ข่าวการเงิน

“ธนาคาร” กับ “บริษัทประกันชีวิต” จะล้มจากการแห่ถอนเงินตอนไหน


คอลัมน์​ : คุยฟุ้งเรื่องการเงิน
ผู้เขียน : พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน (ทอมมี่ แอคชัวรี)

ถ้าระบบควบคุมภายในของธนาคารนั้นเรียบร้อยดี แต่ไม่ได้ดูแลการบริหารสภาพคล่อง หรือการกระจุกตัวของลูกค้า หรือการด้อยค่าของสินทรัพย์นั้น ก็สามารถทำให้ธนาคารล้มไม่เป็นท่าได้

โดยปกติแล้วกลยุทธ์การรับมือนั้น ธนาคารจะต้องมี Asset Liability Matching หรือเทคนิค ALM ไปด้วย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดในอเมริกานั้น จะเห็นว่าธนาคารบางแห่งไม่ได้ทำ ALM กันอย่างจริงจัง และอาจจะมีธนาคารท้องถิ่นในอเมริกาอีกประมาณ 5 แห่ง ที่เข้าข่ายการบกพร่องในการทำ ALM แบบนี้ด้วย

ปกติแล้ว ธนาคารจะทำการตกแต่งบัญชีได้ยากอยู่แล้ว โดยเฉพาะผู้สอบบัญชีก็จะระมัดระวังเป็นพิเศษ แต่ธนาคารก็ยังสามารถล้มอยู่ ก็อาจจะมาจากนโยบายการบริหารผิดพลาด เงินที่ได้จากเงินฝากเอาไปลงทุนในตราสารหนี้ และ mismatched ระยะเวลาของสินทรัพย์กับหนี้สินอยู่มาก พอดอกเบี้ยขึ้นก็เลยขาดทุนหนักเพราะต้องรับรู้เป็นขาดทุนออกมา ทั้ง ๆ ที่ตราสารหนี้ที่ถืออยู่นั้นต้องการจะถือจนครบกำหนดสัญญา (ปกติ ใครที่ซื้อพันธบัตรรัฐบาลจะเลือกที่จะถือจนครบกำหนดสัญญากัน)

การที่ธนาคารไปมีกลุ่มลูกค้าเงินฝากค่อนข้างกระจุกตัวนั้น ก็ส่งผลให้เวลาเกิดอะไรที่เป็นแง่ลบกับธุรกิจที่ไปกระจุกตัวนั้น ก็จะกระทบไปเกือบจะพร้อมกัน แต่สาเหตุหลักนั้น มาจากการที่ระยะเวลาการลงทุนของสินทรัพย์นั้นไม่ match กับระยะเวลาของหนี้สิน (ALM mismatch) ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้น


ธนาคารที่เลือกจะ mismatch นั้นอาจจะคิดว่า คนที่ฝากเงินก็จะต่ออายุไปเรื่อย ๆ (เหมือนที่เวลาเราฝากเงินฝากประจำ ก็จะต่ออายุหรือลงทุนต่อไปเรื่อย ๆ) ในขณะที่ฝั่งสินทรัพย์นั้นก็ซื้อตราสารหนี้ระยะยาวเสียเลย (เพราะตราสารหนี้ระยะยาวจะให้ดอกเบี้ยที่สูงกว่าตราสารหนี้ระยะสั้น)

ทั้งนี้ ธนาคารใหญ่ ๆ นั้นจะมีการถูกบังคับให้ตรวจสอบเรื่อง ALM ผ่าน stress test (การทดสอบภาวะวิกฤต) อยู่เสมอ แต่สำหรับธนาคารท้องถิ่นในอเมริกานั้น ได้รับการยกเว้นไม่ต้องทำการทดสอบ stress test หรือ ALM

เรื่องทั้งหมดนี้ ถ้าธนาคารมีการทำการทดสอบ ALM และดูว่า mismatch กันระหว่างสินทรัพย์กับหนี้สินหรือไม่ สถานการณ์ที่ธนาคารจะล้มไปเนื่องจากไปลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวนั้น ก็จะเกิดขึ้นได้ยากมาก ทั้งนี้ การล้มของธนาคารที่เกิดจากการไม่ทำ ALM ที่ดีพอ จึงเป็นเฉพาะของธนาคารใด ธนาคารหนึ่ง และจะไม่ลามไปสู่ธนาคารอื่น แต่น่าจะมีธนาคารท้องถิ่นอีกหลายแห่งที่ไม่ได้ทำ ALM ที่อาจจะล้มตามมาก็ได้

ดังนั้น ธนาคารแห่งไหนที่ได้มีการทำ stress test และได้มีการทำการทดสอบ ALM เพื่อให้แน่จึงมีการ matching ระหว่างสินทรัพย์กับหนี้สินได้ดีเพียงพอ ก็น่าจะปลอดภัยและไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก

ส่วนบริษัทประกันชีวิตนั้น ทุกบริษัทถูกให้ทำ ALM กันอย่างเข้มงวดอยู่แล้ว เพียงแต่บริษัทประกันชีวิตจะกังวลในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับธนาคาร กล่าวคือ ธนาคารจะกลัว mismatch จากการที่ระยะเวลาการลงทุนของสินทรัพย์นั้นยาวกว่าหนี้สิน แต่บริษัทประกันชีวิตจะกลัว mismatch จากการที่ระยะเวลาการลงทุนของสินทรัพย์นั้นที่สั้นกว่าหนี้สิน

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ความเสี่ยงของธนาคารจะมีกับงบการเงินตอนที่ภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น (จึงต้องทำ ALM ในจังหวะที่ดอกเบี้ยขาขึ้น) และจะปล่อยให้มี mismatch กันตอนที่อัตราดอกเบี้ยขาลง

แต่บริษัทประกันชีวิตจะปล่อยให้มี mismatch กัน ตอนที่ดอกเบี้ยขาขึ้น (เพราะจะได้อานิสงส์กำไรจากดอกเบี้ยขาขึ้น) และจะให้มีการทำ ALM ในจังหวะดอกเบี้ยขาลง เพื่อป้องกันการขาดทุน

แต่สิ่งสำคัญสำหรับการรับรู้กำไรหรือขาดทุนจากอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงก็คือ การที่สินทรัพย์หรือหนี้สินที่เลือกจัดกลุ่มให้ถือจนครบกำหนดสัญญานั้น ในทางบัญชีจะรับรู้กำไรที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของดอกเบี้ยลงใน “กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น” เท่านั้น ซึ่งเป็นเหมือนกำไรที่รออยู่ในงบดุล และจะรับรู้เป็นกำไรในงบกำไรขาดทุนก็ต่อเมื่อมีการขายจริงเท่านั้น

ธนาคารเมื่อมีคนแห่มาถอนเงินจนต้องถูกบังคับขายตราสารหนี้ตอนภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นก็จะรับรู้ขาดทุนในงบกำไรขาดทุน (ดังนั้น ธนาคารที่ดีจึงต้องทำ matching ในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น จึงจะไม่เกิดปัญหานี้) แต่ถ้าบริษัทประกันมีคนแห่มาถอนกรมธรรม์จนต้องถูกบังคับขายตราสารหนี้ตอนภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นก็จะรับรู้กำไรในงบกำไรขาดทุน

สรุปว่า เทคนิค ALM นั้น

– สำหรับธนาคารจะทำตอนดอกเบี้ยขาขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดผลขาดทุนจากอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลง

– สำหรับธนาคาร อาจจะไม่ต้องทำตอนดอกเบี้ยขาลง เพื่อให้มีกำไรจากอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลง (สำหรับพันธบัตรรัฐบาล จะรับรู้กำไร หรือไม่ ก็ขึ้นกับขายจริงหรือไม่)

– สำหรับบริษัทประกันชีวิตจะทำตอนดอกเบี้ยขาลง เพื่อไม่ให้เกิดผลขาดทุนจากอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลง

– สำหรับบริษัทประกันชีวิต อาจจะไม่ต้องทำตอนดอกเบี้ยขาขึ้น เพื่อให้มีกำไรจากอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลง (สำหรับพันธบัตรรัฐบาล จะรับรู้กำไร หรือไม่ก็ขึ้นกับขายจริงหรือไม่)


แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์
https://www.prachachat.net/finance/news-1262302
X