Everyday knowledge for you
ข่าวการเงิน
30/04/2024
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - แบงก์พาณิชย์เริ่มทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยทั้งฝากและกู้ หลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ขยับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็น 1% ต่อปี กระทบลูกหนี้ถ้วนหน้า โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนของประชาชนคนไทยที่พุ่งทะลุฟ้าเกือบ 3 ล้านล้านบาท ส่วนเอกชนสุดเสี่ยงยืนปากขอบเหวรับมือต้นทุนการเงินเพิ่ม ค่าไฟฟ้า ค่าแรง บาทอ่อน มติของ กนง. เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา เห็นพ้องเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ทำให้ดอกเบี้ยขยับจาก 0.75% เป็น 1% ต่อปี ให้มีผลทันที โดย กนง.ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ตามแรงส่งของภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นสำคัญ โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวที่ร้อยละ 3.3 และ 3.8 ในปี 2565 และ 2566 ตามลำดับส่วนเงินเฟ้อทั่วไปยังอยู่ในระดับสูงจากการส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2565 และ 2566 คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 6.3 และ 2.6 ตามลำดับ ซึ่งมีแนวโน้มปรับลดลงตามราคาน้ำมันโลกและปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่ทยอยคลี่คลาย ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2565 คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 2.6 และ 2566 อยู่ที่ 2.4ด้านค่าจ้างแรงงานปรับเพิ่มขึ้นในบางภาคธุรกิจและบางพื้นที่ที่ขาดแคลนแรงงาน แต่ยังไม่เห็นสัญญาณการปรับเพิ่มขึ้นในวงกว้างกนง.ประเมินระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ ธนาคารพาณิชย์มีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองที่เข้มแข็ง ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนปรับดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ยังมีผู้ประกอบการ SMEs ในบางสาขาธุรกิจที่ฟื้นตัวช้าส่วนครัวเรือนรายได้น้อยบางกลุ่มที่ยังอ่อนไหวต่อค่าครองชีพ เห็นควรดำเนินมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง และมีมาตรการเฉพาะจุดและแนวทางแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนสำหรับกลุ่มเปราะบางกลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) วิเคราะห์ว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยของ กนง.ยังจะมีอีกอย่างน้อย 3 รอบ โดยการประชุม กนง.รอบถัดไปในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 กรุงศรีฯ คาดว่าจะมีการปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก 0.25% และอาจจะมีการปรับขึ้นอีกครั้งละ 0.25% อีก 2 ครั้งในไตรมาส 1 ของปี 2566 ซึ่งในเบื้องต้นน่าจะได้เห็นการปรับอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 1.75% ในกรอบระยะเวลาดังกล่าว โดยการปรับดอกเบี้ยของ กนง.ดำเนินแบบค่อยเป็นค่อยไป และเห็นว่าเศรษฐกิจจะยังคงฟื้นตัวต่อไปท่ามกลางความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นทันทีที่ กนง.ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย แบงก์พาณิชย์ก็เด้งรับขยับขึ้น โดยแบงก์กรุงเทพ นำหัวขบวน ปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 0.15-0.50% ต่อปี และเงินกู้เพิ่มขึ้น 0.30-0.40% ต่อปี มีผลตั้งแต่วันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา ตามที่ นางรัชนี นพเมือง รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับกลุ่มผู้ฝากเงิน และเพื่อเป็นการช่วยบรรเทาผลกระทบกับกลุ่มเปราะบางในด้านเงินกู้ ธนาคารจึงได้ปรับอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี หรือ MRR ในอัตราที่น้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อื่นๆ โดยเพิ่มขึ้นมา 0.30% ต่อปีแต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ดี ต้องถือว่าบรรดาลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยคราวนี้เป็นกลุ่มที่น่าห่วงที่สุด สะท้อนจากตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่กู้ซื้อบ้าน ซื้อรถ และเสริมสภาพคล่องเพื่อจับจ่ายใช้สอย ฯลฯ ยังคงไต่ทะยานไม่หยุด นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ : มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” เมื่อวันที่ 26 ก.ย.ที่ผ่านมา ว่าหนี้ครัวเรือนเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างต่อเศรษฐกิจไทยที่สะสมมานาน และซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยให้รุนแรงขึ้นในช่วงเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เห็นได้จากปี 2553 หนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 60% ของจีดีพี ผ่านไป 10 ปี หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น 80% ของจีดีพีในปี 2562 และล่าสุดไตรมาส 2/2565 หนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 88% ของจีดีพีนายเศรษฐพุฒิ กล่าวด้วยว่า ภาคการเงินเป็นกลไกสำคัญในการส่งผ่านความช่วยเหลือไปสู่ลูกหนี้ โดยเดือน ก.ค. 2563 สถาบันการเงินได้ช่วยเหลือลูกหนี้สะสมสูงสุดอยู่ที่ 12.5 ล้านบัญชี ยอดหนี้รวม 7.2 ล้านล้านบาท คิดเป็นราว 40% ของสินเชื่อรวมทั้งระบบ ทยอยลดลงมาตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งล่าสุด ณ เดือน มิ.ย. 2565 คงเหลือลูกหนี้อยู่ที่ 3.9 ล้านบัญชี ยอดหนี้เกือบ 3 ล้านล้านบาท หรือ 14% ของสินเชื่อรวมเป้าหมายภายในปี 2565 ธปท.จะออกแนวทางการปัญหาโครงสร้างหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนเพื่อผลักดันให้เกิดการแก้ไขหนี้ในระยะยาว และช่วยลดปัญหาหนี้ครัวเรือน เช่น เกณฑ์การปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ (Responsible Lending) ครอบคลุมทั้งหนี้ก้อนใหม่ และลดการก่อหนี้เกินตัว โดยการแก้หนี้ครัวเรือนต้องมี 3 องค์ประกอบหลัก คือหนึ่ง ต้องทำอย่างครบวงจร ตั้งแต่ก่อก่อหนี้ ต้องสร้างวินัยการเงินให้ลูกหนี้ ส่วนเจ้าหนี้ต้องปล่อยหนี้อย่างมีคุณภาพ สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ และช่วงเป็นหนี้ต้องสร้างกลไกช่วยลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้เร็วขึ้นเพื่อไม่ให้หนี้พอกพูน เช่น กลไล Risk-based Pricing คือการกำหนดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อโดยเพิ่มการประเมินความเสี่ยงเข้ากับต้นทุนสำหรับการออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อ ส่วนช่วงที่มีปัญหาชำระหนี้ ควรมีกลไกสนับสนุนการแก้ปัญหาเพื่อช่วยลูกหนี้หลุดจากวงจรหนี้ได้ เช่น การไกล่เกลี่ยหนี้นอกศาล หรือการแก้หนี้ที่มีเจ้าหนี้หลายรายสอง ต้องทำให้ถูกหลักการ แก้หนี้ให้ตรงจุดสอดคล้องกับปัญหาลูกหนี้ ไม่สร้างภาระเพิ่มให้ลูกหนี้ในอนาคต ไม่ลดโอกาสเข้าถึงสินเชื่อและ สาม บูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งเจ้าหนี้ที่ต้องให้สินเชื่อใหม่โดยคำนึงถึงศักยภาพลูกหนี้ในการชำระหนี้มากขึ้น ภาครัฐมีบทบาทในการสร้างรายได้ เตรียมโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน และภาคเอกชนต้องยกระดับบทบาทนายจ้างในการดูแลปัญหาหนี้ของลูกจ้าง ส่วนลูกหนี้ต้องสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน ไม่ก่อหนี้เกินตัวและมีวินัยในการชำระหนี้ไม่เพียงหนี้ครัวเรือนที่น่าห่วงจากดอกเบี้ยเบ่งบาน ในด้านของผู้ประกอบการก็ถือว่ามาอยู่ในจุดที่สุดเสี่ยงเช่นกัน เนื่องจากต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นดอกเบี้ย เมื่อบวกกับต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบที่สูงขึ้นจากค่าบาทที่อ่อนตัวลง ต้นทุนพลังงานที่ยังเป็นขาขึ้น ค่าแรงที่เพิ่งปรับ ฯลฯ ทำให้ผู้ประกอบการต้องหาทางลดต้นทุนเพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปให้ได้ และที่ต้องจับตาต่อจากนี้คือ การลงทุนของภาคเอกชนจะชะลอตัวลงหรือไม่นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานสภาหอการค้าไทย กล่าวว่าดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้นมีผลต่อต้นทุนการเงิน อาจทำให้เกิดหนี้เสียเพิ่มมากขึ้นก็เป็นไปได้ ผู้ประกอบการต้องหาทางรับมือด้วยการลดต้นทุนธุรกิจ โดยปรับสินค้าให้เข้ากับกำลังซื้อที่เริ่มหดตัวลงและทำราคาให้สามารถแข่งขันได้ ส่วนหนี้ที่มีอยู่เดิมก็ต้องเร่งเจรจากับสถาบันการเงินเพื่อผ่อนปรนหนี้ ซึ่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยยังมีผลต่อการลงทุนใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ยาก อย่างการที่สหรัฐฯ ประกาศขึ้นดอกเบี้ยบ่อยครั้งจะส่งผลให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย การลงทุนใหม่ไม่มี ธุรกิจเดิมเดินต่อได้ยากทางด้าน นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เห็นพ้องว่าผู้ประกอบการกำลังอยู่ในจุดที่ท้าทายอย่างยิ่ง ทั้งต้องรับมือกับการขึ้นดอกเบี้ย ค่าไฟฟ้า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และค่าเงินบาทอ่อน ผู้กำหนดนโยบายจะต้องหาจุดสมดุลสำหรับทั้งสองฝ่ายที่ได้ประโยน์และเสียประโยชน์อย่างไรก็ดี นายปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธปท. ประเมินว่า การอ่อนค่าของเงินบาทยังไม่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในภาพรวม เนื่องจากการอ่อนค่าของบาทเป็นผลมาจากการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วและแรงมาก ทำให้การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้เกือบทุกประเทศในโลกนี้มีค่าเงินที่อ่อนลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ฉะนั้นการที่เงินบาทอ่อนลงไม่ใช่ปัจจัยเฉพาะเศรษฐกิจไทย หากมองการอ่อนค่าของเงินบาทแค่ในภูมิภาคเอเชีย ไทยยังอยู่ระดับกลางๆ อ่อนลงมา 12% ตั้งแต่ต้นปี อ่อนค่าลงน้อยกว่าไต้หวัน ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น และเกาหลีทั้งเงินเฟ้อและค่าบาทอ่อนเป็นเรื่องที่แบงก์ชาติ เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อรับมือกับความผันผวน และดกำหนดมาตรการที่เหมาะสมออกมารองรับหันกลับมาดูเงินในมือของภาครัฐบ้าง ล่าสุด เมื่อวันที่ 27 กันยายน ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพิ่งมีมติอนุมัติแผนก่อหนี้สาธารณะ ประจำปี 2566 โดยเป็นการก่อหนี้ใหม่เพิ่ม 1 ล้านล้านบาท เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ และลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เผยว่า แผนก่อหนี้ฯ ดังกล่าว มุ่งเน้นการดำเนินนโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และรองรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่เกิดจากความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก ตลอดจนสถานการณ์ความไม่สงบระหว่างสหพันธรัฐรัสเซียและสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตยูเครน โดยแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2566 ประกอบด้วยแผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงิน 1,052,785.47 ล้านบาท ได้แก่การก่อหนี้ใหม่ของรัฐบาล วงเงิน 819,765.19 ล้านบาท เป็นการกู้เพื่อขาดดุลงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 วงเงิน 695,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการกู้เพื่อลงทุนในโครงการของรัฐบาล ส่วนที่เหลือเป็นการให้กู้ต่อแก่การรถไฟแห่งประเทศไทย และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และวงเงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องเงินคงคลังในแผนการก่อหนี้ใหม่ของหน่วยงานอื่นของรัฐ (หนี้ในประเทศ) วงเงินรวม 30,500 ล้านบาทนั้น นอกจากแผนงานของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ที่กู้มาทำโครงการปรับปรุงถนนหมายเลข 67 (NR67) เสียมราฐ-อันลองเวง-จวม/สะงำ กัมพูชา วงเงิน 500 ล้านบาทแล้ว วงเงินกู้ก้อนใหญ่ส่วนที่เหลือเป็นของสำนักกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง วงเงิน 30,000 ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้เมื่อมีพระราชกำหนดฯนอกจากนั้น ยังมีการก่อหนี้ใหม่ของรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐ วงเงิน 233,020.28 ล้านบาท เป็นการกู้เพื่อการลงทุนในสาขาคมนาคม (รถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3) สาขาพลังงาน (ปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้า แผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน) สาขาสาธารณูปโภค (ปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาต่างๆ) สาขาที่อยู่อาศัย (พัฒนาที่อยู่อาศัย โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง)ส่วนแผนการบริหารหนี้เดิม วงเงิน 1,735,962.93 ล้านบาท เป็นการปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐบาล วงเงิน 1,589,973.34 ล้านบาท และรัฐวิสาหกิจ วงเงิน 145,989.59 ล้านบาท เพื่อบริหารหนี้สาธารณะให้อยู่ภายใต้การบริหารต้นทุนและความเสี่ยงที่เหมาะสม และแผนการชำระหนี้ วงเงิน 360,179.68 ล้านบาท เป็นแผนการชำระต้นเงินกู้และดอกเบี้ยจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2566 และเงินรายได้ของรัฐวิสาหกิจนายอาคม ยืนยันว่าภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2566 สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นปีงบประมาณ 2566 คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 60.43 ซึ่งยังอยู่ใต้กรอบในการบริหารหนี้สาธารณะตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลัง ซึ่งกำหนดไว้ที่ร้อยละ 70แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/daily/detail/9650000094147
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
อย่าหลอกGURU - คนไทยลงทุนออนไลน์พุ่ง แต่ส่วนใหญ่ “ไม่มีความรู้” เน้นตามเพื่อน เชื่ออินฟลูเอนเซอร์ชีวิตหรู เปิดช่องมิจฉาชีพล่อลวงง่าย ดันยอดคดีออนไลน์ ส.ค. เสียหายทะลุ 3.3 พันล้าน▪️ แห่แจ้งความคดีออนไลน์ ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ 17,254 คดี ในยุคที่ใครๆ ต่างก็หันมาสนใจ “ลงทุนออนไลน์” โดยเฉพาะในสินทรัพย์ดิจิทัล จากกระแสสังคมและภาพลักษณ์นักลงทุน ที่มักประสบความสำเร็จอย่างมาก ภายใต้ภาพใช้ชีวิตหรูหราในโลกโซเชียล ได้กลายเป็นช่องโหว่ที่เปิดให้ “มิจฉาชีพ” หลอกลวงเหยื่อได้ง่ายขึ้น เช่น คดีแชร์ลูกโซ่ Forex-3D ที่ยิ่งขุดมูลค่าความเสียหายยิ่งมหาศาลสถิติล่าสุดเมื่อเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง (ดีอีเอส) รายงานยอดแจ้งความออนไลน์สูงถึง 17,254 คดี ได้ดำเนินการอายัดบัญชี ที่ใช้ในการกระทำความผิด 4,066 บัญชี รวมมูลค่าความเสียหาย มากกว่า 3.3 พันล้านบาท ประเภทคดีออนไลน์ในเดือน ส.ค. ที่ได้รับการแจ้งความมากสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. ซื้อสินค้าแต่ไม่ได้รับสินค้า (34.09%) 2. หลอกให้ลงทุนในรูปแบบต่างๆ (19.21%) 3. หลอกให้ทำงานออนไลน์ (13.20%) 4. หลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้เงิน (12.48%) และ 5. ข่มขู่ให้เกิดความหวาดกลัว หรือ Call Center (6.08%)▪️ ปี 65 คนไทยลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล พุ่ง 10 เท่า แต่ส่วนใหญ่ “ไม่ค่อยมีความรู้” ‘นายพงศธร ปริญญาวุฒิชัย’ ฝ่ายวิจัยสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เผยว่าปัจจุบันจํานวนบัญชีผู้ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย เมื่อเดือน ก.พ. 2565 เติบโตมากกว่า 10 เท่าจากปี 2563 เพิ่มขึ้นจาก 1.7 แสนบัญชี เป็น 2.5 ล้านบัญชี จากผลสํารวจพบประเด็นที่น่าสนใจ ในด้านเป้าหมายและแรงจูงใจในการลงทุน พบว่า ร้อยละ 46% มองว่าสินทรัพย์ดิจิทัล มีความผันผวนสูงจึง เลือกเข้ามาเก็งกําไรระยะสั้น ร้อยละ 33 มองว่าเป็นการลงทุนระยะยาว ร้อยละ 11 เห็นว่าเป็นแหล่งออมเงิน และ ร้อยละ 10 มองว่าเป็นสินทรัพย์ที่ทําเงิน ได้ง่ายกว่างานประจําที่ทําอยู่อย่างไรก็ดี ภาพรวมผู้ลงทุนส่วนใหญ่ ยังไม่ค่อยมีความรู้ในสินทรัพย์ดิจิทัลมากนัก จึงมักลงทุนตามคําแนะนําของเพื่อน Influencer Youtuber หรือกูรูที่เป็นคนดัง ที่มองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ โดยเริ่มแรก คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาลงทุน เพราะหวังว่าจะเป็น Passive Income “แต่พอเห็นว่ากําไรดี ได้เงินง่ายจึงเริ่มลงทุนมากขึ้น แม้รู้ว่าสินทรัพย์ที่ลงทุนไปนั้น มีความเสี่ยงสูง”▪️ “ผลตอบแทนสูง - ความเสี่ยงต่ำ” ถ้อยคำคลาสสิค ยังหลอกได้เสมอความไม่รู้ ความโลภ ประกอบกับความไว้ใจผู้ชักชวน จากภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ กลายเป็นจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้เหล่ามิจฉาชีพ สามารถดูดเงินจากนักลงทุนมือใหม่ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งในประเด็นนี้ Krungsri The COACH เตือนว่าหากใครมาชวนลงทุน และจะให้ผลตอบแทนที่สูงมาก ๆ โดยใช้เวลาสั้น ๆ เช่น มีคนลงทุนใน Cryptocurrency แค่ 10,000 บาท แต่จะได้ผลตอบแทน 20,000 ภายใน 1 เดือน หรือบางครั้งอาจได้ผลตอบแทนเป็นเงินปันผล 10-20% ต่อสัปดาห์ ที่ตัวเลขผลตอบแทนเยอะแบบนี้ เป็นกลลวงของมิจฉาชีพทำให้หลงกล บางคนอาจจะได้เงินปันผลจริงในช่วงแรก แต่ระยะหลัง ๆ จะเริ่มได้เงินช้าลง และในที่สุดจะไม่ได้เลย และอีกหนึ่งคำพูดที่มักจะได้ยิน จากการชวนลงทุนประเภทนี้ คือ มีความเสี่ยงต่ำ ใคร ๆ ก็ทำกัน ทั้งนี้ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง แนะนำวิธีป้องกันการตกเป็นเหยื่อ ขบวนการแชร์ลูกโซ่ - หลอกลงทุนเทรดคริปโต1. หลีกเลี่ยงการนำเงินไปฝากให้ผู้อื่นเทรด แนะนำให้เทรดด้วยตนเอง2. อย่าหลงเชื่อการอวดอ้างความร่ำรวยของมิจฉาชีพ3. จำไว้เสมอว่า “ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง” หากมีการการันตีผลตอบแทนที่แน่นอน มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นแชร์ลูกโซ่4. ควรศึกษาข้อมูลของสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างละเอียดก่อนการลงทุนทุกครั้ง#ลงทุนออนไลน์ #สินทรัพย์ดิจิทัล #เทรดคริปโต #Forex3D #แชร์ลูกโซ่ #มิจฉาชีพ #ข่าวโมโน29 #Mono29News #Mono29
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันสังคม
30/04/2024
หากมีพรอันประเสริฐ ที่สามารถอธิษฐานขอได้เพียงครั้งเดียว หลายคนคงจะอธิษฐานขอให้ร่ำรวย ขอให้การงานก้าวหน้า ธุรกิจรุ่งเรือง เป็นต้น แต่หากถามคนที่เจ็บป่วย ที่ทรมานกับโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ โดยเฉพาะ “โรคร้ายแรง” คำตอบที่ได้เป็นเสียงเดียวกัน คือ อยากจะย้อนเวลากลับไปดูแลตัวเองให้ดีที่สุด กินอาหารที่ดีต่อร่างกาย ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ปรับอารมณ์ไม่ให้เครียดกับงานจนเกินไป“รวมถึงจะซื้อประกันชีวิตไว้เพื่อเป็นค่ารักษาพยาบาล หรือหากที่สุดแล้วตัวเองไม่อยู่ก็สามารถส่งต่อความห่วงใยให้กับคนที่อยู่ข้างหลังต่อไปได้”สำหรับ “นักวางแผนการเงิน” และให้คำปรึกษา แนะนำเรื่องประกันชีวิตและสุขภาพ พบว่าบางคนที่ซื้อประกันสุขภาพโดยเฉพาะประกันคุ้มครองโรคร้ายแรง ไม่ได้ทราบถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับเมื่อเข้ารับการรักษาหรือเงื่อนไขในการจ่ายของบริษัทประกัน จึงเกิดปัญหาการเคลมสินไหมต่างๆ มากมาย“ดังนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจเลือก ‘ประกันคุ้มครองโรคร้าย’ สักกรมธรรม์ ควรทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ใน 3 มุมมอง เพื่อความคุ้มค่าสำหรับวันนี้ที่ต้องชำระเบี้ยประกัน และคุ้มครองเมื่อถึงวันที่ต้องการเคลมสินไหม”มุม “สวัสดิการ”ก่อนตัดสินใจเลือกประกันคุ้มครองโรคร้ายควร “สำรวจสวัสดิการของตัวเองก่อน” ซึ่งในบางครั้งพบว่า หลายคนมีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของทางบริษัทที่ตัวเองทำงานอยู่ รวมถึงสิทธิประกันสังคม หรือแม้แต่ซื้อประกันสุขภาพเพิ่มเอาไว้ จึงควรดูว่าสวัสดิการเหล่านี้ได้ครอบคลุมไปถึงในส่วนของความคุ้มครองโรคร้ายแรงด้วยหรือไม่ ครอบคลุมวงเงินในการรักษามากน้อยเพียงใด และระยะเวลาในการคุ้มครองเป็นอย่างไร“เนื่องจากการรักษาโรคร้ายแรงเป็นการรักษาต่อเนื่องบางครั้งใช้ระยะเวลายาวนานในการรักษา เช่น อาจมองว่าสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของบริษัทที่ทำงาน มีวงเงินสูงซึ่งเป็นสวัสดิการที่ดีให้กับพนักงาน แต่สิทธินี้จะหมดไปหากพ้นสภาพความเป็นพนักงาน หากใช้สิทธิในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บธรรมดาก็ถือได้ว่าครอบคลุม แต่หากรักษาโรคร้ายแรงและต้องหยุดงานเป็นระยะเวลายาวนาน จะมั่นใจได้หรือไม่ว่าบริษัทยังคงให้สถานภาพเป็นพนักงานอยู่ตลอดไปจนกว่าการรักษาจะสิ้นสุด”สำหรับ “สิทธิประกันสังคม” ของผู้ประกันตน ‘มาตรา 33’ และ ‘มาตรา 39’ ในส่วนที่เกี่ยวกับ “โรคมะเร็ง” ประกันสังคมได้กำหนดการรักษาโรคมะเร็งไว้ 20 ชนิด (ที่มา: ประกาศคณะกรรมการการแพทย์เรื่อง หลักเกณฑ์และอัตราสำหรับประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน วันที่ 11 พฤศจิกายน 2562) ซึ่งผู้ประกันตนสามารถเข้ารักษาในสถานพยาบาลที่เลือกไว้ได้ โดยให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้ประกันตนจนสิ้นสุดการรักษา ไม่มีจำกัดวงเงินค่าใช้จ่ายและจำนวนครั้งในการรักษาและไม่เรียกเก็บเงินจากผู้ประกันตน ยกเว้นยาที่อยู่นอกเหนือบัญชียาหลัก ซึ่งสิทธิผู้ประกันตนไม่ครอบคลุม “กรณีรักษาโรคมะเร็งที่อยู่นอกเหนือจาก 20 ชนิดดังกล่าว ให้จ่ายค่ารักษาได้ตามจริงแต่ไม่เกิน 50,000 บาทต่อปี (ในความเป็นจริงอาจไม่พอกับค่ารักษาที่ได้จ่ายไปจริง)”สำหรับผู้ที่ซื้อประกันชีวิตพร้อมแนบสัญญาพิเศษเพิ่มเติมการ “ประกันสุขภาพตามมาตรฐานใหม่” (New Health Standard) ที่เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา ส่งผลให้บริษัทประกันไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเป็นผลให้ผู้เอาประกันสามารถรักษาตัวต่อเนื่องได้ เพียงแต่บริษัทประกันอาจจะพิจารณาในการปรับเพิ่มเบี้ยประกันภัยทั้ง Portfolio ของผู้เอาประกันทุกคนหากว่ามีอัตราการเคลมในแต่ละปีสูง หรือเมื่อผู้เอาประกันมาต่อสัญญาในปีต่อไป บริษัทประกันอาจให้ต่อสัญญาแบบมีค่าใช้จ่ายร่วม (Copayment) คือ ร่วมกันแชร์ค่าใช้จ่ายการรักษาในแต่ละครั้งโดย “สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย” (คปภ.) กำหนดกรอบไว้ว่า บริษัทประกันสามารถกำหนดแต่ละกรณีเป็นแบบ Copayment ได้ไม่เกิน 30% ของค่าใช้จ่ายที่ได้รับความคุ้มครอง และหากผู้เอาประกันเคลมสินไหมจากเงื่อนไขที่กำหนดไว้ เกิน 2 กรณีขึ้นไป ก็ให้สิทธิบริษัทประกันมีการปรับเบี้ยปีต่อ Copayment เป็น 50% ซึ่งสูงสุดเท่าที่ คปภ. อนุมัติ ส่งผลให้เบี้ยประกันปรับลดลง 50% ด้วยเช่นกัน (ที่มา : คำสั่งนายทะเบียนที่ 14/2564 เรื่อง หลักเกณฑ์การให้ความเห็นชอบแบบและข้อความสัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพ ประเภทสามัญ แบบมาตรฐานสำหรับบริษัทประกันชีวิต)มุม “วงเงินการรักษา”เรื่องของสถานพยาบาล กระบวนการรักษา รวมถึงยาต่างๆ ที่ใช้ ก็เป็นตัวกำหนดเพื่อให้ได้กรอบวงเงินของการรักษาของแต่ละโรค ซึ่งควรทำการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม หรือถ้าหากนักวางแผนการเงินได้ทำการเตรียมข้อมูลในส่วนนี้มาให้ก็ถือได้ว่าช่วยประหยัดเวลาได้เป็นอย่างดีอย่างไรก็ตาม หากอัตราค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลมีการเพิ่มขึ้นทุกปี การเตรียมวงเงินไว้ตามสวัสดิการที่มีแต่เป็นวงเงินคงที่ (ไม่ได้มีการปรับขึ้น) จึงเป็นข้อจำกัด แต่เมื่อเกิดเหตุจำเป็นที่ต้องใช้ปรากฏว่าวงเงินค่ารักษาไม่เพียงพอ ดังนั้น ควรกำหนดวงเงินคร่าวๆ ไว้เพื่อเป็นการรองรับในการรักษาด้วย เช่น หากเป็น “โรงพยาบาลของรัฐบาล” มีค่าฉายรังสีมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจะประมาณ 110,000 บาท (ที่มา : >> คลิกที่นี่ ) แต่หากทำการรักษาที่ “โรงพยาบาลเอกชน” ค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้น 3 – 7 เท่า“ดังนั้น การซื้อประกันชีวิตจะเป็นส่วนที่ขยายวงเงินเดิมของสวัสดิการที่มีอยู่ ให้สามารถมีวงเงินการรักษาที่เพิ่มขึ้นและคลอบคลุมค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นด้วย ซึ่งสามารถอัพเดทค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลได้ทุกปี พร้อมกับซื้อประกันสุขภาพเพิ่มได้”มุม “ความคุ้มครอง”เมื่อพิจารณาซื้อ “ประกันสุขภาพ” ที่ดูแลเรื่องโรคร้ายแรงด้วย อาจสงสัยว่าประกันสุขภาพที่ซื้อเอาไว้จะคุ้มครองทันทีหรือไม่ หรือคุ้มครองระยะใดของโรคร้าย หรือคุ้มครองตลอดการรักษา ซึ่งโดยทั่วไปจะพบว่าประกันสุขภาพที่เกี่ยวกับโรคร้ายแรงมี 2 ลักษณะ ดังนี้1. ประกันสุขภาพเป็นวงเงินความคุ้มครองที่ครอบคลุมการรักษาโรคภัยไข้เจ็บหรืออุบัติเหตุที่ต้องพักรักษาในโรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการทางการแพทย์ต่างๆ อีกทั้ง รวมถึงค่าบริการทางการแพทย์เพื่อรักษาโรคมะเร็ง ก็รวมอยู่ในเงื่อนไขความคุ้มครองด้วย ซึ่งอยู่ในหมวดที่ 10 และ 11 ของตารางผลประโยชน์ตามมาตรฐานใหม่ (New Health Standard) โดยจะจ่ายตามจริงแต่ไม่เกินวงเงินที่ได้ซื้อไว้ เช่น วงเงินคุ้มครอง 5 ล้านบาท หมายความว่า หากค่ารักษาพยาบาลเกินจากวงเงินนี้ ผู้เอาประกันจะต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายส่วนเกิน เป็นต้น“ในส่วนของผลประโยชน์ความคุ้มครอง ประกันสุขภาพจะไม่ได้คุ้มครองเลยทันทีที่ชำระเบี้ยประกัน โดยจะเริ่มนับตั้งแต่วันที่อนุมัติกรมธรรม์ แต่จะมี ‘ระยะเวลารอคอย’ (Waiting Period) ซึ่งเป็นระยะเวลาที่บริษัทประกันจะไม่จ่ายค่ารักษาพยาบาล หรือจะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทไม่ได้ เนื่องจากบริษัทจะไม่คุ้มครองโรคเรื้อรัง การเจ็บป่วย หรือการบาดเจ็บที่ยังมิได้รักษาให้หายก่อนวันทำสัญญาประกัน การตรวจรักษาภาวะที่เป็นมาแต่กำเนิด (Congenital) หรือปัญหาด้านพัฒนาการ หรือโรคทางพันธุกรรม ดังนั้น หากผู้เอาประกันป่วยอยู่ก็มีแนวโน้มจะเบิกค่ารักษาทันทีหลังกรมธรรม์อนุมัติ บริษัทประกันจึงกำหนดระยะเวลารอคอยขึ้นมา โดยประกันสุขภาพจะมี 2 ระยะเวลารอคอย คือ 30 วันสำหรับโรคทั่วไป และ 120 วันสำหรับโรคระยะก่อโรคนาน เช่น มะเร็ง ก้อนเนื้อ ต้อกระจก ริดสีดวง เป็นต้น”2. ประกันคุ้มครองโรคมะเร็งและโรคร้ายแรง แบบเจอ จ่าย จบ เป็นสัญญาจ่ายผลประโยชน์เมื่อตรวจพบเจอโรคร้ายแรง โดยบางกรมธรรม์คุ้มครองทุกระยะของการตรวจพบ บางกรมธรรม์คุ้มครองเมื่อตรวจพบระยะลุกลาม ซึ่งจะจ่ายตามความคุ้มครอง จึงควรพิจารณาเรื่องระยะของความคุ้มครองของโรคก่อนตัดสินใจด้วย และเมื่อมีการจ่ายผลประโยชน์ตามความคุ้มครองแล้วสัญญาก็จะจบในปีกรมธรรม์นั้น“นอกเหนือจาก 3 มุมมองดังกล่าว ยังมีมุมให้พิจารณาอีกหลายประการ เช่น บางกรมธรรม์มีส่วนเพิ่มเติมเรื่องกรณีอุบัติเหตุ บางบริษัทประกันมีบริการฟรีเรื่องความคิดเห็นที่สองทางการแพทย์ (Medical Second Opinion) เพื่อประกอบการตัดสินใจในการรักษา หรือแม้แต่บางกรมธรรม์มีเงินคืน (Refund) เมื่อไม่มีการเคลม เป็นต้น”“การรักษาโรคร้ายแรง” เหมือนการวิ่งมาราธอนระยะไกล ที่ไม่รู้ว่าระยะทางจะสิ้นสุดลงที่ใด แต่หากในระหว่างทางที่วิ่งไปนั้นมีทั้งคนให้กำลังใจ อีกทั้ง ยังมีความช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาที่ไม่ต้องเป็นภาระแก่คนในครอบครัว ทำให้มีพลังใจในการวิ่งต่อไปอย่างแน่นอน ดังนั้น “การเลือกกรมธรรม์ประกันสุขภาพโรคร้ายแรง” สักฉบับ ก็เป็นคำตอบที่ดีที่จะมีคนเคียงข้างไปตลอดระยะทางอันยาวไกลจนถึงเส้นชัยของชีวิตที่มา: www.setinvestnow.com, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับwealthythaihttps://www.wealthythai.com/en/updates/wealth-management/wealth-ez/11918
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
รายงานข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับทองคำค้าปลีกประเทศไทย (Retail Gold Insights : Thailand report) ฉบับล่าสุดจากสภาทองคำโลก (World Gold Council) เผย ผู้บริโภคชาวไทยมีความเข้าใจในการลงทุน โดยมีการนำรายได้ 35% มาลงทุุนในทอง และผู้ลงทุนมีผลิตภัณฑ์การลงทุุนเฉลี่่ย 3.5 รายการ ทั้งนี้ นักลงทุนมองว่าตนเองเป็นนักลงทุนที่มีความมั่นใจ และเต็มใจที่จะลองลงทุนในหลายรูปแบบเพื่อแลกกับการเติบโตทางการเงินแบบทวีคูณ87% ของนักลงทุนไทยเห็นด้วยว่า การมีพอร์ตลงทุนที่หลากหลายเพื่อช่วยปกป้องความมั่งคั่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เนื่องจากนักลงทุนชาวไทยมีความกังวลถึงภาวะตลาดการเงินล่ม พวกเขาจึงต้องการทำความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ที่เลือกลงทุน และมีมุมมองในการลงทุนระยะยาวผลการสำรวจชี้ให้เห็นว่า ทองคำเป็นการลงทุนที่นิยมมากที่สุดเป็นอันดับสองในพอร์ตการลงทุนของประเทศไทย และกว่าครึ่งหนึ่งของนักลงทุนรายย่อยในประเทศได้ถือครองทองคำในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง โดยการลดความเสี่ยงเป็นปัจจัยหลัก (57%) ที่กระตุ้นให้นักลงทุนตัดสินใจลงทุนในทองคำ แนวโน้มเช่นนี้ตอกย้ำให้เห็นว่า นักลงทุนรายย่อยตระหนักถึงบทบาทของทองคำในฐานะผลิตภัณฑ์ลงทุนที่มีความปลอดภัย ซึ่งนับว่าสอดคล้องกับบทบาทของทองคำในพอร์ตการลงทุน ที่ถือเป็นเครื่องมือช่วยปกป้องความมั่งคั่งนักลงทุนกว่า 40% ได้ซื้อทองคำเพื่อการลงทุนในช่วง 12 เดือนก่อนการสำรวจ โดยทองคำแท่งถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 30% ของนักลงทุน ตามด้วยเหรียญทองคำที่ 12% กองทุนทอง (ETF) ที่ 10% ทองคำเก็บในคลังนิรภัยที่ 9% และเครื่องประดับทองคำที่ 9%Photo : Shutterstockแต่ก็พบว่ามีอุปสรรคที่ทำให้นักลงทุนที่สนใจยังลังเลที่จะลงทุนในทองคำเป็นครั้งแรก • เกือบ 80% ของนักลงทุนกลุ่มนี้เผยว่า พวกเขายังไม่มีความรู้มากพอที่จะซื้อทองคำ และไม่ทราบถึงช่องทางในการซื้อทองคำที่มีราคาไม่แพง โดยอุปสรรคที่เด่นชัดที่สุดคือ พวกเขาเชื่อว่าทองคำนั้น “มีค่าธรรมเนียมการซื้อ/ขายทองคำสูงเกินไป” • เกือบครึ่งหนึ่งกังวลถึงความสมบูรณ์ของผลิตภัณฑ์ทองคำ โดยมากกว่า 30% ระบุว่ากลัวถูกหลอกให้ซื้อทองคำปลอม จึงเลือกที่จะไม่ซื้อ และกว่า 10% ชี้ว่าตนไม่กล้าซื้อ เพราะยังไม่มีการรับประกันถึงความบริสุทธิ์ของทองคำ • มากกว่าหนึ่งในสามของนักลงทุนที่คิดจะลงทุนในทองคำเป็นครั้งแรกคิดว่าตนจะไม่สามารถเก็บทองคำไว้ได้อย่างปลอดภัย โดยนักลงทุนกลุ่มนี้อาจยังไม่ทราบถึงช่องทางและบริการการจัดเก็บทองคำที่มีอยู่กลุ่มนักลงทุนรายย่อย 4 ประเภทในประเทศไทยการศึกษาวิจัยยังเจาะลึกถึงกลุ่มนักลงทุนรายย่อยสี่ประเภทในประเทศไทย ได้แก่ นักลงทุนที่กล้าเสี่ยงโดยยึดตามคำแนะนำ (Guided Risk Takers), เทรดเดอร์ที่ชอบความผันผวน (Adventurous Traders), นักกลยุทธ์เชิงอไจล์ (Agile Strategists) และนักออมที่ระมัดระวัง (Cautious Savers) • 35% เป็นนักลงทุนที่กล้าเสี่ยงโดยยึดตามคำแนะนำ ซึ่งยอมรับความเสี่ยงเพื่อให้สามารถเติบโตได้แบบทวีคูณ และนักลงทุนกลุ่มนี้จะไม่ค่อยกังวลกับการสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีความหลากหลาย • 26% เป็นเทรดเดอร์ที่ชอบความผันผวน ซึ่งต้องการลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่เห็นผลในระยะสั้น และมักจะชอบเป็นผู้ที่ได้ลองอะไรใหม่ ๆ นักลงทุนกลุ่มนี้มักเป็นนักลงทุนรายแรก ๆ ที่จะเลือกการลงทุนแบบใหม่ • 26% เป็นนักกลยุทธ์เชิงอไจล์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมมากที่สุด โดยพวกเขากลุ่มนี้มองการลงทุนเป็นงานอดิเรก และมุ่งเน้นที่จะสร้างพอร์ตการลงทุนที่หลากหลาย เพื่อปกป้องและเพิ่มความมั่งคั่งนอกจากนี้ พวกเขายังมักที่จะลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่ตนเองเข้าใจอย่างชัดเจน • 13% เป็นนักออมที่ระมัดระวัง โดยจะเลือกลงเงินน้อยที่สุดและไม่ชอบความเสี่ยงสูง พวกเขาจะเลือกลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่มีความน่าเชื่อถือ และสิ่งที่จะมาช่วยลดความเสี่ยง รวมถึงให้ผลตอบแทนที่มั่นคงอันสามารถเก็บเป็นมรดกไว้ให้บุตรหลานของตนได้มากกว่า 80% ของนักลงทุนรายย่อยแต่ละกลุ่มเห็นด้วยว่า ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ดี ซึ่งช่วยสร้างหลักประกันในช่วงที่เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองหรือเศรษฐกิจได้Photo : Shutterstockผลิตภัณฑ์ทองคำดิจิทัลเพื่อดึงดูดนักลงทุนรายย่อยเพิ่มและรักษาฐานนักลงทุนที่มีอยู่เดิมประการสุดท้าย งานวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า นักลงทุนเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ทองคำกว่า 73% ผ่านทางออฟไลน์ แต่เมื่อถามถึงปัจจัยของการเลือกซื้อทองคำแล้ว สาเหตุอันดับต้น ๆ ได้แก่ การขาย/เปลี่ยนทองเป็นเงินสดได้ง่าย ซื้อได้ตลอดเวลา และมีการสร้างผลกำไรผลิตภัณฑ์ทองคำดิจิทัล ไม่ว่าจะให้บริการโดยธนาคารหรือผู้ให้บริการรายอื่น จะช่วยให้ผู้ขายสามารถทำการตลาดและผู้ซื้อสามารถตัดสินใจซื้อได้อย่างครอบคลุมและราบรื่นยิ่งขึ้นMr. Andrew Naylor ประธานเจ้าหน้าที่บริหารประจำภูมิภาค APAC (ไม่รวมประเทศจีน) ของสภาทองคำโลก กล่าวว่า“ประเทศไทยมีตลาดทองคำขนาดใหญ่ที่มีการซื้อขายกันอย่างคึกคัก เกือบครึ่งหนึ่งของนักลงทุนรายย่อยในประเทศไทยเลือกที่จะลงทุนในทองคำ และทองคำนับเป็นผลิตภัณฑ์ที่นิยมเป็นอันดับสองของไทย จากรายงานข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับทองคำค้าปลีกในประเทศไทย (Retail Gold Insights : Thailand report) ทำให้เข้าใจถึงอัตราผลตอบแทนที่นักลงทุนคาดหวัง ความต้องการในการลงทุน และพฤติกรรมการซื้อของนักลงทุนไทย รวมถึงแสดงให้เห็นว่า ทำไมนักลงทุนประเภทต่าง ๆ ในประเทศไทยถึงให้ความสนใจกับทองคำกันอย่างแพร่หลาย โดยสิ่งขับเคลื่อนสำคัญคือบทบาทของทองคำในฐานะเครื่องป้องกันความเสี่ยงในช่วงที่การเมืองหรือเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ มีศักยภาพในการลงทุนมหาศาล อีกทั้งยังได้รับแรงหนุนที่แข็งแกร่งจากการฟื้นตัวจากการระบาดใหญ่ทั่วโลกและปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจในระยะยาว ข้อมูลของเราแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความต้องการของนักลงทุนในการถือทองคำในฐานะที่เป็นการลงทุนที่ปลอดภัย แต่ยิ่งไปกว่านั้น เรายังได้ตระหนักรู้ถึงสิ่งอื่น ๆ ผ่านการศึกษานี้อีกด้วย การวิเคราะห์ของสภาทองคำโลกยังแสดงให้เห็นว่า ทองคำสามารถเป็นเครื่องปกป้องความมั่งคั่ง เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องและสามารถช่วยกระจายพอร์ตการลงทุนได้ เราจะเดินหน้าทำการวิจัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้นักลงทุนเข้าใจถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการลงทุนในทองคำและวิธีการในการลงทุน”แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับpositioningmaghttps://positioningmag.com/1402083
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth 24Hrsบทเรียนการซื้อหุ้นเพราะความโมโหของปู่ Warren Buffettการเข้าซื้อหุ้นของปู่ Buffett มักจะกลายเป็นตำนานเสมอ และปู่เองก็ย้ำเตือนอยู่บ่อย ๆ ว่า ‘อารมณ์เป็นศัตรูตัวฉกาจต่อการลงทุน’ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าอาณาจักร Berkshire Hathaway ของปู่ Buffett ที่ยิ่งใหญ่ทุกวันนี้ จริง ๆ แล้วถูกซื้อเพราะ ‘ความโมโห’ ล้วน ๆย้อนกลับไปในปี 2493 Benjamin Graham ผู้เป็นอาจารย์ของ Buffett เคยนำหุ้น Berkshire Hathaway มาวิเคราะห์ แล้วพบว่าราคาหุ้นของบริษัทอยู่ต่ำกว่า ‘มูลค่าสินทรัพย์หมุนเวียนสุทธิ’ ซึ่งเป็นหุ้นที่ตรงกับหลักการลงทุนในแบบที่ Graham ชื่นชอบ หรือเป็น ‘หุ้นก้นบุหรี่’ ซึ่งตอนนั้น Buffett เองก็แอบเล็งหุ้น Berkshire อยู่เช่นกันครับปู่ Buffett จึงทยอยซื้อหุ้น Berkshire ไปเรื่อย ๆ ผ่าน Warren Buffett Partnership ของเขาที่มีกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นราคาถูกมาก โดยไม่ได้มีความคิดที่จะซื้อกิจการ Berkshire เลยแม้แต่น้อย แต่อาจจะเป็นโชคชะตาที่ทำให้สุดท้ายปู่ Buffett ต้องมานั่งเก้าอี้บริหาร Berkshire ด้วยเหตุผลที่ตัวเขาเองก็บอกว่า “มันเป็นการตัดสินใจที่โง่ที่สุดของผม”การผิดสัญญาซื้อหุ้นคืนของ Seabury Stantonในช่วงปี 2505-2507 ขณะที่ Buffett กำลังทยอยซื้อหุ้น Berkshire เรื่อย ๆ จนมีสัดส่วน 7% ของทั้งหมด คนใหญ่คนโตในบริษัทกลับเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข Seabury Stanton ผู้บริหาร Berkshire ในตอนนั้นประกาศว่าจะขอซื้อหุ้น Berkshire คืนจาก Buffett โดยทั้งคู่ตกลงราคากันได้ที่ 11.50 เหรียญ/หุ้น ในตอนแรกBuffett ในวัยหนุ่มก็เข้าใจว่าการตกลงนี้เป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว เขาคำนวณว่าจะได้กำไรจากการขายหุ้น Berkshire ประมาณ 50% แต่เรื่องดันซับซ้อนไปอีกขั้น เพราะหลังจากนั้นไม่นาน Stanton ที่ตกลงราคากับ Buffett ไปแล้ว กลับส่งจดหมายถึงผู้ถือหุ้นทุกคนว่า ‘จะขอซื้อหุ้น Berkshire คืนที่ราคา 11.375 เหรียญ/หุ้น’ ไม่เหมือนที่คุยกันไว้แน่นอนว่าเมื่อตกลงกันแล้วแต่ไม่ทำตามสัญญา ไม่ว่าใครก็คงโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ไม่เว้นแม้แต่ปู่ Buffett ที่ทั้งใจเย็นและมีเหตุผลก็ยังฉุนเฉียวอย่างหนักจนควันออกหูในตอนนั้นครับ Buffett จึงตัดสินใจจะ ‘ไม่ขายหุ้นคืน’ และ ‘ซื้อหุ้นเพิ่ม’ เข้าไปอีก ถึงแม้ในตอนนั้นราคาหุ้น Berkshire จะสูงขึ้นก็ตาม Buffett ซื้อหุ้นจนมีสัดส่วนในการควบคุม Berkshire และไล่ Stanton ที่มีเล่ห์เหลี่ยมกับเขาออกจนได้ในที่สุดเหตุผลที่ Buffett ตัดสินใจเข้าซื้อ Berkshire Hathaway และกลายเป็นเจ้าของ Berkshire ถึงทุกวันนี้ จึงเกิดขึ้นจากเหตุผลเดียว นั่นคือ ‘ความโมโห’ แน่นอนว่าตัว Buffett เองก็รู้ถึงเรื่องนี้ครับ และทุกครั้งที่ Buffett ย้อนกลับมาเล่าถึงเหตุการณ์นี้ เขามักจะพูดถึงการตัดสินใจของเขาว่า“มันเป็นการตัดสินใจที่โง่ที่สุดของผม เพราะธุรกิจสิ่งทอในตอนนั้นไม่มีแนวโน้มจะฟื้นขึ้นมาเลย และ Berkshire จะเสียเงินไปเรื่อย ๆ จากธุรกิจนี้”ต้องเล่าว่า หลังจากนั้น Buffett ได้พยายามพลิกฟื้นคืนธุรกิจสิ่งทอของ Berkshire ทุกทาง แต่ก็ล้มเหลว ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเป็นคนอื่นคงปิดธุรกิจที่คอยเผาเงินสดทิ้ง แล้วไปลงทุนอย่างอื่นแทน แต่ด้วยความเป็นคนช่างเห็นใจของ Buffett ทำให้เขา ‘จบไม่ลง’ เพราะ Buffett เห็นใจพนักงานใน Berkshire และเลือกจะบริหารบริษัทต่อไป ถึงแม้ว่าธุรกิจกำลังจะจมสู่ใต้บาดาลก็ตามหลังจากนั้นไม่นาน Buffett ก็ได้เปลี่ยนทิศทางของ Berkshire ไปทำในสิ่งที่เขาถนัดมากที่สุด นั่นคือ ‘การลงทุน’ นั่นเองครับ Buffett เริ่มใช้ Berkshire ลงทุนในตลาดหุ้นและทำให้ Berkshire กลายสภาพเป็นบริษัทโฮลดิ้ง โดยตัว Buffett เริ่มเปลี่ยนมาลงทุนใน ‘หุ้นคุณภาพดี’ มากขึ้น แทนที่จะเป็น ‘หุ้นราคาถูก’ เพียงอย่างเดียวBerkshire Hathaway ได้กลายเป็นอาณาจักรลงทุนของ Buffett หลังจากที่เขาปิดตัว Warren Buffett Partnership ลง และมูลค่าของบริษัทก็เติบโตแบบทบต้นในแนวทางที่ Buffett ต้องการเพื่อให้คุณเห็นภาพว่า Berkshire เติบโตขึ้นมากแค่ไหน ผมจะพาคุณย้อนดูตั้งแต่ที่ Buffett เข้าซื้อ Berkshire แรก ๆ จนถึงทุกวันนี้ครับย้อนอดีตกลับไปช่วงปี 2505ราคาหุ้น Berkshire ประมาณ 15.00 เหรียญ/หุ้น มูลค่า Berkshire ประมาณ 17 ล้านเหรียญ กลับมาปัจจุบันในปี 2565 ราคาหุ้น Berkshire ประมาณ 430,000 เหรียญ/หุ้น มูลค่า Berkshire ประมาณ 630,000 ล้านเหรียญBerkshire สร้างกำไรให้กับ Buffett เป็นแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นผลตอบแทนอันมหาศาลและควรถูกบันทึกไว้บนหน้าประวัติศาสตร์การลงทุนของโลกเลยครับ แน่นอนว่าตัว Buffett เองก็ได้รับ 3 บทเรียนสำคัญจากการลงทุนใน Berkshire Hathaway ครั้งนี้เช่นกัน ประกอบไปด้วย 1. อารมณ์เป็นศัตรูตัวฉกาจต่อการลงทุน 2. ควรให้ความสำคัญกับ ‘คุณภาพ’ ของหุ้นที่ลงทุน 3. ไม่ควรไปเสียเวลากับธุรกิจที่ไม่ทำกำไรทั้งหมดนี้คือการเข้าซื้อ Berkshire Hathaway ที่โด่งดังของ Warren Buffett ซึ่งเกิดขึ้นจากความโมโหที่ผู้บริหารเก่าของบริษัทที่ผิดสัญญาซื้อหุ้นเพียงแค่ 0.125 เหรียญเท่านั้นเองครับเรื่องเล่าของปู่ Buffett จริง ๆ แล้วมีอีกเยอะมาก ด้วยความที่ปู่เป็นนักลงทุนมาตลอดชีวิต ทำให้พบเจอกับการเข้าซื้อหุ้นที่น่าตื่นเต้นหลายครั้ง และเต็มไปด้วยบทเรียนสำคัญที่นำมาสอนนักลงทุนรุ่นต่อ ๆ ไปเสมอการเข้าซื้อ Berkshire Hathaway ก็เป็นเหมือน ‘หลักกิโล’ สำคัญที่ช่วยหล่อหลอมปู่ Buffett ให้เป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกจนถึงทุกวันนี้เช่นกัน หลังจากนั้น Buffett เริ่มปรับสไตล์การลงทุนของตัวเองเล็กน้อย ซึ่งเป็นไปได้ว่ามาจากบทเรียนในการซื้อ Berkshire ของเขา รวมไปถึงความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิทคนสำคัญอย่าง Charlie Munger ครับเมื่อคุณขอคำแนะนำจากปู่ Buffett ทุกคนมักจะเคยได้ยินประโยคดังที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง นั่นคือ “จงซื้อหุ้นที่คุณยินดีจะถือเอาไว้ แม้ว่าตลาดหุ้นจะปิดตัวไปเป็นเวลา 10 ปี” ทำให้ทุกคนเห็นว่าสไตล์การลงทุนของปู่ Buffett เริ่มเปลี่ยนไป และเขาให้ความสำคัญกับคุณภาพของธุรกิจมากที่สุด ส่วนเรื่องราคาหุ้นเป็นเรื่องสำคัญรองลงมานั่นเองครับและแนวทางการลงทุนในแบบ VI ตามปู่ Buffett จึงเป็นหลักการที่ผมให้ความสำคัญและนำมาสร้างแพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้น เพื่อให้นักลงทุนสามารถเข้าถึง ‘หุ้นคุณภาพดี ราคาถูก’ อย่างแท้จริง คงไม่แปลกอะไร เพราะใคร ๆ ก็อยากประสบความสำเร็จเหมือนปู่ Buffett จริงไหมละครับผมหวังอย่างยิ่งว่า ทุกคนที่เข้ามาสู่โลกการลงทุนจะได้รู้จักกับปู่ Buffett และประสบความสำเร็จในการลงทุนเช่นเดียวกับปู่ Buffett นะครับแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1057040
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
30/04/2024
รู้หรือไม่? การพลัดตกหกล้ม หรืออุบัติเหตุจากการปฏิบัติงานมักเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินที่ทำให้มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่ต้องสูญเงินในกระเป๋าไปอย่างน่าเสียดาย จากรายงานสถิติตัวเลขของการแจ้งเหตุผู้ป่วยฉุกเฉินผ่านสายฉุกเฉิน 1669 ของประชาชนในวัยแรงงานตั้งแต่อายุ 20 – 60 ปี ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2561 –จนถึงวันที่ 30 เมษายน 61 มีการแจ้งเหตุการพลัดตกหกล้ม หรืออุบัติเหตุจากการปฏิบัติงานเข้ามามากถึง 42,127 คนnoon know สถิติการแจ้งเหตุผู้ป่วยฉุกเฉินของวัยแรงงาน 3 อันดับแรก ได้แก่ • อุบัติเหตุจากยานยนต์ • อาการป่วย อ่อนเพลีย อัมพาตเรื้อรัง • อาการปวดท้อง, หลัง, เชิงกรานจากข้อมูลสถิติที่ได้กล่าวมาในข้างต้นยิ่งช่วยย้ำเตือนให้เห็นภาพได้ชัดเจนว่าอุบัติเหตุไม่เคยเป็นเรื่องไกลตัว ถึงแม้ว่าเราจะทำสิ่งนั้นอยู่เป็นประจำ หรือจนเคยชิน แต่อุบัติเหตุก็ไม่เคยปราณีใคร ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลจึงอาจกลายเป็นอีกหนึ่งหลักประกันสำคัญที่จะช่วยให้สามารถรักษาสภาพคล่องทางการเงินของเราไว้แม้ในยามที่ต้องล้มหมอนนอนเสื่อ ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) คือการประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองผู้เอาประกันภัยในกรณีที่ได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย ทุพพลภาพ สูญเสียอวัยวะ หรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ โดยบริษัทประกันภัยจะเข้ามารับผิดชอบเรื่องภาระค่าใช้จ่ายจากการรักษาพยาบาล หรือจ่ายค่าชดเชยให้ในกรณีทุพพลภาพ สูยเสียอวัยวะ หรือเสียชีวิตโดยมีผลประโยชน์ความคุ้มครองพื้นฐานมีให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ประกันอุบัติเหตุแบบอบ.1 1. จ่ายเงินก้อนเมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ 2. จ่ายเงินชดเชยเมื่อผู้เอาประกันสูญเสียอวัยวะ/สายตาจากอุบัติเหตุ 3. จ่ายเงินชดเชยเมื่อผู้เอาประกันทุพลภาพถาวร/ชั่วคราว สิ้นเชิงจากอุบัติเหตุ 4. จ่ายเงินชดเชยเมื่อผู้เอาประกันทุพลภาพชั่วคราวบางส่วนจากอุบัติเหตุ 5. จ่ายค่ารักษาพยาบาลแทนผู้เอาประกันประกันอุบัติเหตุแบบอบ.2 1. จ่ายเงินก้อนเมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ 2. จ่ายเงินชดเชยเมื่อผู้เอาประกันสูญเสียอวัยวะ/สายตาจากอุบัติเหตุ 3. จ่ายเงินชดเชยเมื่อผู้เอาประกันทุพลภาพถาวร/ชั่วคราว สิ้นเชิงจากอุบัติเหตุ 4. จ่ายเงินชดเชยเมื่อผู้เอาประกันทุพลภาพชั่วคราวบางส่วนจากอุบัติเหตุ 5. จ่ายค่ารักษาพยาบาลแทนผู้เอาประกัน 6. จ่ายเงินชดเชยในกรณีที่สูญเสียนิ้ว/การฟัง/การพูด และทุพลลภาพถาวรบางส่วนประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) จำเป็นแค่ไหนที่ต้องมีตอบ หากมีเงินสำรองมากพอที่จะครอบคลุมค่ารักษาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต หรือมีหลักประกันสุขภาพอื่นๆที่แข็งแรงมากพอก็อาจไม่จำเป็นต้องมีประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลเพิ่มอีก แต่ถ้าไม่มี “ประกันอุบัติส่วนบุคคล” ก็อาจเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ควรมีติดตัวไว้ เพราะเบี้ยประกันไม่สูงมากนัก แต่ได้รับความคุ้มครองเกือบครอบคลุมทุกเหตุไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวเราในอนาคตได้ ใครบ้างที่ควรมีประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) ไว้ในครองครอง • คนที่มีไลฟ์สไตล์โลดโผน อาทิเช่น ชอบเล่นกีฬา เดินทางท่องเที่ยวบ่อยเด็กเล็ก เนื่องจากความซุกซนอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ทุกเมื่อ • คนที่ต้องการเครื่องมือช่วยแบ่งเบาภาระค่ารักษาพยาบาล หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกิดจากอุบัติเหตุไม่คาดฝัน • คนที่ต้องการขยายความคุ้มครองให้ครอบคลุมมากขึ้นจากหลักประกันสุขภาพที่มีอยู่ในปุจจุบัน • คนที่มีลักษณะการทำงานเอื้อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย อาทิเช่น พนักงานเช็ดกระจนบนตึกสูง • คนที่ไม่สามารถทำประกันชีวิตได้ เนื่องจากมีปัญหาด้านสุขภาพที่ร้ายแรงขอบคุณแหล่งข้อมูล : assurity.com, aar-insurance.ke, oic.or.th/thแหล่งที่มาข่าว noonhttps://www.noon.in.th/blog/how-pa-necessary-to-you/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
รู้จริง!รู้ลึก เรื่องการวางแผนการเงิน แบบครบวงจร เรียนรู้จากรูรู ตัวจริง เสียงจริงมีจิตอาสา…การรวมตัวของวิทยากรการเงินและประกันชีวิตมากที่สุดครั้งหนึ่งใน …FA STATION แพลตฟอร์มออนไลน์มาเเรงน้องใหม่ล่าสุด สอนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อช่วยยกระดับความรู้ให้สังคมไทยเรียนจบ รับประกาศนียบัตร มีงานทำ ทันที…FA STATION กราบขอบพระคุณสื่อมวลชน ผู้บริหารและพลังพี่น้องตัวแทนทุกสื่อที่มาร่วมงานและ ประชาชนโครงการจิตอาสานี้……https://www.innwhy.com/fa26092022/……https://kohkrasaekhao.com/?p=19617……https://iwhatjournal.wordpress.com/2022/09/26/launch-of-the-financial-planning-learning-platform-fa-staion/https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02hRYUTN7CxFAx1Qh4o9TWSkAVr5ivLWL7SEHWJJtmm4vq2gGJo8VVgn9QSxQUEdUzl&id=100063487929496https://twitter.com/bkkexp/status/1574367674053771265?t=dDlCChCJ4fSS7R252CTkwA&s=19https://www.instagram.com/p/Ci-Bx-9rkc_l8_TCPmHjQT9vNe8ZXMkGtibiOY0/?igshid=YmMyMTA2M2Y=…https://xn--l3caabg1fm8h5ab.com/ดูบทความ-128163-รู้จริงรู้ลึก-เรื่องการวางแผนการเงิน-เรียนจบมีงานทำทันที.html………https://splendor-biz.com/52159/…………https://www.benewsonline.com/home/2022/09/รู้จริง-รู้ลึก-เรื่องการ/………https://worldbusiness-th.com/51099/……https://www.thaipublicmedia.com/2022/09/FA-STATION-Financial-Planning-Learning-Platform.html……https://kaoupdate.com/2022/09/26/37550-fa-staion/……https://smartlife-news.com/business/aia-fa-station/………https://gorgeousbkk.com/fa-station-aia/……https://www.arsa-story.com/news/1664116293945691………http://greeneconomynews.com/?p=20540………https://sabaideethailand.wordpress.com/2022/09/25/fa-station/………https://4quarter.co/33224/………รู้จริง!รู้ลึก เรื่องการวางแผนการเงิน เรียนจบมีงานทำทันที http://www.thaimlmnews.com/รู้จริงรู้ลึก-เรื่องการ/… https://mlmnewsonline.com/?p=32224https://ibiznewsmedia.com/2022/09/25/fa-station/https://www.clubhoon.com/mainnews_detail.php?id=OTZpUElTVnErODlJcEtBNUhSaEZ3dz09&cate_id=5…รู้จริง!รู้ลึก เรื่องการวางแผนการเงิน เรียนจบมีงานทำทันที | Worldbusiness https://worldbusiness-th.com/51099/…www.thaipublicmedia.com https://web.facebook.com/ThaiPublicMedia/posts/pfbid033xG7B3yxy7vjCcVZ3D3KFdxes9BAeMCP4tzGFxWMueryYvBNukyeGriX3ZtyVg4alhttps://twitter.com/ThaiPublicMedia/status/1574563782491508736…………|||……………|||………………ณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต กล่าวแสดงความยินดีกับ กับงานเปิดตัว FA STATION แพลตฟอร์มล่าสุด ของประชาชนคนไทยทุกคนhttps://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid07FP19hHgoM4UKzvqw2eoGezvr4HF1bANCJGUxtYBbZHJ58uMuBeAooPrRYE8AxTCl&id=544464316FA STATION TEAM27/9/65 : 09:00 น.
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
การวางแผนทางการเงิน
30/04/2024
ถึงเวลา! เปิดตัวแพลตฟอร์มการเรียนรู้การวางแผนการเงิน FA STATION วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน 2565 เวลา 13:00น ณ โรงแรมแชงกรีล่า กรุงเทพ ห้องบอลรูม ประชาชนทุกสาขาอาชีพ สามารถกดสมัครเรียนรู้ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายผ่านเว็บไซต์ FA STATION จบครบในที่เดียว โดยวิทยากรระดับประเทศกว่า 30 ท่านFA STATION เป็นสถานีการเรียนรู้ด้านการวางแผนการเงินออนไลน์ครบวงจร จากกูรูตัวจริงที่นำประสบการณ์การทำงานที่ประสบความสำเร็จมาแนะนำทั้งภาคทฤษฎี และปฎิบัติ มากกว่า 300 คลิป ตั้งแต่พื้นฐาน ไปจนถึงเรื่องยากๆ โดยผู้เรียนสามารถชมออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง โดยสามารถถาม-ตอบ แบบสดๆ ผ่านช่องทางส่วนตัวกับวิทยากรได้อีกด้วย จากแนวคิด “Learn Your Class with Your Master”คุณประกิตติ บุณยเกียรติ ที่ปรึกษาอาวุโส เอไอเอ ประเทศไทยคุณณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายตัวแทนประกันชีวิตวิทยากรจิตอาสาทั้ง 30 ท่าน จากหลากสมาคม องค์กรและ CEO การเงินบริษัทชั้นนำของประเทศ อาทิ คุณชลเดช เขมะรัตนา (นายกสมาคมฟินเทค(TFA) และผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน การลงทุนและเทคโนโลยี), คุณกมลวรรณ สุชาตานนท์ (CEO บลป.โรโบเวลธ์ & FA STATION), คุณพันธ์ศักดิ์ พสุกุลพันธ์ (CEO Wealth24hrs & Co Founder FA STATION), คุณดุษณี เกลียวปฏินนท์ (วิทยากรที่มีประสบการณ์ทำงานด้านพัฒนาผลิตภัณฑ์และการเป็นนักลงทุน ได้รับเชิญเป็นวิทยากรบรรยายให้สมาคม องค์กรและตลาดหลักทรัพย์),คุณมงคล ลุสัมฤทธิ์ (นายกสมาคมผู้บริหารธุรกิจประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน GAMA) เป็นต้นโดยทุกหลักสูตรจะไม่มีค่าใช้จ่าย สำหรับการเรียนรู้เพื่อไปวางแผนให้ตนเองและครอบครัว และไปประกอบวิชาชีพ ที่ปรึกษาการเงินอิสระ นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรพิเศษของวิทยากร ที่เปิดคลาสสอนออนไลน์ในราคาพิเศษสุดๆ ที่ไม่เคยบรรยายที่ไหนมาก่อนให้เลือกเรียนได้ ทุกหลักสูตรถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับประชาชนคนไทยทุกสาขาอาชีพ ทั้งนักเรียน นักศึกษา คนรุ่นใหม่ที่สามารถเข้าถึงแพลตฟอร์มนี้ได้ เรียนรู้ก่อนและก้าวทันโลกการเงินคุณชลเดช เขมะรัตนา นายกสมาคมฟินเทคประเทศไทย(TFA) กล่าวว่า “ในโลกการเงินในปัจจุบัน เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับชีวิตประจำวันในทุกมิติมากกว่าในอดีต ประชาชนทุกคนเริ่มเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีและปรับตัวได้มากขึ้น เเต่ยังไม่มีการเรียนรู้ การสอนอย่างมีระบบ ถึงมีก็ยังมีค่าใช้จ่ายที่สูง ประชาชนขาดโอกาสอีกมากโดยเฉพาะเรื่อง การวางแผนการเงินที่ทุกคน ทุกอาชีพต้องเกี่ยวข้อง ขาดวางแผนการเงินของตนเองและครอบครัว จึงทำให้มีหนี้เสียจำนวนมากเป็นปัญหาในหนี้ภาครัวเรือน ผมจึงขอชื่นชมโครงการFA STATION ที่เกิดขึ้นมาในช่วงเวลาที่เหมาะสมภายใต้การร่วมแรง ร่วมใจการแบ่งปันของวิทยากรจิตอาสาทุกท่าน”คุณกมลวรรณ สุชาตานนท์ CEO INDEGO & FA STATION ได้กล่าวว่า “ด้วยสถานการณ์ของโรคไวรัสโควิด-19 ที่ระบาดทั่วโลกในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประชากรทั่วโลก โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนคนไทยทุกสาขาอาชีพได้รับผลกระทบในหลายๆ ด้านโดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ การตกงานและปัจจุบันระดับหนี้ครัวเรือนของไทยอยู่ในระดับที่น่ากังวล ไม่ว่าจะเทียบกับในอดีตหรือเทียบกับต่างประเทศ โดยข้อมูล ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2564 ชี้ว่าระดับหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทยเพิ่มขึ้นสูงถึง 89.3% และเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ไทยมีระดับหนี้ครัวเรือนต่อ GDP สูงเป็นอันดับที่ 12 จาก 70 ประเทศทั่วโลก และสูงเป็นอันดับที่ 2 ในเอเชียรองจากประเทศเกาหลีใต้ นี่คือเหตุผลสำคัญที่เกิดโครงการ FA STATION ที่เป็นสถานีของการเรียนรู้การวางแผนการเงิน สอนให้รู้จริง ทำได้และวางแผนได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เป็นเจตนารมณ์ร่วมกันของวิทยากรทุกๆคนค่ะ”คุณพันธ์ศักดิ์ พสุกุลพันธ์ CEO Wealth24hrs ในฐานะหัวเรี่ยวหัวแรงของการปั้นแพลตฟอร์มนี้มากว่า2ปีได้กล่าวว่า “เราอยากให้ประชาชนคนไทยทุกสาขาอาชีพ โดยเฉพาะน้องๆ นักศึกษาชั้นปีสุดท้ายได้เรียนรู้ก่อน เพราะคือวัยที่กำลังต้องการข้อมูลในการวางแผนชีวิตเข้าสู่โลกใบใหม่ของการเริ่มต้นทำงาน เริ่มต้นที่จะวางแผนการเงินจากเงินเดือนๆ เเรกของชีวิต ถ้ารู้ก่อนจะได้เปรียบในทุกมิตินับจากวันที่เรารู้ เราสามารถที่จะเตรียมตัว วางแผนชีวิตได้ดี เพื่ออนาคตที่ดีได้ไม่ยาก นอกจากนี้เเล้ว FA STATION ยังวางแผนการทำงานด้านนี้ เปิดโอกาสในการทำอาชีพที่ปรึกษาการเงินอิสระในช่วงที่รองานประจำ หรือจะทำเต็มตัวได้ทันทีเมื่อจบคอร์สเรียน จึงขอฝากทุกท่านช่วยกันประชาสัมพันธ์ในโครงการนี้ เพื่อช่วยเหลือสนับสนุนให้ทุกคนเข้าถึงแพลตฟอร์มดีๆ เช่นนี้ โดยสามารถสมัครเรียนรู้ด้วยตนเองผ่าน www.FASTATION.co.th โดยเริ่มรับสมัครวันเเรกในวันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน 2565 เป็นต้นไป”
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
30/04/2024
ไฟไหม้ หรือน้ำท่วมเฉียบพลันเป็นเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่สามารถสร้างความสูญเสีย และความเสียหายให้กับตัวเรา และทรัพย์สินได้อย่างมากมายมหาศาล โดยเฉพาะความเสียที่เกิดขึ้นกบ “บ้าน” หลายๆ คนจึงเลือกที่จะทำ ประกันอัคคีภัย หรือประกันภัยบ้าน ไว้มาเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งรายละเอียด และเงื่อนไขความคุ้มครองโดยทั่วไปของประกันภัยบ้านสามารถตามไปอ่านได้ที่บทความ ประกันภัยบ้าน เรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามแต่สำหรับบทความนี้เพื่อเป็นการช่วยเตรียมพร้อมในยามที่ภัยมาแต่เนิ่นๆ เราจะการพาไปดูรายละเอียดเกี่ยวกับการเคลมประกันภัยบ้านกันว่าแต่ละขั้นตอน หรือเอกสารที่ต้องเตรียมนั้นมีอะไรบ้างขั้นตอนการเคลมประกันบ้าน 1. ติดต่อบริษัทผู้รับประกันเพื่อแจ้งให้รู้ถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นทันที 2. ถ่ายภาพของทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหายโดยละเอียด เพื่อให้เห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด 3. จัดทำรายการทรัพย์สินที่เสียหายทั้งหมด 4. ให้ช่างหรือผู้รับเหมาประเมินราคาค่าเสียหายของทรัพย์สินที่เกิดขึ้นทั้งหมด 5. เก็บรักษาทรัพย์สินที่เสียหาย เพื่อให้บริษัทประกันภัยตรวจสอบ 6. เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน • หนังสือเรียกร้องของผู้เอาประกันภัย • สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้เอาประกันภัย • ใบเสนอราคาค่าซ่อมแซมของผู้รับเหมา และ/หรือ ใบเสร็จรับเงินในการซ่อมแซม • ภาพถ่ายความเสียหาย • สำเนาบันทึกประจำวันของเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ (ในกรณีที่ต้องมีการแจ้งความ) • หนังสือยอมรับผิดของบุคคลภายนอก (ในกรณีที่เสียหายจากการกระทำบุคคลภายนอก) 7. ส่งเอกสารให้กับบริษัทผู้รับประกันภัย ต้องรอนานไหมกว่าจะได้รับค่าชดใช้ค่าสินไหมทดแทนประกันบ้าน โดยปกติแล้วบริษัทผู้รับประกันจะใช้ระยะเวลาในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ภายใน 15 วันทำการ หลังจากที่ผู้เอาประกันลงนามในเอกสารตกลงค่าเสียหายและจัดส่งเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้แก่บริษัทเรียบร้อยแล้ว แต่อาจช้ากว่ากำหนดได้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันนั้นๆ ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก : tqm.co.th, s-ins.co.th, thairath.co.thแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับnoonhttps://www.noon.in.th/blog/7-step-to-claim-hoem-insurance/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
"มิตรภาพจากเพื่อนที่ร่ำรวยในวัยเด็ก มีส่วนทำให้สถานะทางสังคมและฐานะทางเศรษฐกิจสูงขึ้นเมื่อเป็นผู้ใหญ่"บทสรุปสั้นๆ จากการศึกษา 2 ชิ้นใหม่ล่าสุดของ Raj Chetty นักเศรษฐศาสตร์ของฮาร์วาร์ด ที่มีสาระสำคัญว่า การมีเพื่อนรวยกว่าตั้งแต่เด็ก เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนพลังเงินในกระเป๋าของคุณได้จริงๆ จากการศึกษาครั้งนี้พบว่า เด็กจากครอบครัวที่มีสถานะทางเศรษฐกิจที่ไม่ดี แต่ได้อยู่อาศัยในชุมชนที่เพื่อนๆ กว่า 70% มาจากครอบครัวฐานะทางการเงินดี เด็กกลุ่มนี้จะมีรายได้สูงกว่าคนรุ่นเดียวกันโดยเฉลี่ย 20% เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่โดยอธิบายว่าที่เป็นแบบนั้นได้เพราะมีการสะสม "ทุนทางสังคม" (social capital) ที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จนสามารถมีฐานะดีกว่าเดิมได้เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่โดยทุนทางสังคมที่ว่านี้ สะสมมาจากการคบเด็กในครอบครัวที่ร่ำรวย ที่อาจได้แรงบันดาลใจหรือแนวคิดในการสร้างตัว ไปจนถึงการรับข้อมูลข่าวสารที่มีผลต่อการพัฒนาตัวเองจนยกระดับฐานะเศรษฐกิจ รวมไปถึงโอกาสในการหางาน หรือโอกาสทางสังคมอื่นๆ ด้วยซึ่งความสัมพันธ์ส่วนบุคคลหรือมิตรภาพเหล่านี้ เป็นปัจจัยผลักดันให้เกิด "การเลื่อนชั้นทางสังคม" ที่ทรงพลังอย่างไม่เชื่อ จนอาจพูดได้ว่า ในบางครั้ง "การศึกษา" หรือ "อาชีพเฉพาะทาง" ก็ยังไม่สามารถทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจของคนคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้ถึงขนาดนี้ อย่างไรก็ตาม ทีมผู้วิจัยอธิบายว่าเรื่องนี้เป็นสมมติฐานที่มีมานานแล้วในแวดวงวิชาการเศรษฐศาสตร์ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ "คนรวย" จะมีโอกาสได้เป็นเพื่อนกับ "คนจน" เนื่องจากโดยปกติแล้วคนที่มีฐานะใกล้เคียงกันถึงจะมีโอกาสได้พบปะกันและผูกมิตรกัน • ถ้าเราคบเพื่อนรวย จะทำให้รวยขึ้นได้ไหม ?จากการศึกษาข้างต้น อนุมานได้ว่าการเปลี่ยนแปลงสถานะทางรายได้ที่ดีขึ้นของมนุษย์ส่วนหนึ่งมาจากสิ่งแวดล้อม ทัศนคติบางอย่างที่ถูกส่งต่อในสังคมที่อยู่หรือคนที่เข้าหาและคลุกคลีด้วยบ่อยๆ "คุณจะมีเส้นทางชีวิตเหมือนกับคนที่คุณคบหาด้วย" วอลเลน บัฟเฟตต์ เคยกล่าวไว้คำพูดของ บัฟเฟตต์ หนึ่งในมหาเศรษฐีระดับโลก สอดคล้องกับ Thomas Corley ผู้เขียน Rich Habits: The Daily Success Habits of Wealthy Individuals" ใช้เวลา 5 ปีในการศึกษากิจกรรมของคนร่ำรวย ในระหว่างการวิจัย เขาค้นพบจุดร่วมที่น่าสนใจ จากเศรษฐีที่สร้างฐานะด้วยตัวเอง 177 คนในการศึกษาของเขาจุดเด่นของคนกลุ่มนี้ คือความพยายามสร้างความสัมพันธ์กับคนที่เขาอยากเลียนแบบ โดยก่อนที่พวกเขาจะกลายเป็นคนมั่งคั่งร่ำรวย เศรษฐีหน้าใหม่เหล่านี้พยายามอย่างตั้งใจในการสร้างความสัมพันธ์เฉพาะกับบุคคลที่พวกเขาอยากจะเป็น นั่นคือคนที่ร่ำรวยและประสบความสำเร็จคนอื่นๆCorley ยังบอกอีกว่า "คนทั่วไป" อาจชอบคบกับคนที่พวกเขาคุ้นเคยและเข้าถึงได้ง่ายโดยไม่รู้ตัว เช่น เพื่อนร่วมงาน เพื่อนบ้าน หรือสมาชิกในครอบครัว แต่ในทางกลับกันเศรษฐีเหล่านี้ไม่มีปัญหาในการย้ายไปอยู่นอกเครือข่ายสังคมเดิมๆ และสามารถสร้างมิตรภาพกับคนที่พวกเขาต้องการเลียนแบบได้แบบไม่เคอะเขินจึงกล่าวได้ว่าการ "มีเพื่อนรวยกว่า" ทำให้มีโอกาสรวยขึ้น เป็นไปได้จริง อย่างไรก็ตาม "รวย" ณ ที่นี้ ก็ไม่ได้หมายความว่ารวยจากการหวังเพิ่งพาทรัพย์สินจากเพื่อน แต่มิตรภาพที่แน่นแฟ้น ความปรารถนาดีต่อกัน ไปจนถึงแนวความคิดของคนที่คลุกคลีกับธุรกิจหรือแนวคิดทางการเงินแบบก้าวหน้าต่างหาก ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างและต่อยอดรายได้ต่างหาก ที่ทำให้คนเราสามารถ "รวยขึ้นได้"--------------------------------อ้างอิง: wealthtender, businessinsider, sciencealert,, bbcแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1023845
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
17/10/2024
01/08/2024
30/04/2024
19/06/2024
24/10/2024