Everyday knowledge for you
ข่าวทั่วไป
30/04/2024
“นาฬิกาหรู” เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ดีสำหรับการลงทุน ยิ่งเก็บยิ่งเก่ายิ่งมีมูลค่าสูงขึ้น โดยเฉพาะถ้าเป็นเรือนเวลาสุดหรูที่พ่วงความเป็น Limited Edition ผลิตออกมาเพียงน้อยนิด ชนิดที่ว่าอาจจะมีแค่ไม่ถึง 10 เรือนในโลก จากข้อเท็จจริงที่เคยเป็นมา ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรมาทำให้มูลค่าของนาฬิกาหรูลดลงไปได้ง่าย ๆ แต่ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา นาฬิกาหรูราคาลดลงมาก อาจจะเรียกว่าเป็นภาวะ “นาฬิกาหรูราคาถดถอย” เลยก็ได้ “Watch Market Index” ดัชนีตลาดนาฬิกาหรูของ WatchCharts ซึ่งติดตามราคานาฬิกาหรู 60 รุ่น จากแบรนด์นาฬิกาชั้นนำ เช่น โรเล็กซ์ (Rolex), ปาเต็ก ฟิลิปป์ (Patek Philippe) และโอเดอมาร์ส ปิเกต์ (Audemars Piguet) ลดลง 32% จากจุดสูงสุดในเดือนมีนาคม 2022 และดัชนีแยกเฉพาะแบรนด์โรเล็กซ์ ลดลง 27% ในช่วงเวลาเดียวกัน การใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในช่วง 5 ไตรมาสที่ผ่านมา ถูกมองว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคานาฬิกาหรูตกต่ำลง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้ผู้คนเกิดความกังวลว่าเศรษฐกิจจะตกต่ำ กระตุ้นให้นักลงทุนลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และเก็บออมเงินสดมากขึ้น ข้อมูลของ WatchCharts เผยให้เห็นว่า นาฬิกากลุ่มที่ราคาสูงที่สุดยิ่งราคาลดลงมากที่สุด โดยนาฬิการุ่นที่อยู่ในช่วงราคา 50,001-100,000 ดอลลาร์สหรัฐ ราคาร่วงลงมากกว่า 15% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ในขณะเดียวกัน นาฬิการุ่นที่อยู่ในช่วงราคา 10,001-20,000 ดอลลาร์ ราคาลดลง 10.4% ส่วนนาฬิกาในช่วงราคา 5,001-10,000 ดอลลาร์ ราคาลดลง 6.8%นาฬิกาแบรนด์ Rolex/ขอบคุณภาพประกอบจากงาน “Horological Society of Gaysorn” โดย เกษรวิลเลจ/หมายเหตุ : ภาพประกอบไม่ได้เจาะจงนาฬิการุ่นที่อยู่ในดัชนีราคานาฬิกาตามเนื้อหาข่าวปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อาจจะเป็นเพียงไม่กี่ครั้งในช่วงเวลาหลายปี ที่เมื่อเทียบกันระหว่างนาฬิกาหรูกับหุ้นแล้ว นาฬิกาหรูให้ผลตอบแทนต่ำกว่าหุ้น โดยนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2022 ที่เฟดเริ่มขึ้นดอกเบี้ยรอบปัจจุบันนี้ ดัชนี S&P500 (ดัชนีหุ้นขนาดใหญ่ที่สุด 500 ตัวในตลาดหุ้นสหรัฐ) เพิ่มขึ้นประมาณ 8% ข้อมูลของ WatchCharts เผยให้เห็นว่า นาฬิกาโครโนมิเตอร์บางแบรนด์สูญเสียมูลค่าไปมากกว่าแบรนด์อื่น ๆ เห็นได้จาก Rolex Market Index ดัชนีราคานาฬิกาโรเล็กซ์ที่ราคาสูงสุด 30 อันดับแรก ลดลง 12.5% จากปีที่แล้ว ขณะที่ Patek Philippe Index ลดลง 18% ส่วน Audemars Piguet ราคาลดลงหนักที่สุดเกือบ 20% ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้สวนทางกับในช่วงสองสามปีก่อนหน้านี้ที่โควิด-19 ระบาด ซึ่งผู้คนนำเงินส่วนเกินไปลงทุนในการลงทุนทางเลือก เช่น NFT และหุ้นมีม และนาฬิกาหรู ก็เป็นหนึ่งในทางเลือกการลงทุนที่ได้รับความนิยมมากในช่วงนั้น อิงตามข้อมูลจากรายงานของบริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการ Boston Consulting Group ยอดขายนาฬิกาหรูมือสองในปี 2021 มีมูลค่าสูงถึง 22,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของตลาดนาฬิกาหรูที่มีมูลค่า 75,000 ล้านดอลลาร์ ราคาของนาฬิกาโรเล็กซ์, ปาเต็ก ฟิลิปป์ และโอเดอมาร์ส ปิเกต์ พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงต้นปี 2022 ก่อนจะได้รับผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดและธนาคารกลางสำคัญ ๆ ทำให้ราคาร่วงลงมากราฟ Watch Market Index โดย WatchCharts ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ดัชนีสูงสุด ณ วันที่ 11 มีนาคม 2022จากข้อมูลที่ว่ามานี้ ไม่รู้ว่าทำให้หลายคนที่สะสมนาฬิกาอยู่ หรือคนที่คิดอยากลงทุนในนาฬิการู้สึกหวั่นใจหรือไม่ แต่มาถึงตรงนี้ ขอบอกว่าไม่ได้มีแต่ข่าวร้ายสำหรับคนสะสมนาฬิกาหรู เพราะหากพิจารณาจากกราฟดัชนี “Watch Market Index” ของ WatchCharts ย้อนหลังไปสองสามปี (ดังภาพข้างบน) จะเห็นว่าดัชนีที่ลดลงนั้นเพียงแต่เป็นการลดลงหลังจากที่พุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุดในเดือนมีนาคม 2022 เท่านั้น แต่ไม่ได้ลดลงต่ำถึงระดับจุดเริ่มต้นที่ดัชนีเริ่มไต่ขึ้นเมื่อช่วงต้นปี 2021 และถึงแม้ว่าราคานาฬิกาหรูลดลงมากในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา แต่ถ้ามองถึงการลงทุนและผลตอบแทนในระยะยาว นาฬิกาหรูก็ยังให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดหุ้นค่อนข้างมาก โดยเฉพาะดัชนีราคานาฬิกาโรเล็กซ์ที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 55% จาก 5 ปีที่แล้ว รายงานของ Boston Consulting Group ที่เผยแพร่เมื่อต้นปี 2023 บอกว่า นาฬิกาหรูทำผลงานได้ดีเมื่อเทียบกับการลงทุนแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะยาว ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2018 ถึงมกราคม 2023 ราคาเฉลี่ยในตลาดมือสองของนาฬิการุ่นท็อปจากแบรนด์หรูที่ใหญ่ที่สุดสามแบรนด์ ได้แก่ โรเล็กซ์, ปาเต็ก ฟิลิปป์ และโอเดอมาร์ส ปิเกต์ เพิ่มขึ้นในอัตรา 20% ต่อปี แม้ว่าจะมีการชะลอตัวของตลาดในวงกว้างในช่วงที่เกิดโรคระบาด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทน 8% ต่อปี อ้างอิง : แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/world-news/news-1360277#google_vignette
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/04/2024
อัตราผู้ถือกรมธรรม์ประกันชีวิตต่อประชากรไทย จนถึงสิ้นไตรมาส 2 ปีนี้ พบว่ามีสัดส่วน 38-39% ลดลงจากสิ้นปี 2565 และกว่า 61% ของคนไทยยังไม่มีประกันชีวิตเพราะอะไร?วันที่ 2 สิงหาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อสิ้นปี 2565 ที่ผ่านมา จากการตรวจสอบข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เกี่ยวกับตัวเลขของจำนวนประชากรไทยที่มีการทำประกันชีวิตนั้นพบว่ามีสัดส่วนเบี้ยประกันภัยต่อ GDP (Insurance Penetration) ประมาณ 3.51% และมีอัตราผู้ถือกรมธรรม์ประกันชีวิตต่อประชากร (Density Rate) ประมาณ 40.36% มีเบี้ยประกันชีวิตต่อจำนวนประชากรต่อราย 9,235 บาท“คิดง่าย ๆ ก็คือ คนไทย 100 คน มีประกันชีวิตแค่ 40 คนเท่านั้น ซึ่งจริง ๆ อาจจะน้อยกว่านี้ก็ได้ เพราะบางคนมีหลายกรมธรรม์”มาดูกันต่อว่าในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 (ม.ค.-มี.ค.) ตัวเลขจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง สำนักงาน คปภ.รายงานไว้ว่า สัดส่วนเบี้ยประกันภัยต่อ GDP (Insurance Penetration) อยู่ที่ประมาณ 3.45% และมีอัตราผู้ถือกรมธรรม์ประกันชีวิตต่อประชากร (Density Rate) ประมาณ 39.89% ดังนั้น จะเท่ากับว่ามีสัดส่วนที่ลดลงจากสิ้นปีที่แล้ว ถามว่าเกิดอะไรขึ้น?นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต (MTL) ในฐานะนายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ตัวเลขอัตราผู้ถือกรมธรรม์ประกันชีวิตต่อประชากรจนถึงสิ้นไตรมาส 2 (ม.ค.-มิ.ย. 2566) มีสัดส่วนประมาณ 38-39% มีส่วนช่วยสนับสนุนการเติบโตของ GDP ประมาณกว่า 3% มีค่าเบี้ยประกันชีวิตเฉลี่ยต่อรายประมาณ 9,000 บาท ซึ่งอาจจะลดลงเล็กน้อย เนื่องจากแบบประกันสะสมทรัพย์ที่หายไปนอกจากนี้ โดนกดดันจาก paid-up และ maturity (กรมธรรม์ครบกำหนด) จากแบบประกันตลอดชีพในส่วนของเบี้ยปีต่ออายุ ซึ่งติดลบไปประมาณ 4.56% อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากการขอยกเลิกกรมธรรม์ (surrender) ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ“วันนี้การเข้าถึง และแบบประกันที่ใช่ และราคาที่ใช่ จะสำคัญมาก ๆ เพราะอาจจะมีบางกลุ่มเซ็กเมนต์ที่ต้องการประกันชีวิต แต่ยังเข้าไม่ถึง ดังนั้น เชื่อว่าการประกันชีวิตยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมากในอนาคต” นายสาระกล่าวผู้สื่อข่าวรายงานอ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าคนไทยถือกรมธรรม์ประกันชีวิตมีสัดส่วนใกล้เคียงกับประเทศมาเลเซีย ส่วนประเทศที่เจริญแล้วอย่างประเทศญี่ปุ่นพบว่ามีกรมธรรม์ถึง 322 ฉบับ เฉลี่ยมีกรมธรรม์ถึง 3 ฉบับต่อคน และประเทศสิงคโปร์ อยู่ที่ 267 ฉบับเฉลี่ยแล้วก็เกือบ 3 ฉบับต่อคนแล้วตั้งคำถามว่าทำไมคนไทยไม่ชอบทำประกันชีวิต มุมมองส่วนตัวอาจจะยังมีรายได้น้อยเกินจะจ่ายเบี้ยประกันหรือเปล่า?แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1361206
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
หุ้น
30/04/2024
หุ้นแตกพาร์ คืออะไร? จะเกิดผลดีหรือผลเสียอะไรบ้าง และผู้ถือหุ้นควรจะทำอย่างไรต่อไป นักลงทุนมือใหม่ห้ามพลาด หุ้นแตกพาร์ คืออะไร หุ้นแตกพาร์ หรือ การแตกหุ้น (Stock Split) เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ใช้ปรับแผนโครงสร้างของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อราคาหุ้นและจำนวนหุ้นในตลาด คำถามคือเมื่อหุ้นที่เราถืออยู่มีการแตกพาร์ จะเกิดผลดีหรือผลเสียอะไรบ้าง และผู้ถือหุ้นควรจะทำอย่างไรต่อไป ? ก่อนอื่นอยากให้เข้าใจก่อนว่า ราคาพาร์ (Par Value) คือ มูลค่าที่ตราไว้ต่อหุ้น ณ วันเริ่มแรก โดยนำทุนจดทะเบียนหารด้วยจำนวนหุ้นที่บริษัทออก เช่น บริษัท A เริ่มต้นด้วยทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 100 ล้านหุ้น ราคาพาร์ของหุ้น A จึงเท่ากับ 10 บาท พูดง่าย ๆ ว่าราคาพาร์เปรียบเสมือนต้นทุนเริ่มแรกของผู้ก่อตั้งบริษัทก็ได้ เมื่อบริษัทดำเนินกิจการไปสักพัก หากต้องการจะปรับโครงสร้างการเงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ซื้อขายหุ้นได้ง่ายขึ้น วิธีที่มักจะใช้ก็คือการลดราคาพาร์และเพิ่มจำนวนหุ้น หรือที่เรียกกันว่า ‘การแตกพาร์’ นั่นเอง โดยเป็นการเพิ่มจำนวนหุ้นด้วยการแตกหุ้นออกเป็นหลาย ๆ ส่วน ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นลดลงตามสัดส่วน แต่มูลค่าโดยรวมยังเท่าเดิม เทียบให้เห็นภาพขึ้น หุ้นบริษัทก็เหมือนพิซซ่า 1 ถาดที่หั่นขายออกเป็นชิ้น ๆ เดิมแบ่งขายออกเป็น 4 ชิ้น ราคาชิ้นละ 100 บาท แปลว่าราคารวมของพิซซ่าถาดนี้อยู่ที่ 400 บาท แต่เมื่อขายไปสักพัก เรารู้สึกว่าราคาต่อชิ้นแพงเกินไป จึงหั่นให้ชิ้นเล็กลงเพื่อให้จำนวนพิซซ่าเพิ่มเป็น 8 ชิ้น ซึ่งก็จะทำให้ราคาขายต่อชิ้นถูกลงเหลือชิ้นละ 50 บาท ทำให้ขายง่ายขึ้น แต่พิซซ่าทั้งถาดยังมีขนาดเท่าเดิม และมูลค่ารวมไม่ได้เปลี่ยนแปลง จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อหุ้นแตกพาร์? ยกตัวอย่าง หุ้น A ราคาพาร์ 10 บาท มีจำนวนหุ้นในตลาด 100 ล้านหุ้น ราคาหุ้น 200 บาท คิดเป็น Market Cap. 20,000 ล้านบาท ต่อมาบริษัทแตกพาร์เหลือ 1 บาท จำนวนหุ้นในตลาดจึงเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ล้านหุ้น ราคาหุ้นลดลงเป็น 20 บาท คิดเป็น Market Cap. 20,000 ล้านบาท เห็นแบบนี้เราจึงพอสรุปได้ว่าการแตกพาร์ จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในหุ้น ดังนี้ 1. จํานวนหุ้นมากขึ้น เพิ่มสภาพคล่องการลงทุน เป้าหมายหลักของการแตกพาร์ คือ การเพิ่มสภาพคล่องของหุ้นในตลาด เมื่อราคาพาร์ลดลง จํานวนหุ้นเพิ่มขึ้น ก็จะส่งผลให้หุ้นตัวนั้นซื้อขายง่ายขึ้น เป็นการขยายฐานผู้ถือหุ้นรายย่อยทำให้ Free Float สูงขึ้น และอาจมีแรงเก็งกำไรเข้ามาจากนักลงทุนรายย่อยมากขึ้น 2. ราคาหุ้นลดลง เปิดโอกาสให้ซื้อขายง่ายขึ้น หากราคาหุ้นสูงเกินไป ก็ยากที่นักลงทุนรายย่อยจะเอื้อมถึง เพราะจะซื้อแต่ละทีต้องใข้เงินทุนจำนวนมาก แต่เมื่อแตกพาร์แล้วจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น และราคาหุ้นก็จะลดลงตามสัดส่วนเช่นกัน จึงเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยซื้อหุ้นได้ง่ายขึ้น โดยใช้เงินลงทุนที่น้อยลง เช่น เดิมหุ้นมีราคาพาร์ 10 บาท และราคา 200 บาทต่อหุ้น แปลว่าซื้อหุ้นขั้นตํ่า 1 Board Lot (100 หุ้น) ต้องใช้เงิน 20,000 บาท (100 หุ้น x 200 บาทต่อหุ้น) แต่เมื่อแตกพาร์เป็น 1 บาท ราคาลดลงเหลือ 20 บาทต่อหุ้น แบบนี้มีเงินเพียง 2,000 บาท (100 หุ้น x 20 บาทต่อหุ้น) ก็เริ่มลงทุนได้แล้ว 3. มูลค่าหลักทรัพย์ (Market Cap.) ยังคงเท่าเดิม การแตกพาร์ไม่มีผลต่อมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) เหมือนที่อธิบายไปว่าการแตกพาร์ คือ การหั่นพิซซ่าเป็นชิ้นเล็กลงเพื่อให้ได้จำนวนชิ้นมากขึ้น แต่ไม่ว่าเราจะหั่นชิ้นเล็กแค่ไหน ขนาดของพิซซ่าทั้งถาดก็ยังเท่าเดิมอยู่ดี ควรทำอย่างไร? เมื่อหุ้นแตกพาร์ สรุปอีกครั้งว่าจุดประสงค์ของการแตกพาร์ หรือ แตกหุ้น เพื่อต้องการเพิ่มสภาพคล่องการซื้อขาย จึงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพื้นฐานธุรกิจและงบการเงินของบริษัท ดังนั้น หากเรายังเชื่อมั่นในพื้นฐานของหุ้นที่ถือ ก็สามารถลงทุนตามกลยุทธ์เดิมที่วางไว้ได้เลย นอกจากนี้ การแตกพาร์ไม่ได้ทำให้เกิดผลกระทบต่อมูลค่าของหุ้นที่ถือ (Dilution Effect) และไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนผู้ถือหุ้น เพียงแค่จำนวนหุ้นในพอร์ตจะเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนที่แตกพาร์เท่านั้น แต่มูลค่ารวมยังเท่าเดิม จึงไม่ควรใช้การแตกพาร์มาเป็นปัจจัยในการวิเคราะห์พื้นฐานธุรกิจ แต่จุดสังเกตที่ควรระวังหลังหุ้นแตกพาร์ คือ การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินที่มีความเกี่ยวข้องกับ “จำนวนหุ้น” เช่น กำไรต่อหุ้น (Earning per share) และเงินปันผลต่อหุ้น (Dividend per share) รวมทั้งที่เกี่ยวข้องกับ “ราคาหุ้น” เช่น P/E และ P/BV เพราะอัตราส่วนทางการเงินเหล่านี้จะมีสัดส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปหลังการแตกพาร์ ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบระหว่างงวด เราควรปรับการคำนวณให้เป็นราคาพาร์เดียวกันก่อน เพื่อให้การวิเคราะห์เป็นไปอย่างถูกต้อง อย่างไรก็ดี อาจจะมีผลในเชิงจิตวิทยาอยู่บ้าง เพราะในวันแรกที่มีการแตกพาร์ ราคาหุ้นจะปรับลดลงตามสัดส่วนของจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหากนักลงทุนที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารของหุ้นตัวนั้น อาจเกิดความเข้าใจผิดได้ว่าหุ้นลงจากปัจจัยทางธุรกิจ จึงนำมาสู่ความผันผวนของราคาหุ้นระยะสั้น แต่สุดท้ายในระยะยาว ราคาหุ้นก็จะวิ่งเข้าหามูลค่าที่เหมาะสมอยู่ดี ดังนั้น ขอแนะนำให้หมั่นติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ และให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก ข้อมูลจาก www.setinvestnow.com ตลาดหลักทรัพย์แห่งประทศไทย (SET) แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์ https://www.prachachat.net/prachachat-wealth/news-1360586
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/04/2024
สาระ ล่ำซำ ไม่กังวล “เศรษฐกิจชะลอ-ความไม่แน่นอนทางการเมือง-ภาวะเงินเฟ้อกระทบกำลังซื้อ” ย้ำไม่ใช่แฟกเตอร์ใหม่ ธุรกิจประกันชีวิตอยู่มานานกว่า 70-90 ปี ผ่านวัฏจักรเหล่านี้มาหมดแล้ว-ค่อนข้างอนุรักษนิยม มั่นใจสิ้นปี’66 เบี้ยรวมโต 2%วันที่ 31 กรกฎาคม 2566 นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต (MTL) ในฐานะนายกสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยว่าช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย. 2566) ภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตมีเบี้ยรับรวมอยู่ที่ 300,005 ล้านบาท เติบโต 3.78% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) มาจากเบี้ยประกันชีวิตรายใหม่ 86,802 ล้านบาท เติบโต 8.93% แยกเป็นเบี้ยปีแรก 56,456 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.44% และเบี้ยซิงเกิลพรีเมี่ยม 30,346 ล้านบาท ลดลง 0.03% ขณะที่เบี้ยปีต่ออายุ 213,203 ล้านบาท เติบโต 1.82% โดยมีอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ 82%โดยการเติบโตของเบี้ยปีแรก หลัก ๆ มาจากแบบประกันสะสมทรัพย์ เติบโต 24.97% แบบประกันตลอดชีพ เติบโต 23.71% สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพและโรคร้ายแรง เติบโต 7.8% ซึ่งถือเป็นตัวชูโรงของภาคธุรกิจในปัจจุบัน และแบบประกันบำนาญ เติบโต 48.89% ทั้งนี้แม้ดูเหมือนจะโตมาก แต่ยังมาจากฐานที่ต่ำส่วนการลดลงของเบี้ยซิงเกิลพรีเมี่ยม จะมาจากแบบประกันชีวิตควบการลงทุน (unit-linked) ที่ติดลบ 81.55% ตามภาวะตลาดทุนที่มีความผันผวนสูง และจากแบบประกันสะสมทรัพย์ ที่ติดลบ 26.03% ภายใต้เส้นอัตราผลตอบแทน (yield curve) ที่ลดลงมาตลอด กดดันแบบประกันสะสมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง (high yield) ลดลงไปสำหรับเบี้ยต่ออายุถือว่ายังโตดีที่ 1.82% แต่อาจจะโดนกดดันจาก paid-up และ maturity (กรมธรรม์ครบกำหนด) จากแบบประกันตลอดชีพ ซึ่งติดลบ 4.56% อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากการขอยกเลิกกรมธรรม์ (surrender) ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ“จนถึงสิ้นไตรมาส 2/2566 มีอัตราการถือครองกรมธรรม์ประกันชีวิต (penetration rate) คิดเป็นสัดส่วน 38-39% ของจำนวนประชากรไทย หรือมีค่าเบี้ยเฉลี่ยต่อหัวประมาณ 9,000 บาท ซึ่งอาจจะลดลงเล็กน้อยจากแบบประกันสะสมทรัพย์ที่หายไปโดยถือว่ามีส่วนช่วยสนับสนุนการเติบโตของ GDP กว่า 3% อย่างไรก็ตาม วันนี้การเข้าถึงและแบบประกันที่ใช่ และราคาที่ใช่ จะสำคัญมาก อาจจะมีบางกลุ่มเซ็กเมนต์ที่ต้องการเรื่องประกันชีวิตแต่ยังเข้าไม่ถึง” นายสาระกล่าวทั้งนี้คาดการณ์ภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตในปีนี้ จะมีเบี้ยรับรวมอยู่ที่ 612,500-623,500 ล้านบาท เติบโตกว่า 2% YOY โดยในช่วงครึ่งปีหลังภาพรวมเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวจากภาคท่องเที่ยว และคาดหวังแนวโน้มกระแสรักสุขภาพ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และการผ่อนคลายกฎระเบียบส่วนปัจจัยความท้าทายที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ซึ่งจะส่งผลต่อระดับอัตราดอกเบี้ย ที่ถึงแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีทิศทางที่ปรับสูงขึ้น แต่ยังต้องมีความระมัดระวังในการเลือกลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภทและความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมือง ที่จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนได้ รวมถึงสงครามการค้าสหรัฐ-จีน และสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อ-ราคาสินค้าแพง ซึ่งจะกดดันต่อกำลังซื้ออย่างไรก็ตาม ปัจจัยความท้าทายดังกล่าวไม่ใช่แฟกเตอร์ใหม่ในแง่การบริหารจัดการของธุรกิจประกันชีวิต เนื่องจากเคยผ่านวัฏจักรเศรษฐกิจและเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้มาหมดแล้ว หลายบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทยมีอายุกว่า 70-90 ปีขณะเดียวกันธุรกิจประกันชีวิตเองก็ค่อนข้างอนุรักษนิยม (conservative) เพราะต้องผูกสัญญาระยะยาวกับผู้เอาประกัน และถูกควบคุมโดยสำนักงาน คปภ. ซึ่งกำหนดให้ลงทุนเน้นหนักในตราสารหนี้ ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ และลงทุนในบริษัทต้องอยู่ในระดับ investment grade“เราเป็นคนที่บริหารเรื่องความเสี่ยง (risk) และเราเองก็ต้องบริหารความเสี่ยง (risk management) ให้ดีกับตัวเราด้วย” นายกสมาคมประกันชีวิตไทยกล่าวผู้สื่อข่าวรายงานว่า จนถึงสิ้นเดือน มิ.ย. 2566 พบว่า 10 บริษัทประกันชีวิตมีส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) รวมกัน 92.58% ของเบี้ยรับรวม จากทั้งหมด 22 บริษัท และเฉพาะ 5 บริษัทแรก มีมาร์เก็ตแชร์รวมกันสูงถึง 72.12% ของเบี้ยรับรวมโดย 10 อันดับแรกที่มีเบี้ยรับรวมสูงสุด ประกอบด้วย 1.เอไอเอ 2.เอฟดับบลิวดีประกันชีวิต 2.ไทยประกันชีวิต 4.เมืองไทยประกันชีวิต 5.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต 6.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต 7.กรุงเทพประกันชีวิต 8.พรูเด็นเชียลประกันชีวิต 9.ไทยสมุทรประกันชีวิต และ 10.โตเกียวมารีนประกันชีวิตแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1360242
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
เงินหาใหม่ได้..ตอนนี้ขอใช้จ่ายให้มีความสุขก่อน? ใครกำลังคิดแบบนี้อาจต้องคิดใหม่! เพราะถ้าไม่ระวัง อาจจะไม่มี "เงินเก็บ" ไว้ใช้หลัง "เกษียณ" • ไม่ใช่แค่หาเงินเก่ง แต่ต้องฝึกวินัยการ “เก็บเงิน” และรู้จักบริหารจัดการเงินส่วนบุคคลให้เหมาะสม เพื่อเป้าหมายการมีอิสรภาพทางการเงินหลัง “เกษียณอายุ” • กลุ่มคนอาชีพอิสระก็สามารถ “ออมเงิน” เพื่อการเกษียณได้ โดยในประเทศไทยมี “กองทุนการออมแห่งชาติ” เพื่อให้กลุ่มอาชีพอิสระมีเงินก้อนไว้ใช้หลังเกษียณ ได้เหมือนกับกลุ่มข้าราชการ (กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ) และพนักงานบริษัท (มีกองทุนประกันสังคม) • ผู้คนยุคดิจิทัลมักหลงทางไปกับ “ภาวะเงินเฟ้อจากไลฟ์สไตล์ฟุ่มเฟือย” ซึ่งถูกกระตุ้นด้วยสื่อสังคมออนไลน์ ทำให้ลืมคิดไปว่า ค่าเช่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเสื้อผ้า/เครื่องประดับ ฯลฯ ที่มากเกินจำเป็น ก็ทำให้แผนการเก็บเงินสำหรับเกษียณผิดพลาดได้ ใครๆ ก็อยากมีอิสรภาพทางการเงินหลังเกษียณ แต่ใช่ว่าทุกคนจะก้าวไปถึงจุดนั้นได้อย่างราบรื่น เพราะแต่ละคนก็มีปัจจัยด้านรายได้ รายจ่าย ค่าครองชีพ และภาระหนี้สินที่แตกต่างกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป หากคุณรู้จัก “ออมเงิน” ให้เหมาะสม และมีการบริหารจัดการเงินที่ดี ที่สำคัญ.. ต้องไม่ติดกับดัก 5 ความผิดพลาดด้านการเงิน ที่สุ่มเสี่ยงทำให้ “ไม่มีเงินเก็บ” จนนำไปสู่การ “ขาดอิสรภาพทางการเงินหลังเกษียณ” โดยเราสรุปมาให้รู้กันดังนี้ ความผิดพลาดที่ 1 : ผัดวันประกันพรุ่ง ไม่รีบเก็บเงินตั้งแต่อายุยังน้อย บางคนอาจยังมัวแต่รีๆ รอๆ อยู่นานเกินไปกว่าจะเริ่มออมเงิน สุดท้ายก็เก็บเงินไม่ทันใช้หลังเกษียณ รู้หรือไม่? ยิ่งออมเงินเร็วก็ยิ่งได้ดอกเบี้ยทบต้นสูงขึ้น ทั้งนี้ต้องออมเงินในสถาบันการเงินที่ให้อัตราผลตอบแทน 5% ต่อปีขึ้นไป ดังนั้น ไม่ควรมองข้ามเรื่องการออมเงินตั้งแต่อายุยังน้อย แนะนำว่าให้เริ่มออมไม่เกินช่วงวัย 25 ปีความผิดพลาดที่ 2 : ไม่มีความรู้เรื่องกองทุนการออมเพื่อเกษียณ หรือมองว่าเป็นการออมระยะยาวเกินไปจึงไม่สนใจ ในรัฐบาลของหลาย ๆ ประเทศ จะมีมาตรการสนับสนุนให้ประชาชนออมเงินเพื่อการเกษียณ โดยตั้งขึ้นมาเป็นกองทุนต่างๆ อย่างเช่นในสหรัฐอเมริกา ก็จะมีมาตรการ “แผนการลงทุนเพื่อการเกษียณ 401(k)” โดยผู้ลงทุนสามารถหักเงินเดือนเพื่อสะสมเข้ากองทุนนี้ได้ อีกทั้งยังสามารถเลือกแผนการลงทุนที่สนใจได้เอง โดยต้องหักเงินสะสมไปเรื่อยๆ จนถึงอายุ 59 ปี จึงจะสามารถถอนเงินออกมาได้ ส่วนในประเทศไทย ใครที่เป็นผู้ประกันตน ตามมาตรา 33, 39 รัฐก็มีข้อบังคับให้หักเงินสะสมเข้ากองทุนประกันสังคมอยู่แล้ว (ส่วนข้าราชการก็มีกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ) และสำหรับกลุ่มแรงงานนอกระบบหรือผู้ประกอบอาชีพอิสระรัฐบาลไทยก็มีระบบการออมภาคสมัครใจรองรับเช่นกัน โดยสามารถส่งเงินออมผ่าน “กองทุนการออมแห่งชาติ” หรือกองทุนประกันสังคมตามมาตรา 40 โดยเงินดังกล่าวก็จะเป็นการสะสมไว้เพื่อใช้หลังเกษียณ ทั้งนี้ ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยของวัยทำงานหนุ่มสาวที่ทำอาชีพอิสระบางคน คือ อาจไม่มีความรู้เรื่องนี้ หรือไม่ใส่ใจที่จะสมัครเข้าร่วมกองทุนการออมฯ จึงทำให้พลาดโอกาสในการมีเงินเก็บก้อนใหญ่ไว้ใช้หลังเกษียณความผิดพลาดที่ 3 : ตกเป็นเหยื่อภาวะเงินเฟ้อจากไลฟ์ไตล์ฟุ่มเฟือย “ภาวะเงินเฟ้อจากไลฟ์สไตล์ฟุ่มเฟือย (Lifestyle Inflation)” มักจะเกิดขึ้นเมื่อผู้คนเริ่มมองว่า การใช้ชีวิตที่หรูหราในอดีตที่ผ่านมาเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีต่อไปในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งมักถูกกระตุ้นด้วยสื่อสังคมออนไลน์ ยิ่งหนุ่มสาววัยทำงานเล่นโซเชียลมีเดียมากเท่าไร ก็จะยิ่งมีความปรารถนาที่จะใช้ชีวิตตามคนอื่นๆ บนโลกออนไลน์ (ที่มักโพสต์ไลฟสไตล์การใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย) มากเท่านั้น พวกเขามักจะชะล่าใจเกินไปว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ส่งผลกระทบกับเงินออมหลังเกษียณ ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ผิดพลาด! และบางคนอาจไม่เคยรู้ว่า การจ่ายค่าเช่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเสื้อผ้า/เครื่องประดับ ฯลฯ ที่มากเกินจำเป็น ก็มีส่วนทำให้แผนการเงินอื่นๆ หยุดชะงักได้ ในความเป็นจริงแล้ว คุณควรจ่ายค่าเช่าที่พักในอัตราไม่เกิน 25% ของเงินเดือน และควรจ่ายค่าอาหารไม่เกิน 15% ของเงินเดือน เพื่อให้สะสมเงินออมได้มากขึ้นความผิดพลาดที่ 4 : มีเงินออมฉุกเฉินไม่เพียงพอ รู้หรือไม่? กองทุนฉุกเฉินสามารถช่วยชีวิตคุณได้หากคุณตกงาน หรือป่วยจนทำงานไม่ได้ หรือมีภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดอื่นๆ อย่างไรก็ตาม บางครั้งคนหนุ่มสาวอาจมีความมั่นใจมากเกินไปและไม่สนใจความเสี่ยงเรื่องนี้ ทั้งนี้ เงินออมฉุกเฉินจะเก็บในจำนวนเท่าใดก็ได้ หากเริ่มเก็บแล้วก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่โดยทั่วไปแล้ว คนโสดจำเป็นต้องกันเงินฉุกเฉินไว้ให้เพียงพอต่อการใช้จ่ายในระยะเวลา 6 เดือนสำหรับค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน ความผิดพลาดที่ 5 : เก็บสินทรัพย์ที่ผันผวนมากเกินไป เช่น Crypto, NFT ที่มีความผันผวนสูง หากคุณยังมองข้ามการลงทุนที่มีความผันผวนสูงเหล่านี้ ก็อาจทำให้เสี่ยงต่อสุขภาพทางการเงินได้ เพราะการลงทุนกับสิ่งเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงและอันตรายมาก พวกมันสามารถริบเงินลงทุนทั้งหมดของคุณไปได้ในชั่วพริบตา ดังนั้น ควรหันมาลงทุนให้เหมาะสม เลือกลงทุนความเสี่ยงต่ำหรือปานกลาง (ระดับความเสี่ยงในการลงทุนให้คำนวณตามอายุและรายได้ของผู้ลงทุน) จะดีกว่าการไล่ตามผลตอบแทนสูงแบบสุดโต่ง ------------------------------------- อ้างอิง : CNN Business, Thaigov แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/finance/1078980
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
30/04/2024
กองทุนประกันวินาศภัย โชว์ผลงานเดือน ก.ค.66 อนุมัติ 6,092 คำขอ จนถึง 27 ก.ค. ยอดอนุมัติจ่ายเงินเจ้าหนี้ 4 บริษัทปิดตัวเจ๊งเคลมโควิดรวม 5,128 ล้านบาทวันที่ 29 กรกฎาคม 2566 กองทุนประกันวินาศภัย (กปว.) รายงานความคืบหน้าว่า การพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินให้แก่เจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัย ประจำเดือนกรกฎาคม 2566 โดยมีรายชื่อบริษัท ดังนี้1. บมจ.เอเชียประกันภัย 1950 จำนวน 1,380 คำขอ2. บมจ.เดอะ วัน ประกันภัย จำนวน 1,379 คำขอ3. บมจ.ไทยประกันภัย จำนวน 1,361 คำขอ4. บมจ.อาคเนย์ประกันภัย จำนวน 1,972 คำขอรวมการอนุมัติรอบเดือนกรกฎาคม 2566 จำนวนทั้งสิ้น 6,092 คำขอ ทั้งนี้ยอดรวมการอนุมัติจ่ายเงินให้แก่เจ้าหนี้ทั้ง 4 บริษัทดังกล่าว มีจำนวน 5,128.19 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 27 ก.ค.2566) แบ่งเป็น1. บมจ.เอเชียประกันภัย 1950 จำนวน 18,209 คำขอ2. บมจ.เดอะ วัน ประกันภัย จำนวน 17,374 คำขอ3. บมจ.ไทยประกันภัย จำนวน 14,109 คำขอ4. บมจ.อาคเนย์ประกันภัย จำนวน 18,046 คำขอแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1358700
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวทั่วไป
30/04/2024
รู้หรือไม่ครับว่า ธุรกิจบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะต่างประเทศหรือในประเทศไทย ส่วนใหญ่แล้วเป็นธุรกิจครอบครัว แต่การส่งผ่านธุรกิจครอบครัว จากรุ่นสู่รุ่นไม่ใช่เรื่องง่าย และมักจะมีคำกล่าวที่ว่า “ธุรกิจครอบครัวอยู่รอดได้ไม่เกิน 3 เจเนอเรชั่น“ ปัญหาใหญ่ของเรื่องนี้ ไม่ใช่มาจากเรื่องของธุรกิจ แต่มาจาก “ความขัดแย้งในธุรกิจครอบครัว” ทำให้หนึ่งในหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญอย่างตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ลุกขึ้นมาให้ความสำคัญเรื่องนี้ และวันนี้ Prachachat Wealth เล่าเรื่องการลงทุน มีโอกาสได้ร่วมพูดคุยกับศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ กรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และยังเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายให้กับบริษัทชั้นนำในประเทศอีกจำนวนมาก ธุรกิจครอบครัว ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ธุรกิจครอบครัวจริง ๆ ก็เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เพราะว่าบริษัทส่วนใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็เป็นครอบครัว 75-80% หมายความว่ายังไง หมายความว่าครอบครัวถือหุ้นใหญ่เกินร้อยละ 50 มีอำนาจควบคุม แต่งตั้งกรรมการ เพราะฉะนั้นบริษัทครอบครัวใหญ่ ๆ ในประเทศไทย ที่ขับเคลื่อน ก็คุณเจริญ คุณธนินท์ เซ็นทรัล–จิราธิวัฒน์ ก็ยังมีอื่น ๆ อีกที่เป็นเจ้าของคนเดียว หรือสหพัฒน์ก็เป็นแบบ Conglomerate ก็คือเป็นกลุ่มบริษัทใหญ่ อีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นครอบครัวอย่างกลุ่มไชยวรรณ มีทั้งประกันชีวิต มีทั้งธนาคาร มีทั้งโรงเหล้า ก็จะกลายเป็นว่าธุรกิจครอบครัวที่ใหญ่ เขาก็เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จ้างคน แต่ในขณะเดียวกันบริษัทเอสเอ็มอี เล็ก ๆ ที่มีอยู่ประมาณ 3-4 แสน ไม่รวมพ่อค้าธรรมดา กลุ่มพวกนี้ก็จะเป็นบริษัทที่ต่างจังหวัด จากการสำรวจในประเทศไทย ธุรกิจที่เกิน รุ่นหนึ่งเฉลี่ยประมาณ 33 ปี เพราะฉะนั้นธุรกิจไหนที่เกิน 60 ปี แสดงว่าเป็นรุ่นที่ 2 หรือรุ่นที่ 3 บางรุ่นก็อย่างเซ็นทรัล รุ่นที่ 4-5 ล่ะ คุณเจริญ รุ่นที่ 2 เพราะฉะนั้นกลุ่มพวกนี้ก็พัฒนาโตขึ้น ขยายธุรกิจขึ้น แต่ในขณะเดียวกันธุรกิจที่หายไปก็เยอะ เกิน 3 รุ่น อยู่รอดแค่ 12% ตัวเลขที่คุณเห็นก็คือว่าธุรกิจที่เกิน 3 รุ่น มีแค่ 12% หมายความว่าบริษัท 100 บริษัท ก็จะมีบริษัทที่รอดอยู่แค่ 12 บริษัท ก็เฉลี่ยประมาณ 40-50 ปี หรือ 60 ปีประมาณนั้น ส่วนถ้าเป็นรุ่นที่ 4 ที่มีความเติบโตได้ ก็มีประมาณแค่ 3% เอง เมืองไทยมีบริษัทที่เกิน 100 ปี ไม่ถึง 10 บริษัท ที่จริงในบรรดา 10 บริษัท ที่เป็นเจ้าของเดิมอาจจะไม่ถึงแค่ครึ่งหนึ่งก็ได้ อย่าง Oriental 100 กว่าปี ก็เปลี่ยนเจ้าของ อย่างตัวอย่างความสูงอย่างโอสถสภา ตระกูลโอสถานุเคราะห์ก็ยังถือหุ้นใหญ่ CP ก็ยังไม่ถึง 100 ปี 86 กว่าปี เซ็นทรัลก็ 80 ปี ความขัดแย้ง จุดจบธุรกิจครอบครัว เพราะฉะนั้นการที่จะให้เอาธุรกิจอยู่รอดมาถึงรุ่นที่ 3-4 ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องธุรกิจ เกี่ยวข้องกับเรื่องของความขัดแย้งในธุรกิจครอบครัว พี่น้องทะเลาะกัน เราจะเห็น แน่นอนเรื่องธุรกิจก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่เกิดวิกฤตปี’40 แฮมเบอร์เกอร์ โควิด ก็เห็นธุรกิจครอบครัวที่หายไปก็เยอะ แต่ว่าส่วนหนึ่งผมคิดว่าการที่สมาชิกในครอบครัวขัดแย้งกัน อันนี้เป็นจุดใหญ่ของธุรกิจครอบครัวที่มันแตก ทะเลาะ ฟ้องคดี เราก็เห็นคดีเยอะแยะในหนังสือพิมพ์ คดีของธรรมวัฒนะ ห้างทอง ซึ่งก็ทะเลาะกันถึง 14 ปี มีคดีฟ้องกัน 44 คดี เพิ่งจบกันไป 4-5 ปีที่แล้ว ตอนนี้ก็เป็นข่าวหนังสือพิมพ์อย่างแม่ประนอม, ปุ้มปุ้ย ฟ้องกันอุตลุด และก็มีซ้อ 7 ซีอิ๊วเด็กสมบูรณ์ ก็จะมี Issue (ปัญหา) เยอะ ในประเทศไทยถ้าจริง ๆ ลองลงไปเจาะลึก เพราะฉะนั้นคำถามเรื่องธุรกิจครอบครัวมาจากเรื่องของความขัดแย้งที่เป็นตัวหลัก ความขัดแย้งเกิดจากอะไร ความขัดแย้งเกิดจากไม่มีกฎกติกาในการทำธุรกิจด้วยกัน ความขัดแย้งเกิดจากเรื่องของผลประโยชน์ที่ไม่มีการตกลงอย่างชัดเจน ความขัดแย้งจากการที่ไม่ได้คุยกัน ประชุมหารือ ปรึกษาหารือกัน ก็เป็นที่มาว่าเคยมีการเซอร์เวย์ครั้งหนึ่งของบริษัทชื่อ The Williams เขาบอกว่าธุรกิจครอบครัวที่เกิดขึ้นจริง ๆ ก็คือเกิดจากความขัดแย้ง ความไม่สื่อสารกัน ความไม่เชื่อใจกัน 66% ปมปัญหาธุรกิจครอบครัว คือที่ผมศึกษามาประมาณสัก 20 ปี แล้วก็ตอนต้น ๆ ก็พบว่าเหตุการณ์เป็นปัญหาที่จะต้องแก้ไขคือ เรื่องของการจัดโครงสร้างการถือหุ้น คุณมีบริษัทแบบไหน กี่บริษัท มีโฮลดิ้ง มีกงสีมั้ย มีบริษัทประกอบการมั้ย คุณจะเอาโฮลดิ้งเข้าตลาด โฮลดิ้งใครถือหุ้น คุณจะเป็นคนธรรมดา คุณจะเป็นนิติบุคคล คุณจะเป็นนิติบุคคลต่างประเทศหรือเปล่า ซึ่งเรื่องนี้จะมีเรื่องกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งกฎหมายและภาษี อันที่ 2 คือว่าคนไทย ignorant (ไม่รู้) มาก ก็คือว่า ไม่ค่อยทำเอกสารกฎหมาย ตั้งบริษัท ข้อบังคับก็ปล่อยจดทะเบียนปกติคือ standard form ซึ่งไม่ได้ พอคุณมีแฟมิลี่ การแบ่งหุ้น การแบ่งกรรมการ ก็จะต้องเขียนในข้อบังคับ อันที่สามคือเรื่องผลประโยชน์ พูดไปล่ะ แบ่งหุ้นยังไง ค่าตอบแทนเป็นยังไง ไม่เขียนเป็นกฎ ถ้าเขียนเป็นกฎ เช่น บริษัทกำไรจะจ่ายปันผล เรื่องการสื่อสาร เราต้องยอมรับนะครับว่า การสื่อสารไม่ได้หมายถึงการสั่ง แต่รุ่นพ่อ–รุ่นพี่ ก็จะบอกสั่งน้อง–สั่งลูก คุณทำตามคำสั่งฉัน ที่ผมบอกว่าแบบ Emperor แบบจักรพรรดิ อันนี้เป็นเทรนด์ในอดีต ไม่ใช่เมืองไทย ที่อื่นก็เป็น แต่วันนี้โลกเปลี่ยน เรื่อง succession plan (วางแผนผู้สืบทอดตำแหน่ง) ส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยปล่อยวาง ก็คือว่ารุ่นที่ 1 คิดว่าเก่ง แต่ถ้ายกตัวอย่าง “เซ็นทรัล” เขาถอยแล้ว เขียนในไว้ธรรมนูญครอบครัวว่าอายุเท่านี้ต้องถอยไปเป็น “ที่ปรึกษา” หรือเป็น “กิตติมศักดิ์” อะไรก็ว่าไป แต่ของเราก็จะเห็นว่าผู้ก่อตั้ง หรือว่าคนที่เป็นอาวุโสที่สุด ก็ไม่อยากจะปล่อย เพราะยังคิดว่ายังทำงานอยู่ เรื่องสำคัญ ที่ผมพยายามอยากสร้างคือสร้าง Network ของกรรมการมืออาชีพที่มาช่วยธุรกิจครอบครัว เพราะว่าถ้าเราไปดูบริษัทใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นเซ็นทรัล ไม่ว่าจะเป็น ซี.พี. ไม่ว่าจะเป็นคุณเจริญ เขามีที่ปรึกษามืออาชีพคนนอกอยู่เยอะมาก วันนี้เอสเอ็มอีไทยขาดก็คือ ขาดคนที่มีประสบการณ์ ที่จะเป็นที่ปรึกษา หรือว่ามีเครือข่าย มี Networking ถึงเวลาหาพันธมิตรร่วมสืบทอดธุรกิจ เป็นแนวใหม่ที่เราพยายามจะบอกว่า การสืบทอดธุรกิจครอบครัว คุณไม่จำเป็นต้องสืบทอดธุรกิจด้วยครอบครัวคุณคนเดียว แต่คุณอาจจะมีเพื่อน คู่ค้า ที่มาทำธุรกิจร่วมกัน เราไม่ค่อยเห็นรูปแบบนี้ในปัจจุบัน แต่ว่าแน่นอนต้องมี DNA ที่ตรงกัน และมีกฎกติกาชัดเจน ถ้าทุกอย่างโปร่งใส บัญชีชัดเจน ไม่ต้องมีอะไรปกปิด คือผมกำลังบอกวิธีนี้ เป็นวิธีที่จะปรับเอสเอ็มอีไทย เล็ก กลาง ให้แข่งขันได้ ผมคิดว่าไม่ง่าย แต่ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่อาจจะต้องให้คนเห็น แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1355206
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
30/04/2024
สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญไม่แพ้การจองตั๋วเครื่องบิน และที่พักในต่างประเทศก็คือ การซื้อประกันการเดินทาง เพื่อไม่ให้ทริปเที่ยวของคุณต้องสะดุดระหว่างทางก่อนจะเดินทางไปท่องเที่ยวในต่างประเทศ สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญไม่แพ้กับการซื้อตั๋วเครื่องบิน จองที่พัก และแพคเกจทัวร์ก็คือ การซื้อประกันภัยการเดินทาง ซึ่งเป็นหลักประกันที่จะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่า หากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ทริปวันหยุดของคุณจะไม่สะดุดระหว่างทาง และได้รับความช่วยเหลือเยียวยาตามที่ควรจะได้ แต่ก่อนที่จะตัดสินใจทำ เราอยากให้คุณมาดู 5 เรื่องสำคัญที่ต้องรู้ก่อนซื้อประกันการเดินทางในบทความนี้เสียก่อน จะได้ไม่พลาดข้อมูลดี ๆเช็กลิสต์ 5 เรื่องต้องรู้ก่อนซื้อประกันการเดินทางการทำประกันการเดินทาง เป็นสิ่งที่หลายคนมักจะละเลยและตัดสินใจไม่ทำ เพราะมองว่าเสียเงินเปล่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว การทำประกันการเดินทางไว้ จะช่วยให้คุณอุ่นใจมากขึ้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันหรือเหตุการณ์ทางการเมืองขึ้น แต่ก่อนจะทำก็มีเรื่องที่ต้องรู้อยู่ 5 ข้อ ดังนี้1. แผนประกันภัยแต่ละแผนคุ้มครองไม่เท่ากันราคา เป็นปัจจัยสำคัญที่หลาย ๆ คนใช้ในการตัดสินใจเลือกซื้อประกันการเดินทาง ซึ่งแผนประกันที่แพงที่สุดก็ไม่ได้ดีเสมอไป และแผนที่ถูกที่สุดก็ไม่ได้แย่เสมอไป แต่ความเหมาะสมในการเลือกแผนประกันนั้นขึ้นอยู่กับความคุ้มครองที่ได้รับ ข้อยกเว้น และทุนประกันภัย ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจซื้อควรมีการพิจารณาแผนประกันที่ตอบโจทย์กับกิจกรรมหรือไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวของคุณเสียก่อน2. ซื้อล่วงหน้าได้เปรียบกว่าประกันการเดินทางบางแผน จะให้ความคุ้มครองตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นความล่าช้าของเครื่องบิน การเลื่อนไฟลท์ หรือการยกเลิกไฟลท์ ซึ่งแม้ว่าจะทำให้แผนวันหยุดของคุณต้องเลื่อนออกไป แต่อย่างน้อยก็ยังได้ชดเชยค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปก่อนหน้านี้จากบริษัทประกัน3. แผนประกันรายปีหรือรายเที่ยว แบบไหนคุ้มกว่าต้องบอกก่อนว่า ประกันการเดินทางทั้ง 2 รูปแบบ มีความคุ้มค่าในแง่ของการคุ้มครองที่เหมือนกัน แตกต่างกันเพียงระยะเวลาคุ้มครองเท่านั้น ซึ่งถ้าหากคุณเป็นคนที่เดินทางบ่อย หรือมากกว่า 5 ครั้งต่อปี การซื้อประกันการเดินทางแบบรายปีก็จะคุ้มค่าและสะดวกสบายกว่า เพราะคุณจะไม่ต้องกังวลกับการซื้อประกันภัยและเลือกแผนใหม่ทุกครั้งที่เดินทาง รวมถึงช่วยประหยัดเงินได้มากพอสมควรแต่หากคุณเป็นคนที่เดินทางไม่บ่อย และมักจะไปในช่วงเวลาสั้น ๆ การซื้อประกันแบบรายเที่ยวจะคุ้มค่ากว่า เพราะในบางครั้งสายการบินหรือบริษัทประกันก็จะออกโปรโมชันที่ช่วยให้คุณประหยัดเงินได้มากขึ้นนั่นเอง4. ควรเลือกบริษัทประกันที่มีชื่อเสียงและไว้ใจได้การเลือกทำประกันกับบริษัทที่มีชื่อเสียง จะช่วยให้คุณอุ่นใจมากยิ่งขึ้น เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ต้องมีการเคลม หรือการขอความช่วยเหลือเกิดขึ้น บริษัทประกันขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงจะให้ความช่วยเหลือและประสานงานได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงสามารถติดต่อเพื่อขอความช่วยเหลือได้ตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย5. ประกันการเดินทาง ไม่เหมือนประกันสุขภาพ!แม้ว่าประกันการเดินทาง จะคุ้มครองการรักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุหรือการเจ็บป่วย แต่จะไม่ครอบคลุมเหมือนประกันสุขภาพ ดังนั้นหากเดินทางไปยังประเทศที่มีความเสี่ยงโรค หรือไปทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ก็ควรจะตรวจสอบให้แน่ใจว่า ประกันสุขภาพที่คุณมีอยู่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมค่าใช้จ่ายในประเทศและต่างประเทศหรือไม่และทั้งหมดนี้ก็คือ 5 สิ่งสำคัญที่คุณต้องรู้ก่อนตัดสินใจซื้อประกันการเดินทาง สำหรับคนที่กำลังจะเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ ก็อย่าลืมซื้อเตรียมไว้ให้พร้อมก่อนออกเดินทาง เผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ไฟลท์ดีเลย์ ถูกยกเลิกไฟลท์ เป็นต้น อย่างน้อยคุณก็จะได้รับเงินชดเชยจากบริษัทประกันในส่วนนี้แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับโพสต์ทูเดย์https://www.posttoday.com/pr-news/697281
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ภาษี
30/04/2024
บทความโดย “ยุทธภูมิ เกียรติอุ้มสม” นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทย วันที่ 25 กรกฎาคม 2566 การวางแผนทางการเงินเป็นกิจกรรมที่ครอบคลุมและเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการเงินของแต่ละบุคคล ทำให้เกิดความมั่นคงในชีวิตและตอบสนองต่อความต้องการและเป้าหมายเฉพาะของแต่ละบุคคลได้ ซึ่งประกอบไปด้วย แผนการลงทุน แผนการประกัน แผนเพื่อวัยเกษียณ และแผนทางภาษี ภาษีถือเป็นต้นทุนอย่างหนึ่งของการประกอบกิจการ นอกจากการเพิ่มรายได้เพื่อให้มีรายได้สุทธิเพิ่มขึ้นแล้ว การลดต้นทุนด้วยการวางแผนทางภาษีก็เป็นการเพิ่มรายได้สุทธิด้วยเช่นกัน ดังนั้นแผนทางภาษีจึงมีความสำคัญและการวางแผนภาษีได้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดจะช่วยลดภาระทางภาษีได้ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นภาษีอากรประเภทหนึ่งที่จัดเก็บจากบุคคลธรรมดาโดยกรมสรรพากร ซึ่งรัฐบาลนำภาษีที่จัดเก็บได้ไปใช้รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ จัดบริการสาธารณะที่เอกชนไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระจายความมั่งคั่งอย่างยุติธรรม โดยภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาถูกจัดเก็บตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 31 มีนาคม ด้วยการยื่นแบบ ภ.ง.ด. 90 หรือ 91 และวันที่ 1 กรกฎาคมถึงวันที่ 30 กันยายน ด้วยการยื่นแบบภ.ง.ด. 94 ของทุกปี หากผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในประมวลรัษฎากร ย่อมทำให้เกิดความรับผิดทางแพ่งและทางอาญา กรณีต่าง ๆ ดังนี้ บทกำหนดโทษทางแพ่ง เป็นความรับผิดที่ต้องถูกบังคับให้ชำระหนี้ กรณีที่ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ที่ประมวลรัษฎากรได้กำหนดหน้าที่ของผู้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีความรับผิดดังต่อไปนี้ 1. กรณีผู้ต้องเสียภาษีเงินได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีไม่ถูกต้อง เจ้าพนักงานประเมินจะออกหมายเรียกมาไต่สวน หรือสั่งให้นำพยาน บัญชี เอกสาร หรือหลักฐานอื่นมาแสดงเพื่อตรวจสอบ และประเมินให้ถูกต้องตามพยานหลักฐานที่ปรากฎหรือประเมินตามที่รู้ว่าถูกต้อง ซึ่งผู้ต้องเสียภาษีต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับหนึ่งเท่าของจำนวนภาษีที่ต้องชำระ 2. กรณีผู้ต้องเสียภาษีเงินได้ไม่ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี เจ้าพนักงานประเมินจะออกหมายเรียกมาไต่สวน หรือสั่งให้นำพยาน บัญชี เอกสาร หรือหลักฐานอื่นมาแสดงเพื่อตรวจสอบ และประเมินให้ถูกต้องตามพยานหลักฐานที่ปรากฎหรือประเมินตามที่รู้ว่าถูกต้อง ซึ่งผู้ต้องเสียภาษีต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับสองเท่าของจำนวนภาษีที่ต้องชำระ นอกจากนี้ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาทจากการไม่ยื่นแบบเสียภาษีภายในเวลาที่กำหนดไว้ 3. นอกจากเบี้ยปรับตามแต่กรณีที่กล่าวมาแล้ว ผู้ต้องเสียภาษีเงินได้ต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือน ของเงินภาษีที่ต้องเสียโดยไม่รวมเบี้ยปรับ แต่เงินเพิ่มนั้นไม่เกินจำนวนภาษีทั้งหมดที่ต้องเสีย ตัวอย่างเช่น ผู้ต้องเสียภาษีไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีภายในวันที่ 31 มีนาคม เจ้าพนักงานประเมินทำการตรวจสอบและมีหมายเรียกให้นำพยานหลักฐานต่าง ๆ มาแสดงเพื่อตรวจสอบ ณ วันที่ 15 มิถุนายน และปรากฎว่ามีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ต้องเสียจำนวน 100,000 บาท ผู้ต้องเสียภาษีต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับสองเท่าของจำนวนภาษีที่ต้องชำระจากการไม่ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีจำนวน 200,000 บาท และต้องรับผิดเสียเงินเพิ่ม โดยนับจากวันที่ 31 มีนาคม ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ต้องยื่นเสียภาษีประจำปีถึงวันที่ 15 มิถุนายน เป็นเวลา 2 เดือน กับอีก 15 วัน ผู้ต้องเสียภาษีต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือน หรือเศษของเดือนจากภาษีเงินได้ที่ต้องเสีย 100,000 บาท เป็นจำนวน 1,500 บาทต่อเดือน รวมทั้งสิ้น 3 เดือน เป็นจำนวน 4,500 บาท และต้องระวางโทษปรับจากการไม่ยื่นแบบเสียภาษีภายในกำหนดเวลาอีก 2,000 บาท ดังนั้นผู้ต้องเสียภาษีต้องชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เบี้ยปรับ เงินเพิ่มและค่าปรับจากการไม่ยื่นแบบเสียภาษีภายในกำหนดเวลาจำนวนทั้งสิ้น 306,500 บาท บทกำหนดโทษทางอาญา เป็นความรับผิดที่มีลักษณะผูกพันต่อตัวบุคคลไม่ใช่ทรัพย์สิน ได้แก่ ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ และริบทรัพย์สิน กรณีที่ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ที่ประมวลรัษฎากรได้กำหนดหน้าที่ของผู้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีความรับผิดดังต่อไปนี้ 1. กรณีจงใจไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมิน หรือไม่ยอมตอบคำถามเมื่อซักถามต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ดังต่อไปนี้ 1.1. เจ้าพนักงานประเมินเรียกให้มาชำระภาษีเงินได้ที่คงค้าง หรือเรียกให้บุคคลใดมาให้ถ้อยคำเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี และเรียกให้นำพยาน บัญชี เอกสาร หรือหลักฐานอันจำเป็นในการจัดเก็บภาษีเงินได้ที่คงค้าง ซึ่งต้องให้เวลาล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน 1.2. เจ้าพนักงานประเมินออกหมายเรียกผู้ต้องเสียภาษีมาไต่สวน กรณียื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีไม่ถูกต้อง และให้นำพยาน บัญชี เอกสาร หรือหลักฐานอื่นมาแสดง ซึ่งต้องให้เวลาล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน 1.3. เจ้าพนักงานประเมินออกหมายเรียกผู้ต้องเสียภาษีมาไต่สวน กรณีไม่ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีและให้นำพยาน บัญชี เอกสาร หรือหลักฐานอื่นมาแสดง ซึ่งต้องให้เวลาล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน 1.4. คณะกรรมการอุทธรณ์ออกหมายเรียกผู้ต้องเสียภาษีที่ทำการอุทธรณ์มาไต่สวน และให้นำพยานบัญชี เอกสาร หรือหลักฐานอื่นมาแสดง ซึ่งต้องให้เวลาล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 15 วัน 2. กรณีเจตนาแจ้งข้อความเท็จ ให้ถ้อยคำเท็จ ตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ นำพยานหลักฐานเท็จมาแสดง หรือโดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน เพื่อหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีอากร หรือขอคืนภาษีอากร ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือนถึง 7 ปีและปรับตั้งแต่สองพันถึงสองแสนบาท 3. กรณีเจตนาไม่ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้การหลีกเลี่ยงไม่แสดงรายการเสียภาษี หรือยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีไม่ถูกต้องที่มีจำนวนตั้งแต่สิบล้านบาทต่อปีภาษีขี้นไป รวมทั้งการขอคืนเงินภาษีอากรที่มีจำนวนตั้งแต่สองล้านบาทต่อปีภาษีขึ้นไป โดยกระทำในลักษณะที่เป็นกระบวนการหรือเป็นเครือข่าย และมีพฤติกรรมปิดบังซ่อนเร้นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ให้ถือเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 ตรี อย่างไรก็ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 8/2564 มีคำวินิจฉัยว่าบทบัญญัติดังกล่าวเพิ่มภาระและจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเกินสมควรแก่เหตุจึงขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และมาตรา 37 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ดังนั้นประมวลรัษฎากรมาตรา 37 ตรี ที่ให้ความผิดดังกล่าวเป็นความผิดมูลฐานของกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินจึงไม่มีผลบังคับใช้อีกต่อไป การวางแผนภาษีมีความจำเป็นต่อการบริหารกระแสเงินสดและความมั่งคั่งของบุคคล เพื่อให้เกิดความมั่นคงและตอบสนองต่อความต้องการและเป้าหมายในชีวิต แต่อย่างไรก็ตามการวางแผนภาษีต้องกระทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่วางแผนด้วยการหลบหลีก (Avoidance) คืออาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย หรือหลีกเลี่ยง (Evasion) คือใช้วิธีที่ผิดกฎหมาย เพราะนอกจากจะมีบทลงโทษทางแพ่งด้วยการเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแล้ว ยังมีบทลงโทษทางอาญาที่มีโทษจำคุก ส่งผลต่อความมั่นคงและกระทบต่อการบรรลุเป้าหมายที่ต้องการในชีวิตอย่างแน่นอน ดังนั้นการวางแผนภาษีให้ถูกต้องตามกฎหมายกำหนดจึงมีความสำคัญและเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1355436
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
25/07/2023
กรุงเทพฯ 25 กรกฎาคม 2565 - เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายเอกรัตน์ ฐิติมั่น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด และ นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ เอไอเอ ประเทศไทย รับรางวัลอันทรงเกียรติ “Marketeer No.1 Brand Thailand 2023” ติดต่อกันเป็นปีที่ 12 โดยในปีนี้เอไอเอ ประเทศไทย ได้รับรางวัลแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ของประเทศไทย ถึง 2 รางวัล ได้แก่ สาขาประกันชีวิต และสาขาประกันสุขภาพ ซึ่งเป็นรางวัลที่มาจากการวิจัยของนิตยสารมาร์เก็ตเธียร์ (Marketeer) ร่วมกับ บริษัท มาร์เก็ตติ้ง มูฟ จำกัด สำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวนถึง 5,500 ตัวอย่าง จากผู้บริโภคทั่วประเทศ รางวัลดังกล่าว จึงนับเป็นอีกหนึ่งรางวัลแห่งความภาคภูมิใจและเป็นเครื่องตอกย้ำถึงความสำเร็จของเอไอเอ ในฐานะบริษัทประกันชีวิตและสุขภาพอันดับ 1 ที่อยู่เคียงข้างคนไทยมานานกว่า 85 ปี อีกทั้งยังสะท้อนถึงความเชื่อมั่นและความไว้วางใจของผู้บริโภคทั่วประเทศที่มีต่อแบรนด์ ทั้งนี้ เอไอเอยังคงมุ่งมั่นที่จะดูแลลูกค้าทุกท่านอย่างดีที่สุด ควบคู่ไปกับความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตัวเองให้เป็นมากกว่าบริษัทประกันชีวิต เพื่อสร้างสรรค์โซลูชันด้านผลิตภัณฑ์และการบริการที่มีนวัตกรรม พร้อมตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกช่วงชีวิต ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives - เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’ ซึ่งพิธีมอบรางวัลดังกล่าวจัดขึ้น ณ โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ กรุงเทพ เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
20/06/2024
29/04/2024
28/05/2024
29/04/2024
30/04/2024