ข่าวการเงิน
บทความโดย "ธีรวัตร์ นรอิงคสิทธิ์"
ที่ปรึกษาการเงิน AFPTTM สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
“เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป” สัจธรรมข้อนี้
สามารถนำมาปรับใช้ได้กับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต
รวมไปถึงในเรื่องของวัฏจักรของการลงทุน
ซึ่งการเลือกประเภทการลงทุนให้เหมาะสมตามวัฏจักรเศรษฐกิจ
ก็จะทำให้นักลงทุนค้นพบช่วงเวลาที่เหมาะสมในการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภท
และสามารถนำไปประยุกต์ต่อยอดในการจัดสรรสินทรัพย์เพื่อการลงทุนได้
ทฤษฎีที่จะกล่าวถึงนี้เรียกว่า The Six Stages of Business Cycle ของคุณ
Martin J. Pring
ซึ่งทฤษฎีนี้ได้มีการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาสู่การเป็นตัวชี้วัดทางการเงินและเศรษฐกิจ
เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาเลือกสินทรัพย์ในการลงทุน
โดยแบ่งสินทรัพย์เพื่อการลงทุนออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
กลุ่มพันธบัตร กลุ่มหลักทรัพย์ และกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ตาม 6
วัฎจักรเศรษฐกิจ ประกอบด้วย ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำสุด
ภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว ภาวะเศรษฐกิจขยายตัว ภาวะเศรษฐกิจรุ่งเรื่อง
และภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งภาพรวมของแต่ละลักษณะเศรษฐกิจในแต่ละช่วง
และแนวทางการลงทุนที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลาจะถูกอธิบายในลำดับถัดไป
ระยะที่ 1 ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ดอกเบี้ยสูง ควรลงทุนตราสารหนี้
ในสภาวะนี้ เศรษฐกิจจะมีการเติบโตที่ลดลง การค้าเริ่มซบเซา
ทำให้ผู้ประกอบการเริ่มลดกำลังในการผลิต และลดต้นทุนต่าง ๆ
การว่างงานสูงขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง
ทำให้ประชาชนมีอำนาจในการซื้อลดลง
เป็นช่วงเวลาที่ควรลงทุนในพันธบัตร
เพราะมูลค่าตราสารหนี้จะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย
โดยที่เมื่ออัตราดอกเบี้ยขึ้น ราคาพันธบัตรจะลดลง
ประกอบกับการที่มีรัฐบาลค้ำประกัน จึงมีความปลอดภัยมาก
เหมาะกับช่วงเวลาที่เศรษฐกิจถดถอย
แต่หากนักลงทุนต้องการจะลงทุนในหลักทรัพย์ก็ควรลงทุนในกลุ่มสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีวิต
ระยะที่ 2 ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำสุด จังหวะลงทุนหุ้น
สภาวะนี้เปรียบเสมือนมีเมฆดำปกคลุม มองไปทางไหนก็ไม่เห็นโอกาส
ไม่มีสภาพคล่องในการค้าขาย
และบางธุรกิจอาจเกิดปัญหาสินค้าค้างสต๊อกเป็นจำนวนมาก
การว่างงานสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และประชาชนไม่มีกำลังซื้อเพราะรายได้ลดลง
ซึ่งในช่วงเวลานี้ควรลงทุนในหุ้น
เน้นลงทุนในกลุ่มชี้นำการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ หรือกลุ่มสินค้าบริโภค
เพราะจะซื้อได้ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
และสัญญาณที่จะทำให้แน่ใจว่าเศรษฐกิจอยู่ในสภาวะนี้ก็คือ
อัตราดอกเบี้ยปรับลดลงอย่างต่อเนื่องและราคาพันธบัตรยังคงสูงขึ้น
ระยะที่ 3 ภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น
ในสภาวะนี้เศรษฐกิจโดยทั่วไปเริ่มดีขึ้น ราคาสินค้ามีแนวโน้มสูงขึ้น
ธุรกิจเริ่มกลับมามีกำไร
ธนาคารและสถาบันทางการเงินเริ่มกลับมาปล่อยสินเชื่อ
เพื่อกระตุ้นการผลิตและการลงทุนของผู้ประกอบการ
ในจังหวะนี้สามารถเริ่มเข้าไปลงทุนในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ได้
เพราะสินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่เป็นปัจจัยในการผลิต ดังนั้น
หากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ความต้องการของสินค้ากลุ่มนี้จะมากขึ้น
และราคาจะปรับตัวสูงขึ้นตามลำดับ และหากประสงค์จะลงทุนในหลักทรัพย์
ควรเลือกหุ้นที่มีฟื้นฐานดี หรือกลุ่มวัฏจักร
ระยะที่ 4 ภาวะเศรษฐกิจขยายตัว ขายพันธบัตร และลงทุนหุ้น
บรรยากาศโดยรวมในสภาวะนี้ถือว่าดี ผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นในการลงทุน
รวมไปถึงผลตอบแทนจากการลงทุน ทำให้การลงทุนมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว
มีการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นมาก ประชาชนมีสภาพคล่องในการซื้อสินค้าและบริการ
ทำให้เศรษฐกิจมีการเจริญเติบโตในอัตราสูง
เป็นช่วงเวลาเหมาะสมในการขายพันธบัตร เพราะดอกเบี้ยจะเริ่มเป็นขาขึ้น
เพื่อลดความร้อนแรงในระบบเศรษฐกิจลง ซึ่งจะทำให้ราคาพันธบัตรปรับตัวลดลง
แต่ราคาหลักทรัพย์และสินค้าโภคภัณฑ์ยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทำให้สามารถเลือกลงทุนได้ทุกกลุ่มหลักทรัพย์
ระยะที่ 5 ภาวะเศรษฐกิจรุ่งเรือง ทยอยขายหุ้น
ในจุดที่ผู้บริโภคมีอำนาจซื้อสูง และเป็นช่วงที่มีการจ้างงานอย่างเต็มที่
แรงงานก็สามารถที่จะเลือกงานและเรียกร้องค่าจ้างได้อย่างที่ต้องการ
มีสภาพคล่องในการค้าขาย การจับจ่ายสินค้าบริโภค อุปโภค
และการท่องเที่ยวสูงสุด
ทำให้สินค้าและบริการมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจนอาจจะก่อให้เกิดเงินเฟ้อ
ประกอบกับผู้บริโภคไม่ได้จับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นเท่าเดิม
เนื่องจากเริ่มนำเงินไปออมมากขึ้น ทำให้กำไรของบริษัทเริ่มลดลง
ในช่วงนี้จะเป็นช่วงจุดสูงสุดของตลาดหลักทรัพย์
ซึ่งเมื่อพ้นตรงนี้ไปแล้วก็จะทำให้มีการปรับราคาลง
ทำให้เป็นจังหวะที่ดีที่จะเริ่มทยอยขายหุ้นที่สะสมไว้
ระยะที่ 6 ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ถือเงินสด เป็นหลัก
ในภาวะเศรษฐกิจนี้จะมีอัตราเงินเฟ้อที่สูง
จากการลงทุนและการบริโภคเกินกำลังการผลิตของประเทศ อัตรา GDP
หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศไม่เพิ่มขึ้น หรือเพิ่มขึ้นน้อยมาก
ผู้ประกอบการลดความเชื่อมั่นใจการลงทุน
ต้นทุนการผลิตโดยรวมสูงขึ้นจากการแข่งขันที่สูงขึ้น
สิ่งที่ตามมาอาจเกิดการลดกำลังการผลิตและอัตราจ้างงาน
ก่อให้เกิดสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว จะเห็นได้ว่าภาวะนี้จะตรงกันข้ามกับระยะที่ 3
ซึ่งจะส่งผลให้สินทรัพย์การลงทุนไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพันธบัตร กลุ่มหุ้น
และกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาตกลงอย่างมีนัยสำคัญ
ในช่วงเวลานี้จึงแนะนำให้ถือเงินสดเป็นหลัก
หลังจากจบระยะที่ 6 แล้วก็จะเข้าสู่สภาวะวิกฤต
หลังจากนั้นก็จะเป็นการกลับไปเริ่มต้นที่ระยะที่ 1 ใหม่
วนเวียนอย่างนี้เรื่อยไป
ซึ่งหากนักลงทุนเข้าใจว่าในหนึ่งรอบวัฏจักรจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง
อะไรเป็นจุดที่จะบ่งบอกว่าตอนนี้ประเทศอยู่ในสภาวะใด
ก็จะสามารถปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ในขณะนั้น เช่น
ถ้าตอนนี้นักลงทุนมองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่งชี้ไปว่าเศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะลอตัว
ก็จะเริ่มย้ายสินทรัพย์จากสินทรัพย์เสี่ยงไปถือเงินสด
หรือถ้าเป็นการลงทุนในกองทุนรวมก็สามารถที่จะสับไปยังกองทุนตลาดเงินที่ลงทุนในเงินสดได้นั่นเอง
นอกจากการจัดสรรพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจแล้ว
นักลงทุนก็ควรเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับเรื่องอื่นด้วยเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นการมีเงินสำรองฉุกเฉินไม่น้อยกว่า 12 เดือน
การมีรายได้หลายช่องทางและสม่ำเสมอ การให้ความสำคัญกับการออมเงิน
การมีประกันสุขภาพ ซึ่งหากจัดการวางแผนการเงินได้เป็นอย่างดี
ไม่ว่าเศรษฐกิจจะอยู่ในสภาวะใด นักลงทุนก็สามารถลงทุนได้อย่างมีความสุข
แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์
https://www.prachachat.net/finance/news-1269400
30/04/2024
28/02/2024
07/11/2024
30/04/2024
30/04/2024