเดือนที่ผ่านมา มูลนิธิเพื่อการศึกษานักลงทุนของหน่วยงานกำกับดูแลอุตสาหกรรมการเงินของอเมริกา (FINRA) ได้เปิดเผยผลสำรวจที่พบว่า 31% ของนักลงทุนหน้าใหม่บอกว่า “คำแนะนำจากเพื่อน” คือเหตุผลหลักในการตัดสินใจกระโจนเข้าตลาดคริปโตในปี 2022 ทั้งนี้ เทียบกับแค่ 8% สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นหรือพันธบัตรครั้งแรก ซึ่งบ่งชี้ว่า องค์ประกอบทางสังคมในการลงทุนในคริปโตไม่ปรากฏอยู่ในการลงทุนในหุ้นหรือพันธบัตรอย่างไรก็ตาม ความสามารถในการ “เริ่มต้นด้วยเงินก้อนเล็กๆ” เป็นเหตุผลสำคัญอันดับ 2 ในการเข้าสู่ตลาดคริปโต (24%) เช่นเดียวกับนักลงทุนในหุ้นและพันธบัตรขณะเดียวกัน ผู้ตอบแบบสำรวจราว 10% ระบุว่า ความกลัวพลาดโอกาส (FOMO) การลงทุนที่มีแนวโน้มสดใสทำให้ตกลงใจซื้อคริปโตครั้งแรก การสำรวจของ FINRA ยังพบว่า นักลงทุนในคริปโต 48% บอกว่า ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับตลาดสินทรัพย์ดิจิตอลจากเพื่อน ครอบครัว หรือเพื่อนร่วมงาน เทียบกับ 35% ของนักลงทุนในหุ้น และตามด้วยการค้นหาในสื่อสังคม (25%) นอกจากนั้นผลสำรวจยังระบุว่า นักลงทุนหน้าใหม่ในตลาดคริปโตมีอายุเฉลี่ย 37 ปี น้อยกว่านักลงทุนในหุ้นที่มีอายุเฉลี่ย 43 ปี และ 28.5% จบการศึกษาระดับปริญญาตรี เทียบกับ 46.3% ของนักลงทุนในหุ้น ที่น่าสนใจคือ การสำรวจพบว่า เจ้าของสินทรัพย์ดิจิตอลไม่รู้จักคริปโตมากเท่าที่คิดไว้แต่แรก นักลงทุนในสินทรัพย์ดิจิตอลได้คะแนนแค่ 26.6% ในชุดคำถาม 5 ข้อเกี่ยวกับการออกคริปโต การแปลงคริปโตเป็นดอลลาร์ การเก็บภาษีจากคริปโต และสาเหตุที่การทำธุรกรรมคริปโตอาจเสี่ยงต่อการถูกฉ้อโกง การสำรวจความคิดเห็นของ FINRA จัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 9-29 กันยายน 2022 จากผู้ร่วมแสดงความคิดเห็น 465 คนที่สุ่มเลือกจากครัวเรือนในอเมริกา ซึ่งมีค่าความคลาดเคลื่อน 6.75% และเป็นส่วนหนึ่งของการสำรวจเพื่อติดตามผลจากรายงานในปี 2020 แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/stockmarket/detail/9660000041416

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

4 เคล็ดลับ ก้าวสู่ 'วัยเกษียณ' อย่างมีคุณภาพทั้งกายและใจ

30/04/2024

เมื่อประเทศไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ และจะมีคนที่เข้าสู่ 'วัยเกษียณ' เพิ่มมากขึ้น สิ่งที่ต้องเผชิญตามมา คือ เรื่องสุขภาพกาย สุขภาพใจ และการเงิน ทำอย่างไรที่จะเตรียมพร้อมทั้งกายและใจ เพื่อให้เกษียณอย่างมีคุณภาพ● หลายคนมองว่าช่วงเวลาหลังเกษียณ เป็นช่วงที่มีความสุข แต่ความจริงแล้ว ผู้ที่เกษียณอายุต้องเผชิญกับรายได้ที่ลดลง รายจ่ายที่ยังเหมือเดิม รวมถึงสุขภาพที่เสื่อมลง ● ผู้เกษียณอายุ จึงต้องเตรียมความพร้อม 4 ด้านทั้ง ด้านสุขภาพ ด้านการปรับตัวทางสังคมและจิตใจ ด้านพฤติกรรมการออม และด้านที่อยู่อาศัย เพื่อเข้าสู่การเป็นผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพ● นอกจากนี้ การปรับตัวปรับใจของผู้สูงวัย เพื่อรับความสุขวัยเกษียณ ยังเป็นแนวทางสำคัญ เพื่อให้สู่วัยเกษียณอย่างมีคุณภาพการเกษียณอายุเปรียบเสมือนกับการก้าวไปสู่อีกขั้นหนึ่งของชีวิตและถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในชีวิตที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้หลังจากนี้ผู้เกษียณมีเวลาว่างมากขึ้น หลายคนอาจจะยังปรับตัวไม่ทันเพราะช่วงชีวิตการทำงานที่ผ่านมาต้องพบปะเพื่อนร่วมงานทุกวัน และมีงานหรือกิจกรรมที่ต้องทำทุกวัน อาจเกิดผลกระทบต่อสุขภาพจิตใจได้ ผู้เกษียณจึงต้องมีการเตรียมตัวหรือการวางแผนวัยเกษียณ ต้องเผชิญอะไรบ้างข้อมูลจากเว็บไซต์ ธนาคารไทยพาณิชย์ เผยถึงสิ่งที่วัยเกษียณต้องเผชิญ ว่า เมื่อถึงวัยเกษียณ อาจคิดว่าเป็นช่วงที่มีความสุข เพราะจะได้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น เดินทางท่องเที่ยวหรือทำในสิ่งที่อยากจะทำ แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มีการเปลี่ยนแปลงที่ต้องเผชิญหลายเรื่อง ซึ่งการเตรียมความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ชีวิตมีความสุขมากที่สุด ในวัยเกษียณมี 3 เรื่องหลักๆ ดังนี้1. รายได้ลดลงเป็นปัญหาที่มีความสำคัญในช่วงวัยเกษียณ เนื่องจากมีข้อจำกัดในการทำงานจากอายุ ทำให้รายได้ลดลง หรือมีโอกาสหารายได้ลดลงเมื่อเทียบกับตอนอยู่ในวัยทำงาน2. ค่าใช้จ่ายยังมีเหมือนเดิมเมื่อเกษียณอายุแล้ว หมายความว่าไม่มีงานทำ เมื่อไม่มีงานทำก็ไม่มีรายได้หลักเหมือนช่วงวัยทำงาน ซึ่งสวนทางกับค่าใช้จ่ายที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าค่าใช้จ่ายจะมีสัดส่วนลดลงเมื่อเกษียณอายุแล้ว แต่ก็ยังเป็นค่าใช้จ่ายประจำและต่อเนื่องไปจนสิ้นอายุขัย3. สุขภาพเสื่อมลงผู้สูงอายุจะมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ไม่ดีเหมือนเดิม จึงเกิดอาการผิดปกติ ทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพไม่แข็งแรงหรือเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคข้อเข่าเสื่อม ซึ่งหากพิจารณาถึงวิธีการดูแลและรักษาโรคเหล่านี้ต้องใช้เงินรักษาค่อนข้างสูง4. เคล็ดลับ เตรียมพร้อมหลังเกษียณกรมอนามัย แนะผู้เกษียณอายุ เตรียมความพร้อม 4 ด้านทั้ง ด้านสุขภาพ ด้านการปรับตัวทางสังคมและจิตใจ ด้านพฤติกรรมการออม และด้านที่อยู่อาศัย เพื่อเข้าสู่การเป็นผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพ ดังนี้1) ด้านสุขภาพอนามัยออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาอย่างสม่ำเสมอ กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ วันละ 6-8 ชั่วโมง หากิจกรรมที่สร้างรายได้ กิจกรรมการกุศลที่เสริมคุณค่าให้ตนเอง กิจกรรมการออกกำลังกายหรือกายบริหารทุกวันอย่างน้อย สัปดาห์ละ 5 วัน ครั้งละ 30 นาที ไม่ควรออกกำลังกายที่หนักเกินไป  โดยเฉพาะข้อเข่าเพราะจะทำให้เข่ารับน้ำหนักมากขึ้นจนเป็นสาเหตุของข้อเข่าเสื่อม ทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมองเพื่อลดการเสื่อมต่าง ๆ ของร่างกาย ตรวจสุขภาพร่างกายอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และฝึกจิตและสมาธิ เพื่อให้รู้จักปล่อยวาง มองโลกในแง่ดี เป็นการพัฒนาทางอารมณ์เพื่อไม่ให้แปรปรวนง่าย   ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย2) ด้านการปรับตัวทางสังคมและจิตใจควรศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ เพื่อให้ทันสมัย พูดคุยกับผู้อื่น  รู้เรื่อง และอาจให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อลูกหลานได้ โดยเฉพาะลูกหลานและญาติควรให้ความสำคัญกับผู้เกษียณอายุ เพราะถือเป็นผู้สูงอายุประจำบ้าน ควรหาเวลาเพื่อพบปะหรือโทรศัพท์พูดคุยก็จะช่วยให้ผู้เกษียณไม่เหงาและเกิดภาวะซึมเศร้า3) ด้านพฤติกรรมการออมต้องออมทรัพย์สำรองไว้ใช้จ่ายหลังเกษียณให้เพียงพอในแต่ละเดือน จะช่วยลดปัญหาและภาวะเครียดจากค่าใช้จ่ายที่ไม่พอใช้ได้ 4) ด้านที่อยู่อาศัยต้องวางแผนว่าจะพักอาศัยอยู่กับใคร หรืออยู่ตามลำพัง โดยควรจัดบ้านและสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม คำนึงถึงความปลอดภัยเพื่อลดอุบัติเหตุและอันตรายต่าง ๆ เช่น ใช้วัสดุกันลื่นในห้องน้ำ มีราวจับ ใช้โถส้วมแบบนั่งราบ จัดบ้านให้โล่งและอากาศถ่ายเทได้สะดวก ดังนั้น ในช่วงวัยก่อนเกษียณจึงควรมีการเตรียมตัวหากลุ่มเพื่อน กลุ่มเครือข่ายต่าง ๆ ไว้ หรืออาจหากลุ่มสมาชิกผู้สูงอายุใกล้ ๆ เพื่อจะได้ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ เสริมคุณค่าให้กับชีวิต และเป็นการส่งเสริมสุขภาพกาย จิตใจ และลดความเสี่ยงภาวะซึมเศร้า เหงาและเครียดได้ปรับตัว ปรับใจ สู่วัยเกษียณ นพ.เก่งพงศ์ ตั้งอรุณสันติ (หมอเก่ง) อายุรแพทย์ประจำโรงพยาบาลผู้สูงอายุ Chersery home แนะนำ 3 เทคนิคในการปรับตัวปรับใจของผู้สูงวัย เพื่อรับความสุขวัยเกษียณ ดังนี้ 1. เปิดใจความเห็นต่างการให้เกียรติผู้อื่น เป็นการให้ความเคารพนับถือ และยอมรับในความสามารถของผู้อื่น ด้วยการใช้กริยาวาจาสุภาพ อ่อนน้อม เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ฝึกเป็นคนที่รับฟังให้มาก ลองเปิดใจเพื่อให้เข้าใจผู้อื่นมากขึ้น และพร้อมแลกเปลี่ยนเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ยอมรับความเปลี่ยนแปลงของสังคมวัฒนธรรมและเทคโนโลยี ความแตกต่างหลากหลายระหว่างช่วงวัย ประสบการณ์และการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้เข้ากับสังคม ครอบครัว และลูกหลาน เพื่อท่านจะสามารถเข้าใจคนสมัยใหม่ได้ดีขึ้น... พูดภาษาเดียวกันกับคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้สร้างบรรยากาศที่อบอุ่น และสร้างเสริมความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว2. ปล่อยวางไม่ยึดติดรับรู้แต่ไม่ยึดติด ไม่ว่าอารมณ์บวกหรืออารมณ์ลบ การรู้จักการปล่อยวางอารมณ์ โดยไม่ยึดมั่น ถือมั่นหรือยึดติดในตนเองกับอดีตที่ผ่านมา หมอคิดเสมอว่ากาลเวลาเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน ความคิดก็จะเปลี่ยนไปตามยุคตามสมัยในปัจจุบันต้องยอมรับว่าเด็กสมัยใหม่นั้นมีความรู้ความสามารถมาก และเรียนรู้ได้ค่อนข้างเร็วการที่ท่านเปิดใจกว้างปล่อยวางไม่ยึดติดกับประสบการณ์เดิม รับฟังสิ่งใหม่ อาจจะช่วยต่อยอด และประสบความสำเร็จได้ หากตัวท่านเองสามารถยอมรับได้ท่านจะมีความสุขขึ้นมาก ๆ เลยหล่ะครับ หากย้อนเวลาได้ ลองนึกถึงท่านเองว่าเมื่อสมัยวันรุ่น หรือวัยเด็ก ท่านอยากให้ผู้สูงวัยในสมัยท่านเปิดใจรับฟังความเห็นจากเราหรือไม่ ซึ่งตัวหมอเองก็คงมีความรู้สึกไม่ต่างกัน 3. เจริญจิต เจริญใจการหมั่นเจริญทางปัญญา ให้เห็นสภาพความเป็นจริงนั้น โดยการใช้เหตุและผลเข้ามาประกอบดังหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือศาสนาอื่น ๆ ก็ตาม หากเข้าใจหลักของความจริงที่ว่าทุกสิ่งบนโลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้และแน่นอน ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย สภาพจิตใจ สังคม วัฒนธรรม ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นตามกลไกของธรรมชาติ สิ่งที่เราสามารถทำได้คือ ใจของเราต่างหากที่จะต้องปรับเปลี่ยน ปรับทัศนคติให้เหมาะสมอยู่ตลอดเวลาอีกทั้ง การหมั่นเจริญสติ ระลึกรู้อยู่กับปัจจุบัน ลมหายใจ การเคลื่อนไหว ผ่านการอบรม ฝึกฝน และนำมาปฏิบัติ แม้เพียง 3-5 นาที/ วัน ก็ทำให้จิตใจผ่องใสขึ้นแล้วนะครับ อีกทั้งยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การเล่นกีฬา ออกกำลังกาย ซึ่งจะช่วยให้หยุดหรือควบคุมอารมณ์และความคิดที่ทำให้ไม่มีความสุข ไม่ว่าจะเป็น อารมณ์โกรธความเครียด ความเหงา ความเศร้าก็ตามการปรับตัว ปรับใจพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของผู้สูงอายุ จะช่วยให้ผู้สูงอายุ มีความสุข มีความภาคภูมิใจในตนเอง เห็นคุณค่าของตนเอง สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขแน่นอน อ้างอิง : กรมอนามัย , ธนาคารไทยพาณิชย์ , Chersery homeแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/health/well-being/1063118

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันสังคม

อัพเดต ปรับเพดานจ่ายเงินสมทบเพิ่ม ผู้ประกันตนรับประโยชน์เพิ่มเท่าไหร่ ?

30/04/2024

ผู้ประกันตนที่มีค่าจ้างต่ำกว่า 15,000 บาท ไม่ต้องจ่ายเงินสมทบเพิ่ม ปัจจุบันมีผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่มีค่าจ้าง 15,000 บาทขึ้นไป ประมาณ 37% วันที่ 25 เมษายน 2566 ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า จากที่กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ได้นำร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณ เงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. … ของผู้ประกันตนมาตรา 33 อัตราใหม่ ไปเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องครั้งที่ 1 ผ่านทางระบบกลางทางกฎหมาย (LAW.co.th) ช่วงวันที่ 1-28 กุมภาพันธ์ 2566 สรุปมีผู้ร่วมเสนอความเห็นทั้งนายจ้าง และลูกจ้างรวม 55,584 คน โดยมีผู้เห็นด้วยคิดเป็นร้อยละ 27 และไม่เห็นด้วยคิดเป็น 73 ทั้งนี้ การเปิดความคิดเห็นดังกล่าว เป็นขั้นตอนหลังจากแนวทางการปรับเพดานค่าจ้างขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคมมาตรา 33 ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการประกันสังคมเมื่อกลางปี 2565 คณะกรรมการประกันสังคมพิจารณาการกำหนดค่าจ้างขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ของผู้ประกันตนมาตรา 33 อัตราใหม่ แบบค่อยเป็นค่อยไป หลังจากประเทศไทยไม่ได้ปรับมานานเกือบ 30 ปี นับตั้งแต่ปี 2538 ซึ่งเหตุผลและความจำเป็นของการปรับเพดานค่าจ้างขั้นสูง คือ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับกองทุนในการรองรับรายจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้น ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน และเป็นไปตามมาตรฐานเพดานค่าจ้างขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ปรับเท่าไหร่-เมื่อไหร่ ? เงินสมทบมาตรา 33 คือที่นายจ้างและลูกจ้างร่วมกันส่งเข้ากองทุนประกันสังคมทุกเดือนในอัตราร้อยละ 5 โดยผู้ที่มีค่าจ้างเดือนละ 1,650 บาทขึ้นไปต้องจ่ายในอัตรา 5% ของค่าจ้าง แต่มีเพดานคำนวนที่ค่าจ้าง 15,000 บาท ทั้งนี้ เพดานค่าจ้างที่ใช้ในการคำนวณจะถูกปรับอย่างค่อยเป็นค่อยไป 3 ระยะ ดังนี้   ●  ระยะที่ 1 ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2567-31 ธ.ค. 2569 ปรับเป็นคำนวณจากเพดานค่าจ้าง 17,500 บาท จ่ายสมทบไม่เกิน 875 บาท   ●  ระยะที่ 2 ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2570-31 ธ.ค. 2572 ปรับเป็นคำนวณจากเพดานค่าจ้าง 20,000 บาท จ่ายสมทบไม่เกิน 1,000 บาท   ●  ระยะที่ 3 ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2573 เป็นต้นไป ปรับเป็นคำนวณจากเพดานค่าจ้าง 23,000 บาท จ่ายสมทบไม่เกิน 1,150 บาท ทั้งนี้ ผู้ประกันตนที่มีค่าจ้างต่ำกว่า 15,000 บาท จะไม่ได้รับผลกระทบจ่ายเงินสมทบเพิ่ม เพราะจะได้จ่ายเงินสมทบ 5% ของค่าจ้างตามจริง โดยระบบประกันสังคมมีผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่มีค่าจ้าง 15,000 บาทขึ้นไป ประมาณ 37% ผู้ประกันตนรับประโยชน์เพิ่ม 6 กรณี นางนิยดา เสนีย์มโนมัย ผู้อำนวยการกองนโยบายและแผนงาน และโฆษกสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงความคืบหน้าว่า ขณะนี้สำนักงานประกันสังคมได้รายงานผลความคิดเห็นต่อคณะกรรมการ สปส. เพื่อรับทราบแล้ว “แต่มีข้อสังเกตว่าการที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เพราะยังไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับผลประโยชน์ตอบแทนที่จะได้รับเพิ่มขึ้นหลังจากการปรับเพดานค่าจ้าง” ซึ่งการปรับเพดานเงินสมทบอัตราใหม่จะทำให้เกิดประโยชน์ที่เห็นได้ชัดเจนสำหรับผู้ประกันตน ดังนี้ หนึ่ง เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีว่างงาน ได้รับในอัตรา 50% หรือ 30% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน ปัจจุบันได้รับที่ 7,500 บาทต่อเดือน อัตราใหม่ช่วงปี 2567-2569 จะเป็น 8,750 บาทต่อเดือน ช่วงปี 2570-2572 เป็น 10,000 บาทต่อเดือน และปี 2573 เป็น 11,500 บาทต่อเดือน สอง เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต ได้รับในอัตรา 50% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน ปัจจุบันรับที่ 30,000 บาท อัตราใหม่ช่วงปี 2567-2569 จะเป็น 35,000 บาท ช่วงปี 2570-2572 เป็น 40,000 บาท และปี 2573 เป็น 46,000 บาท สาม เงินบำนาญชราภาพ ได้รับในอัตราไม่ต่ำกว่า 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายที่นำส่งเข้ากองทุน โดยมี 2 อัตรา คือ 1. ผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบครบ 15 ปี (ครบ 180 เดือน) จะได้รับบำนาญ 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย 2. ผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบครบเกิน 15 ปี (เกิน 180 เดือน) จะได้รับบำนาญ 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายที่จ่ายประกันสังคม + อัตราการจ่ายเงินบำนาญให้อีก 1.5% ต่อปีของระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบ ตัวอย่าง หากส่งเงินสมทบครบ 15 ปี เงินบำนาญชราภาพอัตราเดิมได้รับ 3,000 บาทต่อเดือน และหากส่งเงินสมทบครบ 25 ปี อัตราเดิมได้รับ 5,250 บาทต่อเดือน อัตราใหม่ช่วงปี 2567-2569 ส่งเงินสมทบครบ 15 ปี ได้รับ 3,500 บาทต่อเดือน และส่งเงินสมทบครบ 25 ปี ได้รับ 6,125 บาทต่อเดือน ช่วงปี 2570-2572 ส่งเงินสมทบครบ 15 ปี ได้รับ 4,000 บาทต่อเดือน และส่งเงินสมทบครบ 25 ปี ได้รับ 7,000 บาทต่อเดือน ช่วงปี 2573 ทำงาน ส่งเงินสมทบครบ 15 ปี ได้รับ 4,600 บาทต่อเดือน และส่งเงินสมทบครบ 25 ปี ได้รับ 8,050 บาทต่อเดือน สี่ เงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร ได้รับในอัตรา 50% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน ปัจจุบันรับที่ 22,500 บาทต่อครั้ง อัตราใหม่ช่วงปี 2567-2569 จะเป็น 26,250 บาทต่อครั้ง, ช่วงปี 2570-2572 เป็น 30,000 บาทต่อครั้ง และปี 2573 เป็น 34,500 บาทต่อครั้ง ห้า เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพ ได้รับในอัตรา 70% หรือ 30% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน ปัจจุบันรับที่ 7,500 บาทต่อเดือน อัตราใหม่ช่วงปี 2567-2569 จะเป็น 8,750 บาทต่อเดือน ช่วงปี 2570-2572 เป็น 10,000 บาทต่อเดือน และปี 2573 เป็น 11,500 บาทต่อเดือน หก เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีเจ็บป่วย ได้รับในอัตรา 50% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน ปัจจุบันรับที่ 250 บาทต่อวัน อัตราใหม่ช่วงปี 2567-2569 จะเป็น 292 บาทต่อวัน, ช่วงปี 2570-2572 จะเป็น 333 บาทต่อวัน และปี 2573 เป็น 383 บาทต่อวัน แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/csr-hr/news-1272888

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

อยากมีเงินเก็บ ต้องรีบอ่าน! เผยเคล็ดลับลงทุนยังไงให้เห็นผล

30/04/2024

บทความโดย Gen Healthy Life วันที่ 1 พฤษภาคม 2566 วินัยทางการเงิน ถือเป็นสิ่งสำคัญในการบริการการเงินในชีวิต โดยการบริหารการเงินนั้นมีหลากหลายวิธี อาทิ การสร้างงบประมาณที่จะใช้ในแต่ละเดือน การทำบันทึกรายรับ-รายจ่าย เพื่อให้มองเห็นรายจ่ายส่วนต่างที่เกิดขึ้น แต่อีกสิ่งหนึ่งที่จะสร้างความมั่นคงและเติบโตในระยะยาวให้กับกระเป๋าเงินของเรา คือการใช้เทคนิคการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ วันนี้ได้นำเคล็ดลับการลงทุนอย่างไรให้ปลอดภัย และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการการเงินของเรา จะมีเทคนิคการลงทุนอย่างไรบ้างไปดูกันเลย เริ่มที่ข้อแรก “เคล็ดลับการลงทุน” หากมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัย ว่าเงินที่ลงทุนไปนั้นจะเกิดความเสี่ยงหรือไม่ ลองพิจารณาระยะเวลาการลงทุนที่สั้นลง ง่ายต่อการถอนถือเป็นขั้นแรกของมือใหม่นักลงทุนในการบริหารความเสี่ยง แต่ถ้าต้องการเพิ่มระยะเวลาในการลงทุนให้ยาวขึ้น สิ่งที่สำคัญที่ควรตระหนักคือ เลือกการลงทุนที่มีความเสี่ยงปานกลางและผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว เหนือสิ่งอื่นใด อย่าทำอะไรเกินตัว ต้องทำทุกอย่างให้เหมาะสมกับสถานะทางการเงินของเราเอง ต่อมา “บัญชีออมทรัพย์” เป็นวิธีการเก็บเงินที่มีความปลอดภัยและสะดวกสบาย ซึ่งวิธีนี้ยังสามารถถอนเงินไปใช้จ่ายในเวลาที่ฉุกเฉินได้ตามที่เราต้องการ นอกจากนี้ยังมีการเก็บเงินแบบเงินฝากประจำ (Fixed Deposit) ซึ่งเป็นบัญชีออมทรัพย์อีกประเภทหนึ่งที่มีอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างดี เน้นการออมอย่างสม่ำเสมอเพื่อเก็บสะสมไว้ใช้จ่ายในยามที่เกษียณอายุ “พันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้” เป็นเครื่องมือลงทุนที่มีบทบาทคล้ายกันกับเงินฝากประจำ แต่มีความเสี่ยงสูงกว่า เพราะฉะนั้นจะต้องพิจารณาความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น และผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับคุ้มที่จะเสี่ยงหรือไม่ ก่อนตัดสินใจลงทุน เคล็ดลับถัดมาคือ “แผนการลงทุนและการออมเงิน” ซึ่งเป็นการลงทุนกับบริษัทประกันภัย โดยบริษัทประกันภัยจะมอบผลประโยชน์ทั้งในเรื่องการประกันภัยและการลงทุน รวมไปถึงการออมเงินให้กับลูกค้า ผู้เอาประกันภัยจะได้รับการคุ้มครองชีวิตและเก็บเงินออมสะสมเพื่อสร้างโอกาสในการสร้างความมั่งคั่งในอนาคต เพื่อเพิ่มทางเลือกและตอบสนองความต้องการที่ดี “ทางเลือกของแผนบำเหน็จบำนาญ” คือการเตรียมความพร้อมสำหรับการเก็บเงินบำนาญแบบส่วนตัว ซึ่งมักจะให้ผลตอบแทนมักจะดีกว่า และคุณอาจสามารถเลือกเกษียณอายุก่อนกำหนดได้อีกด้วย “กองทุนรวม” อีกหนึ่งช่องทางที่น่าสนใจในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการรวมเงินจากนักลงทุนหลายคนเข้าด้วยกันเพื่อลงทุนในตลาดทุน เงินทั้งหมดจะถูกจัดการโดยผู้จัดการกองทุนเพื่อลงทุนในหลาย ๆ หลักทรัพย์ เช่น หุ้นบริษัท ตราสารหนี้ และอื่น ๆ การลงทุนในกองทุนรวมจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนสูงขึ้น ต่อมา “การลงทุนอสังหาฯ” การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ลงทุน เนื่องจากเป็นการลงทุนที่มีแนวโน้มผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการลงทุนในกองทุนรวมหรือตลาดหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงกว่า แต่การแปลงมูลค่าเป็นเงินเพื่อนำมาใช้ยามฉุกเฉินก็อาจจะไม่ง่ายเช่นกัน ซึ่งหากใครต้องการความปลอดภัยในชีวิตและต้องการความมั่นคง การทำ “ประกันภัย” ก็เป็นตัวเลือกที่ดีมาก เพราะหากเรามีประกันภัยเมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือ เจ็บป่วยขึ้นมา ก็ช่วยลดความวิตกกังวลกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นได้มาก เป็นเครื่องมือในการบริหารและปกป้องความเสี่ยงทางการเงิน สุดท้าย “ทางเลือกการลงทุนอื่น ๆ” วลีที่บอกว่า “จงกระจายความเสี่ยง” ยังสามารถใช้ได้กับการลงทุนเสมอ ลองลงทุนในหลากหลายประเภทเพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม การลงทุนที่ดีควรได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมและเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ดังนั้นควรทำการวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ใด ๆ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/b%20reaking-news/news-1277698

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันสุขภาพ

ประกันสุขภาพเดี่ยว กับประกันสุขภาพแบบสัญญาเพิ่มเติม ต่างกันอย่างไร

30/04/2024

จากบทความ “ทำประกันสุขภาพไว้ ต้องรักษาที่ไหนถึงจะเคลมได้” เราได้ทราบถึงว่าประกันสุขภาพคุ้มครองอะไรบ้าง รวมถึงเงื่อนไขการเคลมค่าประกันสุขภาพกันแล้ว แต่ปัจจุบันนั้นมีประกันสุขภาพแบบเดี่ยว (ไม่ต้องพ่วงประกันชีวิต) และประกันสุขภาพแบบสัญญาเพิ่มเติมประกันชีวิต (ทำพ่วงประกันชีวิต) แล้วแต่ละแบบมีลักษณะต่างกันอย่างไร มีข้อดีข้อเสียอย่างไร เราควรเลือกแบบไหนที่จะเหมาะกับเรา บทความนี้มีคำตอบ  ประกันสุขภาพเดี่ยว ประกันสุขภาพเดี่ยวชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเดี่ยวคือเป็นประกันสุขภาพที่ขายแบบเดี่ยวๆ ไม่ต้องพ่วงประกันชีวิต นั่นคือจะคุ้มครองเฉพาะสุขภาพไม่มีการคุ้มครองชีวิต โดยจะจ่ายค่าสินไหมเฉพาะค่ารักษาพยาบาลตามที่เกิดขึ้นจริงแต่ไม่เกินวงเงินสูงสุดเท่านั้น ข้อดี  ● เบี้ยถูกกว่าแบบสัญญาเพิ่มเติมประกันชีวิต เพราะคิดเฉพาะในส่วนของการคุ้มครองสุขภาพเท่านั้น ข้อเสีย   ● เป็นสัญญาแบบปีต่อปี บริษัทจะพิจารณาการรับประกันแบบปีต่อปี ในกรณีที่เราเคลมเยอะในปีที่ผ่านมาบริษัทประกันอาจพิจารณาเพิ่มเบี้ยหรือไม่รับต่อประกันสุขภาพเราได้ ซึ่งถ้าในกรณีที่จะเปลี่ยนบริษัทประวัติสุขภาพนั้นจะติดตัวเราไปด้วยบริษัทใหม่ก็จะพิจารณาจากประวัติสุขภาพของเราซึ่งอาจจะไม่รับทำได้ เหมาะกับใคร : เหมาะกับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองสุขภาพเป็นระยะเวลาสั้นๆ และจ่ายเบี้ยไม่สูงมาก ประกันสุขภาพแบบสัญญาเพิ่มเติมประกันชีวิต ประกันสุขภาพแบบสัญญาเพิ่มเติมประกันชีวิต คือการที่เราทำประกันชีวิตเป็นสัญญาหลักและทำสัญญาเพิ่มเติมเป็นประกันสุขภาพ โดยการจ่ายค่าสินไหมจะมีเงื่อนไขเหมือนกับแบบเดี่ยวคือ จะจ่ายค่าสินไหมเฉพาะค่ารักษาพยาบาลตามที่เกิดขึ้นจริงแต่ไม่เกินวงเงินสูงสุดเท่านั้น   ข้อดี ● มีความคุ้มครองชีวิต เนื่องจากเป็นสัญญาเพิ่มเติมพ่วงไปกับสัญญาหลักประกันชีวิต ถ้าบริษัทประกันชีวิตได้รับทำแล้วจะไม่สามารถยกเลิกได้ถ้าเรามีความประสงค์ต่ออายุ ● ยกเว้นเหตุ 3 ประการที่บริษัทจะไม่รับต่ออายุดังนี้    ● กรณีไม่แถลงข้อความจริงตามใบคำขอเอาประกันภัย ซึ่งหมายถึงมีการปกปิดข้อมูลไม่ให้ข้อมูลตามความเป็นจริง โดยที่ทราบข้อมูลนั้นอยู่แล้ว     ● กรณีเรียกร้องผลประโยชน์โดยไม่มีความจำเป็นทางการแพทย์    ● กรณีเรียกร้องผลประโยชน์ค่าชดเชยรายวันรวมกันทุกบริษัทเกินกว่ารายได้ที่แท้จริง ข้อเสีย ● เบี้ยประกันสูงกว่าแบบเดี่ยวเนื่องจากมีความคุ้มครองทั้งชีวิตและสุขภาพ เหมาะกับใคร : เหมาะกับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองสุขภาพในระยะเวลายาวๆหรือตลอดชีวิต ดังนั้นการทำสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพนั้นควรทำพ่วงกับประกันชีวิตแบบตลอดชีพ เนื่องจากเป็นสัญญาหลักระยะยาวไม่เหมือนกับประกันแบบอื่นๆที่มีระยะเวลาที่สั้นกว่า จากข้อมูลข้างต้นเราได้ทราบแล้วว่าประกันสุขภาพเดี่ยวและประกันสุขภาพแบบสัญญาเพิ่มเติมประกันชีวิตนั้นต่างกันอย่างไร มีข้อดี ข้อเสียอย่างไร เหมาะกับใคร อย่างไรก็ตามสุขภาพเรานั้นเป็นสิ่งไม่แน่นอน ประกันสุขภาพเป็นสิ่งที่จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของเราได้ ควรทำตั้งแต่สุขภาพยังแข็งแรงเพราะถ้าสุขภาพเราไม่แข็งแรงหรือเป็นโรคแล้วบริษัทประกันอาจพิจารณาเพิ่มเบี้ยหรือหนักกว่านั้นคือไม่รับทำประกันเลย ดังนั้นอยากให้มองว่าเราจ่ายเป็น fix cost สำหรับเรื่องสุขภาพเราแต่ละปี แถมนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 25,000 บาทอีกด้วย แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับnoonhttps://www.noon.in.th/blog/how-different-between-health-insurance-and-health-riders/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

บอกหมดเปลือก! 18 เทคนิคการขาย ที่ใช้ได้ดีกับลูกค้าทุกสถานการณ์

30/04/2024

หากคุณทำธุรกิจและยังคิดไม่ตกว่าจะมีวิธีอย่างไรให้รักษายอดขายให้ธุรกิจไปรอด เหล่านี้คือ 18 เทคนิคการขายที่สามารถใช้กับลูกค้าในหลายรูปแบบและหลายสถานการณ์ หากคุณทำธุรกิจและยังคิดไม่ตกว่าจะมีวิธีอย่างไรให้รักษายอดขายให้ธุรกิจไปรอด เหล่านี้คือ 18 เทคนิคการขายที่สามารถใช้กับลูกค้าในหลายรูปแบบและหลายสถานการณ์ โดย ดร.วิชัย ว่องศิลป์วัฒนา กูรูด้านการขายและการเจรจาต่อรอง ที่ได้แนะนำไว้ดังต่อไปนี้ เทคนิคที่ 1 : รู้จักตัวเอง คนเรามักจะคิดว่าเรารู้จักตัวเองดี แต่จริง ๆ แล้วคนส่วนใหญ่มักไม่รู้จักตัวตนของตัวเอง หรือยังไม่สามารถเข้าใจตัวเองว่าแท้จริงแล้วคิดอะไรอยู่ เช่น ถ้าอยากขายบ้านที่อยู่ปัจจุบัน เราคิดแล้วหรือยังว่าถ้าเขาจะมาซื้อแล้วขอเข้าอยู่อาศัยทันที เราจะไปอยู่ที่ไหน หรือ บอกราคาขายไปแต่ไม่มีราคาสำหรับต่อรองในใจเลย แถมบางคนบอกขายบ้านเพราะต้องการเช็คราคาไม่ใช่ต้องการขายจริง ....ผมเคยเจอบ้านอยู่หลังหนึ่งทุกครั้งที่สามี-ภรรยาคู่นี้ทะเลาะกัน วันรุ่งขึ้นต้องมีป้ายประกาศขายบ้านติดหน้าบ้านเสมอ กรณีนี้ไม่ใช่การตั้งใจจะขายบ้านจริง ๆ แต่เป็นเรื่องการประชดประชันมากกว่า การรู้ตัวเองคือต้องรู้ว่าเรามีวัตถุประสงค์อย่างไร จะมีผลในการตั้งราคาขายและกลยุทธ์ในการต่อรองอื่น ๆ ด้วย ดังนั้น ต้องรู้ตัวเองก่อน เพราะหากเขาต่อรองราคาแล้วเกิดขายได้ขึ้นมาจะทำอย่างไร หรือถ้าเราต้องการทดสอบราคา ก็ควรตั้งราคาสูงเข้าไว้เพราะอย่างไรเราก็ไม่ขายอยู่แล้ว ถ้าให้พูดกันตรง ๆ การเจรจาต่อรองมีวัตถุประสงค์ลึก ๆ แล้วก็คือการต้องการจะตรวจสอบราคาสินค้าของตัวเอง จะได้รู้ว่าเราต้องเล่นบทไหนครับ เทคนิคที่ 2 : รู้จักองค์กรหรือบริษัทของตน นั่นคือ รู้จักองค์กรหรือบริษัทของตัวเองว่าการที่เขาส่งเราให้ไปต่อรองราคาเรามีสิทธิ์ลดได้แค่ไหน สมมุติเป็นเซลล์แมนเรามีสิทธิ์ลดราคาได้แค่ไหน และไม่ควรไปลดราคาเกินอำนาจที่องค์กรมอบหมาย เพราะถ้าลดมากไปคงต้องเข้าเนื้อตัวเองหรือโดนเจ้านายเล่นงานแน่ครับ เทคนิคที่ 3 : รู้จักสินค้าหรือบริการของตนที่จะขาย ทำความรู้จักสินค้าและบริการของตัวเองว่า “วันนี้เราจะเรียกราคาได้แค่ไหน” โดยเราต้องรู้อุปสงค์และอุปทาน (Demand & Supply) ความต้องการและราคาสินค้าในตลาดว่าเป็นที่ต้องการมากน้อยแค่ไหน อีกทั้งต้องดูด้วยว่าสินค้าของเราอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลงของธุรกิจประเภทนี้ เช่น หากเราจะขายสินค้าพืชไร่เกษตรที่เป็นที่ต้องการของตลาดตอนนี้ และน้ำมันดีเซลเพื่อการขนส่งวันนี้ปรับราคาสูงขึ้น เราก็ขึ้นราคาสินค้าได้เยอะเพราะตลาดต้องการของเรายังไงก็ต้องสู้ราคาแถมยังมีข้ออ้างเรื่องราคาน้ำมันอีก เทคนิคที่ 4: รู้จักลูกค้า ใครคือลูกค้าของเรา? เป็นคำถามที่สิ่งสำคัญมากครับ ในฝั่งของการตลาดเขาจะมีการแบ่งตลาดหรือกลุ่มลูกค้าออกเป็นส่วน ๆ เรียกว่า “เซกเมนท์เทชั่น” (Segmentation) สินค้าบางตัวทางการตลาดแบ่งเซกเมนท์ตามอายุ หรือแบ่งตามเพศก็มี เช่นเครื่องดื่มชูกำลังนอกจากแบ่งตามอาชีพแล้วช่วงหลังก็แบ่งตามเพศด้วย อย่างผู้หญิงจะไม่ดื่มเครื่องดื่มชูกำลังจากขวดสีชาจะทำให้ดูเหมือนกรรมกรจนเกินไป ผู้ผลิตจึงผลิตใส่ขวดใส ๆ และปรับสีให้สวย เราเลยเห็นเครื่องดื่มแนวใหม่ที่มีสีแดง สีฟ้า หรือสีเขียว วางอยู่ตามตู้แช่ในตลาดขณะนี้ครับ เทคนิคที่ 5 : รู้จักคู่แข่ง ส่วนนี้ผมปรับมาจากหลักพิชัยสงครามของซุนหวู่ เช่นหากคู่แข่งเข้าตลาดไหนถ้าเลี่ยงได้ก็อย่าไปเข้าตลาดซ้ำกับเขาเพราะเรากำลังเดินตามรอยเท้าคู่แข่ง อาจถูกคู่แข่งลวงให้หลงทางได้ มิหนำซ้ำยังมีตลาดใหม่อื่น ๆ ให้ทำอีกมาก แต่เรากลับมามัววิ่งตามคู่แข่ง จงสำรวจหาสถานที่เพื่อคุมตลาดใหม่เพราะยิ่งถ้าต้องรบกับคู่แข่ง ในที่สุดผู้ซื้อจะได้เปรียบเพราะต่างต้องแข่งกันลดราคาให้ผู้ซื้อ ซึ่งรบกันยังไงเราก็มีแต่เสียเปรียบครับ สู้เลี่ยงไปเข้าตลาดอื่นดีกว่าถ้าเลือกได้ เทคนิคที่ 6 : รู้ถึงมูลเหตุจูงใจในการซื้อ เราต้องรู้สาเหตุที่จะจูงใจลูกค้าว่า “ทำไมเขาถึงมาซื้อสินค้าของเรา” ตัวอย่างเช่น การขายบ้าน เราต้องรู้ก่อนว่าบ้านเรามีอะไรจูงใจลูกค้าให้มาซื้อ อาจจะเป็นเพราะบ้านเราอยู่กลางเมืองจึงขายได้ราคาถึงแม้เป็นบ้านเก่า ๆ ก็ตาม ดังนั้นมูลเหตุจูงใจในตัวอย่างนี้คือ “บ้านใจกลางเมือง” เมื่อเวลาเราเจรจากับลูกค้าให้เน้น “สถานที่” หรือ “โลเคชั่น” (Location) อย่าไปคุยประเด็นเรื่องบ้านสวยเพราะบ้านเราเก่ายังไงก็ไม่สวยหรอก เผลอ ๆ เขาซื้อไปแล้วอาจต้องไปทุบบ้านทิ้งทีหลังก็ได้ เทคนิคที่ 7 : รู้ค่านิยมของผู้ซื้อ รู้ค่านิยมของผู้เจรจา อย่างคนต่างชาติมีค่านิยมอย่างหนึ่งคนไทยก็มีค่านิยมอีกอย่างหนึ่ง เช่น ทำไมคนญี่ปุ่นชอบเดินดูวัดเก่า ๆ และคนไทยชอบไปต่างประเทศเพื่อไปดูโบสถ์ฝรั่ง ผมว่าคนเอเชียชอบดูสถาปัตยกรรมเกี่ยวกับวัดวาอารามนะครับ ไม่เว้นแม้แต่ของฝรั่ง เทคนิคที่ 8 : รู้ถึงรสนิยมของผู้ซื้อ คนส่วนใหญ่จะคิดว่าตัวเองมีรสนิยมสูง และมักจะมีรสนิยมสูงกว่ารายได้ที่ตัวเองได้รับเสมอ เช่น อยากได้ของดีมากแต่รายได้หรือจำนวนเงินที่ตั้งใจจะจ่ายนั้นน้อยหรือต่ำ หรือที่เขาเรียกกันว่า “รายได้ต่ำรสนิยมสูง” ซึ่งคนทั้งโลกเป็นอย่างนี้เหมือนกันหมด จึงมักตกเป็นเหยื่อของนักการตลาดในการเจรจาและส่งเสริมการขายที่โอ้อวดสินค้าว่าของเขาดีแต่ที่จริงแค่นำสินค้าคุณภาพต่ำมาหลอกขาย ดังนั้นถ้าเราเป็นพวกรสนิยมสมถะก็อยู่อย่างพอเพียงดีที่สุด จะได้สินค้าที่ดีในราคาสมเหตุสมผลครับ เทคนิคที่ 9 : รู้ถึงจังหวะในการนำเสนอ เราควรรู้จักจังหวะในการนำเสนอด้วยนะครับ โดยต้องรู้ว่าจะนำเสนอในช่วงไหน เขามีหลักง่าย ๆ คือ ให้ปฏิบัติการในช่วงที่ลูกค้าผ่อนคลาย ยกตัวอย่างเช่น เวลาไปตัดผม เราตั้งใจแค่ไปซอยผมแต่จบออกมาต้องเสียเงินเพิ่มหลายเท่าเพราะคนที่บริการสังเกตเห็นเราผ่อนคลายสบายใจจึงเสนอขายสินค้าอย่างอื่นในลักษณะแบบการขายพ่วง (Cross Selling) เขาเรียกการขายแบบสูตรของช่างทำผมเช่น ชวนเสริมคิ้ว นวดหน้า ลบตีนกา ลบรอยเหี่ยวย่น สุดท้ายไปทำสปาเบ็ดเสร็จเลย สังเกตได้ทุกร้านทำผมจะเป็นแบบนี้ครับ บางทีตัดผมอยู่ชวนย้อมสีผมเฉยเลยบอกว่าเป็นสมัยนิยม “ลูกค้าที่ทำไปมีแต่คนทักว่าสวยหล่อขึ้นทุกคนเลยค่ะ” สุดท้ายจาก 250 บาทกลายเป็น 2,500-3,500 บาท นี่คือตัวอย่างของการรู้จังหวะที่เขาผ่อนคลายครับ เทคนิคที่ 10 : รู้ว่าสิ่งใดควรพูดไม่ควรพูด ยกตัวอย่างเช่นเรารู้ทั้งรู้ว่าบ้านนี้พี่น้องทะเลาะกันทำให้ต้องมาขายมรดกกินดังนั้นเราก็ไม่ควรมาพูดว่า “ทำไมพวกพี่ถึงทะเลาะกันล่ะครับ”เพราะนั่นไม่ใช่หน้าที่เรา เราแค่เป็นคนไปซื้อของเขาเท่านั้นครับ เทคนิคที่ 11 : รู้หลักคุณธรรมนำการเจรจาต่อรอง หากเราอยากเป็นนักเจรจาที่ดีต้องรู้หลักคุณธรรมด้วยครับ บางคนฉวยเอาสถานการณ์ที่ได้เปรียบมาเอาเปรียบคู่เจรจาอย่างไร้คุณธรรม เช่นเขาอาจมีความจำเป็นต้องขายสินค้าเพราะไม่มีเงินไปใช้หนี้ก็ไปกดราคาเขามาก ๆ เวลาไปต่อรองซื้อขายอีก เข้าข่ายหักคอคนขายเพราะรู้ว่าเขาจำเป็นต้องใช้เงินแบบนี้เรียกว่า “ไม่มีคุณธรรม” ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่งครับ เทคนิคที่ 12 : รู้หลักดึงดูดลูกค้าเป็นพวก เราควรใช้หลักการนี้ดึงดูดคู่เจรจาให้เป็นพวกเดียวกับเราเพราะคนที่มีความรู้สึกแบบเดียวกันมักเป็นพวกเดียวกันและจะพูดกันง่ายขึ้น เช่น คนภาคเดียวกันส่งภาษาพื้นเมืองก็จะพูดกันง่าย ยกตัวอย่างเช่นคนใต้ด้วยกันพอได้ยินสำเนียงกรุงเทพฯลักษณะทองแดงหน่อย ๆ ก็เริ่มรู้ว่าเป็นพวกเดียวกันมาแล้วก็จะพูดกันง่ายล่ะคราวนี้ หรือคนชอบพรรคการเมืองเดียวกันจะคุยกันง่าย ทำให้การเจรจาต่อรองก็จะง่ายตามมา เทคนิคที่ 13 : รู้ขั้นตอนของการจูงใจ ขั้นตอนของการจูงใจเริ่มต้นจากการค้นหาความต้องการของลูกค้า เราต้องค้นให้เจอว่าลูกค้าต้องการสิ่งใดมากที่สุดจากนั้นก็นำเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่เหมาะกับเขาให้มากที่สุด แล้วเราจะปิดการขายได้อย่างง่ายดาย เช่น เราสังเกตว่าลูกค้ารายนี้เกลียดความยุ่งยาก ดังนั้นเมื่อลูกค้าซื้อของเราแล้วจ่ายด้วยบัตรเครดิตแล้วเรารับบัตรมาจากมือลูกค้าก็ควรจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยโดยที่ลูกค้าไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ถ้ารับบัตรเครดิตจากลูกค้ามาแล้วยังต้องไปตรวจสอบเครดิตบูโรชักเข้าชักออกอย่างนี้ลูกค้าไม่เอาด้วยนะครับ ทำให้ลูกค้ายุ่งยากต้องมานั่งเซ็นเอกสารอีกสิบกว่าชุดเขาก็ไม่เอาไม่ซื้อแล้ว เพราะขั้นตอนปิดการขายยุ่งยากเกินไป เทคนิคที่ 14 : ปูพื้นฐานข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเพื่อจูงใจลูกค้า การจูงใจแบบนี้เราต้องบอกพื้นฐานข้อมูลและข้อเท็จจริงให้กับลูกค้า เช่น ราคาทองเพิ่มขึ้นแล้วในตลาด พี่สนใจการลงทุนในรูปแบบโกลด์ฟิวเจอร์ไหมครับ? โดยเราต้องเน้นให้เขาเห็นคุณค่าที่ลูกค้ามุ่งหวัง เช่น “ถ้าพี่ตัดสินใจเร็วยิ่งได้เปรียบไม่เช่นนั้นดอกเบี้ยแบงก์จะกินแย่เลย” หรือ ถ้าบ้านที่เราหมายตาเอาไว้คู่เจรจาเขากู้แบงค์มาซื้อบ้านก็ต้องบอกว่า “ถ้าบ้านพี่หลังนี้ไปกู้ธนาคารมา ยิ่งขายได้เร็วก็ยิ่งดีไม่เช่นนั้นดอกเบี้ยจะทบต้นจนทำให้ยอดเงินกู้แบงก์สูงขึ้นไปเรื่อยๆ” เห็นไหมครับ เป็นการเน้นคุณค่าที่สร้างประโยชน์ให้ผู้เจรจา ดังนั้นผู้เจรจาก็จะเห็นด้วยและตกลงใจได้เร็วขึ้นครับ เทคนิคที่ 15 : กระตุ้นให้ผู้ซื้อตัดสินใจซื้อ ควรมีการเชียร์ให้คู่เจรจาตัดสินใจ เพราะคนเราต้องการคนกระตุ้นหลาย ๆ ครั้ง ถ้ากระตุ้นเขาแล้วไม่ได้ผลให้กระตุ้นคนที่มีอิทธิพลกับเขาแทน ยิ่งบุคคลนั้นเป็นบุคคลที่อยู่ในกลุ่มที่มีอิทธิพลเหนือลูกค้าก็เข้าข่ายหลักการชนะ 3 ฝ่ายยิ่งดีใหญ่ เช่น ถ้าเรากระตุ้นตัวเขาไม่ได้ก็กระตุ้นสามีหรือภรรยาเขาที่มาด้วยกันแทนก็ได้นะครับ เทคนิคที่ 16 : หลีกข้ามปัญหาของการต่อรอง ปัญหาการต่อรองมันเกิดขึ้นได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม เช่น ถ้ามีปัญหาเรื่องเครดิตเราให้ลูกค้าไม่ได้ก็ให้ข้ามไปคุยเรื่องอื่นก่อนอย่ามาคุยเรื่องนี้ อย่างลูกค้าบอกจะซื้อแบบสินเชื่อหรือขอเครดิตแต่เราให้ไม่ได้ก็อย่าคุยเรื่องนี้ ให้เปลี่ยนไปคุยเรื่องราคาก่อนราคานี้โอเคไหม เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้ครับ เทคนิคที่ 17 : จดจำข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าประจำ เพราะคนเราจะรู้สึกภูมิใจมาก หากมาติดต่อครั้งที่สองเราจำได้ว่าครั้งแรกเขาเคยมาแล้ว เช่น ร้าน 7-Eleven บางสาขาพนักงานจำลูกค้าหรือจำชื่อลูกค้าได้ โดยที่บางครั้งลูกค้ายังไม่ทันบอกซ้ำว่าเขาชื่ออะไร เทคนิคการรู้ชื่อลูกค้านี่ไม่ยากครับ ขอให้เราสนใจฟังคนที่มากับเขาเรียกกันก็รู้แล้วครับ เช่น ให้เรียกชื่อตามลูกที่เรียกแม่เขา หรือแม่เขาเรียกลูกว่าอะไร บางครั้งอาจต้องใช้กลยุทธ์ “แอบถามจากคนใกล้ชิด” เช่นถามคนงาน ถามเลขาว่าเจ้าของกิจการชื่ออะไรเป็นต้น เทคนิคที่ 18 : การปิดการขาย สุดท้ายเมื่อได้จังหวะเราต้องปิดการขายและการเจรจาทันทีครับเพราะของในโลกของการขาย ของขายแล้วคืนไม่ได้ มาคืนก็ไม่มีใครรับคืนครับ ข้อนี้ถือเป็นความลับอีกอันหนึ่งของเจรจาต่อรองเชียวนะครับ เช่น เราซื้อบ้านจ่ายเงินไปเรียบร้อยแล้ว บอกไม่เอาไม่ได้ครับ หรืออาจได้แต่เป็นอีกราคาหนึ่งที่น้อยกว่าตอนจ่ายเงินซื้อ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับsmartsmehttps://www.smartsme.co.th/content/249873#!

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย สนับสนุนโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรและวางปะการัง เกาะแสมสาร เฉลิมพระเกียรติ

30/04/2024

เอไอเอ ประเทศไทย โดย นายนายสุวิรัช พงศ์เสาวภาคย์ ผู้อำนวยการฝ่ายกำกับดูแลธุรกิจด้านกฎหมายและกิจการภายนอก เป็นตัวแทนรับโล่ประกาศเกียรติคุณ จาก พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี และประธานมูลนิธิพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ในการที่เอไอเอ ประเทศไทย มีส่วนร่วมสนับสนุนกรมธรรมธ์ประกันอุบัติเหตุจำนวน 111 กรมธรรม์ ให้แก่เจ้าหน้าที่และทหารเรือที่ปฏิบัติงานวางปะการังและบ้านปลาบริเวณหน้าหาดทิศตะวันออกของเกาะแสมสาร ภายใต้โครงการอนุรักษ์ทรัพยากรและวางปะการัง เกาะแสมสาร เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยโครงการดังกล่าว มุ่งดำเนินงานเพื่อฟื้นฟูและอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในแนวปะการัง บริเวณเกาะแสมสาร รวมทั้งยกระดับความสำคัญพื้นที่หมู่เกาะแสมสารให้เป็นพื้นที่คุ้มครองทางทะเล เกิดความเชื่อมโยงของระบบนิเวศป่าชายเลน ป่าชายหาด พื้นทราย สาหร่าย หญ้าทะเล บ้านปลา และแนวปะการัง ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจในด้าน ESG ของเอไอเอ ที่มุ่งมั่นรักษาและดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนให้แก่สังคม โดยถือเป็นหนึ่งในแนวทางการดำเนินงานที่เอไอเอให้ความสำคัญมาโดยตลอด ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives - เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าว จัดขึ้น ณ อ. สัตหีบ จ. ชลบุรี เมื่อเร็ว ๆ นี้

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

ALive Powered by AIA เปิดงาน สเตย์ เอ ไลฟ์ ออฟฟิศ แฟร์ อย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ จัดเต็มกิจกรรมให้ชาวออฟฟิศ-คนรักสุขภาพ ได้ #StayALive เติมความฟิต-วางแผนชีวิตให้รอบด้าน

30/04/2024

คุณศรัณย์ลภัส สุขชู - ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคล ด้านบริหารความสัมพันธ์ธุรกิจและสรรหาว่าจ้าง (ซ้าย), คุณคริสเตียน โรแลนด์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และดิจิทัล เอไอเอ ประเทศไทย (กลาง) และ คุณจุฑาภัทร เหล่าธรรมทัศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนา ดิจิทัล โซลูชันส์ แอนด์ ดีไซน์ ของ เอไอเอ เวลเนส (ขวา) เข้าร่วมงานเปิดตัว สเตย์ เอ ไลฟ์ ออฟฟิศ แฟร์กรุงเทพฯ 11 พฤษภาคม 2566 – ALive Powered by AIA (เอ ไลฟ์ พาวเวอร์ บาย เอไอเอ) แอปพลิเคชันครบวงจรด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี มีความยินดีที่จะเปิดตัวอีเว้นท์ สเตย์ เอ ไลฟ์ ออฟฟิศ แฟร์ (StayALive office fair) อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะจัดขึ้น ตั้งแต่วันที่ 11 - 13 พฤษภาคมนี้ ณ ลานโปรโมชั่น สามย่านมิตรทาวน์ ชั้น G โดยภายในงานทั้งสามวันนี้ ALive มีความตั้งใจที่จะเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจการวางแผนชีวิตแบบครบทุกมิติ ทั้งการวางแผนสุขภาพ ความมั่นคงทางการเงิน และครอบครัว ภายในงาน คุณจุฑาภัทร เหล่าธรรมทัศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนา ดิจิทัล โซลูชันส์ แอนด์ ดีไซน์ ของ เอไอเอ เวลเนส พร้อมด้วย คุณศรัณย์ลภัส สุขชู ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคล ด้านบริหารความสัมพันธ์ธุรกิจและสรรหาว่าจ้าง เอไอเอ ประเทศไทย ให้เกียรติมาร่วมในพิธีเปิด พร้อมร่วมแบ่งปันข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับแอปพลิเคชัน ALive ตลอดจนสิทธิประโยชน์และกิจกรรมร่วมสนุกต่างๆ จากทางพาร์ทเนอร์ภายในงาน สเตย์ เอ ไลฟ์ ออฟฟิศ แฟร์ ผู้ร่วมงานจะได้สนุกไปกับบูธและกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ อาทิ บูธออฟฟิศ ยุค 90 ซึ่งจะพาทุกคนย้อนกลับไปสัมผัสบรรยากาศออฟฟิศวันวานในยุค 90 รวมถึงการสัมผัสประสบการณ์เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพในอนาคต และร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับ ALive ในการช่วยเหลือเด็กป่วยเรื้อรัง โครงการโรงพยาบาลมีสุข มูลนิธิกระจกเงา ผ่านกิจกรรม ‘หนึ่งสแกน แทนน้ำใจ’ ทุก ๆ หนึ่งการสแกน ฟีเจอร์ Calories Tracker* แทนเงินบริจาค 10 บาท ยิ่งไปกว่านั้นภายในงานยังมีกิจกรรมมากมายจากแบรนด์พาร์ทเนอร์ อาทิ Celebrity Fitness & Fitness First, Dreamdesk, Pharmcare, Fitbit, Garmin, Tops Vita ฯลฯ พร้อมเต็มอิ่มกับความบันเทิงบนเวที ไปกับกิจกรรม ‘Pick a Card’ เปิดไพ่ดูดวงสุขภาพการเงินกับหมอคิส Kisshoro, เซสชันวางแผนการเงินกับคุณฟู๋ New World Finance และกิจกรรมออกสเต็ปสาธิตวิธีการเต้นบริหารร่างกายกับคุณเด็บบี้ บาซู จากรายการ Easy Moveคุณจุฑาภัทร เหล่าธรรมทัศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนา ดิจิทัล โซลูชันส์ แอนด์ ดีไซน์ เอไอเอ เวลเนส บรรยายวิสัยทัศน์และข้อมูลเกี่ยวกับแอปพลิเคชัน ALive Powered by AIAคุณจุฑาภัทร เหล่าธรรมทัศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนา ดิจิทัล โซลูชันส์ แอนด์ ดีไซน์ เอไอเอ เวลเนส กล่าวว่า “สเตย์ เอ ไลฟ์ ออฟฟิศ แฟร์ เป็นการเปิดโอกาสให้พนักงานชาวออฟฟิศและบุคคลทั่วไปที่มีความสนใจเกี่ยวกับสุขภาพได้รับทราบข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับเทรนด์สุขภาพต่างๆ นวัตกรรมเพื่อการดูแลสุขภาพ รวมไปถึงผลิตภัณฑ์เพื่อการวางแผนสุขภาพ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของกลุ่มบริษัทเอไอเอ ที่ต้องการส่งเสริมให้ผู้คนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญาที่ว่า “Healthier, Longer, Better Lives”ผู้ที่รักสุขภาพและพนักงานออฟฟิศสามารถมา #StayALive ไปด้วยกัน ได้ตั้งแต่วันที่ 11 – 13 พฤษภาคม 2566 เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ ลานโปรโมชั่น สามย่านมิตรทาวน์ ชั้น Gแอปพลิเคชัน ALive Powered by AIA พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้วบนระบบปฏิบัติการ iOS และ Android อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ALive Powered by AIA *คำนวณปริมาณแคลอรี่โดยการประมาณการ เกี่ยวกับ ALive Powered by AIA ALive Powered by AIA โมไบล์แอปพลิเคชันสุดล้ำที่มอบประสบการณ์ด้านสุขภาพแบบครบวงจร ที่ถูกพัฒนาโดยเฉพาะเพื่อตอบโจทย์ทุก ไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตของทุกคน โดยบริษัท เอไอเอ เวลเนส จำกัด ภายใต้ กลุ่มบริษัทเอไอเอ ALive ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยส่วนตัว ให้คำแนะนำได้อย่างครอบคลุมในทุกช่วงเวลาของครอบครัวโดยเชื่อมโยงกับสังคมออนไลน์ ตอบรับเทรนด์คนยุคใหม่ที่ใส่ใจดูแลสุขภาพ โดดเด่นด้วย 5 ฟีเจอร์หลัก อาทิ Telemed การปรึกษาแพทย์และพยาบาลออนไลน์ Live Events อัปเดตข้อมูลดีๆ ผ่านรูปแบบวิดีโอ โดยผู้เชี่ยวชาญและ กูรูชื่อดัง Calories Tracker ตัวช่วยคำนวณค่าแคลอรี่ในอาหารแต่ละมื้อ ซึ่งคำนวณปริมาณแคลอรี่โดยการประมาณการ Scoop สนุกกับการแชร์และชมวิดีโอเนื้อหาด้านสุขภาพที่หลากหลาย และ Community แหล่งพูดคุยและแบ่งปันเนื้อหาสำหรับทุกคน พร้อมสิทธิพิเศษต่าง ๆ เกี่ยวกับสุขภาพไว้ให้สำหรับผู้ใช้งานในฟีเจอร์ Rewards

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย จับมือ ซาบีน่า ร่วมบริจาคบราเก่า เปลี่ยนเป็นพลังงานสะอาด

10/05/2023

กรุงเทพฯ, 10 พฤษภาคม 2566 - เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ เป็นตัวแทนส่งมอบชุดชั้นใน แก่ ซาบีน่า โดยมี นางสาวพิชชา ธนาลงกรณ์ (ที่ 2 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการตลาด บริษัท ซาบีน่า ฟาร์อีสท์ จำกัด เป็นตัวแทนรับมอบ เพื่อนำชุดชั้นในเสื่อมสภาพเข้าสู่กระบวนการกำจัดอย่างถูกวิธี ภายใต้โครงการ “โละแล้วไปไหน (New Life Bra Cycle)” ด้วยกระบวนการเผาทำลายผ่านระบบปิด ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม ลดปัญหามลพิษ PM2.5 และยังสามารถนำพลังงานความร้อนที่ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นพลังงานสะอาดทดแทนการใช้ถ่านหิน เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืน สอดคล้องตามคำมั่นสัญญาของเอไอเอ ‘Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’ โดยเอไอเอ ประเทศไทย รวบรวมชุดชั้นในเก่าจากพนักงานเป็นจำนวนทั้งสิ้น 3,839 ตัว สามารถย่อยสลายเป็นพลังงานความร้อนถึง 2,687.3 ล้านจูล ลดการใช้ถ่านหินถึง 127,966.67 กรัม และลดก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 191,950 กรัม เพื่อเป็นการช่วยกำจัดขยะอย่างถูกวิธี และนำพลังงานสะอาดที่ได้หมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ จึงไม่สร้างมลภาวะเพิ่มเติม อีกทั้งยังเป็นการสร้างเสริมและปลูกฝังลักษณะนิสัยในการรักษ์สิ่งแวดล้อมให้กับพนักงาน พร้อมร่วมกันตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อม เนื่องในโอกาสวันคุ้มครองโลก (Earth Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 22 เมษายน ของทุกปี นับเป็นการตอกย้ำเป้าหมายของเอไอเอ ในการส่งเสริมและดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย ESG ที่เอไอเอ มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เพื่อเดินหน้าสู่การเป็นองค์กรผู้นำด้าน ESG ของประเทศต่อไป

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย แอ่วเหนือ จัดงาน “เอไอเอ เฮลธ์ เซฟเวอร์…เซฟเวอร์ แซ่บเวอร์เชียงใหม่” พร้อมเปิดตัวประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายใหม่ล่าสุด “เอไอเอ เฮลธ์ เซฟเวอร์”

30/04/2024

เอไอเอ ประเทศไทย แอ่วเชียงใหม่ จัดกิจกรรม “เอไอเอ เฮลธ์ เซฟเวอร์…เซฟเวอร์ แซ่บเวอร์เชียงใหม่” เปิดตัวประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายตัวใหม่ล่าสุด "เอไอเอ เฮลธ์ เซฟเวอร์ (AIA Health Saver)” ที่มาในคอนเซ็ปต์ “คุ้มกว่าที่เคยเจอ เซฟเวอร์ทั่วไทย” ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายในราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้ ด้วยเบี้ยประกันภัยเริ่มต้นเพียง 575 บาทต่อเดือน[1] ตอกย้ำการเป็นบริษัทประกันชีวิตและสุขภาพอันดับ 1 ของประเทศ และความมุ่งมั่นที่ต้องการช่วยสนับสนุนให้คนไทยได้มีประกันสุขภาพได้อย่างทั่วถึง เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ โดยงานจัดขึ้น ณ ลานโปรโมชัน ชั้น 1 เซ็นทรัล เชียงใหม่ (เซ็นเฟสฯ) เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ที่ผ่านมาในงานได้รับเกียรติจากคณะผู้บริหารเอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ พร้อมด้วย นางเยาวภา อุกฤษฏชน ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดดิจิทัล ร่วมให้ความรู้ถึงผลิตภัณฑ์ "เอไอเอ เฮลธ์ เซฟเวอร์ (AIA Health Saver)” ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมความคุ้มครองและผลประโยชน์ที่คุ้มค่า รวมถึง “เอไอเอ เฮลธ์ โซลูชันส์ (AIA Health Solutions)” บริการเสริมด้านสุขภาพ ที่ตอบโจทย์ครอบคลุมการดูแลสุขภาพตลอดทุกช่วงชีวิตของลูกค้าเอไอเอ และแขกรับเชิญพิเศษที่มาสร้างความสุขให้กับชาวเชียงใหม่ อย่าง ไมค์ ภัทรเดช สงวนความดี เอไอเอ เฮลธ์ เซฟเวอร์ แอมบาสเดอร์ และ เปรี้ยว ทัศนียา การสมนุช เอไอเอ เฮลธ์ โซลูชันส์ แอมบาสเดอร์ นอกจากนี้ เอไอเอ ยังได้นำกิจกรรมสนุก ๆ พร้อมของรางวัลแซ่บ ๆ ไปมอบให้เฉพาะชาวเชียงใหม่ อีกทั้งมีพันธมิตรมาร่วมออกบูธสร้างสีสรรค์ และชวนชาวเชียงใหม่ให้มามีสุขภาพดีไปด้วยกัน อาทิ บริการตรวจสุขภาพ วัดความดัน และดัชนีมวลกายฟรี พร้อมรับคำแนะนำเรื่อง Office Syndrome และทำแบบประเมินการนอนหลับ จากโรงพยาบาลกรุงเทพเชียงใหม่ บริการตรวจวิเคราะห์ความเสี่ยงในการล้ม จาก Blue Oak และโปรโมชันสุดพิเศษจาก Virgin Active และ Boots อีกด้วยนางเยาวภา อุกฤษฏชน ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดดิจิทัล กล่าวว่า “เอไอเอ เฮลธ์ เซฟเวอร์ (AIA Health Saver) เป็นประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายตัวใหม่ล่าสุดที่เราตั้งใจพัฒนาออกมาเพื่อรองรับกลุ่มคนที่มีความกังวลเรื่องสุขภาพ และต้องการมีประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายติดตัวไว้ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายตอนเจ็บป่วย โดยแบบประกันตัวนี้ เอไอเอ ตั้งใจออกแบบให้เป็นแพ็กที่เล็กลง เพื่อให้เป็นแบบประกันสุขภาพเหมาจ่ายที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ในราคาที่คุ้มค่า สามารถซื้อได้ตั้งแต่อายุ 15 วัน จนถึงอายุ 75 ปี คุ้มครองนานสูงสุดถึงอายุ 99 ปี ซึ่งจุดเด่นหลักแบบเวอร์ ๆ ของแบบประกันตัวนี้ ได้แก่   •  ดีเวอร์: เหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลสูงสุดถึง 500,000 บาท (ต่อการรักษาตัวครั้งใดครั้งหนึ่ง)  •  เยอะเวอร์: เบิ้ลความคุ้มครอง 2 เท่า[2] สำหรับ 6 โรคร้ายแรงยอดฮิต นานถึง 4 ปีกรมธรรม์  •  คุ้มเวอร์: เบี้ยประกันภัยเริ่มต้นแค่เดือนละ 575 บาท  •  บ่อยเวอร์: จ่ายค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก[3] (OPD) สูงสุด 30ครั้ง / รอบปีกรมธรรม์นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวถึง เอไอเอ เฮลธ์ โซลูชันส์ (AIA Health Solutions) ว่า “สำหรับลูกค้าเอไอเอ เราให้มากกว่าความคุ้มครอง เพราะเอไอเอ ในฐานะผู้นำในตลาดประกันชีวิตและสุขภาพ เรามีความเข้าใจความต้องการของลูกค้า และพร้อมอยู่เคียงข้างดูแลลูกค้าตลอดทุกช่วงชีวิต โดย เอไอเอ เฮลธ์ โซลูชันส์ เป็นการรวมบริการเสริมด้านสุขภาพ เพื่อให้ลูกค้าได้รับการดูแลแบบครบวงจร ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเป็นลูกค้าของเอไอเอ ผ่านบริการและโครงการสุขภาพถึง 9 บริการ ครอบคลุมการดูแลด้านสุขภาพที่เหนือระดับ ตอบโจทย์ลูกค้าในทุกช่วงของชีวิต ตั้งแต่ Preventive programs อย่าง เอไอเอ ไวทัลลิตี้ (AIA Vitality) โครงการสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย[4] ช่วยสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าสนุกกับการดูแลสุขภาพ พร้อมได้รับสิทธิประโยชน์จากพันธมิตรที่หลากหลาย รวมถึงสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพต่าง ๆ (Health Privilege) ไม่ว่าจะเป็นบริการตรวจสุขภาพประจำปี และวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ และเมื่อลูกค้าเริ่มเจ็บป่วยไม่มาก เอไอเอมีบริการ Telemedicine ปรึกษาแพทย์ทางออนไลน์ พร้อมส่งยาให้ถึงบ้าน และสามารถยื่นเคลมออนไลน์ ผ่าน AIA iService ได้ทันที ทุกที่ ทุกเวลา พร้อมกับบริการ Cashless Claim ที่ให้ลูกค้าเคลมผลประโยชน์ค่ารักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยนอก โดยไม่ต้องสำรองจ่าย เมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเครือข่ายของเอไอเอ ซึ่งมีอยู่มากที่สุดกว่า 750 แห่งทั่วประเทศ[4]“ยิ่งไปกว่านั้น หากลูกค้าเจ็บป่วยหนักถึงขั้นต้องได้รับการผ่าตัด เรามีบริการพิจารณาความคุ้มครองก่อนผ่าตัด (Pre-Authorization) ให้ลูกค้าได้รู้ความคุ้มครองก่อนได้รับการผ่าตัด ตลอดจนบริการจัดการดูแลผู้ป่วยรายบุคคล (Personal Medical Case Management) ซึ่งเอไอเอจับมือกับ Teladoc Health รวมทีมแพทย์กว่า 50,000 คนทั่วโลก มาช่วยให้ความเห็นที่สองของการรักษา เพื่อให้ลูกค้าเอไอเอ มั่นใจว่าจะได้รับการรักษาด้วยวิธีที่ดีและเหมาะสมที่สุด และหากลูกค้าต้องการไปรักษาที่ต่างประเทศ สามารถใช้บริการ Regional Passport เลือกเข้ารับการรักษาได้ในกว่า 14 ประเทศทั่วโลก หรือหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขณะอยู่ต่างแดน เรามีบริการ Emergency Medical Assistance ที่จะคอยประสานงานช่วยเหลือและเคลื่อนย้ายโรงพยาบาล ให้ลูกค้าเดินทางท่องเที่ยวได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ คือบริการเสริมด้านสุขภาพที่ลูกค้าเอไอเอจะได้รับ นอกเหนือจากความคุ้มครองค่ะ” นางสาวรพีพร กล่าวทิ้งท้ายผู้ที่สนใจแบบประกันสุขภาพ เอไอเอ เฮลธ์ เซฟเวอร์ (AIA Health Saver) สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://bit.ly/hsvprll หรือ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ AIA Call Center โทร. 1581 ตลอด 24 ชั่วโมงหมายเหตุ: [1] คำนวณจากเบี้ยประกันภัยรายปี 6,900 บาท สำหรับเพศชายอายุ 21-25 ปี แผนความคุ้มครอง 200,000 บาท [2] ผลประโยชน์สูงสุดเพิ่มเป็น 2 เท่าของจำนวนเงินเอาประกันภัย ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเข้ารับการรักษาตัวด้วยโรคร้ายแรง เมื่อป่วยเป็นโรคร้ายแรงครั้งแรก  [3] เฉพาะแผนความคุ้มครอง 400,000 บาท คุ้มครอง 1,000 บาท/ครั้ง และ 500,000 บาท คุ้มครอง 1,500 บาท/ครั้ง [4] ข้อมูล ณ วันที่ 30 เมษายน 2566 คำเตือน:    •  ผู้ขอเอาประกันภัยควรศึกษาและทำความเข้าใจในเอกสารเสนอขายก่อนตัดสินใจทำประกันภัย เมื่อได้รับเล่มกรมธรรม์แล้วโปรดศึกษารายละเอียดข้อกำหนดและเงื่อนไขในกรมธรรม์   •  ข้อกำหนดและเงื่อนไขความคุ้มครองจะระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยที่ออกให้กับผู้ถือกรมธรรม์

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X