คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ประกันชีวิต

คปภ.แก้เกณฑ์ลงทุน “รพ.-ที่พักสูงวัย” หนุนธุรกิจประกันปั้นยีลด์

30/04/2024

คปภ.ปรับเกณฑ์ลงทุนใหม่ ครอบคลุมกิจการทุกประเภท “ที่พักสูงวัย-โรงพยาบาล” ยกเว้น “คลินิกเสริมความงาม” ขณะที่ “เมืองไทยประกันชีวิต” รับสนใจลงทุน “คลินิกเฉพาะทาง-ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ” ชี้รีเทิร์นน่าสนใจ 8-10% ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านบริการ ตอบโจทย์สังคมสูงวัยนายสมประโชค ปิยะตานนท์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สายกำกับ ธุรกิจและการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากการที่ธุรกิจด้านสุขภาพของประเทศไทยมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้นเนื่องจากเป็นธุรกิจที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ในการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ รวมถึงปัจจัยสนับสนุนอื่น ๆ เช่น การขยายตัวของจำนวนผู้สูงอายุภายในประเทศ ที่ส่งผลต่อความต้องการในการใช้บริการทางการแพทย์ที่ซับซ้อนและเทคโนโลยีขั้นสูงเพิ่มขึ้นประกอบกับการเพิ่มขึ้นของกลุ่มคนรายได้ปานกลางที่มีอำนาจซื้อสูงขึ้น สำหรับความต้องการใช้บริการทางการแพทย์ รวมทั้งการขยายตัวของชุมชนเมืองจากผลนโยบายรัฐในการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษและโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งล้วนเป็นการเพิ่มโอกาสที่ผู้ประกอบการจะขยายการประกอบธุรกิจในการให้บริการทางการแพทย์ไปสู่พื้นที่ต่างจังหวัด เพื่อรองรับผู้ป่วย ซึ่งรวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในไทยดังนั้น สำนักงาน คปภ.ได้มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขประกาศใหม่เกี่ยวกับการลงทุนประกอบธุรกิจอื่นของบริษัทประกันภัย 2 เรื่องคือ 1. การถือหุ้นในนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นเพื่อประกอบกิจการสถานพยาบาลในประเทศไทยและ 2. การถือหุ้นในนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นเพื่อประกอบกิจการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิงในประเทศไทย สาระสำคัญของประกาศทั้ง 2 ฉบับนี้ เพื่อให้แนวปฏิบัติมีความชัดเจนขึ้น โดยเปิดโอกาสให้บริษัทประกันภัยสามารถเข้าไปถือหุ้นกิจการที่จัดตั้งอยู่แล้ว หรือลงทุนโดยการขอใบอนุญาตจัดตั้งนิติบุคคลใหม่ก็ได้ดร.สุธี โมกขะเวสนอกจากนี้ ได้ขยายขอบเขตการลงทุนให้กว้างขึ้น ให้ครอบคลุมกิจการสถานพยาบาลทุกประเภทและคลินิก เพิ่มเติมนอกเหนือจากการถือหุ้นโรงพยาบาลทั่วไป หรือโรงพยาบาลเฉพาะทาง ตามที่กำหนดไว้เดิม แต่จะยกเว้นสถานพยาบาลและคลินิกที่ให้บริการเสริมความงาม เนื่องจากมองว่าไม่สนับสนุนต่อธุรกิจประกันภัยโดยตรง“ปัจจุบันเงื่อนไขการลงทุนประกอบธุรกิจอื่นของบริษัทประกันภัย จะต้องถือหุ้นไม่น้อยกว่า 20% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของกิจการ ซึ่งขณะนี้ประกาศทั้ง 2 ฉบับผ่านการรับฟังความคิดเห็นและเลขาธิการ คปภ.เซ็นลงนามไปแล้ว” นายสมประโชคกล่าวดร.สุธี โมกขะเวส กรรมการผู้จัดการ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต (MTL) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เกณฑ์ใหม่ที่ คปภ.เปิดให้ลงทุนกิจการสถานพยาบาลได้ทุกประเภทและคลินิก ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะเกณฑ์เดิมให้ลงทุนเฉพาะโรงพยาบาลทั่วไปหรือโรงพยาบาลเฉพาะทาง ทำได้ค่อนข้างยาก จึงไม่ค่อยเวิร์ก“เมืองไทยประกันชีวิตสนใจลงทุน คลินิกเฉพาะทาง และศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ โดยกำลังพิจารณารีเทิร์นจาก 2 มุม คือ 1.ผลตอบแทนในทรัพย์สินของโครงการเดียว (stand-alone return) และ 2.ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริการลูกค้าให้กับบริษัทได้แค่ไหนทั้งนี้จากการศึกษาพบว่า คลินิกมีผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ในตลาดค่อนข้างดี อยู่ที่ระดับ 8-10% ซึ่งธุรกิจเหล่านี้จะน่าสนใจมากในอนาคต เพราะไทยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุ ฉะนั้นตลาดสุขภาพมาแน่”ดร.สุธีกล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ประมาณ 6.3 แสนล้านบาท พอร์ตลงทุนสัดส่วนกว่า 80% อยู่ในตราสารหนี้ ที่เหลือ 20% อยู่ในตราสารทุนและอสังหาริมทรัพย์ โดยปัจจุบันยังไม่ได้มีการปรับพอร์ตลงทุน แม้ภาวะตลาดทุนช่วงนี้มีความผันผวนเพิ่มขึ้น ระดับอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) พุ่งขึ้นกระทบส่วนชดเชยความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้น (equity risk premium)“ตอนนี้เรารีวิวหุ้นกู้ในพอร์ตอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้เชื่อว่าค่อนข้างปลอดภัยตามความเสี่ยง” ดร.สุธีกล่าวแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1407374

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวทั่วไป

สายเทคก็ไม่เว้น ผวา AI แย่งงาน

30/04/2024

สื่อนอกเผยตัวเลขการว่างงานด้านไอทีในสหรัฐ พุ่งสูง 4.3% แซงหน้าการว่างงานโดยรวม เหตุเพราะหลายบริษัทใช้ AI เข้ามาทดแทนแรงงานคนมากขึ้น วันที่ 9 ตุลาคม 2566 เดอะวอลล์สตรีตเจอร์นัล (The Wall Street Journal) รายงานว่า การว่างงานด้านไอทีในสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนกันยายน 2566 สูงถึง 4.3% แซงหน้าอัตราการว่างงานโดยรวมในประเทศที่ 3.8% ซึ่งเป็นสัญญาณว่าการจ้างงานด้านไอทีอาจชะลอตัว เนื่องจากหลายบริษัทเริ่มใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาแทนที่ ทั้งนี้ ในเดือนที่ผ่านมามีผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีว่างงาน 117,000 คน เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2566 ที่ 106,000 คน โดยรายงานจาก Janco Associates บริษัทที่ปรึกษาในสหรัฐ ซึ่งอ้างอิงข้อมูลจากกระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่า ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา การลดตำแหน่งงานในอุตสาหกรรมไอที ไม่ว่าจะเป็นซอฟต์แวร์ โทรคมนาคม บริการข้อมูล และการประมวลผลข้อมูล มีจำนวนทั้งสิ้น 14,300 อัตรา อย่างไรก็ตาม กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ในเดือนกันยายน 2566 นายจ้างในสหรัฐเพิ่มการจ้างงานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ จำนวน 336,000 ตำแหน่ง ถือเป็นการเติบโตที่แข็งแกร่งนับจากเดือนมกราคม 2566 แม้ว่าการจ้างงานในอุตสาหกรรมไอทีจะซบเซา แต่อัตราการว่างงานโดยรวมยังอยู่ในระดับต่ำกว่าที่ผ่านมา นอกจากนี้ รายงานข่าวยังระบุว่า ในปีที่ผ่านมา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสารสนเทศและผู้นำด้านเทคโนโลยีขององค์กรอื่น ๆ ถูกบีบให้ลดการจัดทำโครงการด้านไอทีที่มีค่าใช้จ่ายสูง ในขณะเดียวกันก็ลดการใช้จ่ายบนคลาวด์และซอฟต์แวร์ รวมถึงได้รับแรงกดดันจาก CEO ให้ขยายการใช้ generative AI ในองค์กรด้วย จากข้อมูลของ Janulaitis ระบุว่า AI สามารถลดการเติบโตของตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นในอุตสาหกรรมไอที เช่น การบริการลูกค้าและโทรคมนาคม ในขณะที่พนักงานอีกหลายคนกลัวตกงานเพราะ AI แต่ปัจจุบันก็เริ่มมีการ reskill มาสู่บทบาทใหม่ที่เข้ากับความต้องการในอุตสาหกรรมมากขึ้น เช่น prompt engineer หรือวิศวกรที่ควบคุมการพัฒนา AI เป็นต้น แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์ https://www.prachachat.net/ict/news-1411343

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

SMART จับมือ ALive มอบสิทธิประโยชน์คุ้มครองลูกบ้านกับประกันอุบัติเหตุกลุ่ม จาก เอไอเอ วงเงินคุ้มครอง 150,000 บาท

30/04/2024

คุณณฤทธิ์ บุนนาค ผู้จัดการฝ่ายงานดูแลคู่ค้าธุรกิจ บริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด (ซ้ายสุด), คุณสปัญญ์ ปาลีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด (ที่ 2 จากซ้าย), คุณจุฑาภัทร เหล่าธรรมทัศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนา ดิจิทัล โซลูชันส์ แอนด์ ดีไซน์ เอไอเอ เวลเนส (ที่ 2 จากขวา), คุณวีรชัย ชูสกุลพร ผู้ช่วยผู้อำนวยการแผนการพัฒนาธุรกิจ เอไอเอ เวลเนส (ขวาสุด)กรุงเทพฯ 9 ตุลาคม 2566 บริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SMART) ผู้นำด้านการบริหารจัดการงานบริหารนิติบุคคลโครงการเพื่อการอยู่อาศัย อันดับ 1 ของเมืองไทย จับมือกับ “ALive Powered by AIA” แอปพลิเคชันครบวงจรด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี มอบสิทธิประโยชน์ในการคุ้มครองลูกบ้านสมาร์ทกับประกันอุบัติเหตุกลุ่ม จาก เอไอเอ วงเงินคุ้มครอง 150,000 บาท ผ่านแอปพลิเคชัน “SMART WORLD” โมไบล์ แอปพลิเคชันที่ช่วยอำนวยความสะดวกในทุกมิติการอยู่อาศัยให้กับลูกบ้านสมาร์ทแบบครบ จบ ในแอปเดียว คุณสปัญญ์ ปาลีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SMART) กล่าวว่า “SMART มีความตั้งใจที่จะส่งมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้กับลูกบ้านคนสำคัญ เป็นเบื้องหลังรอยยิ้มของลูกบ้านทุกท่านในทุกมิติของการอยู่อาศัย โดยจัดเตรียมสิทธิประโยชน์มากมายไว้ให้กับลูกบ้านในแอปพลิเคชัน SMART WORLD พร้อมนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการดูแลลูกบ้าน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยให้ดียิ่งขึ้น ให้แอปฯ SMART  WORLD ให้เป็นมากกว่าแค่แอปฯ ธรรมดา แต่ยังซัพพอร์ตการเป็นอยู่ในทุกมิติของลูกบ้าน กับหลากหลายฟีเจอร์ ไม่ว่าจะเป็น การแจ้งเตือนรับพัสดุ จ่ายบิล ค่าส่วนกลาง ค่าน้ำ ค่าไฟ รวบรวมพาร์ตเนอร์ต่างๆเพื่อให้บริการเรื่องบ้าน” “ล่าสุด SMART ร่วมมือกับแอปฯ ALive Powered by AIA มอบสิทธิประโยชน์ในการคุ้มครองลูกบ้านสมาร์ทจากอุบัติเหตุผ่านแอปฯ “SMART WORLD”  กับประกันอุบัติเหตุกลุ่ม จาก เอไอเอ วงเงินคุ้มครอง 150,000 บาท ระยะเวลาคุ้มครองนาน 1 ปี นอกจากนี้เรายังมีสิทธิพิเศษเพิ่มเติมไว้ให้สำหรับลูกบ้านที่ซื้อประกันคุ้มครองโรคร้ายแรง AIA CI Plus อีกด้วย”  คุณจุฑาภัทร เหล่าธรรมทัศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนา ดิจิทัล โซลูชันส์ แอนด์ ดีไซน์ เอไอเอ เวลเนส กล่าวว่า “ALive เป็นแอปพลิเคชันที่ให้บริการด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ทุกครอบครัว ด้วยจุดมุ่งหมายของเราในการส่งมอบประสบการณ์ทางด้านสุขภาพ ทาง ALive เอง มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับทางแอปฯ SMART WORLD ในการช่วยดูแลลูกบ้านสมาร์ทผ่านการส่งมอบความคุ้มครองอุบัติเหตุ พร้อมด้วยสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่จะได้รับผ่าน ALive ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยส่งเสริมให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญาของเอไอเอ ‘Healthier, Longer, Better Lives’ สำหรับการรับสิทธิประโยชน์นี้ มีขั้นตอนง่ายๆ เพียงเป็นลูกบ้านสมาร์ทและเข้าแอปฯ SMART WORLD คลิกที่แบนเนอร์กิจกรรม พร้อมทำตามขั้นตอนที่กำหนดเพื่อรับสิทธิประกันอุบัติเหตุกลุ่ม จาก เอไอเอ วงเงินคุ้มครอง 150,000 บาท ระยะเวลาคุ้มครองนาน 1 ปี*แอปพลิเคชัน ​SMARTWORLD พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้วบนระบบปฏิบัติการ iOS และ Android

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

คปภ.เผย “พารากอน” มีประกันคุ้มครองคน ทุน 100 ล้าน คนเจ็บชาวลาวมีกรมธรรม์ “ทิพย”

30/04/2024

คปภ.เผยห้างสยามพารากอนทำทุนประกันทรัพย์สิน 1.6 หมื่นล้านบาท ทุนประกันคุ้มครองบุคคลภายนอก 100 ล้านบาท พบคนเจ็บชาวลาวมีประกันสุขภาพอุบัติเหตุกับ “ทิพยประกันภัย”วันที่ 4 ตุลาคม 2566 ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีเด็กชายอายุ 14 ปี ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงกลางห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนและชาวเมียนมา และมีผู้บาดเจ็บ 6 คน นำตัวส่งรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาฯ 3 คน โรงพยาบาลตำรวจ 2 คน และโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน 1 คน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566 นั้นทันทีที่ทราบข่าวได้สั่งการให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ ฝ่ายคุ้มครองสิทธิประโยชน์เร่งบูรณาการการทำงานร่วมกับสำนักงาน คปภ. เขตท่าพระ ซึ่งดูแลรับผิดชอบพื้นที่ที่เกิดเหตุเพื่อติดตามและลงพื้นที่ทันทีเพื่ออำนวยความสะดวกด้านประกันภัยและบูรณาการการตรวจสอบข้อมูลจากฐานข้อมูล IBS สำนักงาน คปภ. และร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทย สมาคมประกันชีวิตไทย ว่าผู้เสียชีวิตหรือผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้มีการทำประกันชีวิต หรือประกันภัยส่วนบุคคลประเภทอื่น ๆ ไว้หรือไม่จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า ผู้บาดเจ็บหญิงสัญชาติลาวที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน มีประกันภัยแบบสุขภาพและอุบัติเหตุส่วนบุคคลกับบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) คุ้มครองการรักษาพยาบาลเป็นผู้ป่วยในตามจริงสูงสุด 150,000 บาท และกรณีเสียชีวิต 100,000 บาทในส่วนของผู้บาดเจ็บที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล สำนักงาน คปภ. เขตท่าพระ ซึ่งดูแลรับผิดชอบพื้นที่เกิดเหตุได้เข้าเยี่ยมและอำนวยความสะดวกด้านประกันภัยให้แก่ครอบครัวของผู้บาดเจ็บและตรวจสอบเพิ่มเติมว่าผู้บาดเจ็บมีประกันภัยประเภทอื่น ๆ อีกหรือไม่ หากมีการทำประกันภัยไว้ สำนักงาน คปภ. จะเร่งดำเนินการติดตามประสานงานให้บริษัทประกันภัยชดใช้เงินหรือค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยโดยเร็วต่อไป สำหรับผู้เสียชีวิตที่เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนและชาวเมียนมา ในเบื้องต้นตรวจสอบยังไม่พบการทำประกันภัยกับบริษัทประกันภัยของไทย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงานกับกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งสำนักงาน คปภ. จะอำนวยความสะดวกในเรื่องเอกสารและข้อมูลด้านประกันภัยอย่างเต็มที่ทั้งนี้ ได้รับรายงานจากสำนักงาน คปภ. เขตท่าพระ เพิ่มเติมพบว่าห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน ได้ทำประกันภัยไว้จำนวน 2 กรมธรรม์ คือ กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (IAR) จำนวนเงินเอาประกันภัย 16,373,000,000 บาท ระยะเวลาประกันภัยเริ่มวันที่ 31 ธันวาคม 2565 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 มีสัดส่วนประกันภัยร่วม ประกอบด้วย บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) จำนวน 70 % บริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) จำนวน 15 % และ บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) จำนวน 15 % และกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอก (Public Liability) จำนวนเงิน limit of liability 100,000,000 บาท ซึ่งสำนักงาน คปภ. ได้ประสานงานบริษัทประกันภัยเบื้องต้นแล้ว“สำนักงาน คปภ. ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับการสูญเสียที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ครั้งนี้ และจะระดมสรรพกำลังบุคลากรของสำนักงาน คปภ. เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบเหตุในครั้งนี้อย่างเต็มกำลังความสามารถ รวมทั้งบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำระบบประกันภัยเข้าไปเยียวยาความเสียหายโดยเร็วต่อไป แต่เนื่องจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา อันนำมาซึ่งความสูญเสียทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลที่อยู่ในที่เกิดเหตุเสมอ ดังนั้น เพื่อความไม่ประมาท จึงควรทำประกันภัยในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การประกันชีวิต การประกันภัยอุบัติเหตุ การประกันภัยสุขภาพ หรือประกันภัยประเภทอื่น ๆ เพื่อนำระบบประกันภัยมาเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงและเข้าไปเยียวยาความสูญเสียทั้งต่อตนเองและบุคคลภายนอกที่ได้รับผลกระทบ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันภัยหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมเรื่องประกันภัยให้สอบถามหรือแจ้งสายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1408544

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

ลงทุนหลักร้อย มีเงินเก็บหลักล้าน จริงหรือไม่ ?

30/04/2024

บทความโดย “กิติชัย เตชะมโนกุล” ที่ปรึกษาการเงิน AFPTTM สมาคมนักวางแผนการเงินไทย วันที่ 3 ตุลาคม 2566 หากมองไปรอบตัว จะพบว่ามีการสื่อสารการตลาดมากมาย ที่ตั้งใจดึงเงินออกจากกระเป๋าพวกเรา แต่จะมีสักกี่คนที่มีสติพอที่จะไม่หลงไปกับการโฆษณาชวนเชื่อเหล่านั้น เมื่อช็อปปิ้งออนไลน์และเห็นข้าวของมาส่งแทบวันเว้นวัน หลายคนอาจเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า จริง ๆ แล้วข้าวของเหล่านั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่อยากได้ตามกระแส จากนั้นก็จะมีคำถามตามมาว่า เงินที่จ่ายซื้อข้าวของเป็น “รายจ่ายที่ต้องการจ่ายจริง ๆ หรือไม่” ซึ่งโดยส่วนตัวของผู้เขียน รายจ่ายมี 2 ประเภท คือ รายจ่ายเพื่อการลงทุนและรายจ่ายเพื่อการออม รายจ่ายเพื่อการลงทุน เป็นคำพูดที่ดูจะกว้างและลึกในหลายมิติและหลายคนก็รู้จักเป็นอย่างดีอยู่แล้ว เพียงแต่อาจจะไม่ได้ตระหนักว่ารายจ่ายในส่วนนี้เป็นรายจ่ายที่จ่ายให้ตัวเองในอนาคต ซึ่งอาจจะเลือกลงทุนได้ทั้งสองรูปแบบ 1. การลงทุนในทรัพย์สินที่จับต้องได้ สามารถหาประโยชน์จากการใช้ทรัพย์สินนั้นได้อย่างชัดเจน เช่น บ้าน รถยนต์ เพชรพลอยอัญมณี และของมีค่าอื่น ๆ เรียกการลงทุนแบบนี้ว่าว่า การลงทุนแบบ Tangible Investment 2. การลงทุนในหลักทรัพย์ต่าง ๆ เช่น หุ้น พันธบัตร ตราสารการเงินอื่น ๆ เพื่อที่จะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ย เงินปันผล หรือกำไรจากส่วนต่างของราคา หรือสิทธิประโยชน์อื่น ๆ เรียกการลงทุนแบบนี้ว่า การลงทุนแบบ Intangible Investment รายจ่ายเพื่อการออม แม้จะเคยได้ยินพ่อแม่บอกพวกเรามาตั้งแต่เด็ก ๆ ว่ารู้จักเก็บออม เผื่ออนาคตจะได้ไม่ลำบาก ตัวอย่างการออมอย่างง่าย ๆ  เช่น ออมเงินในธนาคารได้ดอกเบี้ย 1% ต่อปี ธนาคารจ่ายดอกเบี้ยให้ทุก 6 เดือน ถ้าออมปีละ 360 บาท หรือ 180 บาท ทุก ๆ 6 เดือน (เฉลี่ยเดือนละ 30 บาท วันละ 1 บาท) ㆍผ่านไป 1 ปี จะมีเงิน 360.90 บาท ㆍผ่านไป 10 ปี จะมีเงิน 3,776.24 บาท ㆍผ่านไป 20 ปี จะมีเงิน 7,948.59 บาท ㆍผ่านไป 30 ปี จะมีเงิน 12,558.61 บาทจะเห็นว่าเป็นจำนวนเงินที่ไม่มากนัก ทีนี้ลองมาดูว่าถ้าเพิ่มเงินออมมากขึ้น ด้วยการออมปีละ 3,600 บาท หรือ 1,800 บาท ทุก ๆ 6 เดือน (เฉลี่ยเดือนละ 300 วันละ 10 บาท) ㆍผ่านไป 1 ปี จะมีเงิน 3,609.00 บาท ㆍผ่านไป 10 ปี จะมีเงิน 37,762.41 บาท ㆍผ่านไป 20 ปี จะมีเงิน 79,485.93 บาท ㆍผ่านไป 30 ปี จะมีเงิน 125,586.05 บาทจะเห็นว่าถ้าออมเงินวันละ 10 บาท สามารถมีเงินหลักแสนได้และถ้าเก็บเงินวันละ 100 บาท จะมีเงินหลักล้านได้หรือไม่ ถ้าออม ปีละ 36,000 บาท หรือ 18,000 บาท ทุก ๆ 6 เดือน (เฉลี่ยเดือนละ 3,000 วันละ 100 บาท) ㆍผ่านไป 1 ปี จะมีเงิน 36,090.00 บาท ㆍผ่านไป 10 ปี จะมีเงิน 377.624.08 บาท ㆍผ่านไป 20 ปี จะมีเงิน 794,859.25 บาท ㆍผ่านไป 30 ปี จะมีเงิน 1,255,860.55 บาทจะเห็นว่าออมเงินวันละ 100 บาท ด้วยอัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี ผ่านไป 30 ปี ก็มีเงินล้านได้ สบาย ๆ สมมุติว่าถ้าหาผลตอบแทนจากการลงทุนได้ระดับ 3–5% เงินออมจะงอกเงยมากแค่ไหน ถ้าออมเงิน 18,000 บาท ทุก ๆ 6 เดือน ให้ได้ผลตอบแทนที่ 5% ผ่านไป 30 ปี จะมีเงิน 2,447,848.62 บาท จะเห็นว่ายิ่งระยะเวลาในการลงทุนนาน ประกอบกับผลตอบแทนที่สูงขึ้น จะทำให้เงินออมของเราเพิ่มพูนมากขึ้นตามไปด้วยมาถึงตรงนี้อาจมีข้อโต้แย้งว่าเมื่อหักค่าใช้จ่ายในแต่ละวันก็แทบไม่เหลือเงินเพื่อมาเก็บออมและลงทุน คำตอบ คือ การเก็บเงินวันละ 100 บาท เป็นไปได้ ด้วยการลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นหรือรายจ่ายที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ เช่น ลดการช็อปปิ้ง หยุดการซื้อข้าวของที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต หยุดการทานข้างนอกบ้าน จากนั้นก็นำเงินนำเก็บออมและลงทุน และเมื่อมีวินัยในการวางแผนการเงิน อีกไม่กี่ปีจะได้หยิบเงินล้านแน่นอน แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/prachachat-wealth/news-1405789

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ภาษี

เตรียมพร้อม 'เสียภาษี' เมื่อคุณมีรายได้จาก 'แหล่งเงินได้นอกประเทศ'

30/04/2024

ตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป “กรมสรรพากร” ได้ปรับปรุงวิธีการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีมีเงินได้จาก “แหล่งเงินได้นอกประเทศ” ผู้มีเงินได้จากต่างประเทศต้องเตรียมตัวรับมืออย่างไร โดยปกติเมื่อ "บุคคลธรรมดา" มีรายได้จากแหล่งเงินได้นอกประเทศ จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้หากเข้าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ทว่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป กรมสรรพากรได้ปรับปรุงวิธีการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีมีเงินได้จากแหล่งเงินได้นอกประเทศ เนื่องจากประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก Global Forum on Transparency and Exchange of Information for Tax Purposes และได้ลงนามผูกพันในความตกลงพหุภาคี (ข้อตกลงการค้าพหุภาคี เป็นสนธิสัญญาเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศตั้งแต่สามประเทศขึ้นไป) ว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือด้านการบริหารภาษี (MAC) และความตกลงพหุภาคีระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินแบบอัตโนมัติ (MCAA CRS) ดังนั้น จึงทำให้กรมสรรพากรมีความจำเป็นต้องปรับปรุงการจัดเก็บภาษีให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น ระหว่างผู้มีเงินได้จากแหล่งเงินได้ภายในและภายนอกประเทศ เงื่อนไขจะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง สามารถอธิบายได้ดังนี้ ㆍมีรายได้จากต่างประเทศต้องเสียภาษีอย่างไร หากเป็นก่อนหน้านี้ที่กรมสรรพากรยังไม่มีการปรับปรุงวิธีการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีมีเงินได้จากแหล่งเงินได้นอกประเทศ คือ เมื่อใดก็ตามที่บุคคลทั่วไปมีรายได้ ไม่ว่าจะเป็นภายในประเทศหรือนอกประเทศ ต้องนำรายได้ดังกล่าวมาเสียภาษีเมื่อถึงเกณฑ์กำหนด ทั้งนี้ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 41 วรรคสองและวรรคสาม ได้กำหนดไว้ว่า แหล่งเงินได้จากนอกประเทศ ประกอบด้วย การทำงานในต่างประเทศให้กับนายจ้างที่อยู่ต่างประเทศ หรือทำงานในประเทศไทยแล้วส่งงานให้กับนายจ้างที่อยู่ต่างประเทศ การไปประกอบกิจการในต่างประเทศและส่งเงินเข้ามาในประเทศไทย การนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศ เช่น หุ้นหรือพันธบัตร และภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากการส่งสินค้าในประเทศไทยออกไปขายยังต่างประเทศ ทั้งหมดนี้ถือเป็นรายได้จากแหล่งนอกประเทศ และถ้าผู้มีรายได้จากแหล่งนอกประเทศดังกล่าว พักอยู่ในประเทศไทยในปีเป็นเวลา 180 วัน ซึ่งอาจจะอยู่อย่างต่อเนื่องหรือไม่ก็ได้ แต่รวมระยะเวลาแล้วได้ถึง 180 วัน โดยยึดระยะเวลาตามพาสปอร์ตของผู้มีรายได้ และนำเงินรายได้ที่ได้รับเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีเดียวกันกับที่เกิดรายได้ ก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีจากรายได้ในส่วนนี้ด้วย ดังนั้น ในทางตรงกันข้าม หากผู้มีรายได้นำเงินที่ได้รับเข้ามาในประเทศไทย ในปีภาษีเดียวกันกับที่เกิดรายได้ แต่ไม่ได้พักอยู่ในประเทศไทยถึง 180 วัน โดยยึดระยะเวลาตามพาสปอร์ตของผู้มีรายได้ ก็ไม่จำเป็นต้องเสียภาษีเงินได้ในส่วนนี้ ㆍอัปเดต! เงื่อนไขมีรายได้จากแหล่งเงินได้นอกประเทศ และล่าสุดเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ.2566 กรมสรรพากรได้มีการปรับปรุงวิธีการการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีมีเงินได้จากแหล่งเงินได้นอกประเทศ ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.161/2566 เรื่อง การเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 41 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ผู้ที่มีเงินได้พึงประเมินเนื่องจากหน้าที่การงานหรือกิจการที่ทำในต่างประเทศ หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ ตามมาตรา 41 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ในปีภาษีดังกล่าว และได้นำเงินได้พึงประเมินนั้น เข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีใดก็ตาม ให้บุคคลนั้นมีหน้าที่ต้องนำเงินได้พึงประเมินนั้นมารวมคำนวณ เพื่อเสียภาษีเงินได้ ตามมาตรา 48 แห่งประมวลรัษฎากร ในปีภาษีที่ได้นำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทย ​กล่าวคือหากบุคคลธรรมดามีรายได้จากแหล่งนอกประเทศตามที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น และมีการนำเงินได้พึงประเมินดังกล่าวเข้ามาในประเทศไทย จะต้องนำรายได้จากแหล่งนอกประเทศนี้ มาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตั้งแต่วันแรกที่อยู่ในประเทศไทย ㆍใช้ “อนุสัญญาภาษีซ้อน” เพื่อป้องกันการเสียภาษีซ้ำซ้อน และถึงแม้ผู้มีรายได้จะต้องเสียภาษีเงินได้ในส่วนที่เป็นเงินได้จากแหล่งนอกประเทศก็ตาม แต่หากผู้มีเงินได้ถูกเก็บภาษีไว้ในประเทศแหล่งเงินได้แล้ว ผู้มีเงินได้สามารถนำภาษีที่ถูกประเทศแหล่งเงินได้ที่มีการทำอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทย เก็บไว้มาใช้เป็นเครดิตภาษีได้ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในอนุสัญญาภาษีซ้อน ทั้งนี้ อนุสัญญาภาษีซ้อน หรือ Double Taxation Agreement (DTAs) คือ สนธิสัญญาทางภาษีแบบทวิภาคี (Bilateral Treaties) ที่เป็นการลงนามระหว่างประเทศไทย และประเทศคู่สัญญาต่างๆ เพื่อป้องกันการเก็บภาษีซ้ำซ้อน ในกรณีที่เงินได้ของบุคคลหนึ่งเข้าเกณฑ์การเสียภาษีมากกว่า 1 ครั้ง ภายใต้กฎหมายภาษีอากรของประเทศมากกว่า 1 ประเทศขึ้นไป อธิบายแบบเข้าใจง่ายก็คือ ถ้าบุคคลธรรมดามีรายได้จากต่างประเทศที่เป็นประเทศคู่สัญญากับประเทศไทย และได้เสียภาษีไว้แล้วกับแหล่งเงินได้ต่างประเทศนั้น ผู้มีรายได้สามารถเก็บหลักฐานไว้เพื่อใช้เป็นเครดิตภาษีได้ ซึ่งอาจทำให้เสียภาษีในประเทศไทยน้อยลง เนื่องจากสัญญานี้จะช่วยลดภาระการจ่ายภาษีที่ซ้ำซ้อนลงนั่นเอง สรุป...จะมีผลกระทบต่อนักลงทุนหรือไม่ ดังนั้น อาจสรุปได้ว่า เมื่อกรมสรรพากรมีการปรับปรุงวิธีการการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีมีเงินได้จากแหล่งเงินได้นอกประเทศ นอกจากจะช่วยสนับสนุนและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกและลงนามผูกพันในความตกลงพหุภาคีดังกล่าวแล้ว ยังเสริมสร้างความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีระหว่างผู้มีเงินได้จากแหล่งเงินได้ภายในและภายนอกประเทศ เพื่อยกระดับความโปร่งใสในการปฏิบัติทางภาษีให้ถูกต้อง แต่ ณ ตอนนี้ ยังต้องรอทางกรมสรรพากรทบทวนอีกครั้ง โดยต้องพิจารณาผลกระทบที่มีโอกาสเกิดขึ้นกับผู้ลงทุนรายย่อย เนื่องจากมีความจำเป็นในการโอนเงินกลับเข้าประเทศไทยสูงกว่านักลงทุนรายใหญ่ ที่ไม่มีความจำเป็นในการใช้เงินเท่ารายย่อย และผลกระทบอื่นๆ อีกด้วย Source : Inflow Accounting แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1091328

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

6 ปัจจัยสำคัญเลือกซื้อประกันชีวิตให้มีแต่คำว่าคุ้ม

30/04/2024

“ตอนนี้อายุ 25 ปี อยากทำประกันชีวิตให้ตัวเองซัก 1 กรมธรรม์ ประกันชีวิตแบบไหนดีที่สุดคะ ช่วยแนะนำหน่อยค่ะ” ประกันชีวิตเป็นอีก 1 ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือช่วยบริหารความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ พูดง่ายๆ ก็คือ การทำประกันชีวิตเป็นการถ่ายโอนความเสี่ยงที่มีไปให้บริษัทประกันช่วยดูแล ถึงแม้จะไม่สามารถชดเชยความสูญเสียได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ช่วยลดทอนผลกระทบจากความสูญเสียได้บางส่วน การวางแผนซื้อประกันชีวิตที่มีประสิทธิภาพ นอกจากจะพิจารณาจากเบี้ยประกันชีวิตที่สอดคล้องกับสภาวะการเงินแล้ว การพิจารณารายละเอียดปลีกย่อยที่ครอบคลุมในหลายๆ ปัจจัยก็เป็นเรื่องสำคัญที่คนอยากทำประกันชีวิตไม่ควรมองข้ามปัจจัยสำคัญเลือกซื้อประกันชีวิตให้มีแต่คำว่าคุ้ม 1. เข้าใจความแตกต่างของประกันชีวิตแต่ละประเภท สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ใช้เกณฑ์ในการแบ่งประเภทของประกันชีวิตไว้ 2 แบบ ดังนี้ ประชีวิตแบบทั่วไปมี 5 ประเภท ได้แก่ 1) ชั่วระยะเวลา (Term Life Insurance) 2) ตลอดชีพ (Whole Life Insurance) 3) สะสมทรัพย์ (Endowment/Saving Insurance) 4) เงินได้ประจํา/แบบบํานาญ (Annuity Insurance) 5) ควบการลงทุน (Unit link)ประกันชีวิตแบบพิเศษมี 2 ประเภท ได้แก่ 1) ควบการลงทุน (Investment-linked life insurance) 2) เฉพาะผู้สูงอายุ  ประกันชีวิตทั้ง 7 ประเภทนี้ถูกออกแบบมาเพื่อจุดประสงค์ในการบริหารความเสี่ยงที่ที่แตกต่างกัน ดังนั้นก่อนการตัดสินใจซื้อประกันทุกครั้งจึงควรศึกรายละเอียดของประกันชีวิตแต่ละประเภทให้ดีเสียก่อน เพื่อผลประโยชน์อันสูงสุดของตัวเราเอง 2. เลือกทุนประกันชีวิตที่เหมาะสมการวางแผนการซื้อประกันชีวิตนอกจากต้องเข้าใจความแตกต่างของประกันชีวิตแต่ละประเภทแล้ว ปัจจัยด้านทุนประกันเองก็สำคัญไม่แพ้กัน การเลือกทุนประกันที่ดีจะต้องมีวงเงินการคุ้มครองที่เพียงพอต่อความเสี่ยงทางการเงินของเรา ไม่ว่าจะเป็น ภาระทางการเงินที่อาจจะตกไปถึงคนข้างหลัง หรือ ค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นแบบไม่คาดฝัน ทั้งนี้ ก็เพื่อให้เรามีความมั่นใจว่า ไม่ว่าในสถานการณ์ไหน ชีวิตก็จะดำเนินต่อไปแบบไม่สะดุด ยกตัวอย่างเช่น เรามีหนี้สินเชื่อบ้านอยู่ 1 ล้านบาท การเลือกทุน เลือกกำหนดทุนประกันก็ควรจะให้เพียงพอต่อภาระหนี้สินที่มี เพื่อให้ผู้รับผลประโยชน์จากการทำประกันชีวิตของเรานั้นสามารถปลดภาระหนี้สินที่ตกทอดไปถึงพวกเขาได้ 3. ระบุความต้องการ และความแตกต่างให้ชัดเจน ความต้องการ เป้าหมาย และความเสี่ยงของคนเรามีความแตกต่างกันไปตามสถานการณ์ และวิถีการดำเนินชีวิต การเลือกซื้อประกันชีวิตจึงควรเลือกแบบประกันให้ตอบโจทย์กับความต้องการ และสอดคล้องกับความแตกต่างของแต่ละบุคคล  ยกตัวอย่างเช่น นาย noon เป็นพนักงานบริษัทเอกชน มีรายได้อยู่ในระดับกลางๆ ต้องการสร้างมรดกเป็นเงินจำนวนก้อนหนึ่งไว้ให้กับคนที่รักในยามที่เขาจากไป “ดังนั้นประกันชีวิตที่น่าจะเหมาะกับเขาคือ”ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ “เนื่องจากแบบดังกล่าว เน้นความคุ้มครองชีวิตที่สูง มีมูลค่าเงินสด และเบี้ยประกันไม่สูงมากนัก” 4. สำรวจความพร้อมในการจ่ายเบี้ยประกันชีวิต  เราวางแผนจ่ายเบี้ยประกันดีหรือยัง? ถึงแม้ว่าเราจะได้เจอกับแบบประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองตอบโจทย์กับความต้องการของเราทุกประการ แต่ถ้าเราฝืนจ่ายเบี้ยประกันเกินกำลังของตัวเองอาจทำให้แบบประกันปังๆ กลายเป็นพังได้ ดังนั้นนอกจากจะมองหาแบบประกันที่ตรงใจแล้ว เบี้ยประกันก็ควรอยู่ในเกณฑ์ที่เราจ่ายไหวด้วย หรืออ้างอิงตามคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทางการเงินส่วนบุคคล ที่ระบุว่าเบี้ยประกันภัยต่อปีในระดับแนะนำนั้น อาจจะอยู่ที่ราว ๆ 10% ของรายได้ต่อปี  5. ทำความรู้จักบริษัทประกันให้มากขึ้น หาข้อมูลเกี่ยวกับความมั่นคงเพื่อความมั่นใจปัจจัยด้านความมั่นคงของบริษัทประกันชีวิตมักเป็นปัจจัยที่เรามักหลงลืม หรือไม่ค่อยคำนึงถึง แต่รู้หรือไม่? ความมั่นคงของบริษัทประกันนั้นจะช่วยสะท้อนให้เห็นถึงความปลอดภัยในการทำประกันชีวิต เช่น เราสามารถศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับความมั่นคงทางการเงินของบริษัทประกันภัยได้จากรายงานอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) หรือจากงบการเงินของบริษัทประกันภัย ทั้งที่เผยแพร่โดยสำนักงาน คปภ. หรือจากบริษัทประกันภัยโดยตรง เพราะยิ่งบริษัทประกันมีความมั่นคงมากเท่าไหร่ ความพร้อมในการให้บริการด้านการประกันภัย อาทิเช่น การจ่ายค่าสินไหมทดแทน ก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น 6. ศึกษาข้อยกเว้นและเงื่อนไขการเลือกซื้อแบบประกัน ไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิต หรือประกันใดๆ ก็ตาม เรามักย้ำเตือนอยู่เสมอว่าควรอ่านรายละเอียดความคุ้มครอง และข้อยกเว้น หรือเงื่อนไขต่างๆ ให้ดี เพราะหากพลาดไปแม้แต่จุดเดียวอาจทำให้เราพลาดสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองจากประกันไปเลยก็ได้  ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผู้เอาประกันฆ่าตัวตายภายใน 1 ปี นับจากวันทำสัญญาหรือวันต่ออายุสัญญาครั้งสุดท้ายบริษัทประกันชีวิตจะยกเว้นการจ่ายเงินเอาประกันให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ทันที เพราะผิดเงื่อนไขที่ตกลงไว้ในสัญญาประกันภัย สรุป การเลือกซื้อประกันชีวิตให้มีประสิทธิภาพควรพิจารณาจาก 6 ปัจจัยด้วยกัน ซึ่ง ประกอบไปด้วยปัจจัยด้านความเข้าใจความแตกต่างของประกันชีวิตแต่ละประเภท ปัจจัยด้านการเลือกทุนประกันชีวิตที่เหมาะสมทุน ปัจจัยด้านความต้องการ และความแตกต่างเฉพาะบุคคล ปัจจัยด้านความพร้อมในการจ่ายเบี้ยประกัน ปัจจัยด้านข้อมูลของบริษัทประกัน และสุดท้ายปัจจัยด้านรายละเอียดของข้อยกเว้น และเงื่อนไขของแบบประกันชีวิต  หากรู้คำตอบแล้วว่าตัวเรานั้นเหมาะสมกับประกันชีวิตแบบไหนก็อย่าลืมแวะเข้ามาเลือกซื้อประกันชีวิตผ่าน noon.in.th ที่นี่เรามีแบบประกันชีวิตให้เลือกซื้อมากมาย ทั้งตอบโจทย์ และครอบคลุมทุกความต้องการ ขอบคุณแหล่งข้อมูล : oic.or.th , moneybuffalo.in.th, prachachat.net, thaipublica.orgหนังสือ หลักสูตรวางแผนการเงิน : ชุดวิชาที่3 การวางแผนประกันภัย หน้าที่ 7-8แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับnoonhttps://www.noon.in.th/blog/6-point-select-the-right-life-insurance/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวทั่วไป

สาวก “กฎแรงดึงดูด” ใช้พลังคิดบวกหวังรวย ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตจริง

30/04/2024

แนวคิดทางจิตวิญญาณยอดนิยม ที่ถูกนำมาประยุกต์ใช้แก้ปัญหาเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ของผู้คนกันมากที่สุดในโลกยุคปัจจุบัน เห็นจะได้แก่ความเชื่อใน “กฎแรงดึงดูด” (law of attraction) ซึ่งใช้พลังในการคิดบวกดึงดูดโอกาสสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยเข้ามาหาตนเอง คนจำนวนไม่น้อยที่เชื่อถือศรัทธาในเนื้อหาของหนังสือ “เดอะ ซีเคร็ต” (The Secret) ซึ่งเขียนโดยรอนดา เบิร์น เมื่อปี 2006 ต่างเชื่อมั่นว่าการคิดบวกโดยวาดฝันจินตนาการถึงอนาคตทางการเงินที่สดใส จะดึงดูดพลังบวกทั้งมวลในจักรวาลให้มาหนุนเสริมโอกาสสร้างฐานะเพื่อเป็นมหาเศรษฐีได้ ซึ่งน่าสงสัยอย่างยิ่งว่า ในชีวิตจริงจะมีสักกี่คนที่ประสบความสำเร็จทางการเงินด้วยเทคนิคนี้ ? เพื่อตอบคำถามข้างต้นและพิสูจน์ว่ากฎแรงดึงดูดใช้ได้ผลจริงหรือไม่ คณะนักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ของออสเตรเลีย ได้ทำการศึกษากับชาวอเมริกัน 1,023 คน โดยให้ตอบแบบสอบถามทางออนไลน์ เพื่อวัดระดับความเชื่อถือศรัทธาต่อกฎแรงดึงดูดของคนเหล่านี้ ทั้งยังศึกษาวิเคราะห์พฤติกรรมของพวกเขาในการ “แมนิเฟสต์” (manifest) หรือการตั้งจิตแน่วแน่เพื่อแสดงเจตนารมณ์ของตนเองต่อจักรวาล ซึ่งมักจะทำกันโดยใช้วิธีนั่งสมาธิสร้างภาพในใจหรือเขียนบันทึกประจำวันด้วยรายงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร “จดหมายข่าวบุคลิกภาพและจิตวิทยาสังคม” (Personality and Social Psychology Bulletin) เผยว่าบรรดาสาวกของลัทธิกฎแรงดึงดูด มักไม่ประสบความสำเร็จทางการเงินในชีวิตจริง โดยหลายคนถึงกับต้องล้มละลาย เนื่องจากชอบเข้าไปเกี่ยวข้องกับการลงทุนความเสี่ยงสูง ทีมผู้วิจัยระบุว่า แม้คนเหล่านี้จะเชื่อมั่นสูงว่าตนเองกำลังประสบความสำเร็จทางการเงินอยู่ในปัจจุบัน และจะมีอนาคตทางการเงินที่ดีขึ้นไปอีกอย่างแน่นอนในวันข้างหน้า แต่ทว่าผลวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินส่วนบุคคลกลับชี้ว่า ไม่พบหลักฐานเชิงประจักษ์ซึ่งพิสูจน์ยืนยันว่ามีความสำเร็จทางการเงินเพิ่มขึ้นเลย ซ้ำยังมีแนวโน้มของพฤติกรรมทางการเงินที่น่าเป็นห่วงอีกด้วย “คนที่มีความศรัทธาในระดับสูงต่อการแมนิเฟสต์ มองว่าตนเองมีความมุ่งมั่นแน่วแน่ที่จะประสบความสำเร็จให้ได้ และจะบรรลุถึงความสำเร็จดังใจปรารถนาอย่างแน่นอนในอนาคต” ดร.ลูคัส ดิกสัน ผู้นำทีมวิจัยกล่าว “แต่ความตั้งใจเช่นนี้ทำให้พวกเขามีแนวโน้มจะเชื่อมั่นว่า ตนเองสามารถประสบความสำเร็จในระดับที่เหลือเชื่อได้ในเวลาอันรวดเร็ว ส่งผลให้ถูกหลอกล่อเข้าไปลงทุนในภาคการเงินที่มีความเสี่ยงสูง อย่างเช่นสกุลเงินดิจิทัลหรือคริปโตเคอร์เรนซีได้ง่าย” “แม้อยู่ในภาวะทางการเงินที่ย่ำแย่ แต่คนเหล่านี้กลับศรัทธาในกฎแรงดึงดูดต่อไปอย่างไม่สั่นคลอน จนการมองโลกในแง่ดีซึ่งมีประโยชน์ในบางครั้ง กลับพรางตาทำให้คนกลุ่มนี้มองไม่เห็นความเป็นจริง โดยละทิ้งการคิดแบบใช้เหตุผลรวมทั้งสามัญสำนึกหรือคอมมอนเซนส์ไปพร้อมกัน ทำให้มีความเชื่อมั่นต่อการลงทุนความเสี่ยงสูงมากเกินไป” ดร.ดิกสัน กล่าวสรุป ทีมผู้วิจัยยังบอกว่า สื่อสังคมออนไลน์หรือโซเชียลมีเดีย มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการเผยแพร่แนวคิดเรื่องกฎแรงดึงดูดให้เป็นที่นิยมของคนหมู่มาก โดยมีบรรดาอินฟลูเอนเซอร์พากันออกมาชี้ช่องรวยทางลัดด้วยเทคนิคนี้อย่างไม่ขาดสาย โดยสถิติของติ๊กต็อก (TikTok) เมื่อเดือน พ.ค. ของปีนี้ มีผู้เข้าชมคลิปวิดีโอเกี่ยวกับการแมนิเฟสต์แล้วถึง 34,600 ล้านครั้ง แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับBBC NEWSไทยhttps://www.bbc.com/thai/articles/c0dgdd714nvo

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

ตายแล้ว เงินเราจะไปไหน ?

30/04/2024

บทความโดย “วิไล รักต้นตระกูล”  นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทย หากไม่มีการวางแผนจัดการมรดก เมื่อเราเสียชีวิตไป ทรัพย์สินที่มีอยู่อาจจะไม่ส่งต่อถึงทายาท ตามความประสงค์ คำถามคือ แล้วทรัพย์สินเหล่านั้นหายไปไหน “อิสระ” นักวางแผนการเงิน มาเยี่ยมลูกค้า ชื่อคุณภาษนัย นักธุรกิจ วัย 40 ปี ที่กำลังรับการรักษาหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ยังคงต้องดูอาการที่โรงพยาบาลอีกสักระยะ ภาษนัยเล่าให้อิสระฟังข้อกังวลเกี่ยวกับการวางแผนส่งต่อมรดก เพราะตอนนี้ ยังไม่เคยมีการวางแผนใด ๆ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว ประกอบกับอายุก็ยังไม่มาก จึงคิดว่ายังไม่จำเป็นที่จะต้องวางแผน แต่เมื่อเข้ารับการักษาโรคหัวใจทำให้รู้ว่าความตายเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และไม่ควรประมาทกับการใช้ชีวิต จึงต้องการวางแผนการส่งต่อมรดกให้เรียบร้อย จะได้ไม่มีความกังวล หากตัวเองต้องจากไปในวันใดวันหนึ่ง ในเรื่องของการวางแผนส่งต่อมรดกเป็นประเด็นที่น่าสนใจ โดยอิสระได้แนะนำว่าหากโชคร้ายเสียชีวิตกะทันหัน ในขณะที่ยังไม่มีการวางแผนการส่งต่อมรดก สินทรัพย์ของภาษนัยจะถูกส่งต่อไปไหนบ้าง ภาษนัยแต่งงานอยู่กินกับภรรยาวัยห่างกันเกือบ 10 ปี มีบุตรชาย 1 คนอายุ 4 ขวบ ส่วนคุณพ่อยังมีชีวิตขณะที่คุณแม่เสียชีวิตแล้ว โดยคุณพ่อกับคุณแม่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน และมีพี่ชาย น้องชาย ร่วมบิดามารดา รวม 2 คนหากไม่ได้มีการวางแผนการส่งต่อมรดกด้วยพินัยกรรม ทรัพย์มรดกทั้งหมดจะตกเป็นของทายาทโดยธรรม ตามหลักการนี้ ทายาทโดยธรรมมี 2 ประเภท คือ ประเภทคู่สมรส และประเภทญาติ 6 ลำดับ จะแบ่งมรดกไปยังทายาทโดยธรรมก็ต่อเมื่อ ผู้ตาย ตายโดยมิได้ทำพินัยกรรมไว้หรือทำไว้แต่พินัยกรรมนั้นไร้ผล ซึ่งการแบ่งทรัพย์มรดกกองนี้ระหว่างทายาทโดยธรรมประเภทญาตินั้นต้องแบ่งตามลำดับชั้น ดังต่อไปนี้ 1. ผู้สืบสันดาน คือ ลูก (บุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย, บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว และบุตรบุญธรรม) หลาน เหลน ลื้อ ไปจนสุดสาย 2. บิดามารดา ในกรณีของบิดา เฉพาะบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้นที่มีสิทธิรับมรดก 3. พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 4. พี่น้องร่วมบิดาหรือมารดาเดียวกัน 5. ปู่ ย่า ตา ยาย 6. ลุง ป้า น้า อา สำหรับคู่สมรสของเจ้ามรดกที่ถือเป็นทายาทโดยธรรม จะต้องเป็นคู่สมรสที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายกับเจ้ามรดก และก็จะได้รับมรดกตามสัดส่วน ซึ่งทายาทโดยธรรมประเภทญาติทั้ง 6 ลำดับข้างต้นนั้น ไม่ได้มีสิทธิรับมรดกด้วยกันหมดทุกคน แต่หากทายาทลำดับต้นยังมีชีวิตอยู่ ก็เฉพาะแต่ทายาทลำดับดังกล่าวเท่านั้นที่มีสิทธิรับมรดก ซึ่งทายาทลำดับต้น ได้แก่ ผู้สืบสันดาน บิดา มารดา เท่านั้น หากมี 2 ลำดับนี้ลำดับใดลำดับหนึ่งแล้ว ลำดับ 3 ถึง 6 ก็จะไม่มีสิทธิในการรับมรดก สัดส่วนการแบ่งมรดกให้คู่สมรสและทายาทคือหมายเหตุ : หากไม่มีทายาทโดยธรรมทั้งญาติและคู่สมรส และไม่มีการทำพินัยกรรมไว้มรดกจะตกเป็นของแผ่นดิน กรณีของภาษนัยทรัพย์สินมรดกจะตกเป็นของบุตรชายแต่เพียงผู้เดียว เนื่องจาก ภรรยาไม่ได้จดทะเบียนสมรส และคุณพ่อไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับคุณแม่ จึงไม่ถือว่าคุณพ่อเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงภาษนัยมีความต้องการจะส่งมอบทรัพย์สินให้กับครอบครัวทุกคน โดยมีรายละเอียดดังนี้ ㆍบ้านที่อยู่อาศัยปัจจุบันและเงินสด 5 ล้านบาท มอบให้ภรรยา ㆍที่ดิน 3 แปลง และเงินสด 10 ล้านบาทในบัญชีธนาคาร มอบให้บุตรชาย ㆍเงินสด 5 ล้านบาท ให้กับบิดากิจการที่ดำเนินการอยู่ต้องการส่งมอบให้กับน้องชาย อิสระ จึงแนะนำภาษนัยว่าการจัดทำพินัยกรรมเพื่อวางแผนส่งต่อมรดก โดยการเขียนพินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับ ซึ่งเป็นพินัยกรรมที่สามารถจัดทำได้สะดวกที่สุด โดยมีข้อกำหนด ดังนี้ ㆍต้องเขียนด้วยลายมือของตนเองทั้งฉบับ ใช้พิมพ์ไม่ได้ ㆍจะมีพยานหรือไม่มีก็ได้ ㆍต้องลงวัน เดือน ปี ในขณะที่ทำ ㆍต้องลงลายมือชื่อ จะใช้ลายพิมพ์นิ้วมือหรือเครื่องหมายอื่นไม่ได้ สรุปแล้ว การวางแผนส่งต่อมรดก ควรจัดทำตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้มั่นใจได้ว่ามรดกจะส่งมอบไปยังทุกคนตามความตั้งใจ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1400351

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

วัยรุ่นสร้างตัวยุคใหม่ ลงทุนอย่างไรดี ? เพื่อพิชิตเป้าหมายของชีวิต

30/04/2024

บทความโดย “ศุภิสรา อโณทยานนท์” ที่ปรึกษาการเงิน AFPT บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุนฟินโนมีนา จำกัด วันที่ 25 กันยายน 2566 คนเราต้องใช้เงินในทุกช่วงของชีวิต จึงควรเรียนรู้วิธีจัดการเงิน เพื่อให้ครอบคลุมกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในแต่ละช่วงระยะเวลา ซึ่งระยะเวลาในการใช้เงินของคนเราแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ สั้น กลาง และ ยาว โดยในแต่ละระยะ เราต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนไม่เท่ากัน เพราะอะไร ? ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่าย ๆ เช่น คุณ A มีเงินส่วนใหญ่ลงทุนในหุ้นเพื่อให้ได้ผลตอบแทน 8% โดยวางแผนว่าจะนำกำไรหรือเงินปันผล มาจ่ายค่าผ่อนบ้าน แต่ปรากฎว่าหุ้นดันตกและอยู่ในช่วงที่จะต้องจ่ายค่าผ่อนบ้านพอดี ซึ่งแน่นอนว่า เราคงไม่อยากขายในขณะที่ยังขาดทุน หรือไปนั่งเจรจากับธนาคารหรือเจ้าหนี้ว่า “ขอผัดผ่อนไปก่อนได้มั้ย ไว้หุ้นขึ้นแล้วเดี๋ยวมาจ่ายเลย” ซึ่งเป็นไปได้ยาก แต่ในทางกลับกัน ถ้าตั้งแต่ต้น คุณ A ไม่เลือกลงทุนในหุ้น แล้วเลือกฝากในธนาคารที่ได้ผลตอบแทน 0.25% ที่ดึงเงินออกมาใช้ได้ตลอดเวลา คุณ A และทุกคนคงรู้สึกไม่จูงใจที่จะลงทุนในลักษณะนั้น งั้นเราควรจะเอาเงินไปลงทุนตรงไหนดี ? ในเมื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนสูง ความผันผวนก็สูงตาม จะลงทุนในสินทรัพย์ที่ผลตอบแทนต่ำ ก็ไม่จูงใจ คำตอบคือ แบ่งเงินออกเป็น 4 พอร์ต เพื่อลงทุนให้เหมาะกับการใช้เงินในแต่ละระยะดีกว่า พอร์ตที่ 1 เงินสำรองฉุกเฉิน เผื่อไว้ยามที่มีค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด หรือ ขาดรายได้ ตกงาน อยากเปลี่ยนงาน ก็ยังใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้โดยไม่ต้องกังวลที่ขาดรายได้มากนัก ซึ่งจากหลักการการวางแผนการเงิน เราควรมีเงินส่วนนี้เท่ากับ ค่าใช้จ่าย 3 – 6 เดือน เช่น ปกติใช้จ่ายเดือนละ 10,000 บาท ก็ควรมีเงินสำรองเก็บไว้ในธนาคารสักประมาณ 30,000 – 60,000 บาท พอร์ตที่ 2 กองทุนรวมตลาดเงิน หรือ กองทนุตราสารหนี้ระยะสั้น สำหรับเป้าหมายระยะสั้นที่ต้องใช้เงินในช่วง 1–3 ปี เช่น เก็บเงินดาวน์รถ ดาวน์บ้าน คาดหวังผลตอบแทนประมาณ 0.5–2% เพื่อให้แน่ใจว่าจะรักษาเงินต้นไว้ มาจ่ายสิ่งจำเป็นพวกนี้ได้ พอร์ตที่ 3 กองทุนรวมตราสารหนี้หรือตราสารผสม สำหรับเป้าหมายระยะกลาง ที่ต้องใช้เงินในอีก 3–7 ปี ตอนนั้นเราอาจจะเริ่มสร้างครอบครัวแล้ว จึงอาจจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อแต่งงานหรือดาวน์บ้าน กำหนดเป็นพอร์ตที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 3–4% ไม่ได้มีสภาพคล่องมากเท่าพอร์ตที่ 2 และไม่ได้มีผลตอบแทนสูงมากนักเพื่อให้ความเสี่ยงไม่สูงมากจนเกินไป พอร์ตที่ 4 กองทุนรวมตราสารทุนหรือกองทุนหุ้น สำหรับเป้าหมายระยะยาว ที่ต้องใช้เงินในอีก 7 ปีขึ้นไป ที่จะเป็นพอร์ตเพื่อการเกษียณ ซึ่งคนในวัยนี้มักมีคำถามว่าเราควรจะเริ่มเลยหรือไม่ ตอบเลยว่า ยิ่งเริ่มเร็ว ยิ่งดี ได้เปรียบมาก เพราะยิ่งอายุน้อย ยิ่งมีเวลาในการลงทุนยาวนานมากกว่าวัยอื่น ทำให้ความเสี่ยงในการขาดทุนลดลง และได้ประโยชน์สูงมากจากผลตอบแทนแบบทบต้นทบดอก หรือดอกเบี้ยทบต้นนั่นเอง ดอกเบี้ยทบต้น เป็นตัวช่วยเพิ่มพลังชั้นดีในการลงทุน ยกตัวอย่างเช่น หากเราเลือกให้ปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าได้ อะไรจะทำให้เรามีเงินมากที่สุดระหว่าง 1. เพิ่มเงินลงทุนต่อเดือน จากเดือนละ 1,000 บาท เป็น 2,000 บาท 2. เพิ่มอัตราผลตอบแทนจาก 10% เป็น 20% 3. เพิ่มระยะเวลาการลงทุนจาก 10 ปี เป็น 20 ปี จะได้ตารางดังนี้จากตารางพบว่า การเพิ่มระยะเวลาการลงทุนทำให้มีเงินมากที่สุด เป็นที่มาของคำว่า “ออมก่อน รวยกว่า” นั่นเอง นอกจากนี้จะเห็นว่า เราแนะนำการลงทุนในกองทุนรวมทั้งหมดเลย เพราะมันเหมาะกับมือใหม่หัดลงทุน ที่ไม่ค่อยมีเวลาศึกษาการลงทุนด้วยตัวเอง เนื่องจากกองทุนรวมมีผู้จัดการกองทุนและทีมงานเป็นคนดูแลกองให้แทน อีกทั้งกองทุนรวมยังมีการกระจายการลงทุนที่ดีว่าการซื้อหุ้นรายตัวอีกด้วย นอกจากนี้หากซื้อกอง RMF หรือ SSF ก็ใช้ลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย ดังนั้นสำหรับสมาคมวัยรุ่นสร้างตัว ใช้วิธี 3 ระยะเวลา 4 พอร์ตการลงทุน จะเป็นตัวช่วยให้สามารถพิชิตเป้าหมายในทุกช่วงชีวิต แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1400343

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X