คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ภาษี

การ “ประหยัดภาษี” ด้วย...“ประกันบำนาญ”

30/04/2024

ก่อนนำ “เบี้ยประกันบำนาญ” มาใช้ลดหย่อนภาษี เราต้องรู้เงื่อนไขการใช้สิทธิลดหย่อนก่อน ซึ่งมีด้วยกัน 5 ข้อ คือ1. “เบี้ยประกันชีวิตแบบทั่วไป” หรือ “ประกันชีวิต” แบบมีความคุ้มครองชีวิตที่กำหนดเวลาตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปใช้ลดหย่อนภาษีตามที่จ่ายจริงได้และสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท และประกันสุขภาพตามเงื่อนไขที่สรรพากรกำหนดที่ไม่เกิน 25,000 บาท ทั้งนี้ประกันชีวิตแบบทั่วไปและประกันสุขภาพใช้ลดหย่อนภาษีตามที่จ่ายจริงและได้รวมกันได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท2. “เบี้ยประกันบำนาญ” (แบบลดหย่อนภาษีได้) ใช้ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 200,000 บาท และไม่เกิน 15% ของเงินได้ซึ่งต้องเสียภาษี ซึ่งเงินก้อนนี้เมื่อนำไปรวมกับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ครูว่าด้วยโรงเรียนเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) รวมกันต้องไม่เกิน 500,000 บาท3. ถ้าใครที่ยังไม่มี “ประกันชีวิตแบบทั่วไป” สามารถนำ “เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ” ไปหักลดหย่อนแทนเบี้ยประกันชีวิตได้ด้วย ก็แปลว่าเราจะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีด้วยประกันบำนาญอย่างเดียวได้สูงสุดถึง 300,000 บาท ทำให้เราเสียภาษีน้อยลง หรืออาจจะได้เงินคืนจากภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายไปแล้วกลับมา4. ถ้าใครมี “ประกันชีวิตแบบทั่วไป” แล้ว แต่ยังไม่เต็ม 100,000 บาทแรก สามารถใช้ “เบี้ยประกันบำนาญ” ไปรวมสิทธิ์ลดหย่อนในส่วนของโควต้าเบี้ยประกันชีวิตแบบทั่วไปให้ครบ 100,000 ก่อนแล้วค่อยนำเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญมาลดหย่อนในส่วนที่เหลือได้5. กรณีมีคู่สมรส และทั้งคู่เป็นผู้ชำระเบี้ยสามารถ “แยกยื่นภาษี” ในส่วนของเบี้ยประกันชีวิตของประกันแบบบำนาญ เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนในส่วนของตนเองได้ สูงสุดคนละ 200,000 บาทวิธีคำนวณลดหย่อนภาษีของ “ประกันบำนาญ”ตัวอย่าง: สมมติว่า ถ้าปีนี้เรามีรายได้ 3,500,000 บาท ซื้อประกันชีวิตแบบทั่วไปปีละ 50,000 บาท ซื้อหน่วยลงทุน RMF ไว้ 300,000 บาท และไม่มีเงินจากส่วนอื่นไปหักลดหย่อนในวงเงิน 500,000 นี้ เราควรจะซื้อประกันชีวิตบำนาญแบบลดหย่อนภาษีได้โดยชำระเบี้ยประกันปีละเท่าไหร่ จึงจะสามารถใช้สิทธิได้เต็มจำนวน และจะประหยัดภาษีไปได้เป็นจำนวนเงินเท่าไหร่วิธีคิดแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนขั้นที่ 1: ตรวจสอบสิทธิของประกันชีวิตปกติว่าถึง 100,000 บาทหรือยัง ผลการคำนวณ 100,000 – ประกันปกติ 50,000 คือเหลือสิทธิลดหย่อนด้วยประกันบำนาญอีก 50,000 บาทขั้นที่ 2: ตรวจสอบสิทธิของประกันชีวิตบำนาญรวมกับ - กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ - กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน - กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) - กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) - กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ทั้งหมดนี้รวมกันต้องไม่เกิน 500,000 ว่าเหลือสิทธิอีกเท่าไหร่“ผลการคำนวณ 500,000 – RMF 300,000 คือเหลือสิทธิลดหย่อนด้วยประกันบำนาญอีก 200,000 บาท”ขั้นที่ 3: ตรวจสอบสิทธิลดหย่อนประกันบำนาญไม่เกิน 15% ของเงินได้ (ไม่เกิน 200,000)ผลการคำนวณ 3,500,000 x 15% คือมีเพดานสูงสุดไม่เกิน 525,000 บาท แต่จากขั้นที่ 1 และ 2 คำนวณเหลือสิทธิ 50,000 + 200,000 นั่นคือ เราจะสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีในโควต้าประกันบำนาญได้ไม่เกิน 250,000 บาทผลการคำนวณภาษีที่ประหยัดถ้าสมมติเราเสียภาษีอยู่ที่ขั้นภาษีที่อัตรา 15% ก็เท่ากับว่า เราจะสามารถประหยัดภาษีไปได้อย่างน้อย 250,000 x 15% = 37,500 บาทต่อปีตัวอย่างที่ 2: สมมติ ถ้าเรามีรายได้ทั้งปี 2,000,000 บาท แล้วเราซื้อประกันบำนาญไป 350,000บาท โดยไม่เคยซื้อประกันชีวิตแบบทั่วไป ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือ กองทุนรวม RMF เลย จะสามารถนำเบี้ยประกันไปลดหย่อนภาษีในโควต้าประกันบำนาญได้สูงสุดเท่าไหร่ และจะประหยัดภาษีไปได้เป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ขั้นที่ 1: ตรวจสอบสิทธิของประกันชีวิตปกติว่าถึง 100,000 บาทหรือยัง ผลการคำนวณ “ยังไม่มี” คือเหลือสิทธิลดหย่อนด้วยประกันบำนาญอีก 100,000 บาทขั้นที่ 2: ตรวจสอบสิทธิของประกันชีวิตบำนาญรวมกับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ซึ่งรวมกันต้องไม่เกิน 500,000 ว่าเหลือสิทธิอีกเท่าไหร่“ผลการคำนวณ 500,000 –0 คือเหลือสิทธิลดหย่อนด้วยประกันบำนาญอีก 200,000 บาท (สิทธิลดหย่อนสูงสุดคือไม่เกิน 200,000)”ขั้นที่ 3: ตรวจสอบสิทธิลดหย่อนประกันบำนาญไม่เกิน 15% ของเงินได้ (ไม่เกิน 200,000)ผลการคำนวณ 2,000,000 x 15% = 300,000 บาท แต่เกิน 200,000 บาท“ดังนั้น ก็ใช้สิทธิ์ลดหย่อนประกันบำนาญได้ 200,000 บาท และใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีในโควต้าประกันชีวิตแบบทั่วไปได้อีก 100,000 บาท รวม 300,000 บาท แสดงว่าซื้อ 350,000 บาท แต่เอาไปใช้ลดหย่อนภาษีได้ 300,000 บาท”การคำนวณภาษีที่ประหยัดขึ้นกับฐานภาษีที่จ่าย เช่นถ้าเสียภาษีในขั้นอัตรา 15% ก็จะประหยัดภาษีไปได้ปีละ 300,000 x 15% = 45,000 บาทต่อปีเลยทีเดียวการซื้อเกินสิทธิ์ที่ใช้ลดหย่อนได้“การซื้อประกันชีวิต” และ “ประกันบำนาญ” สามารถซื้อเกินสิทธิ์ได้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อความคุ้มครองชีวิต, สุขภาพ, ออมเงิน หรือเพื่อการวางแผนเตรียมเงินไว้ใช้หลังเกษียณ โดยนำเบี้ยประกันไปใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีตามที่จำนวนไม่เกินที่สรรพากรกำหนด ส่วนที่ซื้อเกินสิทธิ์จะไม่ต้องยื่นภาษีหรือทำอะไร ต่างจากในกรณี SSF และ RMF ที่เมื่อซื้อเกินสิทธิ์จะต้องมีการยื่นภาษีของเงินได้ที่เป็นกำไรจากการขายกองทุน SSF หรือ RMF นั้นๆ“ประกันบำนาญ” นั้น นอกจากจะช่วยให้เรา “ประหยัดภาษี” แล้ว จุดประสงค์หลักคือการเก็บออมในวันนี้เพื่อมีเงินใช้ในวันเกษียณ ดังนั้นเมื่อทำประกันบำนาญแล้ว ขอให้มีวินัยในการเก็บออมและรอรับเงินบำนาญที่จ่ายคืนจากกรมธรรม์จนครบกำหนดสัญญา จะช่วยให้สิทธิ์การลดหย่อนภาษีเป็นไปอย่างถูกต้องตามเงื่อนไขแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับwealthythaihttps://www.wealthythai.com/en/updates/wealth-management/wealth-ez/11776

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

การวางแผนทางการเงิน

"ทองคำ-คริปโทฯ" ลงทุนอะไรดี สำรวจ"ความเหมือน-ความต่าง"ก่อนตัดสินใจ

30/04/2024

ในช่วงปีที่ผ่านมา กระแสคริปโทเคอร์เรนซีมาแรงสุด ๆ จนนักลงทุนจำนวนมากมองไปที่อนาคต ฝันไปไกลถึงคริปโทฯจะระบบเงินในอนาคตและดีกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆในช่วงที่คนมีความเชื่อมั่น ทุกอย่างดูเหมือนจะไปด้วยดี ราคาสินทรัพย์ดิจิทัลทุกประเภททะยานขึ้นชั่วข้ามคืน รวมถึงมีสินทรัพย์ดิจิทัลใหม่ ๆ ออกมาเสนอขายมากมาย จนจำชื่อไม่ได้ ซึ่งจากความเชื่อมั่นของบรรดานักลงทุนนี้เอง ทำให้มีการเปรียบเทียบ "ข้อดี-ข้อเสีย" ของการลงทุนในคริปโทฯกับสินทรัพย์ประเภทอื่น อย่างเช่น "ทองคำ" ซึ่งเป็นสินทรัพย์ "อมตะนิรันดร์กาล" ที่คนทั่วโลกต้องการมีไว้ครอบครองมายาวนานแต่คริปโทฯจะมาทดแทน หรือ เป็นสินทรัพย์ที่ดีกว่า "ทองคำ"จริงหรือไม่เมื่อเปรียบเทียบระหว่าง "คริปโทฯ" กับ "ทองคำ" สิ่งที่นักลงทุนต้องรู้ก่อนเป็นอันดับแรก ๆ มีดังนี้• อุปสงค์ หรือ ความต้องการทองคำมีหลากหลายมากกว่า• อุปทานทองคำ หรือแหล่งผลิตทองคำก็มีอยู่มากมายทั่วโลก แม้จะเริ่มมีปริมาณลดลง จากการขุดกันมานับร้อยปี• คริปโทเคอร์เรนซี มีลักษณะของการลงทุนแบบ "เก็งกำไร" ขนานแท้• ทองคำได้พิสูจน์ตัวเองมานานนับพันปีว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย โดยเฉพาะในช่วงที่เงินเฟ้อพุ่งทะยานและเกิดวิกฤติแต่ก็ยังไปดูถูกดูแคลนคริปโทฯไม่ได้ เพราะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา ซึ่งเมื่อพิจารณาในระยะสั้น ก็ถือว่ายังไม่อาจทดแทนทองคำได้ ด้วยเหตุผลดังนี้อุปสงค์ หรือความต้องการทองคำมีมาจากหลายแห่ง : ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ต่างจากสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ เพราะมีการนำทองคำไปใช้หลายทาง บรรดานักลงทุนและธนาคารกลางทั่วโลก ถือทองคำไว้เพื่อหาส่วนต่างหรือผลตอบแทนในอนาคต และทองคำยังช่วยรักษามูลค่าของเงินลงทุน "ชั้นเยี่ยม" เมื่อเปรียบเทียบกับสินทรัพย์อื่นนอกจากนี้ ทองคำยังเป็นที่ต้องการอย่างมากจากอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ และยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ที่ขาดไม่ได้ ตั้งแต่ในโทรศัพท์มือถือไปจนถึงชุดอุปกรณ์ทีวี ล้วนแต่มีส่วนประกอบของ "ทองคำ" อยู่ด้วยทั้งสิ้น แม้จะเพียงน้อยนิดขณะที่ทองคำมีการนำไปใช้หลากหลาย แต่ราคาทองคำก็มีความยืดหยุ่นมากกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ กล่าวคือ เมื่อตลาดการเงินเจอแรงกดดัน เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายขึ้น นักลงทุนก็จะซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย และที่น่าแปลกก็คือ เมื่อเศรษฐกิจขยายตัวได้ดี ผู้บริโภคก็จะซื้อเครื่องประดับและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นกล่าวคือ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะย่ำแย่ หรือ ขยายตัวได้ดี ล้วนแต่มีความต้องการทองคำจากคนกลุ่มต่าง ๆ เสมความต้องการคริปโทเคอร์เรนซีไม่มีความหลากหลาย : ความต้องการคริปโทฯส่วนใหญ่มาจากการลงทุนเป็นเหตุผลหลัก เมื่อเทียบกับการซื้อทองที่มาจากหลายทางหลาบวัตถุประสงค์ แม้คริปโทฯจะมีหลากหลาย แต่ไม่ใช่เรื่องการนำไป "ใช้ประโยชน์" แม้จะมีหลายชนิด แต่ก็มีมูลค่าต่างกัน โดยบิตคอยน์เป็นคริปโทฯที่มีมูลค่าการตลาดมากที่สุดในบรรดาคริปโทฯทั่วโลกจากการวิจัยพบว่าผู้บริโภคบางกลุ่มมองว่าคริปโทฯมีความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนสูง (high risk, high return) มีการเก็งกำไรกันดุเดือดเมื่อเทียบกับทองคำ ยกตัวอย่าง บิตคอยน์ มีราคาผันผวนแบบ "สุด ๆ" วิ่งขึ้น-ลง แทบตามไม่ทันสำหรับนักลงทุน สร้างความตื่นตระหนักให้กับนักลงทุน ซึ่งบางรายอาจจะรีบ "ช้อนซื้อ"  หรือไม่ก็ "เทขายทิ้ง"ไปเลยการผลิตทองคำและผู้ครอบครองมีจำนวนมากหลากหลาย : เหมืองทองมีอยู่ทั่วโลก และส่วนแบ่งตลาดค่อนข้างกระจาย กล่าวคือไม่มีทวีปใดทวีปหนึ่งมีการผลิตทองคำเกิน 30% ของการผลิตทองคำทั่วโลก ซึ่งหมายความการผลิตทองคำจากเหมืองทอง มีมากมายทั่วโลก นอกจากนี้ ผู้ครอบครองทองคำมี "หลากหลาย" กระทรวงการคลังสหรัฐเป็นผู้ถือครองทองคำมากที่สุดในโลก แต่ก็คิดเพียง 4% ของทองคำที่มีอยู่ทั่วโลกเท่านั้น เกือบ 50% อยู่ในรูปของเครื่องประดับที่มีอยู่ทุกมุมโลก ขณะที่กว่า 20% เป็นของนักลงทุนในตลาดที่เก็บในรูปของทองคำแท่งและเหรียญทองคำอำนาจและความเป็นเจ้าของคริปโทเคอร์เรนซีไม่ได้มีการกระจายตัว : ในปี 2021 มีผู้ที่ลงทุนใน 5 ประเทศเท่านั้นที่ควบคุมการขุดเหมืองบิตคอยน์ โดยมีศักยภาพมากถึง 80% ซึ่งทำให้ผู้เป็นเจ้าของบิตคอยน์กระจุกตัวอย่างมาก กล่าวคือมีเพียง 2% ที่ครอบครองบิตคอยน์ส่วนใหญ่ ในสัดส่วนมากถึง 95% ทองคำและบิตคอยน์มทีพฤติกรรมต่างกันในโลกการลงทุน : ราคาทองคำมักจะพุ่งขึ้นเมื่อตลาดหุ้นเจอแรงกดดัน อย่างไรก็ตาม บิตคอยน์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ยกตัวอย่างเช่น ตั้งแต่เดือนพ.ย. 2021-พ.ค. 2022 ราคาบิตคอยน์ร่วงไปกว่าครึ่ง ขณะที่ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq เริ่มฟื้นตัว ส่วนราคาทองขยับเล็กน้อยคริปโทฯผันผวนมากกว่าทองมาก นักวิเคราะห์บางรายแนะนำว่านักลงทุนคริปโทฯควรเพิ่มลงทุนทองคำไว้ในพอร์ต เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มลงทุนสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนระยะยาวณ ปัจจุบัน มีข้อคิดเกี่ยวกับทองคำ-คริปโทฯ ดังนี้• ตลาดคริปโทฯยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นการพัฒนา ทำให้เกิดความผันผวนสูง ดังนั้นคริปโทฯจึงค่อนข้างยากในการลงทุนซื้อขาย• ทองคำเป็นสินทรัพย์การลงทุนที่ต้องใช้ความพยายามและต้องผ่านกทรทดสอบหลายด้าน• ทองคำให้ผลตอบแทนแข่งขันได้กับตลาดหุ้นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา• ทองคำมีผลประกอบลการที่ดีระหว่างช่วงเงินเฟ้อ• ทองคำซื้อง่ายขายคล่อง แม้ในยามวิกฤติ• นักลงทุนในทองคำเพราะต้องการกระจายความเสี่ยงและปรับพอร์ตลงทุน โดยลดการลงทุนสินทรัพย์อื่นในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจและการเงินแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับpptvhd36https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99/179023

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

น้ำท่วมจนรถพัง ประกันรถยนต์คุ้มครองไหมนะ

30/04/2024

ฝนตก น้ำท่วม ปัญหาโลกแตก ที่ใครๆ ก็ไม่อยากเจอ โดยเฉพาะเจ้าของรถยนต์ทั้งหลาย เพราะน้ำที่ท่วมขังอาจนำพามาซึ่งความเสียหายหลักหมื่น หลักแสนฝนตกทีไร น้ำรอการระบายทุกที จอดรถอยู่อโศกดีๆ กลายเป็นสวนสยามทะเลกรุงเทพซะงั้น นี่คือปัญหาที่คนไทยส่วนใหญ่มักประสบพบเจอกันในช่วงฤดูฝนอยู่บ่อยครั้ง แต่ที่ร้ายไปกว่าน้ำท่วมอีกก็คือ รถยนต์ต้องมาพังเพราะน้ำเข้าเครื่องยนต์นี่แหละ ถ้าเป็นแบบนี้ประกันรถยนต์ที่ทำไว้จะคุ้มครองหรือเปล่านะ เพื่อคลายความสงสัยที่มีบทความได้รวบรวมคำตอบของทุกคำถามไว้ไว้แล้วประกันรถยนต์ภาคสมัครใจคุ้มครองกรณีรถยนต์เสียหายจากน้ำท่วมหรือไม่?ตอบ  คุ้มครอง  แต่ต้องเข้าข่ายเงื่อนไขเหล่านี้ เงื่อนไขที่ 1 ประกันรถยนต์ที่ทำต้องให้ความคุ้มครองภัยธรรมชาติ อย่างน้ำท่วม ซึ่งประเภทของประกันรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองภัยดังกล่าวมีดังนี้  • ประกันรถยนต์ชั้น 1   • ประกันรถยนต์ชั้น 2+  (บางแพคเกจ)  • ประกันรถยนต์ชั้น 2    (บางแพคเกจ)  • ประกันรถยนต์ชั้น 3+  (บางแพคเกจ)เงื่อนไขที่ 2 ความเสียหายต้องเกิดจากอุบัติเหตุ ไม่ใช่ความจงใจ สำหรับเงื่อนไขข้อที่ 2 นี้เราต้องมานั่งทำความเข้าใจกันก่อนซักนิด เพราะถึงแม้ว่ารถยนต์จะเสียหายจากน้ำท่วม แต่ถ้าเป็นการจงใจขับลุยน้ำท่วม ประกันไม่รับเคลมอย่างแน่นอน เพื่อให้เห็นภาพชัดกันมากขึ้น เราลองไปดูสถานการณ์ตัวอย่างกันซักนิด ตัวอย่างที่ 1 หญิงนูนขับรถยนต์ออกไปทำงานตามปกติ แต่ฝนเจ้ากรรมดันตกลงมาอย่างงหนัก ทำให้เกิดน้ำท่วมเฉียบพลัน จะขับรถหนีก็ไม่ทัน เครื่องยนต์จึงเสียหายอย่างหนัก เพราะถูกน้ำเข้า  ถ้าเป็นกรณีเช่นนนี้ ประกันรถยนต์คุ้มครองแน่นอน เพราะเกิดจากอุบัติเหตุ ไม่ใช่ความจงใจ และถ้าบริษัทประกันประเมินดูแล้วเสียไม่คุ้มซ่อม หรือไม่สามารถทำให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมได้ ประกันจะจ่ายค่าสินไหมทดแทน 70-80% ของทุนประกันให้แก่ผู้เอาประกัน หมายเหตุ ทุนประกัน คือมูลค่าความคุ้มครองที่บริษัทประกันรถยนต์จะจ่ายให้สูงสุดต่อปีสำหรับความเสียหาย โดยรถใหม่ป้ายแดงจะมีทุนประกันอยู่ที่ 80% ของมูลค่ารถยนต์  ตัวอย่างที่ 2 ชายพีร์ขับรถยนต์ไปทำงานตามปกติ ปรากฎว่าเจอน้ำท่วมขังอยู่ข้างหน้า คาดว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากฝนตกหนักเมื่อวาน แต่ไม่เป็นไร เพราะถ้าใจเรากล้า อุปสรรคอะไรเช้ามา เราก็จะฝ่าฟันไปได้ สุดท้ายผลลัพธ์คือน้ำเข้ารถจนเครื่องยนต์ และระบบไฟฟ้าเสียหายหนักมาก ถ้าเป็นกรณีนี้ประกันรถยนต์ไม่คุ้มครองอย่างแน่นอน เพราะจงใจที่ขับฝ่าไปทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าข้างหน้ามีน้ำท่วมขัง เราแนะนำให้หลีกเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นน่าจะดีต่อใจ และเงินในกระเป๋า แถมให้อีกนิด………. 6 ขั้นตอนการเคลมประกันรถยนต์ กรณีรถเสียหายจากน้ำท่วม 1. เตรียมหลักฐาน และเอกสารให้พร้อม ดังนี้  • หลักฐานที่เกิดเหตุ อาทิเช่น รูปถ่ายที่บันทึกรายละเอียดของสถานการณ์ เป็นต้น  • เอกสารเกี่ยวตัวรถ และกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ที่เราทำไว้  • ใบขับขี่  • บัตรประชาชน2. ติดต่อบริษัทประกันฯ ที่ทำประกันรถยนต์เอาไว้ (รายชื่อบริษัทประกันรถยนต์)3. รอเจ้าหน้าที่จากบริษัทประกันฯ มาตรวจสอบเพื่อประเมินความเสียหาย4. เลือกอู่หรือศูนย์ซ่อมเพื่อประเมินราคา5. รอการอนุมัติจากบริษัทประกันภัยที่ทำอยู่6. เมื่อเอกสารผ่านการอนุมัติ ก็สามารถนำรถส่งไปซ่อมที่อู่หรือศูนย์ซ่อมได้เลย“น้ำท่วมรถ” อาจเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเราบ่อยๆ แต่อย่างไรก็ตาม “ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ” ก็ยังเป็นสิ่งสำคัญที่เราควรมีติดรถไว้ตลอด เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้นการทำมีประกันไว้ย่อมดีกว่า เพราะอย่างน้อยเราก็ไม่ต้องแบกรับค่าซ่อมแต่เพียงคนเดียว ขอบคุณที่มา : oic.or.th, moneyguru.co.th, car.kapook.com, ngerntidlor.comแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับnoonhttps://www.noon.in.th/blog/how-to-claim-when-water-damage-car/?fbclid=IwAR3AMk5Hol4PPvfTP90LHwEfr15JInhV448MvhgYnNPrjYudWqf0oGeMWU0

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

การวางแผนทางการเงิน

จัดพอร์ตให้เป๊ะ เกษียณให้ไว “ผ่อนส่งความมั่งคั่ง” ได้สไตล์คนรุ่นใหม่

30/04/2024

คุณเป็นคนนึงที่ฝันอยากจะเกษียณเร็วไหมครับ? ฝันนี้จะเป็นจริงได้ ถ้าคุณตั้งเป้าหมายชีวิตว่า อยากจะมีอิสรภาพทางการเงินให้ได้ก่อนอายุ 60 ปีแน่นอนว่า การมีชีวิตที่มีอิสรภาพทางการเงิน เป็นความปรารถนาของคนทุกเพศทุกวัยทั้งนั้นโดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพราะการมีอิสระภาททางการเงิน นั่นหมายถึง คุณจะสามารถมีชีวิตที่ไม่ต้องถูกกำหนดให้ใช้เวลาวันละ 8-10 ชั่วโมงทำงานให้กับบริษัทดังเช่นยุคสมัยของคนรุ่นเก่าคุณปู่คุณย่าหรือแม้แต่คุณพ่อคุณแม่ของพวกเรา ภาพจำที่มี พวกท่านต้องทุ่มเทเวลาทำงานเพื่อเติบโตในตำแหน่งหน้าที่การงานทำให้มีรายได้สูงๆ เพื่อเป้าหมายความมั่งคงในบั้นปลายชีวิตวัยเกษียณ ขณะที่รูปแบบการออมเงินของพวกท่านจะเน้นการฝากเงินเป็นหลัก ส่วนการลงทุนก็จะเป็นพันธบัตรรัฐบาลที่มีความเสี่ยงต่ำได้ผลตอบแทนรูปดอกเบี้ย พวกท่านจะไม่ค่อยกล้าลงทุนหุ้นเพราะกลัวขาดทุนหรือเงินต้นหายหมดแตกต่างกับคนรุ่นใหม่ ส่วนใหญ่หันมาสนใจเรื่องการเงินการลงทุนต่างๆ บางกลุ่มเรียนยังไม่จบก็เข้ามาลงทุน บางกลุ่มเริ่มทำงานก็วางแผนทางการเงิน เรียนรู้เรื่องการลงทุนต่างๆ ด้วยตัวเอง กล้าลงทุนกล้าเสี่ยง ตัดสินใจรวดเร็ว พวกเขาเติบโตมากับเทคโนโลยีที่ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ภายใต้บริบทสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงด้วย นื่คือ วิถีชิวิตทางการเงินของคนรุ่นใหม่ เรียกว่าฉีกแนวความคิดเดิมๆของคนรุ่นเก่าทิ้งในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนรุ่นใหม่เข้ามาสู่โลกแห่งการลงทุนมากขึ้น สะท้อนจากข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ มีการเปิดบัญชีของคนรุ่นใหม่ Generation Y มีจำนวนมากขึ้นและมากกว่าคน Generation อื่น ๆ และในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ผู้ลงทุนส่วนใหญ่ที่มีความแอ็กทีฟที่สุด คือ นักลงทุน Generation Y และมีมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีความมั่งคั่งทางการเงินมากขึ้น และเทรนด์ของการซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านทางอินเทอร์เน็ตด้วย ทำให้ปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนการลงทุนผ่านอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นกว่า 80-90 % ของทั้งหมด หากเทียบกับเมื่อก่อนนักลงทุนจะซื้อขายผ่านผู้แนะนำการลงทุนมากกว่าแม้แต่รูปแบบการลงทุนของคนรุ่นใหม่ก็มีการกระจายตัวในสินทรัพย์ต่างๆ มากขึ้นและมากกว่าคน Generation อื่นๆ แม้ว่าพวกเขาจะกล้าได้กล้าเสียและตัดสินใจได้รวดเร็ว เพราะมีความหวังผลจากการลงทุน โดยมองในมุม Upside Gain มากกว่า แต่ก็เรียนรู้การกระจายความเสี่ยงในการลงทุนPhoto : Shutterstockสิ่งที่น่าสนใจคือ เทรนด์ที่นักลงทุนรุ่นใหม่ Gen Y ให้ความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ คือ การออกไปลงทุนต่างประเทศ เปิดกว้างรับรู้สถานการณ์การลงทุนต่างๆ ในต่างประเทศภาพขยายของกลุ่มคนรุ่นใหม่มีความตื่นตัวเรื่องการเงินการลงทุนมากขึ้นๆ การที่ได้หลายคนขยันทำงาน ประหยัด เก็บออม เพื่อเร่งลงทุนใฝ่ฝันที่จะมี ‘อิสรภาพทางการเงิน’ เพื่อที่จะ ‘เกษียณเร็ว’ ไม่ต้องรออายุ 60 ปีเหมือนคนรุ่นก่อนๆ คนรุ่นใหม่มีความฝันที่อยากไปทำสิ่งที่รักงานที่ชอบอีกหลายสิ่งอย่างไรก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่า คนรุ่นใหม่แต่ละคนมี Lifestyle ที่แตกต่างกัน ความต้องการใช้เงินและวิธีการเก็บเงินเพื่อนำไปใช้ในอนาคตย่อมแตกต่างกันไปด้วยไลฟ์สไตล์ทางการเงินของคนรุ่นใหม่ 3 แบบวันนี้ผมจะนำไลฟ์สไตล์ทางการเงินของคนรุ่นใหม่ 3 แบบมาเล่าครับ การมีความรู้ด้านการเงินการลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย จะช่วยให้คุณออกแบบชีวิตที่ตัวเองต้องการได้ง่ายขึ้นสุดๆไลฟ์สไตล์การเงินของคนรุ่นใหม่กลุ่มแรก คือ แบบ DINK ย่อมาจาก Double Income, No Kids จะเป็นวิถีคู่รักที่อยู่ด้วยกันมีรายได้คูณสองแต่ยังไม่มีลูก กลุ่มนี้จะมองว่าสุขภาพจิตที่ดีอยู่เบื้องหลังความมั่นคั่งทางการเงิน พวกเขาจึงโหมเก็บออมและนำเงินไปลงทุนให้ได้มากที่สุด เร่งให้ตัวเองมีอิสรภาพทางการเงินและสามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระได้เร็วที่สุดก่อนจะอายุ 60 ปีPhoto : Shutterstockจริงๆ คำว่า DINK ปรากฏครั้งแรกตั้งแต่ 30 กว่าปีก่อนพร้อมกับคำว่า Yuppie แต่กลับมาถูกพูดถึงอีกครั้งหลังวิกฤติซับไพรม์ในปี 2552 เพราะคู่รักจำนวนมากตัดสินใจไม่มีลูกหรือชะลอการมีลูกออกไปหลังจากเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งคนรุ่น Millennials (ผู้ที่เกิดระหว่างปี 2524 – 2539) บางกลุ่มจะใช้กลยุทธ์แบบ DINK ตอบโจทย์ชีวิตอิสระไลฟ์สไตล์การเงินของคนรุ่นใหม่กลุ่มที่สอง จะเป็นแบบ HENRY หรือ High Earner, Not Rich Yet จะเป็นกลุ่มที่มีรายได้สูงเกิน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ที่อาศัย และทำงานในเมืองใหญ่ แต่ก็มีค่าใช้จ่ายสูง แถมยังโดนเก็บภาษีจนอ่วม พวกเขาจึงมีเป้าหมายเก็บออม และนำเงินไปลงทุนเพื่อให้มีอิสรภาพทางการเงินเหมือนกันทั้งนี้คนรุ่นใหม่แบบ HENRY ถูกพูดถึงครั้งแรกในนิตยสาร Fortune ปี 2003 โดย HENRY หมายถึงกลุ่มคนที่มีรายได้ระหว่าง 100,000 – 500,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นรายได้ที่สูงในสหรัฐฯ สมัยนั้น แต่คนกลุ่มนี้กลับไม่รู้สึกว่าตัวเองมีรายได้สูงหรือร่ำรวยกว่าค่าเฉลี่ย เพราะส่วนใหญ่จะทำงานที่ ‘มีเกียรติ’ ในสังคม เช่น งานสายเทคโนโลยี บริษัท Management Consulting ธนาคารเพื่อการลงทุน หรือสำนักงานกฎหมายPhoto : Shutterstockซึ่งบริษัทเหล่านี้ตั้งสำนักงานอยู่ในเมืองศูนย์กลางธุรกิจที่มีค่าครองชีพสูงกว่าปกติ ไม่ว่าจะเป็นนิวยอร์ก ชิคาโก หรือซาน ฟรานซิสโก ขณะเดียวกันแม้มีรายได้สูง แต่ก็ต้องจ่ายภาษีรูปแบบพิเศษของสหรัฐฯ ที่เรียกว่า Alternative Minimum Tax (AMT) ซึ่งเป็นอัตราสูงที่สุดสำหรับคนกลุ่มที่มีรายได้ช่วง 100,000 – 500,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ในช่วงเวลานั้นสุดท้าย ไลฟ์สไตล์การเงินของคนรุ่นใหม่แบบ FIRE หรือ Financial Independence, Retire Early คือคนที่ทำงานเพื่อโหมเก็บเงินและลงทุนอย่างหนัก จะได้มีอิสรภาพทางการเงินและใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการให้เร็วที่สุดPhoto : Shutterstockคนกลุ่ม FIRE ก็ยังสามารถแยกย่อยได้อีกหลายแบบตามไลฟ์สไตล์ย่อยๆ ของแต่ละกลุ่ม เช่น  • Lean FIRE หมายถึงคนกลุ่ม FIRE ที่เลือกใช้ชีวิตแบบประหยัด และลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง เพื่อจะได้มีอิสรภาพทางการเงินให้เร็วที่สุด  • Fat FIRE หมายถึงคนกลุ่ม FIRE ที่ต้องการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องคอยกังวลเรื่องงบประมาณซึ่งตรงข้ามกับกลุ่มแรก แต่คนกลุ่มนี้ก็ต้องยอมทำงานที่ยาวนานขึ้นเพื่อเก็บเงินให้ได้เพิ่มขึ้นมากด้วย  • Coast FIRE หมายถึงคนที่รีบเก็บเงินและลงทุนตั้งแต่เริ่มทำงาน ซึ่งแนวคิดนี้คุณอาจนำไปปรับใช้กับชีวิตตัวเองได้ดีครับวิถีคนรุ่นใหม่แบบ Coast FIRE คือ เขายอมใช้ชีวิตอย่างประหยัดในช่วงการทำงาน 10 ปีแรกเพื่อเก็บเงินให้ได้มากที่สุด และเงินก้อนนี้จะถูกนำไปลงทุนเพื่อเป้าหมายเดียวคือการ ’เกษียณเร็ว’ นั่นเอง หลังจากนั้น 10 ปีถัดมาก็ให้ทำงานและใช้จ่ายได้ตามปกติ โดยห้ามแตะต้องเงินลงทุนเพื่อ ‘เกษียณเร็ว’ ที่เก็บมาในช่วง 10 ปีแรกอย่างเด็ดขาด เพื่อให้เงินลงทุนงอกเงยขึ้นตามระยะเวลาที่ลงทุนนั่นเองครับเมื่อครบ 20 ปี มาดูกันว่า มูลค่าพอร์ตอยู่ที่เท่าไหร่และเพียงพอในการนำไปลงทุนเพื่อสร้างกระแสเงินสดเป็นประจำได้มากพอสำหรับการใช้ชีวิตหลังจากนี้แล้วหรือยัง ถ้ายังไม่เพียงพอก็จะต้องทำงานเพื่อเก็บเงินและลงทุนเพิ่มอีก หรือคุณอาจจะย้ายไปทำงานที่อยากทำจริงๆ แต่ได้ค่าตอบแทนน้อยลง ก็เป็นอีกทางเลือกที่คนกลุ่ม Coast FIRE ทำได้ลงทุนก่อนรวยกว่า ให้เวลาอยู่ข้างเราผมยังมีข้อมูลจากที่ทีมงาน Jitta Wealth ได้ลองทดสอบแนวคิดของคนกลุ่ม FIRE ที่โหมเก็บออมเงินและลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อยเพื่อหวังจะ ‘เกษียณเร็ว’ ทำให้เห็นภาพและเข้าใจมากขึ้น ซึ่งได้ข้อสรุปที่น่าสนใจและน่าจะมีประโยชน์คุณมากๆPhoto : Shutterstockในการทดสอบได้สมมติการวางแผนด้านการลงทุนของคน 2 วัยที่เริ่มต้นแตกต่างกันคนแรกชื่อนาย A เมื่ออายุ 25 ปี มีความตั้งใจอยากจะเกษียณเร็วเขาจึงโหมเก็บเงินตั้งแต่ตอนนั้นและวางแผนลงทุนเดือนละ 5,000 บาท แบบการลงทุนแบบถัวเฉลี่ย หรือ DCA (Dollar-Cost Averaging) ทุกเดือน ในช่วงอายุ 25 – 34 ปี รวมเป็นระยะเวลา 10 ปี จำนวนเงินลงทุนรวมทั้งหมด 600,000 บาทคนที่สองชื่อนาย B อายุ 35 ปีแล้วเขามาเริ่มลงทุนเดือนละ 5,000 บาทเและลงทุนแบบ DCA ทุกเดือนเหมือนกัน แต่เริ่มลงทุนช้ากว่านาย A โดยลงทุนในช่วงอายุ 35-54 ปี เป็นเวลา 20 ปี จำนวนเงินลงทุนทั้งหมด 1,200,000 บาทเพื่อให้ง่ายในการเปรียบเทียบให้เห็นภาพที่ชัดเจน ทีมงานเราได้สมมติต่อไปอีกว่า ทั้งนาย A และนาย B ต่างก็ได้ผลตอบแทน 10% ต่อปีในทุกๆ ปีที่ลงทุน โดยที่ได้ผลตอบแทนทบต้นทุกเดือน และทั้ง 2 คนจะลงทุนจนอายุครบ 60 ปีคุณคิดว่า เมื่อทั้งคู่อายุ 60 ปีแล้ว ระหว่างนาย A ที่ใส่เงินลงทุนรวม 600,000 บาท กับ นาย B ที่ใช้เงินลงทุนรวม 1,200,000 บาท แล้ว ‘ใครจะมีมูลค่าพอร์ตลงทุนที่สูงกว่ากันครับ’ผมเชื่อว่า หลายคนคงคิดว่า นาย B จะต้องมีมูลค่าพอร์ตที่สูงกว่าของนาย A แน่ๆ เพราะเงินลงทุนเริ่มต้นของนาย B สูงกว่าของนาย A ถึงหนึ่งเท่าตัวทีเดียว! ใช่มั้ยครับแต่ความจริง ก็คือว่า เมื่อทั้งคู่มีอายุ 60 ปี พบว่า มูลค่าพอร์ตของนาย A ที่เข้าลงทุนตั้งแต่เริ่มทำงานใหม่ๆ ใช้เวลาลงทุน 10 ปี กลับมีมูลค่าพอร์ต ‘สูง’ กว่าพอร์ตของนาย B เกือบเท่าตัว ทั้งๆ ที่นาย B ใช้เวลาลงทุนถึง 20 ปีและใช้เงินลงทุนที่สูงกว่าด้วยPhoto : Shutterstockโดยที่มูลค่าพอร์ตของนาย A ตอนอายุครบ 60 ปีอยู่ที่ราว 10.91 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าพอร์ตของนาย B ที่เข้าลงทุนช้า จะอยู่ที่ 5.92 ล้านบาท ภายใต้สมมติได้ผลตอบแทน 10% ต่อปีในทุก ๆ ปีที่ลงทุนถ้าทั้งคู่วางแผนจะถอนเงินก้อนนี้ออกมาใช้หลังเกษียณจนอายุครบ 80 ปี ก็จะพบว่า นาย A จะมีเงินใช้ตกเดือนละ 45,476 บาท ขณะที่นาย B มีเงินใช้ยามเกษียณที่เดือนละ 24,678 บาทเท่านั้นหรือหากพวกเขาวางแผนจะนำเงินก้อนนี้ไปลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสดเป็นประจำอย่างพันธบัตร หุ้นกู้หรือหุ้นปันผลต่อไป ก็จะพบนาย A ยังมีทางเลือกในลงทุนได้มากกว่านาย B ที่พอร์ตเล็กกว่าอยู่ดีครับตัวอย่างทดสอบนี้ ผมคิดว่าน่าจะทำให้คุณเห็นไอเดียเบื้องหลังแนวคิดของคนรุ่นใหม่สายพันธุ์ FIRE หรือกลุ่มคนที่อยาก ‘เกษียณเร็ว’ ได้มากขึ้นคุณยิ่งเริ่มลงทุนเร็ว ผลตอบแทนก็จะยิ่งทบต้นตามเวลา เป็นการลงทุนแบบ ‘ให้เวลาอยู่ข้างเรา’ หรือ ‘ผ่อนส่งความมั่งคั่ง’ ครับทำ 2 สิ่งนี้ จัดพอร์ตเป๊ะ ‘ผ่อนส่งความมั่งคั่ง’ เกษียณไวแน่ถ้าคุณรู้สึกอยากเป็นแบบคนกลุ่ม FIRE ที่เน้นหาความรู้ด้านการลงทุนเพื่อทำผลตอบแทนให้ได้สูงๆ หรือหวังผลตอบแทนที่ 10% ต่อปีตามตัวอย่าง คุณจะต้องเริ่มลงมือทำ 2 สิ่งนี้ตั้งแต่วันนี้ นั่นคือสิ่งแรก คือ ‘สร้างวินัย’ ในการออมเงิน คุณต้องทำให้เป็นประจำให้ได้ทุกเดือน ซึ่งคนส่วนใหญ่ทำไม่ค่อยได้ตามแผนที่วางไว้ แต่ถ้าคุณเป็นคนที่วางแผนทางการเงิน และทำตามด้วยความมุ่งมั่นและลงมือทำไปเรื่อยๆ และท่องไว้ ‘เริ่มลงทุนเร็วรวยก่อน’ ที่สำคัญ การสร้างวินัยในการออม สามารถทำได้ตั้งแต่มีเม็ดเงินน้อยๆ แค่ 5-10% ของรายได้ มีน้อยออมน้อยมีมากค่อยออมเพิ่มแต่ต้องลงทุนต่อเนื่องหรือ DCA คุณมั่นใจได้เลยว่า ความฝันไปถึงเป้าหมายอิสรภาพทางการเงินได้สำเร็จแน่นอนสิ่งที่สอง คือ ไม่หยุดเรียนรู้ หมั่นหาความรู้ด้านการลงทุนไปเรื่อยๆ แล้วคุณจะมองเห็นสินทรัพย์ที่มีโอกาสทำผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ต่อปีในระยะยาว โดยที่คุณไม่รู้สึกว่าเป็นการลงทุนที่ความเสี่ยงสูงเกินรับไหว และแน่นอนว่า ชีวิตทางการเงินในอนาคตของคุณจะมีทางเลือกลงทุนที่ได้เปรียบกว่าคนอื่นๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องรายได้จะขาดมือเลยครับอย่างไรก็ตาม เสน่ห์ของผลตอบแทนย่อมมาคู่กับความเสี่ยง ทำให้ถนนสายอิสรภาพทางการเงินที่ต้องใช้ระยะเวลายาว จึงไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบตลอดเส้นทางการลงทุน ระหว่างทางอาจเผชิญกับมรสุมข่าวสารต่างๆ รอบตัว ทำให้มูลค่าพอร์ตอาจเห็นตัวเลขบวกและลบสลับไปมา จนทำให้คุณวูบไหวบ่อยครั้ง และบ่อยครั้งที่คุณอาจรู้สึกเหนื่อยและท้อ เครียดเพราะมีวิกฤตในประเทศ-ต่างประเทศบ้าง ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่เราไม่สามารถควบคุมได้ผมมีข้อคิดด้านการลงทุนจากนักลงทุนในตำนานโลกที่มีลมหายใจ คุณปู่ ‘Warran Buffet’ มาให้คุณยึดเหนี่ยวจิตใจครับคุณปู่ ‘Buffet’ กล่าวไว้ว่า การคาดเดาว่า ฝนจะตกเมื่อไหร่นั้นไม่มีความหมาย แต่การสร้างเรือต่างหากที่ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นได้ เปรียบได้กับการลงทุน คือ การพยายามคาดเดาว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกกี่ครั้ง ตลาดหุ้นจะตกไปเท่าไหร่ เศรษฐกิจโลกจะเป็นอย่างไร ไม่ได้ส่งผลให้พอร์ตมีกำไรขึ้นมา แต่การสร้างพอร์ตที่แข็งแรง มีการกระจายความเสี่ยงดี มีการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย มูลค่าพอร์ตโดยรวมจะไม่เสียหายมาก นักลงทุนก็จะชนะทุกวิกฤตได้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า คุณจะอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรนะครับ เพราะถึงจะลงทุนระยะยาว แต่ยังต้องเฝ้าดูแลพอร์ตของเราดีๆ หากถึงจุดที่เป็นความเสี่ยงที่มาจากปัจจัยเหนือควบคุม กระทบต่อระบบหรือภาพรวมที่พื้นฐานเปลี่ยนแปลงหรือไม่สามารถคาดการณ์การฟื้นตัวได้ชัดเจน คุณก็ควรตัดสินใจปรับกลยุทธพอร์ตป้องกันความเสี่ยงโดยเฉพาะสินทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง นี่คือการสร้างเรือที่แข็งแรง มีการกระจายความเสี่ยงที่ดีแต่หากเป็นลักษณะความเสี่ยงจากข่าวสารรายวันที่ทำให้พอร์ตวูบไหว ก็ ไม่ควรให้น้ำหนักมากนัก เพราะตลาดที่ปรับตัวลง ควรตั้ง ‘สติ’ และพิจารณาเหตุการณ์ที่มากระทบตลาดรอบด้านอย่าใช้อารมณ์ในการซื้อขายเด็ดขาด ‘สติ’ จะทำให้มองเห็นโอกาสการลงทุนเลือกสินทรัพย์ที่ดีมีพื้นฐานมีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง เป็นจังหวะในการแสวงหาหุ้นดี ซึ่งปู่ ‘Buffet’ จะบอกว่า จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ จงโลภเมื่อคนอื่นกลัว ถ้าเรามีหลักการและทัศนคติที่ลงทุนถูกต้อง แน่นอนว่า พอร์ตของคุณจะสร้างความมั่งคั่งจากตลาดหุ้นได้ยิ่งปัจจุบัน บริษัทด้านการลงทุนได้ใช้เทคโนโลยีพัฒนานวัตกรรมการลงทุนต่างๆ เป็นผู้ช่วยอัจฉริยะ หรือ AI เพื่อเพิ่มทางเลือกการลงทุนต่างๆ ให้นักลงทุนมากมาย ถ้าคุณเคยเข้าไปดูของ Jitta Platform จะเห็นแผนลงทุนต่างๆผ่าน Thematic ที่ยึดโยงกับเมกะเทรนด์ของโลก หรือตัวหุ้น Jitta Ranking ที่จะช่วยคัดสรรหุ้น รวมทั้งยังช่วยปรับพอร์ตให้โดยอัตโนมัติทุก 3 เดือนหรือรายไตรมาสที่อ้างอิงกับการรายงานงบการเงินของแต่ละบริษัทด้วยคนรุ่นใหม่จะ ‘ผ่อนส่งความมั่งคั่ง’ จนเป็นก้อนใหญ่ พอร์ตปังให้คุณปลด ‘เกษียณ’ ได้ไวตั้งแต่อายุไม่มาก และได้ใช้เวลาที่เหลือทำสิ่งที่รักสานต่อสิ่งที่ฝันให้สำเร็จได้ก่อนแก่หากคุณฝันว่าจะมีอิสรภาพทางการเงินก่อนอายุ 60 ปีผมหวังว่า บทความนี้จะเป็นอีกแรงผลักดัน ที่ช่วยให้ความฝันที่จะมีอิสรภาพทางการเงินของคุณเป็นจริงได้แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับpositioningmaghttps://positioningmag.com/1400034

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

เฮงหรือเจ๊ง? ตรวจเช็กสุขภาพ "ธุรกิจ" กับ 3 จุดสำคัญใน "งบการเงิน"

30/04/2024

นักธุรกิจต้องรู้! วิธีตรวจสอบสุขภาพธุรกิจในแต่ละปี ด้วยการเช็ก 3 จุด "งบการเงิน" เบื้องต้น เพื่อให้รู้สถานะธุรกิจของคุณว่ากำลังไปได้ดีสุดปัง หรือกำลังขาดทุนจนใกล้เจ๊งกันแน่?การลงทุนทำธุรกิจหรือเป็น "เจ้าของธุรกิจ" นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากการเลือกหาสินค้ามาขายแล้ว ก็ต้องทำกลยุทธ์ส่งเสริมการขาย การโปรโมตสินค้า การให้บริการลูกค้า รวมถึงต้องเข้าใจและอ่านเอกสาร "งบการเงิน" ให้เป็นด้วยโดยการอ่าน "งบการเงิน" ถือเป็นหนึ่งในหน้าที่สำคัญของเจ้าของธุรกิจเพราะจะช่วยตรวจเช็ก "สถานะธุรกิจ" ของคุณในแต่ละปีได้ว่าการดำเนินธุรกิจของคุณสามารถทำกำไรและเดินหน้าเป็นไปได้ด้วยดี หรือกำลังประสบปัญหาขาดทุน และอยู่ในช่วงขาลงกันแน่? เพื่อให้รู้ตัวก่อนจะเจ็บหนักและหาทางแก้ปัญหาได้ทันท่วงทีส่วน วิธีการดูงบการเงิน เบื้องต้นแบบง่ายๆ นั้น มีข้อมูลจาก "ถนอม เกตุเอม" เจ้าของเพจด้านการเงินและภาษีอย่าง "TaxBugnoms" ได้มีข้อแนะนำแก่นักธุรกิจมือใหม่ ดังนี้   • "งบการเงิน" คืออะไร? งบการเงิน คือ รายงานข้อมูลการเงินของธุรกิจในแต่ละรอบบัญชี โดยปกติรอบนึงก็จะอยู่ที่ 12 เดือนหรือ 1 ปี โดยปกติมักจะได้ยินคำว่า "ปิดงบ" ซึ่งก็หมายถึง "การปิดงบการเงิน" นั่นเอง วิธีการปิดงบคร่าวๆ ก็คือนักบัญชีจะเอาข้อมูลรายการต่างๆ ทั้งรายรับ รายจ่าย ที่เกิดขึ้นในปีนั้นๆ มารวบรวมแล้วสรุปให้ออกมาให้อยู่ในรูปแบบมาตรฐานที่เรียกว่า "รายงานงบการเงิน"สำหรับกลุ่มธุรกิจที่ต้องทำปิดงบในทุกๆ ปี ก็มักจะเป็นธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคล หมายถึง กลุ่มห้างหุ้นส่วน และกลุ่มบริษัท ซึ่งเจ้าของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้นๆ ควรทำความเข้าใจข้อมูลใน "งบการเงิน" เพราะจะช่วยให้รู้ว่าการดำเนินธุรกิจในปีนั้นๆ เป็นไปในทิศทางใด? ไปได้ดีหรือควรหยุดก่อนที่จะเจ็บตัวสำหรับวิธีดูงบการเงินใน 3 จุดสำคัญพื้นฐานที่เจ้าของธุรกิจควรรู้ ได้แก่  • จุดที่ 1 : ธุรกิจได้กำไรไหม?การจะดูว่าธุรกิจมีกำไรหรือไม่? ต้องดูจาก "งบกำไรขาดทุน" ซึ่งเป็นงบที่บอกผลการดำเนินงานของธุรกิจว่า เจ้าของธุรกิจทำได้ดีแค่ไหนในรอบบัญชีที่ผ่านมา วิธีการคือให้เปิด "งบกำไรขาดทุน" ขึ้นมา แล้วเริ่มดูจากบรรทัดสุดท้ายก่อน จะเห็นข้อมูลที่ระบุว่า กำไรสุทธิเป็นเท่าไร ถ้ากำไรมียิ่งมาก แปลว่าบริหารได้ดี แต่ถ้าพบว่าขาดทุน เจ้าของธุรกิจก็ควรเร่งหาคำตอบว่าสาเหตุที่ทำให้ขาดทุนมาจากไหน และรีบแก้ไขปัญหาให้ทันท่วงทีหากต้องการดูให้ละเอียดมากกว่านี้ ลองดูส่วนประกอบของรายได้ และค่าใช้จ่ายให้ดีว่ามันประกอบด้วยอะไรบ้าง บางทีอาจจะหาวิธีเพิ่มยอดขาย เพิ่มรายได้ และลดค่าใช้จ่ายได้จากข้อมูลในงบการเงินเหล่านี้นี่เอง  • จุดที่ 2 : ธุรกิจรวยไหม?คำว่า “รวย” ในที่นี้เป็นการตีความจากการรู้ฐานะการเงินของธุรกิจ โดยเปิดดูได้จาก "งบแสดงฐานะการเงิน" แล้วไล่ดูในหัวข้อที่ระบุว่า "สินทรัพย์" "หนี้สิน" และ "ส่วนของเจ้าของ" ซึ่งทั้งหมดต้องมีความสัมพันธ์กันดังนี้ [สินทรัพย์ - หนี้สิน] = [ส่วนของเจ้าของ]จากนั้นให้คำนวณและนำผลที่ได้มาวิเคราะห์สถานะการเงิน โดยสถานะการเงินที่ดีนั้น ควรจะมีสินทรัพย์เยอะ หนี้สินน้อย และต้องมีเงินที่เหลือเป็นส่วนของเจ้าของมากแต่ถ้าสถานะการเงินไม่ดีก็จะให้ผลในทางตรงกันข้าม คือ สินทรัพย์เท่าเดิม หนี้สินเยอะ และมีเงินที่เหลือเป็นส่วนของเจ้าของน้อยหรือไม่ก็เข้ขั้นติดลบ และถ้าอยากดูข้อมูลที่ละเอียดกว่านั้น ก็อาจจะใช้การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินเข้ามาช่วยได้  • จุดที่ 3 : ข้อมูลงบต่างๆ ถูกต้องไหม?การตรวจสอบตรงนี้สามารถดูได้เบื้องต้นที่ “รายงานผู้สอบบัญชี” โดยผู้สอบบัญชี ก็คือ คนที่มีหน้าที่ตรวจสอบรับรองงบการเงินว่าคนทำบัญชีที่ทำรายงานงบการเงินออกมา ทำได้ถูกต้อง มั่นใจ และเชื่อถือได้ อย่างไรก็ตาม การดูงบกรเงินทั้ง 3 จุดข้างต้น เป็นเพียงการเช็กข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น เพราะยังมีรายละเอียดอื่นๆ อีกมากมายที่ "เจ้าของธุรกิจ" ต้องดูเพิ่มเติมในงบการเงิน เพื่อให้รู้และเข้าใจข้อมูลของธุรกิจตนเองให้ครอบคลุมเพื่อช่วยให้สามารถตัดสินใจในการดำเนินงานต่างๆ ได้ตรงเป้าหมายมากขึ้น-----------------------------------------อ้างอิง : Taxbugnomsแหล่งที่มาข่าว กรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/business/business/1026500

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันสังคม

“งบจำกัด” กับการเลือก “ประกันชีวิต” แบบเบี้ยต่ำทุนสูง

30/04/2024

หนึ่งในความนิยมทำประกันชีวิตของคนไทยคือ “ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์” ที่ผู้เอาประกันได้สะสมเงิน ได้ลดหย่อนภาษี และได้รับเงินก้อนตามสัญญา แต่สำหรับผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว หรือท่านที่เป็นกำลังหลักในการดูแลคนทั้งบ้าน การทำประกันชีวิตแบบออมทรัพย์อาจจะไม่ตอบโจทย์ทั้งหมดเนื่องจาก มีทุนประกันชีวิตที่ไม่สูงมากนัก ซึ่งอาจไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นหลังจากที่ท่านผู้นั้นจากไป“หลักการคิดทุนประกันที่เพียงพอคือ จะต้องมีจำนวนมากพอกับภาระหนี้สิน ค่าใช้จ่ายครอบครัวในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกิดขึ้น เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี ภาษีที่เกี่ยวข้องกองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง ภาษีมรดก ฯลฯ”ปัญหาของคนส่วนใหญ่คือ ค่าใช้จ่ายข้างต้นนี้นั้นสูงเกินกว่าจะทำประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ที่มีทุนประกันชีวิตคุ้มครองค่าใช้จ่ายเหล่านั้นได้ทั้งหมด การเลือกทำประกันชีวิตแบบ “เบี้ยต่ำทุนสูง” จะตอบโจทย์ในกรณีที่ผู้ทำประกัน “มีงบจำกัด” มากกว่า เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ ซึ่งการทำประกันชีวิตแบบนี้มีให้เลือก 2 ประเภทคือประกันประเภทแรก เป็น “ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ” ที่สามารถเลือกจำนวนปีในการชำระเบี้ยและมีความคุ้มครองยาวถึง 90-99 ปี ข้อดีคือได้ทุนประกันชีวิตจากการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ หรือการเจ็บป่วยทุกกรณี ตัวแบบประกันไม่ซับซ้อน เบี้ยคงที่ตลอดสัญญา และมีมูลค่าเงินสะสมในกรมธรรม์จำนวนหนึ่ง ข้อจำกัดของประกันประเภทนี้คือ ไม่สามารถเพิ่มทุนหรือมูลค่าเงินสะสมในกรมธรรม์เดิมได้อีกประกันประเภทที่สอง เป็น “ประกันชีวิตควบคู่การลงทุน” หรือ “ประกันยูนิตลิงค์” ข้อดีของประกันประเภทนี้คือ ผู้ชำระเบี้ยสามารถเลือกจำนวนปีในการชำระเบี้ยได้เช่นกัน ความคุ้มครองนานถึง 99 ปี เบี้ยคงที่ตลอดสัญญา ได้ทุนประกันชีวิตเช่นกันเดียวกับประกันชีวิตแบบตลอดชีพ ผู้ชำระเบี้ยสามารถเพิ่มเงินระหว่างสัญญาให้มูลค่าเงินในกรมธรรม์สูงขึ้นได้ ข้อจำกัดของประกันประเภทนี้คือ ความซับซ้อนของแบบประกันที่มากขึ้น การเข้าใจในผลตอบแทนจากการลงทุน และการดูแลกรมธรรม์ที่ต้องใส่ใจมากขึ้นด้วยใน “งบจำกัด” กับการเลือก “ประกันชีวิตเบี้ยต่ำทุนสูง” ไม่ว่าจะท่านผู้เอาประกันเลือกประเภทไหนเพื่อครอบครัว ผู้เอาประกันควรมีการดูแลสุขภาพที่ดีก่อนทำประกัน การทำความเข้าใจในเงื่อนไขต่างๆ การดูแลและคำแนะนำของตัวแทนที่ท่านมั่นใจ รวมถึงความมั่นคงและความแข็งแรงทางการเงินของบริษัทประกันชีวิตที่สามารถจ่ายทุนประกันชีวิตให้กับผู้รับผลประโยชน์ได้ ให้ท่านอุ่นใจทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับwealthythaihttps://www.wealthythai.com/en/updates/wealth-management/wealth-ez/11697

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

การวางแผนทางการเงิน

“เงิน 3 ถัง” ทริคการออมในยุคเงินเฟ้อ-ของแพง

30/04/2024

“ต้องมีเงินเก็บหลักล้าน” คงเป็น To Do List ของใครหลายคนที่ตั้งปณิธานปักหมุดลงโซเชียลรับปีใหม่ที่ผ่านมา แต่ตอนนี้เวลาผ่านไปเกือบจะเข้าสู่ปีใหม่อีกครั้ง หลายคนคงยังเก็บเงินไม่ได้ตามฝันที่ตั้งไว้ อาจเพราะอุปสรรคต่างๆ ที่เข้ามาขัดขวางเส้นทางการเป็นเศรษฐี ดังนั้น เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ ขอแนะนำเคล็ดลับ “เงิน 3 ถัง” การออมเงินในยุคเงินเฟ้อ-ของแพง ที่เราทุกคนต้องหันมาออมเงินอย่างจริงจังหลายคนมองว่า “เงินออม” ควรเป็นเงินที่เหลือจากการหักค่าใช้จ่ายประจำเดือน แต่ตราบใดที่เรายังใช้กลยุทธ์ดังกล่าวนี้ในการสร้างเงินออม เราจะไม่สามารถเดินไปถึงฝันได้แน่นอน เพราะค่าใช้จ่ายประจำเดือนเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังนั้นเราต้อง “ออมก่อนจ่าย” วิธีที่นักบริหารการเงินหลายคนใช้ ด้วยการสร้างวินัยด้านการเงินให้กับตัวเองคือ เมื่อได้รายรับให้หักส่วนหนึ่งเป็นเงินออมทันที เช่น ถ้าได้รับเงินเดือน 30,000 บาท หักเงินออมทันที 10,000 บาท ส่วนที่เหลือนำไปบริหารเป็นค่าใช้จ่ายประจำเดือน และค่าใช้จ่ายประจำวัน วิธีนี้จะทำให้เรามีเงินออมอย่างมั่นคงทุกเดือนเมื่อเราได้เงินออมที่มั่นคงในแต่ละเดือนแล้ว ให้แบ่งเงินออมลง “3 ถัง” เริ่มที่ ถังที่ 1: เงินฉุกเฉิน จัดเป็นเป้าหมายการออมเงินระยะสั้น เพื่อให้มีเงินสำรองไว้ใช้จ่ายในยามวิกฤตต่าง ๆ เช่น การซ่อมแซมรถหรือบ้าน ค่ารักษาพยาบาลกรณีฉุกเฉิน หรือผลกระทบด้านรายได้จากภาวะเศรษฐกิจ เป็นต้น โดยใช้วิธีเปิดบัญชีออมทรัพย์แยกจากบัญชีหลักต่อมา ถังที่ 2: เงินระยะยาว ก็ถือเป็นเงินออมที่สำคัญอีกเช่นกัน มาใส่ในถังนี้ เพื่อสร้างความมั่นคงในอนาคตวัยเกษียณให้กับตัวเองและครอบครัว โดยเคล็ดลับที่สำคัญคือการเก็บในรูปแบบการฝากแบบประจำ หรือเลือกการออมที่สามารถเพิ่มเงินออมให้งอกเงยทันภาวะเงินเฟ้อ หรือภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวน อย่างเช่นการออมในรูปแบบการทำประกันสะสมทรัพย์ ซึ่งให้ทั้งความคุ้มครองชีวิต มีจำนวน ‘ผลตอบแทน’ ที่ชัดเจน และเบี้ยประกันยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ศึกษารายละเอียดแบบประกันเพิ่มเติมได้ที่ https://generali.co.th/product/ถังที่ 3: ค่าใช้จ่ายครั้งใหญ่ สำหรับเงินออมถังนี้จะทำให้ชีวิตการออมเงินของเรามีความสุขและสนุกมากยิ่งขึ้น เพราะเป็นการออมที่จะนำไปใช้ในการมอบของขวัญให้กับตัวเอง เช่น ทริปท่องเที่ยวพักผ่อนประจำปี การซื้อรถ การจัดแต่งงานในฝัน เป็นต้น หากตัดสินใจว่าจะตั้งเป้าหมายการออมเงินเพื่อการใช้จ่ายครั้งใหญ่ การวางแผนเพื่อความสำเร็จนั้นเป็นสิ่งสำคัญ ขั้นแรก ตัดสินใจว่าจะออมเงินเมื่อใด โดยพิจารณาจากงบประมาณที่ระบุไว้ว่าเราสามารถออมเงินได้แค่ไหนในแต่ละเดือน จากนั้นให้ตั้งค่าชำระเงินอัตโนมัติในบัญชีออมทรัพย์เฉพาะที่เอาไว้สำหรับการใช้จ่ายครั้งใหญ่ เพียงเท่านี้ เป้าหมายสำหรับค่าใช้จ่ายครั้งใหญ่ของเราก็จะสำเร็จหากเราสามารถออมเงินด้วยเคล็ดลับนี้ได้อย่างสม่ำเสมอและมีวินัย ก็จะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายของการออมเงินได้ในที่สุด สามารถติดตามบทความเนื้อหาสาระดี ๆ ด้านสุขภาพ และเคล็ดลับการวางแผนสร้างหลักประกันในชีวิตได้ที่ Gen Healthy Lifeแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับซีเคว้ล ออนไลน์https://www.sequelonline.com/?p=133858

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

การเล่นแชร์แบบเมืองไทย vs การเล่นแชร์แบบญี่ปุ่น ..อย่าตกใจ!

30/04/2024

สวัสดีครับผม Mr. Leon มาแล้ว ช่วงนี้ได้ยินข่าวเรื่องแชร์กันหลายข่าวนะครับ หลายคนคงเคยได้ยินหรือเคยเล่นแชร์กันมาบ้าง ส่วนตัวผมเคยได้ยินเรื่องการเล่นแชร์แบบเมืองไทยมานานตั้งแต่สมัยที่ผมมาเที่ยวเมืองไทยแรกๆ แต่ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่แม้จะเคยหาอ่านข้อมูลมาบ้างแต่ก็เข้าใจว่าเหมือนกับญี่ปุ่นมาตลอดส่วนแชร์แบบญี่ปุ่นก็มีมานานมากกว่า 1,000 ปีที่แล้วน่าจะตั้งแต่ยุคคามากุระ ซึ่งเรียกว่า (無尽)講 (mujin)kou คือถ้าคำว่า 講 Kou อย่างเดียวจะหมายถึงการรวมตัวรวมกลุ่มกัน อาจจะเป็นการรวมกลุ่มทำบุญ หรือกิจกรรมบางอย่าง เช่น การรวมกลุ่มและทำบางสิ่งบางอย่างร่วมกัน แต่เมื่อมีคันจิ 無尽 mujin เข้ามานำหน้าทำให้ความหมายคือ การรวมกลุ่มบางอย่างที่เกี่ยวกับเงินตั้งแต่วิกฤตการณ์โควิด-19 ที่ทำให้วิถีการใช้ชีวิตของคนเปลี่ยนไป ต้องแยกตัวอยู่ตามลำพังและโดดเดี่ยวกันมากขึ้น ทำให้คนเกิดความรู้สึกเหงาและบางคนเป็นซึมเศร้าเพราะไม่ได้ออกไปปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนๆ จะเห็นว่าเพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม เมื่อมนุษย์ต้องการมีเพื่อนและการรวมกลุ่มก็มองได้ว่าการรวมกลุ่มเล่นแชร์นั้นทำให้คนที่รู้จักกันได้ร่วมกลุ่มและมีปฏิสัมพันธ์กัน ยิ่งมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องยิ่งถูกใจ แต่ถ้าอิงจากการเล่นแชร์แบบญี่ปุ่นที่ผมเข้าใจ ผมก็ยังไม่แน่ใจจริงๆ ว่าคนจะเล่นแชร์กันทำไม เอาเงินไปลงทุนอย่างอื่นหรือฝากธนาคารไม่ดีกว่าหรือเพราะการเล่นแชร์ที่ญี่ปุ่นเมื่อพันกว่าปีก่อนนั้นจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ คือ ท้าวแชร์ระดมเงินจากผู้เล่นมารวมเป็นกองกลางแล้วหมุนเวียนให้สมาชิกแต่ละคนรับเงินนั้นไปตามลำดับโดยไม่มีการประมูลหรือจ่ายดอกเบี้ยแชร์ สมมติมี 12 คน ส่งเงินเดือนละครั้งใช้ระยะเวลาเล่น 1 ปี คนที่ได้เงินก้อนเป็นคนแรกก็ได้เงินเท่ากับคนที่ได้รับเงินคนสุดท้าย ถ้ามองในแง่ของเงินเฟ้อ คนสุดท้ายก็อาจเสี่ยงกับเรื่องค่าเงินถ้าข้าวของแพงขึ้น เพราะได้เงินเท่าเดิมแต่อาจจะใช้จ่ายซื้อของได้น้อยลง ถึงแม้ว่า 10 ปี 20 ปีที่ผ่านมาที่ญี่ปุ่นจะไม่ค่อยมีปัญหาข้าวของขึ้นราคามากๆ เพราะพยายามคงราคาเดิมหรือเพิ่มราคาก็ขึ้นไม่มาก และไม่ใช่แค่ราคาของเท่านั้น เงินเดือนต่างๆ ก็แทบไม่ขยับขึ้น ผมหมายถึงก่อนนี้นะครับเพราะตอนนี้เงินเยนอ่อนค่ามาก น่าจะมีการปรับขึ้นราคาของกันแน่ๆผมได้ยินว่าประเทศอื่นๆ รวมทั้งประเทศไทยก็มีเรื่องเงินเฟ้อและของขึ้นราคาอย่างเห็นได้ชัด เทียบราคาของเมื่อ 20 ปีก่อนกับปัจจุบันนี้จะรู้สึกเลยว่าราคาของแพงขึ้นมาก ผมจึงไม่เข้าใจว่า แล้วคนจะเล่นแชร์ไปทำไมในเมื่อได้เงินก้อนเท่าเดิม! แต่สู้เงินเฟ้อไม่ไหว เพิ่งมารู้ว่าที่เมืองไทยมีเปียแชร์แบบมีดอกเบี้ยกันด้วย ( ゚д゚) อย่างไรก็ตามปัจจุบันเริ่มได้ยินว่าที่ญี่ปุ่นมีวงแชร์ที่ต้องประมูลดอกเบี้ยแชร์กันแล้วครับจากการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยต่างๆ ทำให้การเข้าสังคมและสิ่งต่างๆในโลกเปลี่ยนแปลงไป ยิ่งโลกมีการพัฒนามากขึ้นแค่ไหน การงานเกี่ยวกับสายบริการก็เพิ่มมากขึ้น ช่วงก่อนที่โควิด-19 จะระบาด ญี่ปุ่นมีสายอาชีพหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากคือสายงานให้คำปรึกษา (consultant) ให้บริการรับปรึกษาและให้คำแนะนำเรื่องต่างๆ และผมได้ติดตาม (follow) นักให้คำปรึกษาอยู่คนหนึ่ง ชื่อว่าเทเฮงคอนเซาท์ 底辺コンサル teihen konsaru เขาเล่าว่าสามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าที่มาขอคำปรึกษาที่บริษัทเขาได้ 3 กลุ่ม คือ1. กลุ่มที่หนึ่ง คนที่ประสบความสำเร็จแล้ว มีธุรกิจของตัวเองอยู่แล้วและมาปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาทางเทคนิคบางอย่างและเรื่องธุรกิจ2. กลุ่มที่สองคือ คนที่ขัดสนจริงๆ มีชีวิตความเป็นอยู่ยากจน และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความสำเร็จ หรือจะเรียกว่ากลุ่มที่ไม่รู้เรื่องอะไรอย่างเป็นการเป็นงาน มีความเข้าใจต่ำ เป็นประเภทที่จะโดนพวกมิจฉาชีพหลอกลวงได้ง่ายๆ เช่น มักจะหลงเชื่อเวปหลอกลวงได้อย่างง่ายดาย บางครั้งมีโฆษณาชวนเชื่อที่เสนอเงินสูงๆ มาจูงใจก็หลงเชื่อและมักจะถูกหลอกลวงในที่สุด3. กลุ่มที่สาม คนที่ครอบครัวพอมีฐานะ ความเป็นอยู่ไม่ขัดสน แต่คุณลักษณะส่วนตัวต่ำเรียนรู้ช้า พัฒนาชีวิตไม่ได้ ไม่สามารถดึงความสามารถตัวเองมาใช้ จะมีปัญหาบางอย่างอาจจะเรื่องส่วนตัวหรือครอบครัว เป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดเทเฮงคอนเซาท์เล่าเรื่องต่างๆ ได้น่าสนใจหลายประเด็นเลยทีเดียวครับ เขาบอกว่าแน่นอนว่ากลุ่มต่างๆ ที่มาปรึกษา เขาจะรู้ประวัติและได้สัมภาษณ์ได้อ่านมาหมด เขาเล่ารวมๆ เช่น มีเคสที่เป็นลูกชายของครอบครัวที่พ่อแม่สร้างตัวจากช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วจนฐานะร่ำรวย และถึงแม้ลูกชายจะได้รับเงินสดจำนวนมากและมีอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยอย่างดี แต่ก็ล้มเหลวในการถ่ายทอดความรู้และการเอาชีวิตรอดให้คนรุ่นต่อๆ ไป หรือคนกลุ่มที่สองที่หลายคนยังมีหนี้สิน และมีความยากลำบากในการครองชีพ กลุ่มนี้ที่มักถูกชักจูงให้เล่นแชร์หรือกู้เงินดอกเบี้ยสูงและต้องใช้ชีวิตในวังวนเช่นนี้วนไปแชร์ญี่ปุ่นสมัยก่อนไม่มีผลตอบแทนจากการลงทุน เพราะระดมทุนกันในกลุ่มและได้เงินเท่าเดิมไม่ว่าใครจะได้เงินคนแรกหรือได้เงินเป็นคนสุดท้าย คนสุดท้ายก็ยังเสี่ยงเจอเงินเฟ้ออีก เอาเงินไปฝากธนาคารยังพอจะได้ดอกเบี้ยบ้าง ส่วนแชร์ที่เมืองไทยก็อาจจะได้ดอกเบี้ยเยอะแต่ก็ได้ยินมาว่าบางทีก็มีความเสี่ยงต่อการโดนหลอกหรือแชร์ล้ม แชร์ลูกโซ่ ซึ่งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจนักเทเฮงคอนเซาท์สรุปความเชื่อมโยงอย่างหนึ่ง ว่าสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งที่เป็นตัวกำหนดความประสบผลสำเร็จหรือล้มเหลวของกลุ่มคนต่างๆ ดังกล่าว คือมีความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวพี่น้องตัวเองหรือเปล่า? เขาบอกว่า ยิ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวพ่อแม่พี่น้องตัวเองเท่าไหร่จะยิ่งส่งเสริมให้บุคคลคนนั้นมีความแข็งแรงด้านความคิด แล้วในกลุ่มคนที่มาปรึกษาเขาคนที่อยู่ในฐานะร่ำรวยทุกคนไม่มีใครที่มีความสัมพันธ์บกพร่องหรือทะเลาะเบาะแว้งกับคนในครอบครัวเลยสักคนเดียว ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดนะครับ ประเด็นครอบครัวและสังคมที่มีความสัมพันธ์กันอยู่อย่างปฏิเสธไม่ได้ วันนี้เล่าสู่กันฟัง สวัสดีครับ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

หุ้นกู้ VS พันธบัตร คืออะไร ต่างกันอย่างไร ?

30/04/2024

ทำความเข้าใจ หุ้นกู้ VS พันธบัตร คืออะไร ต่างกันอย่างไร ?วันที่ 1 กันยายน 2565 เป็นอย่างที่ทราบกันดีในยุคที่ดอกเป็นขาขึ้นการฝากเงินไว้กับธนาคารหรือการถือเงินสดไม่ใช่สิ่งที่ตอบโจทย์อีกต่อไป ซึ่งสิ่งที่ตอบโจทย์มากขึ้นในปัจจุบันคือลงทุนใน “หุ้นกู้” และ “พันธบัตร” ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าแต่คำถามที่ตามมาก็คือแล้ว “หุ้นกู้” และ “พันธบัตร” คืออะไร ลักษณะของผลตอบแทนเป็นอย่างไรและมีความแตกต่างกันอย่างไร “ประชาชาติธุรกิจ” รวบรวมข้อมูลมาให้วันนี้หุ้นกู้ คืออะไร ?หุ้นกู้ คือ “ตราสารหนี้” ที่ออกโดยบริษัทภาคเอกชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระดมทุนสำหรับใช้ในกิจการต่าง ๆ ของบริษัท เช่น เพื่อลงทุนขยายกิจการ ซื้ออุปกรณ์ หรือเพื่อก่อสร้างโรงงาน เป็นต้นหุ้นกู้สามารถแบ่งออกเป็นหน่วย ๆ แต่ละหน่วยมีมูลค่าเท่า ๆ กัน ในประเทศไทยการออกหุ้นกู้โดยทั่วไปมักจะกำหนดมูลค่าหน่วยละ 1,000 บาทเมื่อซื้อหุ้นกู้ ก็หมายความว่าเราให้เงินกู้กับบริษัทผู้ออกหุ้นกู้นั้น ๆ หรืออาจจะแปลได้ในอีกความหมายก็คือ เราจะอยู่ในสถานะของ “เจ้าหนี้” และบริษัทที่ออกหุ้นกู้นั้นจะอยู่ในสถานะ “ลูกหนี้” ของเรา โดยที่บริษัทผู้ออกหุ้นกู้นั้นให้คำสัญญาว่า จะจ่ายดอกเบี้ยตามที่ตกลงกันตลอดช่วงอายุของหุ้นกู้ และจะชำระเงินต้นคืน ณ วันครบกำหนดอายุความนิยมของหุ้นกู้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทขนาดใหญ่หลาย ๆ รายมีการระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้อย่างจริงจังและต่อเนื่องมากขึ้น โดยบริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งแต่ละบริษัทสามารถออกหุ้นกู้ได้หลาย ๆ รุ่น และต่างได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งมือสมัครเล่นและนักลงทุนมืออาชีพมากขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากหุ้นกู้ของบางบริษัทมีการจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่สูงและน่าสนใจประเภทของหุ้นกู้หุ้นกู้ แบ่งออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้  • หุ้นกู้ด้อยสิทธิ คือ หุ้นกู้ที่หากผู้ออกตราสารหนี้ล้มละลาย ผู้ถือหุ้นกู้ประเภทนี้จะมีสิทธิในการเรียกร้องสินทรัพย์ ในอันดับที่ด้อยกว่าเจ้าหนี้สามัญรายอื่น  • หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ คือ หุ้นกู้ที่หากผู้ออกตราสารหนี้ล้มละลาย ผู้ถือหุ้นกู้ประเภทนี้จะมีสิทธิในการเรียกร้องสินทรัพย์จากผู้ออกตราสาร ทัดเทียมกับเจ้าหนี้สามัญรายอื่น ๆ และสูงกว่าผู้ถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิ  • หุ้นกู้แปลงสภาพ  คือ หุ้นกู้ที่นักลงทุนสามารถเปลี่ยนจากหุ้นกู้เป็นหุ้นสามัญของบริษัทผู้ออกได้ตามราคาที่กำหนด โดยบริษัทผู้ออกจะออกหุ้นสามัญในจำนวนที่มีมูลค่าเท่ากับตราสารหนี้ที่ถืออยู่ สถานะของนักลงทุนจึงเปลี่ยนจากเจ้าหนี้เป็นเจ้าของ  • หุ้นกู้ชนิดมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน คือ หุ้นกู้ที่ผู้ออกตราสารหนี้ นำสินทรัพย์มาค้ำประกันการออกหุ้นกู้ และผู้ถือจะมีสิทธิในสินทรัพย์ที่วางค้ำประกันนั้นเหนือเจ้าหนี้สามัญรายอื่น ๆ  • หุ้นกู้ชนิดที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน คือ หุ้นกู้ที่ไม่มีสินทรัพย์ใด ๆ วางไว้ ซึ่งหากผู้ออกตราสารล้มละลายต้องทำการแบ่งสินทรัพย์กับเจ้าหนี้รายอื่นตามสิทธิและสัดส่วนที่ถือลักษณะผลตอบแทนโดยทั่วไปแล้วหุ้นกู้จะจ่ายดอกเบี้ย ซึ่งเป็นผลตอบแทนปีละ 2 ครั้งหรือทุก ๆ 6 เดือน แต่สำหรับหุ้นกู้บางรุ่น อาจจ่ายปีละ 4 ครั้งหรือทุก ๆ 3 เดือนก็ได้ และดอกเบี้ยที่ได้รับจากหุ้นกู้ต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่ 15% เช่นเดียวกับรายได้จากดอกเบี้ยชนิดอื่น ๆพันธบัตร คืออะไร ?“พันธบัตร” หรือ “ตราสารหนี้รัฐบาล” เป็นตราสารหนี้ประเภทหนึ่งที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ โดยผู้ซื้อหรือนักลงทุนจะมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ ที่จะได้รับการชำระหนี้ และผลประโยชน์อื่น ๆ เช่น ดอกเบี้ย จากลูกหนี้ คือ รัฐบาลหรือหน่วยงานที่ออกพันธบัตรนั้น ๆความนิยมของพันธบัตรพันธบัตรรัฐบาล เป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำมาก เมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้นกู้เอกชน หรือการลงทุนในตลาดหุ้น ที่มีความผันผวนสูงกว่า ซึ่งทางภาครัฐเองก็ได้มีการเสนอขายพันธบัตรให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่องถึงแม้ว่าผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในพันธบัตรจะน้อยกว่าการลงทุนในหุ้นกู้ แต่สำหรับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคง รับความเสี่ยงได้น้อย การลงทุนในพันธบัตรถือว่าตอบโจทย์ ทำให้นักลงทุนต่างก็ให้ความสนใจอย่างมากเช่นกันประเภทของพันธบัตร  • พันธบัตรตั๋วเงินคลัง (Treasury Bill) เป็นพันธบัตรที่มีความมั่นคงสูงสุด เพราะออกโดยกระทรวงการคลัง จึงมีความเสี่ยงน้อย แต่ผลตอบแทนต่ำ ตั๋วเงินคลังไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย แต่ใช้วิธีขายต่ำกว่าเพื่อให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างเมื่อครบกำหนดไถ่ถอน โดยระยะเวลาไถ่ถอนไม่เกิน 1 ปี  • พันธบัตรตั๋วสัญญาเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ (Debt Restructure Bill) เป็นพันธบัตรที่ออกโดยสถาบันการเงิน เพื่อระดมทุนช่วยเหลือฟื้นฟูกองทุน และพัฒนาสถาบันการเงิน มีความเสี่ยงมากกว่าตั๋วเงินคลัง ให้ผลตอบแทนด้วยวิธีขายต่ำกว่าราคาหน้าตั๋ว แต่ไถ่ถอนคืนเต็มราคา และไม่ได้รับดอกเบี้ย ไถ่ถอนได้ภายใน 6 เดือน  • พันธบัตรรัฐบาล (Government Bond) คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกับพันธบัตรประเภทนี้ ที่ออกโดยรัฐบาลเพื่อระดมทุนไปใช้ในการบริหารประเทศ ลดการขาดดุลทางการเงิน ถือเป็นตราสารหนี้ระยะยาว มีอายุมากกว่า 1 ปี ส่วนใหญ่อยู่ที่ 3-7 ปี มีการจ่ายดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้ง  • พันธบัตรออมทรัพย์ (Government Saving Bond) เป็นการซื้อพันธบัตรเพื่อออมทรัพย์ โดยจะขายให้กับบุคคลทั่วไปและองค์กรไม่แสวงหากำไรในสังกัดของรัฐบาล มีอายุมากกว่า 1 ปีขึ้นไป และจ่ายดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้งลักษณะผลตอบแทนผู้ที่ลงทุนในพันธบัตร จะได้รับผลตอบแทนเป็นอัตราดอกเบี้ยตามสัญญากำหนด ระยะเวลาลงทุนไม่นานมาก เช่น 1 ปี, 3 ปี, 5 ปี และ 7 ปี โดยในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ และมีการกำหนดว่า ในการลงทุนในพันธบัตรนั้น ๆ จะได้รับดอกเบี้ยเท่าไหร่ต่อปี เช่น 2% ต่อปี และมีระยะเวลาลงทุนเท่าไหร่ เช่น 1 ปี 5 ปี และ 10 ปี โดยที่ถ้าเป็นพันธบัตรระยะสั้นจะได้ผลตอบแทนต่ำ และหากเป็นพันธบัตรระยะยาว ก็จะได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นหุ้นกู้ VS พันธบัตร ต่างกันอย่างไรสิ่งที่แบ่งแยกกันอย่างชัดเจนระหว่างหุ้นกู้ และพันธบัตร ที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ หุ้นกู้ จะออกโดยบริษัทเอกชน ส่วนพันธบัตร จะออกโดยรัฐบาลหรือหน่วยงานภาครัฐ นอกจากนี้หุ้นกู้มักจะมีความเสี่ยงที่สูงมากกว่าเมื่อเทียบกับพันธบัตรนั้น แสดงว่าหุ้นกู้ก็จะให้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยที่มากกว่า ส่วนพันธบัตรจะให้ดอกเบี้ยที่ถูกกว่าแต่ทั้งสองแบบจะจ่ายผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยคืนแก่ผู้ลงทุนตามกำหนดที่แน่นอน เมื่อครบอายุตามหน้าสัญญาเหมือนกันอย่างไรก็ตาม ข้อควรระวังสำหรับการลงทุนทั้งในหุ้นกู้ และพันธบัตร คือเงินที่นำมาลงทุนควรเป็นเงินเย็น และแน่ใจว่าจะไม่ถอนเงินหรือใช้เงินก้อนนี้ตลอดอายุสัญญา เพราะหากต้องการขายออกก่อนกำหนด นักลงทุนจะต้องขายผ่านตลาดรอง ซึ่งจะถูกกดราคา ทำให้ขายได้เงินน้อยกว่าเงินที่ลงทุนไปแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/prachachat-wealth/news-1035338

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

ส่องสารพัดโปรฯ “P miner Crypto” ลงเยอะได้เยอะ ปันผลสูงหลายเท่าล่อคนลงทุน ก่อนเจ๊งกันระนาว

30/04/2024

เชียงใหม่ - ตามส่องสารพัดโปรฯ “P miner Crypto” ล่อคนร่วมลงทุนทั้งระยะสั้น-ระยะยาว แลกเงินปันผลรวมสูงกว่าเงินลงทุนหลายเท่าตัว แต่ห้ามถอนเงินต้น จนคนแห่ร่วมวงไม่พอ เทปันผลลงเพิ่มไม่หยุด ทำมูลค่าความเสียหายทบทวีกรณีผู้เสียหายจากการร่วมลงทุนเทรดคริปโตฯ กับบริษัท P MINER จำกัด เข้าร้องทุกข์-แจ้งความต่อ DSI ตลอดจนสถานีตำรวจต่างๆ ทั้งในเชียงใหม่ และจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง รวมมูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 1,700 ล้านบาทกระทั่งตำรวจกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.) พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สนธิกำลังเข้าบุกค้นบ้านนายเป้ เจ้าของธุรกิจที่อ้างว่าประกอบการเหมืองขุดคริปโตฯ "P miner Cryptocurrency" ซึ่งไม่พบเจ้าตัวแต่สามารถอายัดทรัพย์สินหลายรายการประกอบด้วยรถหรู 5 คัน ได้แก่ รถยนต์ปอร์เช่ ลัมโบร์กินี บีเอ็มดับเบิลยู เฟอร์รารี่ เบนท์ลีย์ ตลอดจนสังหาริมทรัพย์อื่นๆ อีกหลายรายการไม่ว่าจะเป็น นาฬิกาหรู บ้านและที่ดิน ตลอดจนถึงบัญชีเงินฝากกว่า 10 บัญชี มูลค่ารวมกว่า 101 ล้านบาทนั้นหนึ่งในผู้เสียหายชาวเชียงใหม่ได้เปิดเผยถึงการเข้าไปร่วมลงทุนกับ P MINER ว่าเริ่มจากการชักชวนกันในกลุ่มเพื่อน ญาติพี่น้อง คนที่ร่วมงานด้วยกัน เบื้องต้นต้องสมัครเปิดบัญชีมีไอดีแอ็กเคานต์ก่อน จากนั้นจึงล็อกอินเข้าเว็บเพจ โอนเงิน ซื้อหุ้น หุ้นละ 10,000 บาท พอโอนแล้วให้แจ้งแอดมินเพื่อทำเรื่องโอนเงินเข้าบัญชีเราซึ่งลักษณะคล้ายกับฝากประจำของธนาคาร แต่เราไม่สามารถถอนเงินต้นได้ ให้ฝากเป็นก้อน แล้วทางบริษัทจะโอนเงิน (ปันผล) คืนมา โดยระบุวันเวลาทุกเดือนจนครบ รวมแล้วจะได้เงินคืนมาจำนวน 5 เท่าของเงินต้น โดยมีโปรฯ ต่างๆ ให้เลือกหลากหลายนับสิบๆ โปรฯ ทั้งระยะสั้น-ระยะยาวเช่น โปรฯ ฮาร์ลีย์ ปกติการซื้อมอเตอร์ไซค์ฮาร์ลีย์ ต้องเช็กเครดิตทั้งผู้ซื้อ-ผู้ค้ำ เนื่องจากเป็นรถที่มีราคาค่อนข้างสูง แต่ P Miner ใช้วิธีดีลกับตัวแทนจำหน่ายรถฮาร์ลีย์ แล้วจัดโปรฯ ฮาร์ลีย์ขึ้นมา ล่อให้คนที่ต้องการซื้อรถฮาร์ลีย์ที่ต้องผ่อนชำระเดือนละไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท ได้ง่ายๆ-แบบไม่ต้องดาวน์ ตัดสินลงทุนกับโปรฯ นี้ แค่โอนเงินร่วมลงทุนตามที่กำหนด แล้วรอรับปันผลเป็นค่างวดผ่อนฮาร์ลีย์จนครบ รวมทั้งรับเข้าแก๊งเป็นพิเศษ มีเสื้อหนังทีม มีกิจกรรมขบวนรถฮาร์ลีย์เที่ยวร่วมกัน มีมีตติ้ง เป็นต้นโปรฯ ฝากประจำ 36 เดือน หุ้นละ 10,000 บาท ฝากเงินระยาว/ปันผลทั้งต้นทั้งดอก 36 งวด งวดละ 1,600 บาท โปรฯ ฝากระยะยาว 24 เดือน หุ้นละ 10,000 รับปันผลเดือนละ 1,400 จำนวน 24 งวด โปรฯ ระยะสั้น 3 เดือน (3MM) ลง 10,000 บาท จะได้ 14,500 บาท 3 งวด โปรฯ  IDOLD ทุน 300,000 บาท ปันผลทุกเดือน เดือนละ 30,000 บาท 24 เดือน โปรฯ  IDOLD Mini ลงทุน 30,000 บาท ปันผล 24 งวด งวดละ 3,000 บาท โปรฯ ETH หุ้นละ 30,000 บาท 45 วัน คืนเงินงวดเดียว 37,000 บาท โปรฯ MOBOX หุ้นละ 30,000 บาท ระยะปันผล 30 วัน เดือนละ 9,000 บาท 8 งวด 8 เดือน ฯลฯทั้งนี้ ทุกโปรฯ มีเงื่อนไขไม่สามารถถอนเงินต้นได้ แต่สัญญาจะจ่ายเงินปันผลในแต่ละเดือนแต่ละงวด ผ่านช่องทางที่เรียกว่า wallet โดยกำหนดให้ถอนขั้นต่ำที่ 30,000 บาท ไปจนถึง 2,000,000 บาท ซึ่งผู้ที่เข้าไปร่วมลงทุนส่วนใหญ่เมื่อเห็นว่าได้เงินปันผลสูงก็จะนำไปลงทุนเพิ่มต่อ โดยไม่ถอนเงินคืน ทำให้มูลค่าความเสียหายแต่ละรายทบทวีมากขึ้นอย่างไรก็ตาม ผู้เสียหายชาวเชียงใหม่รายนี้ ซึ่งเพิ่งเริ่มลงทุนโอนเงินเข้าระบบเมื่อเดือนสิงหาคม 65 ที่ผ่านมา เชื่อว่าบริษัทดังกล่าวมีการทำเหมืองเทรดเงินคริปโตฯ จริง แต่เกิดปัญหาหลังมูลค่าเงินคริปโตฯ ลดลงฮวบฮาบ ทำให้ขาใหญ่ไม่ได้เงินปันผลตามกำหนดสัญญา ไม่พอใจและออกมาร้องเรียนกันจนเรื่องแดงขึ้นมาแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/loc al/detail/9650000083928

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X