ประกันภัย
คุยกับบิ๊กประกัน BKI ภัยธรรมชาติ จุดเปราะบางธุรกิจ ปี’68-69
คอลัมน์ : สัมภาษณ์
“เศรษฐกิจปี 2568 จะถือว่าเป็นปีที่ดีที่สุด หากเทียบอีก 3 ปีข้างหน้า”
“ธุรกิจประกันภัยปีนี้ถือว่าเจอศึกหนักพอสมควร นับตั้งแต่เหตุการณ์แผ่นดินไหว ส่งผลต่อความเสียหายบ้านเรือนประชาชน เหตุการณ์ถนนทรุดหน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ซึ่งเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ ยังไม่รวมถึงอุทกภัยในพื้นที่ต่าง ๆ ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจชะลอตัว หนี้ครัวเรือนสูง กระทบต่อการใช้จ่ายของประชาชน ค่าเงินบาทแข็งค่า
และนโยบายภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐ ล้วนแต่กระทบต่อธุรกิจประกันภัย” ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน กรรมการและประธานคณะผู้บริหาร บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI กล่าวในการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนล่าสุด
เศรษฐกิจไม่ดีกดเบี้ยประกันโตต่ำ
ดร.อภิสิทธิ์กล่าวว่า มองแล้วอีก 3 ปีข้างหน้าแนวโน้มเศรษฐกิจจะแย่ลง เพราะยังเผชิญหนี้ครัวเรือนระดับสูง การบริโภคชะลอตัว การส่งออกมีปัญหาจากค่าเงินบาทแข็งค่า และนโยบายภาษีสหรัฐ แม้ว่าไทยจะโดนอัตราภาษีเพียง 19% แต่ผู้ผลิตในประเทศไทยจะเจอภาวะ “China Shock” ที่จะมีผลกับไทยค่อนข้างมาก เพราะเอสเอ็มอีไม่สามารถแข่งขันได้ และอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย
“หากต้องการให้เศรษฐกิจโต เงินเฟ้อจะต้องอยู่เฉลี่ย 2% แต่ปัจจุบันไม่ถึง”
ซึ่งจากภาพเศรษฐกิจดังกล่าว ย่อมส่งผลต่อธุรกิจประกันภัยอยู่แล้ว โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ธุรกิจประกันวินาศภัยภาพรวมมีเบี้ยรับรวมเติบโต 3% แต่คาดว่าทั้งปีเบี้ยรับรวมจะขยายตัวได้ในกรอบ 1.5-2.5% หรือเฉลี่ยประมาณ 2% อย่างไรก็ดี การเติบโตขึ้นกับนโยบายภาครัฐด้วย เช่น มาตรการคนละครึ่ง พลัส ที่จะส่งผลให้คนมีการใช้จ่ายมากขึ้น
ประกันรถอีวีแข่งตัดราคาเดือด
ดร.อภิสิทธิ์กล่าวว่า เบี้ยประกันในภาพรวมที่โต 3% มาจากยอดขายรถยนต์ที่เติบโต 4.7-5% โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ที่มียอดขายเติบโตสูง 40% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งปีนี้คาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์จะอยู่ที่ 6 แสนคัน หรือเติบโต 5% จะมาจากรถอีวีราว 1-1.2 แสนคัน หนุนการเติบโตของธุรกิจประกันภัย
อย่างไรก็ดี BKI ไม่ได้เข้าไปแข่งในส่วนอีวีมากนัก เพราะมองว่ามีความเสี่ยงสูง และทุนประกันลดลงเร็ว ซึ่งกระทบพอร์ตประกันรถยนต์ในครึ่งปีแรกของ BKI หดตัว -5% โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนประกันรถอีวีราว 3.7% ซึ่งคาดทั้งปียอดขายรถอีวีจะอยู่ที่ 2.4 แสนคัน ในส่วน BKI จะมี 9,000-10,000 คัน สัดส่วน 8-9% ของรถยนต์ทั้งหมด
“เบี้ยรถยนต์ไม่เติบโตเลย ซึ่งพอร์ตประกันรถยนต์มีสัดส่วนถึง 41% ของพอร์ตรวม ในส่วนของรถอีวีเราไม่ได้เข้าไปแข่ง เพราะการแข่งขันค่อนข้างสูง มีการตัดราคามาก โดย BKI ไม่ได้มีนโยบายเข้าไปแข่งขันตัดราคาเบี้ย ไม่ใช่วิถีปฏิบัติของเรา ลูกค้าเลยอาจไม่ได้มาหาเรา
แม้ว่าเราจะโตต่ำ แต่เรายังสามารถรักษาผลกำไรได้ และคาดว่าจะใกล้เคียงปีก่อน หากไม่มีเหตุการณ์อะไรในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 เราจะเห็นค่าความเสี่ยงพอร์ตรถยนต์ลดลง (Loss Ratio) ลงมาอยู่ 56-57% จาก 60% จะได้ภาพบวกจากรถยนต์ได้”
ขณะที่งานประกันอัคคีภัยเติบโตได้ 1% ในครึ่งปีแรก ไม่สามารถเติบโตมากได้ เพราะต้องพึ่งพาการปล่อยสินเชื่อจากธนาคาร ซึ่งปัจจุบันธนาคารค่อนข้างเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ จากภาระหนี้ครัวเรือนที่สูง ขณะที่ประกันภัยนาข้าวหายไปอีก 160 ล้านบาท
และจากค่าเงินบาทแข็งค่า บริษัทมีการประกันภัยในรูปเงินดอลลาร์ให้กับ บมจ.การบินไทย หากแลกเงินเป็นบาท ส่งผลให้เงินหายไปเกือบ 100 ล้านบาท อย่างไรก็ดี บริษัทมีเบี้ยประกันภัยเหมืองโพแทสเซียม และ Data Center เข้ามารวม 200-300 ล้านบาท
เล็งประมูลงานประกันโปรเจ็กต์รัฐ
ดร.อภิสิทธิ์กล่าวว่า ภายใต้ข้อจำกัดหลายอย่าง คาดว่าปิดปี 2568 บริษัทจะมีเบี้ยรับรวมอยู่ที่ 32,500 ล้านบาท เติบโตราว 2.6-3% ต่ำกว่าเป้าหมายการเติบโตที่ตั้งไว้ที่ 8% โดยปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปี 2569 จะมาจากการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งแม้ว่ารัฐบาลปัจจุบันจะอยู่ระยะสั้นเพียง 4 เดือน และรักษาการก่อนเลือกตั้งอีก 4 เดือน รวมประมาณ 8 เดือน
แต่คาดว่าจะหนุนโครงการขนาดใหญ่เมกะโปรเจ็กต์ทยอยออกมาได้ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่ากว่า 2.4 แสนล้านบาท หรือโครงการรถไฟทางคู่ รวมถึงโครงการ Data Center เป็นต้น
“พวกเมกะโปรเจ็กต์ถ้าออกมา บริษัทให้ความสนใจเข้าร่วมประมูลอยู่แล้ว อย่างไรก็ดี บริษัทจำเป็นต้องหาพันธมิตรโบรกเกอร์ เข้าไปร่วมประมูลงานด้วย เนื่องจากบริษัทจะเข้าไปรับประกันภัยและส่งต่อความเสี่ยงไปยังบริษัทประกันภัยต่อ (Reinsurance) ขณะที่ประกันภัยรถยนต์อาจจำเป็นต้องแข่งขันเพื่อให้ได้งานใหม่เข้ามา แต่การเข้าไปแข่งขันจะอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลและความเสี่ยงที่รับได้
“Governance Spending จะเป็นเครื่องยนต์ตัวเดียวที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ในปี 2569 เพราะส่งออกและท่องเที่ยวก็ชะลอตัวลง และโครงการเมกะโปรเจ็กต์น่าเกิดได้ ซึ่งเราสามารถรองรับงานเมกะโปรเจ็กต์ได้ เพราะบางส่วนส่งต่อไปยังประกันภัยต่อ พวกนี้เป็นโครงการระยะยาว หลังสร้างเสร็จก็เป็นเบี้ยปีต่อปี โดยเฉลี่ยโครงการเมกะโปรเจ็กต์จะอยู่ที่ 700-800 ล้านบาท หรือมีเบี้ยเฉลี่ย 40-50 ล้านบาทต่อปี คิดเป็นแชร์ประมาณ 20% ซึ่งเบื้องต้นประเมินว่าเบี้ยรับรวมในปี 2569 คาดว่าจะเติบโตได้ 5-6%”
แบกความคุ้มครองภัยธรรมชาติพุ่ง
ดร.อภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า จากเหตุการณ์ภัยพิบัติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้การคำนวณเบี้ยอาจจะปรับสูงขึ้น ซึ่งสวนทางกับประกันภัยต่อต่างประเทศที่จะเห็นเบี้ยปรับลดลง เนื่องจากบริษัทประกันภัยต่อมีกำไรต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปี ทำให้อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) เพิ่มขึ้น เบี้ยถูกลง เพราะมีศักยภาพในการรับงาน (Capacity) เพิ่มขึ้น แต่ไทยเบี้ยไม่ได้ปรับลดลงตามต่างประเทศ
อย่างไรก็ดี สัญญาประกันภัยต่อความเสียหายส่วนเกิน (Excess of Loss Treaty Reinsurance หรือเรียก (Excess of Loss หรือ XOL) เป็นการประกันภัยต่อตามสัญญาแบบไม่เป็นสัดส่วน จะแยกตัวภัยธรรมชาติไม่อยู่ในความคุ้มครอง โดยเพดานความคุ้มครองของประกันภัยต่อ หรือ Total Capacity Limit อยู่ที่ไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ภายหลังจากเกิดแผ่นดินไหว บริษัทได้ซื้อ Top up เพิ่ม ขยายความคุ้มครองเป็น 8,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นบริษัทประกันภัยแห่งเดียวและแห่งแรกของไทยที่สามารถซื้อได้สูงที่สุด
ปี’69 ความเสี่ยงภัยธรรมชาติ
“Total Capacity Limit ความคุ้มครองเพดานอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท หากเกินกว่านี้เราจะต้องรับผิดชอบเอง ซึ่งหลังจากเกิดแผ่นดินไหวเราขอซื้อ Top up เพิ่มเป็น 8,000 ล้านบาท เราคำนวณจากความเสียหายแผ่นดินไหวที่เรารับประกันคอนโดมิเนียมไว้ 4,100 ล้านบาท หากเกิดขึ้นอีกครั้งจึงคำนวณความเสียหายเพิ่ม 1 เท่าตัว และเราไม่ได้ซื้อ Top up อย่างเดียว แต่เราซื้อแบบ Back up ด้วย เช่น หากแผ่นดินไหวไปแล้ว 1 ครั้ง เราซื้อเพิ่ม และสามารถเคลมได้อีก 1 ครั้ง แต่หากครั้งที่ 3 เราจะไม่ได้เคลม จึงเป็นที่มาของการซื้อ Back up เพิ่ม อย่างไรก็ดี บริษัทรีอินชัวเรอร์ไม่ได้ขายให้ทุกคน เขาจะพิจารณาว่าเราบริหารความเสี่ยงอย่างไร”
ดร.อภิสิทธิ์กล่าวด้วยว่า การซื้อประกันภัยต่อ Top up และ Back up เป็นเหตุผลให้กำไรของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 หายไป 400 ล้านบาท ซึ่งมาจากซื้อประกันภัยต่อ 300 ล้านบาท และแผ่นดินไหวอีก 100 ล้านบาท ดังนั้น แนวโน้มในปี 2569 จุดเปราะบางยังอยู่ที่ภัยธรรมชาติเป็นสำคัญ
X